ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #48 : ขออภัยท่าน!! [รีไรท์]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 26.33K
      673
      11 ต.ค. 60





         กาเล็ทซึ่งตามทหารนำทางมา เมื่อมาถึงที่พักของตนเองกลับรู้สึกแปลกใจในสิ่งที่เห็น หญิงสาวสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ภายใน หญิงสาวนางหนึ่งนั้นมีเส้นผมสีแดงยาวสลวย คิ้วคู่สวยนั้น ดวงตาที่เปล่งประกายดั่งอัญมณี จมูกที่เรียวคมได้รูป ริมฝีปากที่อวบอิ่ม ของนาง ทั้งหมดประกอบเข้ากันอย่างลงตัวกลายเป็นความงดงามที่ยากจะบรรยายเป็นความงดงามที่ยากจะพบพาน หญิงสาวผู้นี้ย่อมมิใช่ใครที่ไหน แชลเทียนั่นเอง

         "กาเล็ท" แชลเทียลุกขึ้นเอ่ยชื่อของชายคนรัก เมื่อสังเกตุถึงการมาของกาเล็ท

         กาเล็ทแสดงออกถึงความแปลกใจออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด ที่กาเล็ทแสดงออกถึงความแปลกใจไม่ใช่เพราะแปลกใจที่เห็นหญิงคนรักของตนเอง แต่กลับแปลกใจเพราะหญิงสาวผู้หนึ่งที่นั่งคุยกับแชลเทียอยู่ นั่นคือเจ้าหญิงแห่งโรฮานซิลเวีย

         "กาเล็ท" แชลเทียพุ่งเข้ามาในอ้อมอกของกาเล็ทอย่างลืมตัว "ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ ท่านป้าเองก็เป็นห่วงเจ้ามากเช่นกัน" แชลเทียที่เอาหน้าซุกอยู่กับอ้อมอกของกาเล็ทเอ่ย "ข้ากลัว" นางยังคงเอ่ยเสียงสั่น

         กาเล็ทโอบกอดร่างเล็กของนางไว้พร้อมทั้งก้มลงสูดกลิ่นหอมกรุ่นจากเรือนผมของนาง ความรู้สึกที่กาเล็ทคิดถึงตลอดหลายวันที่ทำงานอยู่เมืองรีเวล "ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นกันแชลเทีย ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าเป็นห่วง" กาเล็ทเอ่ยอย่างอ่อนโยนพร้อมทั้งใช้มือลูบไล้เรือนผมของแชลเทียที่อยู่ในอ้อมอกของตน 

         ซิลเวียจ้องมองดูภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ บรุษหนุ่มตรงหน้าของตนเองกลับเสมือนเปลี่ยนเป็นคนอีกคน คนที่ตนเองไม่รู้จัก เหตุที่นางมาอยู่ที่นี่เพราะว่านางต้องการมาพบกับกาเล็ท ต้องการมาเอ่ยกล่าวคำขออภัย การพูดคุยกับราชาเบรุทในวันนี้ทำให้ตัวนางได้รู้อย่างแน่ชัดว่านางเข้าใจครอบครัวบุสโซ่ผิดไป ถ้อยคำที่ตนเองเคยกล่าวดูแคลนบิดาของเขาไว้นั้น เพียงแค่คิดถึงมันตัวนางก็รู้สึกผิด ไม่เพียงแต่เรื่องนั้น ยังมีเรื่องที่บิดาของตนเองคิดที่จะปฎิบัติกับเขาอย่างไม่เป็นธรรมในวันนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ตัวนางไม่สบายใจจนไม่สามารถจะอยู่เฉยได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงมารอกาเล็ทอยู่ในที่พักของกาเล็ท แต่ทว่าเมื่อมาถึงนางกลับพบว่ามีหญิงสาวอยู่ภายในที่พักของกาเล็ท หญิงสาวนั้นย่อมเป็นแชลเทีย ช่างเป็นเรื่องบังเอิญนักที่ตัวนางและแชลเทียเคยเข้าเรียนในชั้นเรียนด้วยกันในสมัยเด็กดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เมื่อกาเล็ทมาถึงจึงเห็นนางกับแชลเทียพูดคุยกันอยู่

