ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #49 : ภัยที่ซ่อนเร้น [รีไรท์]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 24.74K
      664
      13 ต.ค. 60





       "อืม เป็นเช่นนี้เองหรือ" แชลเทียส่งเสียงออกมาเป็นเชิงเข้าใจเมื่อได้ฟังคำอธิบายเรื่องราวต่างจากเพื่อนของตนเองหลังจากที่นำพาซิลเวียเข้ามาในส่วนที่พักแล้ว

         "เห็นหรือไม่ข้าไม่ได้ทำอะไรนาง" กาเล็ทเอ่ย

         แชลเทียหาได้สนใจกาเล็ทไม่แต่กลับยังคงเอ่ยวาจาพูดคุยกับซิลเวียเพื่อนของตนเองต่อ "หากว่าเขารังแกเจ้าอักนับแต่นี้ให้บอกต่อข้า ดูซิว่าหากข้าเอาไปบอกแก่ท่านป้าเขาจะทำเช่นไร" แชลเทียเอ่ยพร้อมทั้งหันมามองค้อนใส่กาเล็ทอีกรอบ

         "นี่ เรื่องนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องให้ถึงท่านแม่เลยนี่" กาเล็ทเอ่ยหวาดๆ

         "แชลเทีย มันไม่ใช่ความผิดของท่านมาร์ควิส มันเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ระวัง เป็นเหตุให้เกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้น" ซิลเวียเอ่ย

         "ซิลเวียเอาเช่นนี้เป็นอย่างไร เจ้าหาเวลาว่างสักวัน ข้าจะพาเจ้าไปขออภัยต่อท่านป้าเองเจ้าจะได้สบายใจ" แชลเทียเอ่ยเชิญชวน

         "จะ ไม่เป็นการรบกวนหรือ" ซิลเวียเอ่ยอย่างหวาดๆอยู่บ้าง

         เห็นท่าทีของเพื่อนสาวแชลเทียก็แย้มยิ้มออกมา "ซิลเวียเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ท่านป้าน่ะทั้งใจดีทั้งอ่อนโยน ไม่ใจร้ายเหมือนกับคนแถวนี้หรอก"

         กาเล็ทที่วนเวียนอยู่ไม่ห่างเมื่อได้ยินคำกล่าวช่วงท้ายของแชลเทียก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวอย่างโง่งมไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี ไม่ทราบว่าตนทำผิดที่ใดไป

         ซิลเวียซึ่งเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลายลงก็เหลือบไปมองยังกาเล็ท ที่ผ่านมาเมื่อตนเองอยู่ต่อหน้าเขา เขามักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งน้อยครั้งที่เขาจะพูดคุยกับตนเอง น้ำเสียงที่เขามักจะใช้ยามพูดคุยกับตนก็เย็นเยียบปานน้ำแข็ง แต่บัดนี้บรรยากาศกับแตกต่างกับที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ท่าทีที่ขมึงตึงเครียดของเขามลายหายไปสิ้น ณ บัดนี้เขากลับดูเป็นคนตลกผ่อนคลายเป็นกันเอง นางได้แต่ตั้งคำถามกับตนเองในจิตใจ "คนผู้หนึ่งจะมีด้านที่แตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ"

         "ท ท่านมาร์ควิส ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกต่อท่าน" ซิลเวียกลั้นใจพูดกับกาเล็ทอย่างเกร็งๆ

         "เรื่องใดหรือ" กาเล็ทเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มเป็นกันเองอย่างที่สุด

         "เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนระหว่างท่านกับมาร์ควิสเจอริโก้และมาร์ควิสเครตัน ข้าเกรงว่าเรื่องนี้ ท่านพ่อคงไม่ลงโทษคนผิด อีกทั้ง อีกทั้งยังจะเข้าข้างมาร์ควิสทั้งสอง" ซิลเวียซึ่งเอ่ยถึงช่วงท้ายในแววตาของนางก็ปรากฎความรู้สึกผิดขึ้นอีกครา นางจึงได้แต่ก้มหน้าลง

         เมื่อได้คิดถึงเรื่องนี้กาเล็ทก็รู้สึกเลือดลมร้อนแรงขึ้นมาอีกครา แต่ฟังจากน้ำเสียงและท่าทีของซิลเวียที่เอ่ยอย่างรู้สึกผิด ทั้งนางยังเอ่ยบอกเรื่องนี้ต่อตนเอง "จะอย่างไรพ่อก็ส่วนพ่อ ลูกก็ส่วนลูก ดูไปนางก็เปรียบเสมือนผ้าขาว อาจบางทีเหตุที่นางร่ำไห้เมื่อวานคงเพราะเหตุนี้กระมัง" กาเล็ทครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยปาก "ข้าเข้าใจดี การเมืองก็เป็นเช่นนี้ เรื่องบางอย่างก็ไม่อาจเป็นได้ดั่งใจหมาย สิ่งที่ข้ากระทำไปทั้งหมดข้ายินดีรับผลที่จะตามมาทุกสิ่ง ขอบใจท่านมากองค์หญิงที่เป็นห่วง" กล่าวถึงช่วงท้ายท่าทีผ่อนคลายทีเล่นทีจริงที่มีมาเมื่อครู่กลับจางหายไปจนหมดสิ้น

         ซิลเวียได้แต่เงยหน้าเหลือมองบรุษตรงหน้าอย่างสับสน "ม มันคุ้มแล้วหรือ" ซิลเวียเอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัยใจออกมา นางย่อมไม่เข้าใจเหตุใดบรุษตรงหน้าจึงยอมที่จะเสียงเอาอนาคตของตนเองไปทิ้งเพื่อผู้อื่น เพื่อผู้คนที่ตนเองก็ไม่ได้รู้จักดี

