ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #91 : เพียงด่านแรกก็ถูกจับได้เสียแล้ว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.87K
      475
      11 ธ.ค. 60





    หลังจากสั่งงานกับลูกน้องทั้งสี่ของตนเองเสร็จกาเล็ทก็ผลัดเปลี่ยนเสื่อผ้าจากชุดขุนนางที่ตัดเย็บจากผ้าชั้นดีซึ่งตนเองใส่อยู่เป็นประจำมาเป็นเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปบนตัวของผู้คนระดับกลางไปจนถึงระดับล่างในโรฮาน เมื่อจัดการตนเองเสร็จสิ้นแล้วกาเล็ทก็มารอแชลเทีย ซิลเวีย และมิร่าอยู่ในห้องโถงของตระกูลบุสโซ่

    รอไม่นานนีน่าก็นำทั้งหมดมาถึง กาเล็ทรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เห็นว่างทั้งสามนั้นนอกจากจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นผ้าเนื้อหยาบราคาถูกแล้วทว่าในชั้นนอกทั้งสามยังคงสวมผ้าคลุมทับไปด้วยอีกชั้นหนึ่ง พร้อมทั้งยังมีส่วนที่เป็นฮูดคอยปิดบังส่วนบนทำให้สังเกตุใบหน้าภายในฮูดนั่นได้อย่างลำบาก

    นีน่าเดินยิ้มนำทั้งหมดเข้ามา "แม้จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นผ้าเนื้อหยาบทั่วไปแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดรูปโฉมที่ดูงดงามสนิทตาของหนูซิลเวียและหนูแชลเทียได้ หากเป็นเช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดคงเชื่อไม่ลงว่าหนูแชลเทียและหนูซิลเวียเป็นชาวบ้านธรรมดา แม่เลยคิดว่าให้ทั้งสองสวมฮูดทับไปด้วยอีกชั้นคงจะช่วยได้" นีน่าเอ่ยพร้อมทั้งเหลียวมองไปยังมิร่าในร่างมนุษย์ที่ถูกจับให้สวมฮูดอยู่เช่นกัน
    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปอุ้มร่างเล็กขึ้นมา "มิร่าน้อยก็เอากับเขาด้วยหรอ"
    "ทำไมต้องปลอมตัวด้วยล่ะ มิร่าไม่เข้าใจ" มิร่าเอ่ยถามกาเล็ทขึ้น
    "ถ้ามิร่าไม่ปลอมตัว โจรร้ายก็จะกลัวมิร่าจนไม่กล้าเปิดเผยตัว วันนี้พวกเราจะไปตรวจดูว่ามีโจรร้ายแอบแผงอยู่ในเมืองหรือไม่" กาเล็ทเอ่ย
    เมื่อได้ฟังมิร่าก็ผงกศรีษะที่อยู่ภายใต้ฮูดสีดำ "มิร่าเข้าใจแล้ว มีโจรร้ายแอบแฝงตัวอยู่ ฮี่ ฮี่ ภายใต้อาณาเขตรังของมิร่ากับปะป๋าต้องไม่มีโจรร้าย"

