ตอนที่ 3 : บทที่ 3 ฮ่องเต้ช่วยสร้างศัตรู
“ปิ่นเอ๋อบอกข้าทีเถิดนี่ข้ากำลังฝันไปอยู่ใช่หรือไม่” หวิ๋นเสียนซึ่งกำลังนั่งอยู่หน้ากระจกโดยมีปิ่นเล่อหวีผมให้จ้องมองใบหน้าของตนเองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอย
ตัวหวิ๋นเสียนในตอนนี้นั้นไม่ได้ใส่ชุดโทรมๆหรือมีผมเผ้ายุ่งเหยิงอีกต่อไป นางอยู่ในชุดสีเขียวอ่อนที่ไม่ได้ปักลวดลายอะไรมากนัก เพราะยังไม่คุ้นชินกับสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วหวิ๋นเสียนจึงไม่กล้าใส่ชุดที่มีลวดลายงดงามหรือมีสีสันแสบตาพวกนั้น ผมของนางหลังจากหวีเสร็จก็เพียงเกล้าเป็นมวยง่ายๆขึ้นก่อนจะเสียบปิ่นหยกที่ดูน่าจะธรรมดาที่สุดลงไป เนื่องจากเดิมทีหวิ๋นเสียนก็มีหน้าตางดงามอ่อนหวานอยู่แล้ว ประกอบกับดวงตาที่แลดูใสซื่อบริสุทธิ์ทำให้นางในตอนนี้ดูดียิ่งนัก
แม้แต่ปิ่นเล่อที่ยืนอยู่ข้างๆก็ยังอดตกใจนิดๆไม่ได้ เมื่อเห็นเพื่อนรักที่มักร้องไห้งอแงราวกับเด็กตัวเล็กๆดูดีขึ้นได้ถึงเพียงนี้ แต่พอเห็นว่าหวิ๋นเสียนยังคงเอาแต่เหม่อลอยนางก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ข้าต้องฝันไปแน่ๆภายในเวลาหนึ่งวันจะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ขึ้นได้อย่างไร” หวิ๋นเสียนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยก่อนจะหันไปมองปิ่นเล่อช้าๆแล้วรีบเขย่าตัวนางราวกับคนบ้าคลั่ง “ปิ่นเอ๋อๆ เจ้าตบข้าเร็วสิๆ ข้าจะได้ตื่นจากฝันร้ายนี่เสียที”
ปิ่นเล่อที่เริ่มเหนื่อยกับการปลอบใจเพื่อนรัก ตัดสินใจจับหน้าหวิ๋นเสียนให้หันมองไปรอบด้าน “หลางไฉเหรินนี่ไม่ใช่ความฝันท่านลืมตาดูรอบๆตัวให้ดีสิ”
ดวงตากลมโตของหวิ๋นเสียนนั้นมองเห็นภาพรอบๆได้อย่างชัดเจน ตอนนี้นั้นนางไม่ได้อยู่ในโรงซักล้างแต่อยู่ในห้องที่ประดับประดาไปด้วยของราคาแพงในตำหนักรุ่งรวีต่างหากเล่า ตอนนี้นั้นนางไม่ต้องนั่งซักผ้าแต่ได้มานั่งจ้องตัวเองอยู่หน้ากระจกแทน และตอนนี้นั้นพอมองผ่านหน้าต่าง ไอ้ตำหนักหลังนี้ก็มีองครักษ์เฝ้าอยู่มากจนจะทำให้นางเสียสติอยู่แล้วนี่ไง!