         ทางด้านแชลเทียซึ่งเห็นคนรักของตนเองปลอดภัยก็คลายใจลง เมื่อตัวนางสงบใจลงกลับนึกขึ้นได้ว่าตนเองและกาเล็ทหาได้อยู่กันเพียงลำพังแต่ยังมีซิลเวียเฝ้ามองอยู่ คิดได้เช่นนั้นหน้าของนางก็เริ่มขึ้นสี "ป ปล่อยข้านะ" แชลเทียในอ้อมกอดของกาเล็ทเอ่ยเสียงหวานใสออกมาประหนึ่งว่าตนเองถูกบังคับขืนใจอยู่ก็มิปาน

         "หืม เมื่อครู่เป็นผู้ใดนำพาตนเองเข้ามาหาข้าเอง ไม่อยากกอดแล้วหรือ?" กาเล็ทเอ่ยถามหยอกล้อกับซิลเวียพร้อมทั้งกระชับวงแขนให้แน่นกว่าเดิมโดยไม่ยอมปล่อยให้ร่างเล็กพี่พยายามขัดขืนดิ้นรนหลุดรอดไปได้โดยง่าย

         "พ พอแล้ว ป ปล่อยข้าได้แล้ว" แชลเทียเอ่ยอย่างเอียงอาย ตลอดทั้งใบหน้าและต้นคอที่ขาวผ่องนวลเนียนราวหิมะของนางบัดนี้ได้เปลี่ยนสีไปเป็นสีชมพูอ่อนๆแล้ว

         "เจ้าพอแล้ว แต่ข้ายังไม่พอเลย รู้หรือไม่ว่าตอนอยู่ในสนามรบข้าคิดถึงเจ้าเพียงไหน" กาเล็ทเอ่ยประหนึ่งว่าตนเองและแชลเทียกำลังอยู่กันตามลำพังโดยไม่สนใจเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรที่จ้องมองอยู่เลยแม้แต่น้อย

         ได้ฟังกาเล็ทเอ่ยคำพูดที่น่าอายเหล่านั้นต่อตนเองแชลเทียก็ยิ่งรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิม ตัวนางพลันออกแรงดิ้นลนผลักใสกาเล็ทออกไปเฮือกหนึ่ง สุดท้ายจึงหลุดรอดจากอ้อมกอดของกาเล็ทมาได้

         ซิลเวียที่เห็นบุคลิคอีกด้านของกาเล็ทก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ตัวนางย่อมไม่สามารถคาดคิดจินตนาการได้เลยว่าบรุษหนุ่มที่เอาจริงเอาจังเคร่งเครียดอยู่ตลอดจะมีอีกมุมเช่นที่ตนเองมองเห็นอยู่ตรงหน้า

         "คนหน้าไม่อาย" แชลเทียเอ่ยค้อนใส่คนรักของตนเองพร้อมทั้งกลับไปยังที่นั่งเมื่อครู่ของตนเอง  "ข เขาเป็นคู่หมั้นของข้า ซิลเวีย ขออภัยที่เมื่อครู่ข้าเสียมารยาท" แชลเทียเอ่ยอธิบายอย่างอายๆ

         "ท่านมาทำอะไรองค์หญิง" กาเล็ทหันไปเอ่ยถามน้ำเสียงที่ใช้พูดกับซิลเวียอีกทั้งท่าทีที่แสดงออกแตกต่างจากตอนที่พูดกับแชลเทียอย่างชัดเจน

         ซิลเวียได้แต่นิ่งเงียบเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ของกาเล็ท ตัวนางไม่ทราบว่าจะเริ่มที่ใดดี

         "อ อึ่มกาเล็ท" แชลเทียที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของกาเล็ทก็ได้แต่เอ่ยขึ้น

         กาเล็ทซึ่งได้ยินคำขัดของแชลเทียก็นึกขึ้นถึงภาพที่เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรผู้นี้ร่ำไห้ซึ่งตนเองได้เห็นเมื่อไม่นานมานี้จึงทำให้จิตใจของกาเล็ทอ่อนยวบลง