    "ท่านแม่ไม่ไปกับพวกข้าด้วยจริงหรือ?" กาเล็ทเอ่ยถามมารดาของตนเองเพื่อความแน่ใจ
    "เจ้าไปเถอะกาเล็ท วันนี้แม่ต้องอยู่รับแขก" นีน่าเอ่ยตอบบุตรชายด้วยรอยยิ้ม
    "แขก?" กาเล็ทเอ่ยถาม
    "กาเล็ทนับตั้งแต่วันงานพิธีของกาลานจบลง ก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาส่งข้ารับใช้มาบอกกล่าวว่าต้องการเข้าพบพูดคุยกับตระกูลบุสโซ่เรา" นีน่าเอ่ย
    "เรื่องนี้ข้ามิใช่บอกให้ท่านลุงโจเซพปฎิเสธไปจนหมดสิ้นแล้วหรอกหรือท่านแม่? เหตุใดยังมีหลงเหลืออีก" กาเล็ทเอ่ย
    "กาเล็ท เราไม่สามารถอยู่เพียงลำพังได้นะลูก จะอย่างไรก็สมควรเปิดบ้านรับแขกบ้าง แม่เป็นคนตกลงให้ท่านพ่อบ้านตอบตกลงรับนัดหมายกับตระกูลต่างๆเอง" นีน่าเอ่ยบอก
    กาเล็ทได้ฟังก็แสดงสีหน้าลำบากใจออกมา
    "ท่านป้าเช่นนั้นวันนี้ให้พวกข้าอยู่เป็นเพื่อนท่าน.." ซิลเวียเอ่ยขึ้น
    นีน่าได้ฟังก็ยิ้มออกมาและสายหน้าของตนเองเป็นเชิงปฎิเสธ "แค่เปิดบ้านรับแขกอย่าได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไป กาเล็ทเจ้าพาหนูแชลเทียและหนูซิลเวียไปเยี่ยมชมเมืองเถอะลูก เรื่องทางบ้านให้แม่จัดการเอง" นีน่าหันไปกล่าวกับกาเล็ท

    หลังจากวันงานพิธี ก็มีผู้นำตระกูลต่างๆทยอยส่งข้ารับใช้ของตนเองเพื่อมาแจ้งหมายกำหนดการเพื่อขอเข้าพบกับกาเล็ทและนีน่าเป็นการส่วนตัวจำนวนมาก เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความสามารถที่กาเล็ทได้แสดงออกมาในวันนั้น หากไม่ใช่ผู้ที่มีสายตาแคบสั้นก็ย่อมจะสามารถดูออกได้ว่าตระกูลบุสโซ่บัดนี้หาได้เป็นเช่นการก่อนอีก ด้วยความสามารถของกาเล็ทซึ่งเป็นผู้นำตระกูลบุสโซ่ในปัจจุบัน ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถคาดเดาได้ว่าตระกูลบุสโซ่จะต้องเข้ามามีบทบาดสำคัญในโรฮานเป็นแน่ เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วจะยังมีผู้ใดไม่อยากจะผูกสัมพันธ์กับตระกูลบุสโซ่อีก ทว่าผู้ที่ต้องการขอเข้าพบกับกาเล็ทและนีน่าเป็นการส่วนตัวมีมากมายจนเกินไป กาเล็ทจึงเลือกที่จะปฎิเสธการนัดหมายทั้งหมดไป หากว่าต้องพบปะพูดคุยกับทุกผู้คนที่มาขอนัดหมายตนเองคงไม่เหลือเวลาไปทำสิ่งอื่นใดแล้ว

    "เมื่อท่านแม่ตัดสินใจเช่นนั้นก็เอาตามที่ท่านแม่คิดเถอะ" กาเล็ทเอ่ยกล่าวแม้ว่าจะยังไม่ค่อยวางใจเท่าใดนักที่จะต้องปล่อยให้มารดาของตนเองอยู่ต้อนรับเหล่าขุนนางเพียงลำพังแต่เมื่อเป็นการตัดสินใจของผู้เป็นมารดากาเล็ทก็ไม่สามารถเอ่ยขัดได้ กาเล็ทได้แต่นำพาซิลเวีย แชลเทียและมิร่าออกเดินทางไปยังเมืองแบรี่

    "ก..กาเล็ท แบบนี้มิใช่จะยิ่งดูสะดุดตากว่าเดิมหรือ" ซิลเวียเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นว่าการเดินทางสู่เมืองหลวงหาใช่เป็นการโดยสารรถม้าตามปกติหากแต่กาเล็ทกลับใช้พลังนำร่างของพวกตนล่องลอยขึ้นมุ่งหน้าสู่เมืองแบรี่แทน

    "หาใช้รถม้า เพียงมองดูปราดเดียวพวกทหารเฝ้าประตูเมืองก็คงดูออกแล้วว่าพวกเราไม่ใช่ชาวบ้าน อีกอย่างพวกเราจะเข้าเมืองแบรี่ด้วยวิธีตามปกติ พวกเจ้าจะได้เข้าใจถึงระบบต่างๆมากขึ้น" กาเล็ทเอ่ยอธิบาย