หวิ๋นเสียนอยากจะกรีดร้องเสียงดังออกมายิ่งนักเรื่องที่พบเจอมาทั้งวันนี้นั้นคงจะทำให้นางเสียสติไปในไม่ช้า นางได้แต่พึมพำซ้ำไปซ้ำมาว่า “ไม่นี่คือความฝันแน่ๆ ไม่งั้นจู่ๆข้าจะกลายเป็นพระสนมภายในวันเดียวได้อย่างไร ข้าจะถูกลอบฆ่ามากกว่าห้าครั้งภายในวันเดียวได้อย่างไร แล้วข้าจะมีสภาพแทบไม่ต่างจากคนบ้าภายในวันเดียวได้อย่างไร”
“เจ้ามองดูข้าสิเจ้ารู้จักข้าดี ชีวิตข้าจะกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน” หวิ๋นเสียนได้แต่คร่ำครวญให้ปิ่นเล่อฟัง
“นั่นสินะ ขนาดข้าก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ” ปิ่นเล่อพูดขึ้นมองเพื่อนรักตรงหน้าอย่างสงสารจับใจ
หลังจากคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วแม้แต่นางเองก็ไม่อยากจะเชื่อจริงๆที่จู่ๆหวิ๋นเสียนจะกลายเป็นพระสนม แถมฮ่องเต้ยังจงใจปล่อยข่าวว่าพระองค์ทรงโปรดสนมผู้นี้ยิ่งนักให้คนอิจฉาเล่น จนหวิ๋นเสียนถูกลอบฆ่าไปแล้วกว่าห้าครั้งเกินกว่าครึ่งในนั้นคือยาพิษที่ปะปนมากับอาหารและสิ่งของ นอกนั้นก็เป็นการส่งคนมาแอบลอบฆ่า นี่ถ้าไม่ใช่เพราะในตำหนักนี้ฮ่องเต้ส่งองครักษ์มาเฝ้าเยอะซะจนแทบไม่เหลือที่เดินกับส่งขันทีกับนางกำนัลมาไว้ตรวจยาพิษทุกอย่างแล้วล่ะก็ เกรงว่าหวิ๋นเสียนคงจะตายไปตั้งแต่ฮ่องเต้เสด็จออกไปได้ไม่นานแล้วล่ะมั้ง
“ยังกับกำลังตั้งใจเดินไปถึงปากประตูนรกเลยเชียว” ปิ่นเล่อได้แต่พึมพำออกมาเสียงเบาขณะคิดถึงสถานการณ์ของทั้งคู่ โดยมีหวิ๋นเสียนนั่งร้องไห้อยู่ไม่ไกลนัก
หลังจากการประชุมกับเหล่าขุนนางจบลง ฮ่องเต้ซึ่งกำลังกลับไปยังห้องทรงอักษรก็ราวกับนึกอะไรได้บางอย่างจึงถามมู่กงกงขึ้นว่า “หลางไฉเหรินเป็นเช่นไรบ้าง”
คำถามนี้ทำให้มู่กงกงแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะปกติฮ่องเต้จะไม่ค่อยถามถึงสนมคนไหนนอกจากลี่เฟย “ฝ่าบาท หลางไฉเหรินยังคงไม่คุ้นชินกับตำแหน่งที่พึ่งถูกแต่งตั้งอยู่บ้าง อีกทั้งวันนี้หัวหน้าองครักษ์กู้ที่ถูกส่งไปเฝ้าตำหนักรุ่งรวีนั้นยังได้แจ้งมาอีกว่าตั้งแต่ฝ่าบาทเสด็จออกมามีการพยายามลอบฆ่าหลางไฉเหรินไปแล้วห้าครั้งจึงทำให้นางหวาดกลัวอยู่ไม่น้อยนัก”
ฮ่องเต้ไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจแม้แต่น้อยตอนได้ยินสิ่งที่มู่กงกงรายงานเขาเพียงแต่ถามกลับไปว่า “คนบงการเล่า”
มู่กงกงเข้าใจในความหมายของฮ่องเต้ได้ในทันที การที่พระองค์ทรงถามถึงคนบงการมิใช่ผู้ก่อเหตุหมายความว่าต้องการสืบสาวเรื่องราวทั้งหมดเป็นแน่แท้ “กำลังสืบสวนพะยะค่ะ”
เมื่อเห็นฮ่องเต้พยักหน้าอย่างพึงพอใจในคำตอบมู่กงกงจึงถามขึ้นอย่างรู้ใจอีกครั้งว่า “ฝ่าบาทมีเรื่องใดจะรับสั่งอีกหรือไม่”
พอได้ยินดังนั้นฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วก็คลายออก จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันมาพูดกับมู่กงกงว่า “ในเมื่อวันนี้หลางไฉเหรินขวัญเสียหนักคืนนี้ข้าจะไปหานางสักหน่อยแล้วกัน”
“กระหม่อมจะรีบแจ้งให้ตำหนักรุ่งรวีทราบในทันที” มู่กงกงตอบรับอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่าตนทายพระทัยฝ่าบาทถูกแล้ว ก่อนจะสั่งให้ขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายรีบไปแจ้งเรื่องนี้ให้ตำหนักรุ่งรวีทราบ