         "แชลเทีย พวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้าไม่อยู่รบกวนแล้ว" ซิลเวียเอ่ยอย่างหวาดๆพร้อมทั้งลุกขึ้น "ท่านมาร์ควิส วันนี้ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว" กล่าวคำอำลาจบนางก็รีบจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้กาเล็ทได้เอ่ยใดๆร่างเล็กของซิลเวียก็จากไปแล้ว

         กาเล็ทนั้นกลับรู้สึกได้ว่า ทั้งน้ำเสียง ท่าทีของเจ้าหญิงแห่งโรฮานผู้นี้ที่แสดงออกเมื่อครู่นั้นปราศจากความถือดีที่เคยมีมาอย่างหลายวันก่อนโดยสิ้นเชิง เหลียวมองไปทางทางประตูที่ร่างเล็กนั้นจากไปกาเล็ทได้แต่ตั้งคำถามกับตนเองในใจ "ตนเองใช่ใจร้ายกับนางไปหรือไม่?"

         "กาเล็ท เจ้าไม่ควรรังแกนาง" แชลเทียที่ด้านหลังเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของซิลเวียที่ดูกลัวเกรงกาเล็ทและน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของชายคนรักเมื่อพูดกับซิลเวียเมื่อครู่

         "ข้ารังแกนาง?" กาเล็ทเอ่ยถาม

         แชลเทียไม่สนใจการแกล้งถามของชายคนรัก นางได้แต่เอ่ยบอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนของตนเอง "กาเล็ทข้ากับซิลเวียนั้นเป็นเพื่อนกัน ข้ากับนางเคยเข้าเรียนด้วยกันเมื่่อครั้งที่ข้าย้ายมายังเมืองหลวงใหม่ๆ เจ้าอย่าเห็นว่านางเป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรแล้วคิดว่านางจะมีความสุข อันที่จริงแล้วตัวนางนั้นน่าสงสาร มารดาของนางเสียชีวิตตั้งแต่ที่คลอดนางออกมา อย่างที่เจ้ารู้ตัวนางนั้นเป็นเจ้าหญิงแม้ว่าดูเหมือนจะเพรียบพร้อมไปทุกสิ่ง ตั้งแต่เล็กบิดานางก็ไม่ค่อยจะมีเวลาว่างให้นางเท่าใดนักดังนั้นนางจึงมีเพียงแม่นมที่นางสนิทสนมและเปรียบเสมือนแม่คนที่สองของนาง ทว่าโชคชะตาช่างโหดร้ายนัก แม่นมของนางก็มาตายจากไปในเหตุการณ์สัตว์อสูรคุ้มคลั่งเมื่อหลายปีก่อน" เอ่ยถึงตอนนี้แชลเทียก็ถอนหายใจออกมา "กาเล็ทเจ้าลองคิดดูเถอะหญิงสาวผู้หนึ่งเติบโตขึ้นมาภายในวังเพียงลำพังจะโดดเดี่ยวอ้างว้างถึงเพียงไหน หลังจากหลายปีก่อนข้าก็ไม่ได้พบกับนางอีกเลยจนกระทั่งวันนี้"

         กาเล็ทได้ฟังเรื่องของซิลเวียจากปากของแชลเทียแล้วก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกไม่พอใจที่เคยมีต่อเจ้าหญิงผู้นี่ซึ่งเริ่มเบาบางลงแล้วน้อยลงไปอีก

         "ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากับนางมีเรื่องใดกัน แต่ข้าอยากให้เจ้าดีกับนางไว้ อย่าได้ใจร้ายกับนางนักเลย บางที่เกิดมาเป็นหญิงที่สูงศักดิ์ก็หาได้เป็นพรวิเศษเสมอไป" กล่าวถึงตอนนี้แชลเทียก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง "ข้าได้ยินมาว่าพี่สาวของนางก็ต้องแต่งงานทางการเมืองไปอยู่อาณาจักรไอออน ไม่ทราบว่าซิลเวียจะมีชะตากรรมเช่นไร"
       