    ใช้เวลาไม่นานกาเล็ทก็นำทั้งหมดมาใกล้บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองทางทิศเหนือของเมืองแบรี่ เนื่องจากขณะที่อยู่บนท้องฟ้ากาเล็ทได้ใช้พลังจิตวิญญาณเป็นเกราะกำบังอำพรางสายตากลุ่มของตนเองไว้ หากมิใช่ผู้มีพลังระดับสูงย่อมไม่สามารถสังเกตุถึงการคงอยู่ของกาเล็ทกับทั้งหมดได้ ด้วยเหตุนี้ทหารยามจึงไม่สามารถสังเกตุเห็นการมาถึงของทั้งหมดได้ เมื่อเป็นเช่นนี้กาเล็ทก็เดินนำซิลเวียและแชลเทียไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองขณะที่ตนเองจูงมือของมิร่าไว้ไม่ห่าง

    "เคยเข้าเมืองแบรี่มาบ้างแล้วหรือไม่" ทหารยามมองดูกาเล็ทขณะที่เอ่ยถามขึ้น เสียงของมันนั้นดูแข็งกร้าว ขณะที่กล่าวคำและสังเกตุดูกลุ่มของกาเล็ทในจิตใจของมันก็รู้สึกว่าคุ้นหน้าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี่ไม่น้อย มันรู้สึกประหนึ่งว่าตนเองเคยพบเจอกับเด็กหนุ่มผู้นี้มาก่อนแน่นอนแต่ไม่ทราบว่าที่พบเจอคือเมื่อใดและ ณ ที่ใดกันแน่ มันกวาดสายตาตรวจดูเสื้อผ้าเครื่องสวมใส่ของกาเล็ทอีกรอบหนึ่ง

    "พี่ท่าน พวกข้าไม่เคยเข้าเมืองแบรี่มาก่อน" กาเล็ทเอ่ยตอบ
    เมื่อได้ฟังคำตอบของกาเล็ททหารยามที่ทำหน้าที่ตรวจตราก็คลายใจคง สังสัยความรู้สึกที่ว่าตนเองคุ้นหน้าคุ้นตาเด็กหนุ่มผู้นี้นั้นคงเป็นตนเองคิดไปเองแล้ว "มีบัตรแสดงตนหรือไม่" มันเอ่ยถามเสียงกร้าว เหตุที่มันใช้เสียงแข็งกร้าวเช่นนี้หนึ่งนั้นก็เพื่อเป็นการสะกดข่มเหล่าชาวบ้านให้มีความเคารพยำเกรง ซึ่งน้ำเสียงในโทนนี้เหล่าทหารมักจะใช้กับชาวบ้านหรือกลุ่มพ่อค้าที่ทำการขนของเข้าเมืองโดยไร้เส้นสาย