“หลางไฉเหรินเหตุใดยังทำสีหน้าเช่นนั้นอยู่อีกเล่า” ปิ่นเล่อที่พึ่งเดินเข้ามาในตำหนักพูดขึ้นเมื่อเห็นหวิ๋นเสียนยังคงนั่งทำหน้าเศร้าอยู่ตรงริมหน้าต่าง
“ปิ่นเอ๋อเจ้าคิดจะมาพูดกล่อมข้าอีกใช่หรือไม่” หวิ๋นเสียนพูดขึ้นเสียงเบาโดยที่ไม่ได้หันหน้าไปมองปิ่นเล่อเลยด้วยซ้ำ ทำให้อีกฝ่ายรู้ได้ทันทีว่าเพื่อนรักของตนคงจะน้อยใจไปแล้วแน่แท้ที่ตนเอาแต่พูดให้อีกฝ่ายหันมามองความเป็นจริง
“ข้าเพียงแต่จะมาบอกหลางไฉเหรินว่าคืนนี้ฮ่องเต้จะเสด็จมาตำหนักรุ่งรวีก็เท่านั้น” ปิ่นเล่อพูดขึ้นขณะวางถ้วยชาเล็กๆไว้ตรงหน้าหวิ๋นเสียน
พอได้ยินดังนั้นดวงตาของหวิ๋นเสียนก็สั่นไหวก่อนจะรีบหันมามองเพื่อนรักในทันทีท่าทางเศร้าหมองไม่ยอมรับความจริงของนางเมื่อกี้นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นท่าทีตกใจในพริบตา
“ฮ่องเต้จะเสด็จมาคืนนี้งั้นรึ” หวิ๋นเสียนถามขึ้นเสียงดัง ก่อนจะลุกเดินวนไปมาพร้อมกับพูดซ้ำๆว่า “ทำอย่างไรดีๆข้าต้องโดนลงโทษที่ล่วงเกินพระองค์ไปก่อนหน้านี้แน่ๆ”
เมื่อปิ่นเล่อเห็นหวิ๋นเสียนทำท่าทางเหมือนเด็กที่เผลอทำผิดแล้วกลัวโดนลงโทษแบบนั้นก็อดขำขึ้นมาไม่ได้เล็กน้อย จึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “หลางไฉเหรินอย่าพึ่งคิดมากตอนที่เห็นขันทีที่มู่กงกงส่งมาแจ้งให้ตำหนักเราทราบนั้น ท่าทางยิ้มแย้มไม่น้อยดูท่าฮ่องเต้จะทรงพระเกษมสำราญยิ่งนักย่อมไม่ลงโทษพระสนมเป็นแน่”
“แต่ก่อนจะเสด็จออกไปพระองค์ทรงบอกว่าจะเสด็จมาใหม่พรุ่งนี้นี่” หวิ๋นเสียนพูดขึ้น นางจำได้แม่นว่าฮ่องเต้นั่นบอกว่าจะมาใหม่พรุ่งนี้แล้วจะมาวันนี้ทำไมกัน ยิ่งนึกหวิ๋นเสียนก็ยิ่งโมโหทั้งๆที่นางไม่อยากยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงไม่ได้ฝันไปแต่นางกลับจำเหตุการณ์ทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ
“บางทีฮ่องเต้อาจจะทรงทนรอจนถึงวันพรุ่งนี้ไม่ไหวล่ะมั้ง เหตุใดพระสนมไม่สวมชุดที่ดูงดงามกว่านี้เล่าฮ่องเต้จะได้ต้องใจท่านจนไม่กล้าลงโทษพระสนมเป็นแน่” ปิ่นเล่อพูดขึ้นอย่างแฝงความนัย เพราะนางรู้ดีว่าหากหวิ๋นเสียนอยากมีชีวิตอยู่ในวังหลังนางก็ต้องทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยให้มากๆ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ไร้ซึ่งความโปรดปรานจากฮ่องเต้แล้วอยู่ไปก็อาจเหมือนตายทั้งเป็น
“ไม่มีทาง” หวิ๋นเสียนใช่ว่าจะไม่เข้าใจความหมายของปิ่นเล่อ ใส่ชุดให้งดงามกว่านี้งั้นรึ ปรนนิบัติให้ฮ่องเต้พอใจมากกว่านี้งั้นรึถึงตายนางก็ไม่ยอมซะหรอก ชีวิตนี้ไม่ว่ายังไงนางก็คงไม่ได้ตายดีอยู่แล้ว อย่างน้อยๆก็ขอนางได้รักษาสิ่งมีค่าสิ่งสุดท้ายในตัวไว้เถิด แต่ฮ่องเต้นั่นหน้าด้านขนาดนั้นแถมคำพูดแต่ละคำยังมีแต่ส่อไปทางเรื่องชวนให้ผิดศีลธรรมอีกแล้วคืนนี้นางจะรอดพ้นจากมือปีศาจร้ายตนนี้ไปได้อย่างไรกัน หวิ๋นเสียนคิดอยู่ในใจ