           กาเล็ทได้ฟังถึงช่วงท้ายก็รู้สึกดูแคลนราชาเบรุทมากกว่าเดิม หากถามว่ากาเล็ทเห็นเช่นไรกับการแต่งงานทางการเมือง กาเล็ทย่อมไม่เห็นด้วย ไม่เพียงไม่เห็นด้วยแต่ยังดูแคลนการกระทำดังกล่าว การให้สตรีผู้หนึ่งเสียสละตนเองเพื่อปกป้องคนทั้งอาณาจักรมิใช่เป็นเรื่องน่าอับอายหรอกหรือ?  ครุ่นคิดมาถึงตอนนี้กาเล็ทก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อย "เอาเถอะเรื่องที่ยังมาไม่ถึงก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้มิใช่เวลาพักผ่อนหรอกหรือ" สรุปในใจได้เช่นนั้นกาเล็ทก็หันเหความสนใจไปยังหญิงคนรักของตน "เมื่อครู่ข้ายังกอดเจ้าไม่เต็มอิ่มเลย ตอนนี้ไม่มีผู้ใดคอยอยู่ดูแล้ว ข้าขอต่อเวลาอีกสักครู่ได้หรือไม่" กาเล็ทเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้องขอ ขณะที่ก้าวฉับๆเข้าหาแชลเทีย

         "ฮึ ไม่ได้ ข้าไม่ให้คนใจร้ายกอด" แชลเทียเอ่ยเช่นนั้นพร้อมทั้งพลิ้วกายหลบกาเล็ทไปทั้งส่งเสียงหัวเราะฮิฮะออกมาอย่างมีความสุข ความกังวลใจของนางตลอดหลายวันที่ผ่านมา มลายหายไปจนหมดสิ้น

         วูบ วูบ วูบ ภายในสวนของบ้านรับรองสำหรับขุนนางยามค่ำคืน กาเล็ทกลับยังคงฝึกฝนอย่างหนัก แสงวูบวาบสาดส่องไปทั่วทั้งส่วนที่พัก กาเล็ทหาได้ฝึกฝนดูดซัพพลังไม่ ในครั้งนี้ สิ่งที่กาเล็ทฝึกฝนนั้นคือการฝึกควบคุมการใช้พลัง การออกมาปฎิบัติภารกิจในครั้งนี้แม้จะเป็นระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน หากถามว่าผู้ใดเป็นผู้เหน็ดเหนื่อที่สุด คำตอบคือบุคคลนั้นย่อมเป็นกาเล็ทและหากถามว่าผู้ใดได้ประโยชน์สูงสุดคำตอบก็ยังคงเป็นกาเล็ท ตลอดระยะเวลานับสิบวันในการออกปฎิบัติภารกิจครั้งนี้ความสามารถในการควบคุมพลังของกาเล็ทเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย การที่กาเล็ทได้ต่อสู้อย่างอยากลำบากตลอดระยะเวลาหลายวันที่แนวหน้า การที่กาเล็ทต่อสู้กับงูสายรุ้ง การที่กาเล็ทใช้พลังในการรักษาเยียวยาผู้บาดเจ็บ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ในการต่อสู้จริง ประสบการณ์ในการใช้พลังจิตวิญญาณแก่กาเล็ทอย่างมาก "จริงดั่งที่สุภาษิตกล่าวไว้ บางทีฝึกภาคทษฎีนับปียังมิสู้การได้ลองประสบการณ์ตรงเพียงครั้งเดียว" กาเล็ทกล่าวกับตนเองขณะที่รวบรวมสมาธิก่อสร้างบอลพลังจากพลังจิตวิญญาณขึ้นมาหลายลูก ลูกบอลพลังเหล่านั้นมีหลายสีสัน ทั้งสีน้ำตาล สีน้ำเงิน สีแดง สีเขียว ลูกบอลเหล่านี้ย่อมเป็นตัวแทนของธาตุแต่ละธาตุที่เข้ากันกับจิตวิญญาณของกาเล็ท แสงวูบวาบที่เกิดขึ้นย่อมมาจากลูกบอลพลังเหล่านี้เอง

         ฟับ ฟับ ฟับ ฟับ ลูกบอลพลังเหล่านั้นเคลื่อนที่หมุนไปมารอบกายของการเล็ท เร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ ลูกบอลเหล่านั้นเคลื่อนที่หมุนวนไปมารอบกายของการเล็ทรวดเร็วจนเสมือนว่ามีโดมพลังงานครอบคลุมร่างของกาเล็ทไว้ไม่มีผิด ขวับ กาเล็ทยื่นมือออกไปหมายที่จะคว้าจับหนึ่งในลูกบอลเหล่านั้น น่าผิดหวังกาเล็ทกลับคว้าจับได้แต่เงาภาพหลังจากที่ลูกบอลพลังเคลื่อนผ่านไปแล้ว กาเล็ทเล่นไล่กับกับบอลพลังเหล่านั้นนานนับชั่วโมง