    เนื่องจากตนเองอยู่ระหว่างปิดบังอำพรางตัวตนที่แท้จริงอยู่กาเล็ทจึงไม่ได้ถือสาหาความกับน้ำเสียงแข็งกร้าวที่ทหารยามใช้พูดคุยกับตนเองทว่ามิร่านั้นแตกต่าง มิร่าเงยหน้าขึ้นจ้องมองทหารยามที่ใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวเอ่ยถามกาเล็ทเมื่อครู่ตาไม่กระพริบ ความต้องการฆ่าล้างมนุษย์ที่เบื้องหน้าผู้นี้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ปิดบัง สิ่งเดียวที่ยังขวางกั้นไม่ให้นางลงมือตอนนี้คือมือของกาเล็ทที่กุมมือน้อยๆข้างหนึ่งของนางไว้อยู่
    ทหารยามที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันที่น่าตื่นตระหนกจากเด็กหญิงเซถลาถอยกายไปหนึ่งก้าว
    กาเล็ทที่สัมผัสได้ว่ามิร่าเกิดความคิดต้องการฆ่าฟันขึ้นก็บีบมือน้อยๆคราหนึ่งเพื่อส่งสัญญาณให้นางสงบลง มิร่าที่รับรู้ถึงความต้องการของผู้เป็นบิดาก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าของกาเล็ทคราหนึ่งจากนั้นแรงกดดันที่นางปลดปล่อยออกมาเมื่อครู่ก็มลายหายไปประหนึ่งว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    เหงื่อเม็ดโป้งปรากฎขึ้นบนใบหน้าของทหารยาม
    "พี่ท่าน พวกข้าเพียงต้องการเข้าเมืองไปซื้อหาข้าวของจำเป็นบางสิ่งเท่านั้น จากที่ข้ารู้มาหากว่าจ่ายภาษีเข้าเมืองและลงชื่อแสดงตนไว้ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้าเมืองไปได้ใช่หรือไม่" กาเล็ทเอ่ยขึ้นและทำประหนึ่งว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น
    ทหารยามที่หยุดชะงักไปเมื่อครู่พลันได้สติกลับมาจากคำพูดของกาเล็ท "สงสัยว่าเมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อยวันนี้ข้าถึงได้รู้สึกแปลกๆไป" นั่นคือสิ่งที่มันคิดจากนั้นมันก็อ้าปากเอ่ยต่อกาเล็ท "เป็นเช่นนั้น" มันสอดส่องสายตาไปยังซิลเวียและแชลเทียซึ่งยืนสวมฮูดปิดบังใบหน้าที่เบื้องหลังของกาเล็ทอยู่

    กาเล็ทที่สังเกตุได้ถึงสายตาของทหารยามก็เอ่ยขึ้น "พวกนางเป็นภรรยาที่ข้าพึ่งแต่งเข้าบ้านได้ไม่นาน วันนี้จึงนำพวกนางเข้าเมืองมาเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็น" กาเล็ทเอ่ย

    ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ท ใบหน้าภายใต้ฮูดของทั้งซิลเวียและแชลเทียก็แดงระเรื่อขึ้นมา

    พอได้ฟังว่าบุคคลที่เบื้องหลังทั้งสองเป็นสตรีดวงตาของทหารยามผู้นี้ก็หรี่เล็กลงอย่างชั่วร้ายคราหนึ่ง มันเพ่งตาสำรวจตรวจดูซิลเวียและแชลเทียยิ่งกว่าเดิม แม้จะไม่สามารถมองเห็นได้ชัดตาแต่มันกลับแน่ใจว่ารูปโฉมของสตรีทั้งสองที่อยู่ภายใต้ฮูดนั่นต้องงดงามเป็นแน่ "ใยต้องปิดบังอำพรางตัวตน" มันเอ่ยถามขึ้น

    กาเล็ทได้ฟังถึงคำถามก็รู้ว่าผิดท่า ตามความจริงขั้นตอนการเข้าเมืองไม่สมควรยุ่งยากมากความเช่นนี้ เพียงจ่ายเงินภาษีและลงชื่อก็สมควรผ่านเข้าเมืองแบรี่ไปได้ไม่ยากนัก "พวกนางแพ้แสงน่ะ ขอพี่ท่านอย่าได้ถือสา" กาเล็ทเอ่ยแก้ตัวไป

    "ไม่ได้" ทหารยามตวาดใส่กาเล็ททันควัน "ข้าจะปล่อยให้คนน่าสงสัยเช่นนี้เข้าเมืองไปได้อย่างไร ถอดชุดคลุมและชุดภายนอกออกให้พวกข้าตรวจดู" ทหารนั้นเอ่ยเสียกร้าวพร้อมทั้งส่งสัญญาณเพื่อเรียกพักพวกของตนเอง สาเหตุที่มันทำเช่นนี้หาใช่เพื่อการตรวจตราตามหน้าที่ตามปกติไม่ หนึ่งที่มันทำเช่นนี้เพื่อเป็นการบีบบังคับเรียกรับสินบนจากกาเล็ทไปโดยปริยาย หากว่าเจ้าไม่ต้องการให้ภรรยาเจ้าถูกแตะต้องก็ต้องยอมจ่ายเงินทอง หาไม่แล้วมันก็จะอาศัยอำนาจหน้าที่เรื่องการตรวจค้นถือโอกาสสัมผัสเนื้อตัวของสตรีทั้งสองเพื่อหากำไรแทน