หลังจากเดินวนเวียนคิดไปมาอยู่ไม่นานหวิ๋นเสียนก็พันคิดอะไรบางอย่างออก นางรีบหันไปพูดกับปิ่นเล่ออย่างดีใจว่า “ข้าคิดวิธีออกแล้ว ปิ่นเอ๋อขอร้องล่ะไปหาสิ่งนี้มาให้ข้าที” พอพูดจบหวิ๋นเสียนก็กระซิบบอกปิ่นเล่อราวกับกลัวว่าแผนการอันล้ำค่าของตนจะรั่วไหล ปิ่นเล่อที่ได้ฟังแผนการของเพื่อนรักได้แต่ยิ้มแหยๆออกมาขณะคิดว่าแผนการนี้ย่อมไม่สำเร็จเป็นแน่แท้
พอพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเสียงอันแสนคุ้นหูของมู่กงกงก็ดังขึ้น “ฮ่องเต้เสด็จ”
“หลางไฉเหรินเล่าเหตุใด จึงไม่ออกมารับเรา” ฮ่องเต้หันมาถามกลุ่มนางกำนัลที่มารอรับเสด็จทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในตำหนัก ปิ่นเล่อได้แต่ตอบเสียงสั่นกลับไปตามที่หวิ๋นเสียนขอร้องไว้ว่า “หลางไฉเหรินพบเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจมากมายจึงเก็บตัวสวดมนต์ท่องพระธรรมมาหลายชั่วยามแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะพึมพำขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” พูดจบก็รีบเดินเข้าไปยังห้องด้านในที่มีกลิ่นธูปอ่อนๆลอยออกมาทันที
“สนมรักช่างเลื่อมใสในพระธรรมยิ่งนักถึงขนาดไม่คิดใส่ใจจะปรนนิบัติเราที่มาหาเจ้าเชียวรึ” ฮ่องเต้พูดขึ้นทันทีที่เห็นหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งหันหลังให้พระองค์และหันหน้าเข้าหาพระพุทธรูปทำท่าตั้งอกตั้งใจสวดมนต์ท่องพระธรรม ถึงแม้ธูปนั้นจะดูเหมือนพึ่งถูกจุดขึ้นมาอย่างรีบร้อนก็ตาม
หวิ๋นเสียนพอได้ยินดังนั้นก็แสร้งทำสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นราวกับรู้สึกผิดหนักหนาว่า “ฝ่าบาทอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์เหตุใดจึงพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้กันเพคะ”
“เหตุใดจู่ๆสนมรักถึงพูดจาราวกับคนห่างเหินเช่นนั้นเล่า ไม่ใช่ว่าเจ้าเรียกเราว่าเป็นคนไร้ยางอายหรอกรึ” ฮ่องเต้พูดขึ้นอย่างน้อยใจขณะเดินไปนั่งจิบชาเฝ้ามองหวิ๋นเสียนอยู่ไม่ไกลนัก
พอถูกพูดรื้อฟื้นถึงความผิดที่ทำไปขึ้นมามุมปากของหวิ๋นเสียนก็กระตุกเล็กน้อยก่อนที่นางจะหยุดท่องพระธรรมและหันไปมองฮ่องเต้พร้อมกับพูดออกไปด้วยรอยยิ้มบางๆว่า “หม่อมฉันจะกล้าล่วงเกินพระองค์เช่นนั้นได้อย่างไร บางทีตอนนั้นหม่อมฉันอาจจะไม่ได้สติอยู่ก็ได้กระมัง”
“การที่สนมรักลืมเรื่องร้อนแรงอย่างการพยายามฉีกเสื้อผ้าเราทำให้เราเจ็บปวดใจยิ่งนัก” ฮ่องเต้พูดออกมาด้วยท่าทางเจ็บปวดแบบเสแสร้งเต็มที่แต่ก็เน้นไปตรงประโยคที่จะทำหวิ๋นเสียนตอบสนองได้อย่างจงใจเต็มที่เหมือนกัน หวิ๋นเสียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ใบหน้าแดงก่ำทันทีนางรู้ดีว่าคนตรงหน้านี้ต้องตั้งใจยั่วโมโหนางอีกเป็นแน่ ดังนั้นหวิ๋นเสียนจึงพยายามอดกลั้นไว้และพยายามคิดถึงแผนเดิมที่ต้องการใช้ปกป้องตัวเอง หากนางทำตัวเป็นเลื่อมใสพระธรรมไม่สนใจคำยั่วยุของฮ่องเต้ล่ะก็ ชายตรงหน้าที่เป็นถึงโอรสสวรรค์จะกล้าทำเรื่องผิดศีลธรรมต่อหน้าพระพุทธองค์ได้อย่างไร เพราะอย่างนี้นางจึงให้ปิ่นเล่อรีบไปหาพระพุทธรูปมาวางไว้ในห้องนอนอย่างไรเล่า อย่างที่เขาว่ากันว่าจะไล่ปีศาจก็ต้องพึ่งพระ!