         การฝึกเช่นนี้มองดูผิวเผินอาจดูเหมือนว่าไม่ได้อะไร อาจดูเหมือนเป็นเพียงการละเล่นฆ่าเวลาของกาเล็ท แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น การฝึกเช่นนี้ไม่เพียงแต่กาเล็ทได้ฝึกควบคุมพลังแล้ว กาเล็ทยังได้ฝึกฝนในการแยกจิตเพื่อควบคุมลูกบอลแต่ละลูกไปพร้อมกัน ไม่เพียงแต่เท่านั้นการที่กาเล็ทพยายามคว้าจับหนึ่งในลูกบอลเหล่านั้นยังเป็นการขัดเกลาประสาทสัมผัสเซ้นของการต่อสู้ให้รวดเร็วยิ่งขึ้นไปพร้อมๆกันอีกด้วย ด้วยแนวทางการฝึกฝนที่แปลกประหลาดซึ่งไม่มีใครเหมือนของการเล็ทนี้ทำให้ฝีมือของกาเล็ทก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ   

         กาเล็ทไม่เพียงแต่ฝึกฝนมุ่งเน้นไปในการบ่มเพาะพลังให้เพิ่มสูงขึ้นดั่งเช่นที่ผู้อื่นทำ เมื่อพลังของกาเล็ทเพิ่มพูนถึงจุดหนึ่ง กาเล็ทนั้นมักจะแบ่งเวลาเพื่อมาศึกษาขีดความสามารถของตนเองอยู่บ่อยๆ ไม่เพียงแต่พรสวรรค์ที่เหนือล้ำกว่าผู้อื่นเท่านั้นที่กาเล็ทมี แต่จุดแข็งของการเล็ทที่แตกต่างจากบุคคลอื่นอย่างเทียบไม่ติดอีกอย่างนั้นคือความอดทนและการจดจ่อ ในขณะที่ผู้อื่นนอนหลับพักผ่อน ในขณะที่ผู้คนในวัยเดียวกันออกเที่ยวเตร่แสดงอำนาจหาความสุขใส่ตัว แต่กาเล็ทไม่ กาเล็ทเลือกที่จะมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนักไม่วอกแวก ผู้คนเมื่อได้มองเห็นถึงขีดความสามารถของกาเล็ท ทุกคนต่างร่ำร้องด่าทอว่าฟ้านั้นไม่ยุติธรรมที่ให้พรสววรค์สูงล้นแก่คนผู้หนึ่งเพียงผู้เดียว แต่น้อยคนนักที่จะรับรู้ว่าใต้ความสามารถที่สูงล้ำนั้นกาเล็ทต้องพยายามมากกว่าผู้อื่นมากน้อยเท่าใด

         ฟู่วว กาเล็ทพ่นลมหายใจออกมาเป็นสัญญาณของการหยุดพัก ฝึกฝนขัดเกลาตนเองอย่างหนักมาหลายชั่วโมงส่งผลให้ทั่วทั้งร่างของกาเล็ทเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ยากจะเห็นได้ในยามปกติ "การต่อสู้กับงูสายรุ้งในครั้งนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีไม่น้อย หากว่ามีโอกาสประมือกับสัตว์อสูรระดับนั้นอีกคงจะดี" กาเล็ทครุ่นคิดกับตนเองในขณะที่ปาดเช็ดเหงื่อบนใบหน้า จากยามค่ำคืนที่ผ่านพ้นไป บัดนี้แสงแรกของดวงอาทิตย์ได้สาดส่องมายังเมืองรีเวลแล้ว กาเล็ทได้แต่ยืนจ้องมองแสงอาทิตย์นั้นอย่างครุ่นคิดถึงอนาคตของตนเองนับจากนี้