    "บัดซบ กลับพบเจอปัญหารวดเร็วถึงเพียงนี้" กาเล็ทกล่าวสบถอยู่ในใจ จากนั้นจึงใช้มือข้างหนึ่งล้วงบางสิ่งออกมาจากในอกเสื้อ

    ทหารยามยิ้มกริ่มออกมาทันควันเมื่อเห็นว่ากาเล็ทกำลังพยายามยื่นมือล้วงหาบางสิ่งจากในอกเสื้อ สิ่งที่เด็กหนุ่มเบื้องหน้ามันจะล้วงออกมาจะเป็นสิ่งใดไปได้นอกเสียจากเงินทองเล่า? ทว่าเมื่อเห็นสิ่งที่กาเล็ทล้วงออกมาสีหน้าของมันกลับชะงักค้างไป

    "หากว่ายังพิรี้พิไรจนทำลายเรื่องสำคัญของข้าไป.." กาเล็ทไม่จำเป็นต้องกล่าวให้จบประโยคเพียงสีหน้าที่แสดงออกของตนเองในยามนี้ก็สามารถสื่อความหมายให้ทหารยามเบื้องหน้าได้รู้แล้วว่ามันจะต้องเผชิญกับสิ่งใด สิ่งที่กาเล็ทล้วงออกมาแสดงต่อทหารยามหาใช่เงินทองหากแต่เป็นตราประจำตำแหน่งมาร์ควิสของตนเอง

    ทหารยามชงักค้างไปอีกคราหนึ่งหัวใจของมันตกวูบลง "มิน่าเล่าจึงรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขานัก ทำเช่นไรดี ข้าจะทำเช่นไรดี บัดซบเหตุใดวันนี้จึงกลับกลายเป็นข้าที่ต้องเข้าเวร บัดซบ" มันครุ่นคิดพร้อมทั้งเหงื่อกาลที่ไหลท่วมตัว บัดนี้มันไม่มีความสังสัยใจแม้แต่น้อยว่าตราที่มันได้เห็นเมื่อครู่จะเป็นของปลอมหรือไม่ ความรู้สึกบอกมันว่าหากมันยังคงเกิดความสังสัยอีกแม้แต่ชีวิตของมันก็คงไม่อาจรักษาไว้ได้

    "พี่ท่านได้โปรดอนุโลมด้วยเถิด" กาเล็ทเอ่ยขึ้นเสียงดังพร้อมทั้งแสดงท่าทีร้องของ รอบยิ้มเหี้ยมเกรียมเมื่อครู่สลายหายไปอย่างรวดเร็ว

    ทหารยามที่กำลังเหงื่อแตกโซมหน้าอยู่ก็ได้สติขึ้นมาอีกคราหนึ่ง "อ อ ... เอิ่ม ด.. ได้ข้าจะอนุโลมให้ ..ป ไปได้" มันเอ่ยอย่างติดๆขัดๆแม้แต่ภาษีเข้าเมืองตามธรรมเนียมมันก็ยังลืมเลือนไป

    "พี่ท่านค่าภาษีเข้าเมืองเล่า จำนวนสี่คนไม่ทราบว่าคิดเป็นเงินเท่าใด" กาเล็ทเอ่ยถาม

    "ช..ใช่แล้ว ใช่แล้ว ยี่สิบเหรียญทองแดง ยี่สิบเหรียญทองแดง" มันเอ่ยตอบ

    กาเล็ทควักเงินยี่สิบเหรียญทองแดงออกมายื่นให้แก่มันพร้อมทั้งลงลายมือชื่อของตนเองและส่งสัญญาณให้ทั้งซิลเวียและแชลเทียเข้ามาลงลายมือชื่อด้วย