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวนิ่งเงียบไปนานไม่มีการโต้ตอบใดๆกลับมา ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจยิ่งนักจึงลองเปลี่ยนท่าทีจากบรรยากาศที่สบายๆเมื่อกี้ให้กลับกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที เมื่อเสียงอันทรงอำนาจและสายตาอันคมกริบของฮ่องเต้ถูกส่งออกมา “ว่าแต่สนมรักไม่รู้รึโทษของการการลบหลู่และล่วงเกินเรานั้นเป็นเช่นไร”
ประโยคที่พูดออกมานั้นเป็นดั่งกริซทิ่มแทงลงไปในใจของหวิ๋นเสียน นางรู้สึกกลัวจับใจเพราะถึงอย่างไรคนตรงหน้าก็ยังคงเป็น ‘ลู่ เจิ้งหนาน’ ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นลู่อยู่ดี ก่อนจะรีบคุกเข่าร้องขอพระเมตตาไม่หยุด “ฝะ ฝ่าบาทไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”
เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูกไปเล็กน้อย เดิมทีเขานึกว่านางจะยังโต้แย้งหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องได้มากกว่านี้ หรือนี่เขาแกล้งนางเล่นมากเกินไปงั้นรึ
“เราจะลงโทษเจ้ารุนแรงแบบนั้นได้อย่างไรเล่า” ฮ่องเต้รีบเปลี่ยนท่าทีลงมาประคองหวิ๋นเสียนด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะให้นางนั่งลงข้างๆเขาแล้วพูดขึ้นว่า “เอาล่ะเจ้ามาเล่นอะไรสนุกๆกับเราเป็นการไถ่โทษก็พอ”
“ฝ่าบาททรงอยากเล่นอะไรกันเพคะ” หวิ๋นเสียนถามด้วยเสียงสั่นๆขณะมองคนตรงหน้าอย่างระแวดระวัง
“แล้วเจ้าคิดว่าเราอยากเล่นอะไรกันเล่า” ชายหนุ่มแสร้งขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวที่เริ่มกลัวจนตัวสั่น เพราะร่างที่พยายามเขยิบเข้ามาใกล้ทั้งดูดีแต่ก็น่ากลัวจึงทำให้สติสัมปชัญญะของหวิ๋นเสียนเริ่มสับสนวุ่นวายนางจึงเผลอพูดตอบไปว่า “ค่ำมืดเช่นนี้จะเล่นสิ่งใดได้กันเพคะเหตุใดจึงยังไม่เข้าบรรทมเล่า”
จริงๆแล้วหวิ๋นเสียนเพียงแต่อยากให้คนตรงหน้ารีบๆหลับไปซะ จะสลบหรือจู่ๆก็เป็นลม หรือจู่ๆก็หัวกระแทกอะไรสักอย่างหลับไปได้ยิ่งดีนางจะได้รอดพ้นจากปีศาจร้ายนี่เสียที เพียงแต่เมื่อเห็นสายตาเป็นประกายของคนตรงหน้าก็รู้ว่านางพลาดไปเสียแล้ว
“สนมรักพูดแบบนี้แปลว่าเจ้ายินดีจะปรนนิบัติเราแล้วรึ” ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับเชยคางของนางขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ใช่!” หวิ๋นเสียนตอบอย่างชัดเจนพร้อมกับรีบสะบัดหน้าหนี การตอบปฏิเสธทันควันเช่นนี้กลับทำให้ฮ่องเต้พอใจไม่น้อยเขาถึงกับหัวเราะในท่าทางละล้าละลังของนางตอนนี้ยิ่งนัก