         "กาเล็ท" เสียงอ่อนหวานเอ่ยเรียกที่เบื้องหลังทำให้กาเล็ทที่กำลังเม่อมองแสงแรกของดวงอาทิตย์หันกลับไปหาที่มาของเสียงเรียกนั้น 

         "หลับสบายดีหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้ม 

         "ก็สบายดี" แชลเทียเอ่ยตอบอย่างเขินอายอยู่บ้าง นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ตัวนางนั้นนอนร่วมชายคากับบรุษอื่นนอกจากบิดาสองต่อสอง 

         กาเล็ทจ้องมองเรือนร่างที่น่าหลงไหลภายใต้ชุดนอนเบาบางของร่างเล็กนั้น ไม่เพียงแต่ใบหน้าของแชลเทียที่งดงามปานหลุดออกมาจากรูปปั้นในเทพนิยาย เรือนร่างเล็กนั้นยังคงมีส่วนเว้าส่วนโค้งได้รูป เอวที่คอดกิ่ว หน้าอกที่เตงตึงสมกับหญิงสาววัย 17 ปี ซึ่งดึงดูดเพศตรงข้ามชวนให้น่าหันมอง

         แชลเทียที่สังเกตุเห็นถึงสายตาของกาเล็ทก็รู้สึกประหม่าเขินอายยิ่งกว่าเดิม 

         "จะเร็วไปหรือไม่หากข้าจะให้ท่านแม่ของข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเรากับครอบครัวเจ้าอย่างเป็นทางการ" กาเล็ทเอ่ยถาม

         "ผ ผู้ใดจะทราบกับเจ้ากัน เรื่องนี้ก็แล้วแต่เจ้าเห็นสมควรเถอะ" แชลเทียเอ่ยจากนั้นจึงหันหลังกลับเข้าที่พักไป 

         กาเล็ทเห็นอาการเขินอายของหญิงคนรักก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข อาจบางทีเพราะความเสียใจจากชีวิตก่อนที่ตนเองเป็นคนปากหนักไม่ยอมเอ่ยถ้อยคำที่สมควรเอ่ยกับหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างจนกว่าที่ตนเองจะรู้ก็สายเกินจะแก้ไข ในเมื่อมีโอกาสที่สองจึงทำให้บุคลิคของกาเล็ทเป็นดั่งเช่นทุกวันนี้ซึ่งแตกต่างจากชีวิตก่อนของตนเองอย่างสิ้นเชิง

         ฮึบ ฮึบ ฮึบ กาเล็ทที่เสร็จสิ้นจากการฝึกฝนการควบคุ้มพลังจิตวิญญาณแล้วยังคงฝึกฝนต่อไป แต่ครั้งนี้กลับเป็นการฝึกฝนร่างกายโดยการดันพื้น

         เจ็ดร้อยหนึ่ง เจ็ดร้อยสอง เจ็ดร้อยสาม  กาเล็ทซึ่งเปลือยร่างท่อนบนแสดงให้เห็นถึงกล้ามเนื้อเป็ดมัดๆบนหน้าอกและแผ่นหลัง ดันพื้นอยู่ขณะที่นับจำนวนครั้งที่ตนเองดันพื้นสำเร็จออกมาไปพร้อมกัน

         ซิลเวียนั้นหลังจากที่กลับไปในช่วงหัวค่ำตัวนางก็รู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย ทั้งๆที่เมื่อวานเป็นโอกาสเหมาะที่สุดแล้วแท้ๆที่ตนเองจะได้เอ่ยปากขออภัยต่อเขาผู้นั้น แต่ตนเองกลับปากหนักไม่กล้ากล่าวออกไป ดังนั้นหลังจากที่กลับมาจากที่พักของกาเล็ทส่งผลให้ตัวนางนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ในหัวสมองได้แต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับกาเล็ท ครุ่นคิดว่าจะเริ่มเอ่ยปากกับเขาเช่นไร คิดไปคิดมาภาพที่กาเล็ทเอาอกเอาใจโอบกอดแชลเทียอย่างอ่อนโยนก็ปรากฎขึ้นมาในห้วงความคิดทำให้ตนเองได้แต่หลงคิดไปว่าหากมีคนมารักห่วงใยตนเองบ้างคงจะดีไม่น้อย หากว่าเขาผู้นั้นรักห่วงใยตนเองบ้างไม่ทราบว่าจะวิเศษถึงเพียงไหน คิดได้ถึงจุดนี้นางก็สลัดภาพความคิดนั้นทิ้งไปแล้วถอนหายใจออกมาอีกครา เมื่อรุ่งเช้ามาเยือนนางจึงออกจากที่พักตรงมายังบ้านพักของกาเล็ทอีกคราหมายมั่นว่าวันนี้จะต้องเอ่ยปากขออภัยต่อเขาให้จงได้ 