    เหล่าทหารที่ถูกเรียกมาก็ได้แต่ยืนงงล้อมคุมเชิงอยู่ พวกมันกลับเกิดความงุนงงขึ้นว่าเหตุใดหัวหน้าของพวกมันจึงไม่ส่งสัญญาณให้ลงมือจับกุมผู้คนอย่างที่ควรจะเป็นแต่กลับเปลี่ยนท่าทีกลายเป็นคนใจบุญให้โอกาสผู้คนไป

    เมื่อลงลายมือชื่อเสร็จแล้วกาเล็ทก็นำพาทั้งหมดเข้าเมืองไปพร้อมทั้งหันมายิ้มแห้งๆให้กับทั้งหมด "เพียงแค่ขั้นตอนแรกก็ถูกดูจับได้เสียแล้ว" กาเล็ทเอ่ยออกมา

    ทั้งคู่เมื่อเห็นท่าทีของชายคนรักก็หัวเราะคิกออกมาคำหนึ่ง รอยยิ้มที่ปรากฎบนใบหน้านวลเนียนภายใต้ฮูดนั้นของทั้งคู่ถึงกับทำให้กาเล็ทเหลียวมองอย่างลืมตัว

    "น่าตื่นเต้นดีออก นี่นับเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เข้าเมืองอย่างชาวบ้านทั่วไป" ซิลเวียเอ่ย
    "ข..ข้าก็เช่นกัน ไม่นึกเลยว่าจะมีขั้นตอนมากมายถึงเพียงนี้" แชลเทียเอ่ย โดยปกติพวกนางมักจะโดยสารรถม้าที่ดูเริดหรู ทหารยามเพียงเห็นรถม้าที่ดูราคาแพงกว่าค่าแรงทั้งปีของพวกมันก็ย่อมไม่กล้าตรวจตรามากความพวกมันเพียงขอดูเอกสารพอเป็นพิธีก็ปล่อยให้ผ่านเข้าเมืองไปได้อย่างง่ายดาย

    "ไม่นึกเลยว่าแม้แต่การเข้าเมืองมายังต้องเสียเงินทอง" ซิลเวียเอ่ยรอยยิ้มสดใสเมื่อครู่จางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเปลี่ยนเป็นความรู้สึกกังวลใจเข้ามาแทนที่

    "ค่าภาษีเข้าเมืองคนละห้าเหรียญทองแดงสำหรับเราดูไปอาจไม่ได้มากมายอะไร แต่สำหรับกับชาวบ้านที่ไร้หนทางนั้นนับว่ามากมายนัก" กาเล็ทเอ่ย "เอาเถอะอย่าได้เป็นกังวลไปเลยซิลเวีย ทุกปัญหาย่อมมีหนทางแก้ไขนี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้าแต่เพียงผู้เดียวอย่าได้ทำสีหน้าเสมือนว่าเป็นความผิดของตนเองได้หรือไม่"

    "ในฐานะเจ้าหญิงข้าสมควรรู้แต่แรก นี่กลับปล่อยให้พวกเขาอยู่อย่างลำบากมาจนถึงบัดนี้ ข้านี่ช่างใช้ไม่ได้" ซิลเวียเอ่ยกล่าวโทษตนเองออกมา

    "เพียงแค่จิตใจที่คิดช่วยเหลือพวกเขาของเจ้าที่ออกมาจากใจจริงเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว นับจากนี้พวกเราค่อยๆช่วยกันคิดหาหนทางกันดีหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยพร้อมทั้งเข้าไปโอบกอดและปลอบโยนนาง

    "หืม มือไวใจเร็วถึงเพียงนี้นับว่าร้ายกาจนัก" แชลเทียเอ่ยปากเพื่อพูดคุยหยอกล้อทำลายบรรยากาศที่ดูตึงเครียดทิ้งไป

    มิร่าก็รีบเข้าไปแทรกตัวระหว่างกาเล็ทและซิลเวียทันที "งืออ" นางสงเสียงประท้วงเล็กๆออกมาขณะที่แทรกตัวของตนเองไประหว่างกลางของร่างกาเล็ทและซิลเวีย

    ปล.ยังไม่ตรวจคำผิดง่วงมากพรุ่งนี้จะมาตรวจให้นะครับ ถ้ามีคำผิดขออภัย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×