สักพักฮ่องเต้ก็แกล้งทำสีหน้าเจ็บปวดใจอีกครั้ง “สนมรักพูดเช่นนี้ทำเราเจ็บปวดใจยิ่งนัก” พอพูดจบเขาก็เดินไปนั่งลงที่เตียงก่อนจะตบลงตรงที่ข้างๆตัวเบาๆแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากเล่นงั้นก็มานั่งตรงนี้เฉยๆสิเราย่อมไม่ทำอะไรเจ้าเป็นแน่”
หวิ๋นเสียนที่เห็นดังนั้นรีบส่ายหัวทันควัน “ข้าไม่เชื่อท่านหรอก” ท่าทางของเขาแสดงออกขนาดนั้นยังจะบอกว่าไม่ทำอะไรอีกงั้นรึช่างโกหกหน้าตายจริงๆ หวิ๋นเสียนได้แต่แอบก่นด่าอยู่ในใจขณะเตรียมทำท่าจะลุกหนีออกไปด้านนอก
“ถ้าอย่างนั้นเราก็คงต้องใช้กำลังกับเจ้าให้เชื่อฟังสักเล็กน้อย” ฮ่องเต้พูดขึ้นเสียงเบาขณะหรี่ตาลงก่อนจะรีบเดินปรี่พุ่งเข้าไปหาร่างบางตรงหน้าแล้วยกนางขึ้นพาดบ่าในพริบตา
หวิ๋นเสียนที่ตามสถานการณ์ไม่ทันพอรู้ตัวว่าโดนจับได้แล้วก็รีบดิ้นเสียยกใหญ่ด้วยหวังว่าตนเองจะหลุดออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มตรงหน้าได้ ปากของนางก็ตะโกนด่าคนตรงหน้าไม่หยุดอย่างลืมตัว “เจ้าคนไร้ยางอายปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ”
ฮ่องเต้ไม่สนใจร่างที่ดิ้นไปมาและเสียงที่ก่นด่าเขาไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่เดินตรงไปยังเตียงนอนเมื่อกี้ก็เท่านั้นก่อนจะวางร่างบางๆของหญิงสาวลงแล้วนอนทับลงไปทันที หลังจากยุ่งไปมาเสียยกใหญ่ก็ดูเหมือนฮ่องเต้จะได้นอนตามท่าที่เขาต้องการเสียทีเขาหันไปมองหญิงสาวที่ดูท่าทางเหนื่อยหอบเล็กน้อยแล้วจึงลูบจมูกนางเบาๆแล้วพูดขึ้นว่า "เห็นไหมเราบอกแล้วไงเล่าว่าเราไม่ทำอะไรเจ้าเป็นแน่" ก่อนจะค่อยๆปิดตาลงและเคลิ้มหลับไป
ส่วนหวิ๋นเสียนในตอนนี้น่ะเหรอนางยังอยู่ครบสามสิบสองไม่มีอะไรขาดหายแม้แต่น้อยแค่กลับมาผมเผ้ายุ่งเหยิงกับชุดยับยู่ยี่เหมือนเดิมก็เท่านั้น จะให้ไม่เป็นแบบนี้ได้อย่างไรเล่าก็เมื่อกี้นางกลัวว่าจะโดนทำมิดีมิร้ายจึงขัดขืนเขาแทบตายสุดท้ายกลับต้องมาถูกผูกมือไว้กับเสาเตียงแถมยังโดนเอาผ้าปิดปากไม่ให้เรียกใครมาช่วยอีกต่างหาก นางในตอนนี้อยู่ในท่าจะนั่งก็ไม่ได้นอนก็ไม่ได้ส่วนคนที่ทำให้นางเป็นแบบนี้น่ะเหรอ
ก็หลับอย่างสุขสบายอยู่บนตักนางนี่ไง สวรรค์เหตุใดเขาจึงตัวหนักเช่นนี้แค่จะขยับขาสักนิดนางก็ทำไม่ได้นี่เขาคงไม่คิดจะหลับไปแบบนี้ทั้งคืนจริงๆใช่หรือไม่ใครก็ได้ช่วยข้าที หวิ๋นเสียนได้แต่กรีดร้องถึงความโชคร้ายของตนเองอยู่ในใจ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แก้คำผิดครั้งที่ 1 06/06/2016...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สั้นบ้าง ยาวบ้างก็ได้ แต่ลงทุกวันละกันนะคะ