         "อ๊ะ" เสียงใสของซิลเวียอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความตกใจขณะที่นางเดินเข้ามายังส่วนที่พักของกาเล็ท นางกลับเห็นกาเล็ทที่เปลือยร่างท่อนบนใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวรับน้ำหนักร่างทั้งร่างของตนเองไว้และดันขึ้นลงขนานคู่ไปกับพื้น

         กาเล็ทที่สัมผัสได้ว่ามีผู้มาเยือนก็หยุดกิจกรรมการออกกำลังของตนเองไว้กลางคัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาตนเองกลับพบว่าผู้มาเยือนกลับเป็นเจ้าหญิงของอาณาจักร ซิลเวียนั่นเอง เมื่อเห็นหน้าของนางกาเล็ทกลับนึกย้อนกลับไปถึงภาพที่เห็นนางร่ำไห้จนตาแดงก่ำเมื่อวานนี้ นึกถึงคำบอกเล่าของแชลเทียเกี่ยวกับเจ้าหญิงในหอแก้วผู้นี้ "องค์หญิง ท่านมาหาแชลเทียหรือ? รอสักครู่ข้าจะเข้าไปตามนางให้" กาเล็ทเอ่ยถามเสียงอ่อน

         ขณะที่กาเล็ทกำลังจะหันกายเข้าที่พักเพื่อจะไปตามแชลเทีย "ข ข้ามาหาท่าน" ซิลเวียรวบรวมความกล้่าทั้งหมดที่เคยมีมาในชีวิตของนาง สุดท้ายนางจึงกล้าเอ่ยปากออกไป

         "หาข้า ?" กาเล็ทเอ่ยออกมาอย่างฉงนใจ 

         "ใช่ ข้ามาหาท่าน" ซิลเวียเอ่ย

         "ท่านมาหาข้าด้วยเรื่องใด" กาเล็ทเอ่ยถามอย่างสงสัยใจ โดยลืมเลือนไปว่าขณะนี้ร่างกายท่อนบนของตนเองเปลื่อยเปล่าอยู่

         ซิลเวียได้แต่จ้องมองร่างท่อนบนที่เต็มเปลี่ยมไปด้วยมัดกล้ามเนื้อของการเล็ท ภายใต้ชุดขุนนางที่กาเล็ทสวมใส่อยู่เป็นประจำย่อมไม่สามารถจะดูออกได้เลยว่ากาเล็ทจะมีร่างกายที่ดูดีสมชายชาตรีเช่นนี้

         เห็นซิลเวียที่จ้องมองมาที่ตนเอง กาเล็ทจึงรู้ตัวว่าขณะนี้ตนเองไม่ได้สวมใส่เสื้อท่อนบนอยู่ "ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทองค์หญิง" กาเล็ทเอ่ยจากนั้นจึงเดินไปหยิบเสื้อตัวหนึ่งมาสวมใส่ "ท่านมาหาข้าด้วยมีธุระอันใดกัน"

         "ข ข้า ข้า ข้าต้องการมาขออภัยต่อท่าน" ซิลเวียกัดฟันหลับตาพูดออกมาจนได้

         "ขออภัยข้าเรื่องใดกัน" กาเล็ทเอ่ยถามต่อ

         "เรื่อง เรื่องที่ข้าเคยกล่าววาจาดูหมิ่นบิดาท่าน กล่าวว่าจาดูหมิ่นครอบครัวท่าน" ซิลเวียยังคงหลับตากล่าวออกมาอย่างกลัวๆ กล่าวไปตัวนางในตอนนี้มีความรู้สึกว่าตนเองเกรงกลัวบรุษหนุ่มเบื้องหน้านี้มากกว่าบิดาของตนเองเสียอีก

         เห็นถึงอาการที่เจ้าหญิงแห่งโรฮานผู้นี้แสดงออก ประกอบกับเรื่องราวเกี่ยวกับนางที่ตนเองได้ฟังมาจากแชลเทียทำให้กาเล็ทเอ่ยตอบออกไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย "ข้าให้อภัยท่าน"

         ซิลเวียที่ได้ฟังคำตอบของบรุษหนุ่มตรงหน้าก็ลืมตาขึ้นพร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นมามองไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองพึ่งจะได้ยิน ตัวนางกลับได้พบใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของกาเล็ท

         "ข้าให้อภัยท่าน" กาเล็ทกล่าวย้ำอีกครั้งพร้อมทั้งยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนต่อซิลเวียเป็นครั้งแรก

         เมื่อรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ตนเองได้ยินนั้นไม่ผิดเพี้ยน ดวงตาของนางก็เอ่อคลอไปด้วยนำตาทันที ร่างของนางทรุดลงกับพื้น ความกดดัน ความกังวลใจที่เก็บมาหลายวันถูกปลดปล่อยออกมาทันที นางกลับร้องไห้โอออกมา

         กาเล็ทที่เห็นเช่นนั้นถึงกับมือไม้ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูกในทันที กาเล็ทไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเองมิใช่กล่าวด้วยดีหรอกหรือ เหตุใดนางจึงยังร้องไห้อีก? "เหตุใดจึงร้องไห้ อย่าร้อง ข้าให้อภัยท่าน ไม่ได้ยินหรือ ข้าให้อภัยท่านแล้วองค์หญิง" กาเล็ทเอ่ยกล่าวออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน

         "ท่านมาร์ควิสท่านให้อภัยข้าแล้วจริงๆใช่ไหม" ซิลเวียเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ
         
         "ข้าให้อภัยท่าน" กาเล็ทเอ่ยตอบ

         "ท่านไม่โกรธข้าแล้วใช่ไหม" ซิลเวียยังคงร่ำไห้เอ่ยถาม

         "ไม่แล้ว ไม่แล้ว" กาเล็ทเอ่ยตอบอย่างปั่นป่วน

         "เช่นนั้น ท่านจะไม่ตวาดข้าแล้วใช่ไหม" ซิลเวียยังคงร่ำไห้เอ่ยถาม

         "ไม่แล้ว" กาเล็ทเอ่ยตอบ

         "ไม่พูดจาโหดร้ายกับข้าแล้วใช่ไหม" นางยังคงเอ่ยถามตอบเพื่อความแน่ใจ

         "ไม่แล้ว ไม่แล้ว" กาเล็ทรีบเอ่ยตอบ

         ได้ยินเช่นนั้นซิลเวียจึงปาดเช็ดน้ำตาเผยรอยยิ้มออกมา ทำให้กาเล็ทรู้สึกฉงนใจไม่น้อย "สตรีนี่ช่างแปลกประหลาด เมื่อครู่ยังร่ำไห้อยู่เลย บัดนี้กลับสามารถแย้มยิ้มออกมาได้ยังกับไม่มีเรื่องราวใด"

         ขณะที่กาเล็ทกำลังจะพยุงซิลเวียให้ลุกขึ้น "กาเล็ท ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้รังแกซิลเวีย" เสียงใสของแชลเทียก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังพร้อมกับร่างเล็กอีกร่างหนึ่งที่รีบวิ่งออกจากที่พักเพื่อมาพยุงร่างของซิลเวียขึ้น

         "ซิลเวียเขารังแกอะไรเจ้า บอกข้ามา" แชลเทียพูดพร้อมทั้งใช้ตาหงส์ตู่งามมองค้อนไปยังกาเล็ทที่ยืนอยู่ไม่ไกล

         กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็มือไม้ปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิมรีบกล่าวอธิบาย "ข้าไม่ได้รังแกนาง อยู่ๆนางก็ร้องไห้เอง" กาเล็ทพยายามอธิบายสุดชีวิต

         แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากหญิงคนรักหาได้เป็นความเข้าอกเข้าใจไม่ "คนใจร้าย" นั่นคือสิ่งที่แชลเทียพูดออกมา 







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×