         กาเล็ทย่อมเข้าใจดีว่านางหมายถึงสิ่งใด "คุ้มหรือไม่ข้าก็ไม่อาจตอบได้ ข้ารู้เพียงแต่ว่าสิ่งที่ข้ากระทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คนเราหากกระทำในสิ่งที่ถูกต้องก็สามารถที่จะเงยหน้ามองฟ้าได้อย่างภาคภูมิก้มหน้าก็ไม่จำต้องละอายต่อผืนแผ่นดิน ท่านรู้หรือไม่ว่ามีผู้คนมากน้อยเท่าใดที่ตกตายลงยามที่ข้าจับมือเขาอยู่ในวันนั้น" กาเล็ทเอ่ย

         เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงแห่งโรฮานยังนิ่งเงียบ "ทั้งสิ้น 82 คน 82 คนที่ข้าไม่สามารถช่วยพวกเขาไว้ได้" กาเล็ทเอ่ยอย่างเจ็บปวดใจ

         ซิลเวียซึ่งได้ยินถึงจำนวนก็ยกมือทั้งสองขึ้นสูงมาที่หน้าอกของจนแสดงออกถึงความตกใจ และทึ่งที่กาเล็ทจดจำ จำนวนของผู้คนทั้งสิ้นได้

         "ความรู้สึกของพวกเขาก่อนที่จะสิ้นใจไปข้าจำมันได้ดี ความรู้สึกสุดท้าย ความรู้สึกที่ไม่ยินยอมที่จะจากไป ยังมีนายกองหญิงของข้า หากข้าปล่อยให้นางถูกประหารไปเช่นนั้นความรู้สึกผิดจะติดอยู่ในจิตใจของข้าไปตลอดกาลไม่มีวันลบออกได้ ต่อให้วันหน้าข้ามีความสำเร็จมากมายเพียงใด แต่ข้าจะไม่มีวันลืมความรู้สึกผิดนั้นไปได้ ดังนั้นหากข้ายินยอมก้มหน้าให้กับความอยุติธรรมข้าก็ไม่สามารถสู้หน้ากับทั้ง 82 คนที่ฝากฝังความหวังสุดท้ายไว้กับข้าก่อนสิ้นใจไปได้" กาเล็ทเอ่ย

         ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ท แชลเทียก็มองมาที่ชายคนรักอย่างภูมิใจ นางเลือกคนไม่ผิดจริงๆ นางได้แต่คิดเช่นนี้ในใจ

         ซิลเวียยังคงแสดงออกถึงความเป็นห่วงออกมาทางสีหน้า

         กาเล็ทที่สังเกตุได้ว่าบรรยากาศเริ่มจึงเครียดขึ้นจึงปั้นรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าอีกครา "เอาเถอะ สิ่งใดจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใดข้าก็ไม่หวั่นเกรงหากข้าพ่ายแพ้หมดรูปอย่างน้อยข้าก็ยังมีท่านอาจารย์อยู่" กล่าวทีเล่นทีจริงถึงช่วงท้ายกาเล็ทก็หัวเราะออกมา พร้อมทั้งยื่นมือออกไปหมายจะกุมมือนุ่มนิ่มของแชลเทียที่นั่งอยู่ข้างกายทว่าหญิงคนรักของตนเองกลับเลื่อนข้อมือขาวผ่องนั้นหลบไป "แค่มือก็ไม่ให้จับหรือ ช่างใจร้ายจริงๆ" กาเล็ทเอ่ยเสียงอ่อย 

         เห็นท่าทีของชายคนรักแชลเทียก็หัวเราะฮิฮะออกมา บรรยากาศก็ผ่อนคลายขึ้นอีกครา ได้รับรู้ถึงด้านที่อ่อนโยนของกาเล็ทยิ่งทำให้หัวใจของซิลเวียเจ้าหญิงแห่งโรฮานเต้นถี่เร็วขึ้นกว่าเดิม "ยามขับขันจำเป็นเขาแข็งแกร่งไม่หวั่นไหวพึ่งพาได้ ยามสงบเขาอ่อนโยนผ่อนคลายเป็นกันเอง คนเช่นนี้..." นางคิดชื่นชมกาเล็ทในใจ โดยไม่รู้ตัวเงาร่างของบรุษหนุ่มที่พบกันได้ไม่นานผู้นี้ก็ประทับลงไปในจิตใจของนางจนยากจะลบเลือกออกไปโดยไม่รู้ตัว

         

         ณ เมืองแบรี่ ตระกูลบลูโนที่เคยพลุกพล่านไปด้วยบริวารข้ารับใช้บัดนี้กลับโหวงเหวงวังเวง ตัวตึกที่เคยสวยหรูคับคั่งไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง สวนของตัวตึกที่เคยงดงามไปด้วยไม้ประดับ บัดนี้ตัวตึกกลับดูรกร้างซอมซ่อเสมือนว่าปราศจากผู้คนอยู่มานาน สวนที่เคยงดงามไปด้วยไม้ประดับ บัดนี้กลับปกคุมไปด้วยหญ้ารกคลึ้มไปหมด ไม่เพียงแต่เท่านั้น สิ่งของเครื่องใช้ราคาแพงภายในบ้านกลับหายไปจนหมดสิ้น  ทั้งหมดทั้งมวลนี้ย่อมมีสาเหตุมาจากการตายจากของ รุสโซ่ จ้าวแห่งตระกูลบลูโน เหลือไว้แต่เพียงโจดานบุตรชาย  ช่างน่าเหลือเชื่อที่เวลาเพียง 1 เดือนก็สามารถทำให้ตระกูลบลูโนที่เคยรุ่งเรื่องตกต่ำลงไปได้ถึงเพียงนี้

         ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตระกูลบลูโนนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่รุสโซ่พ่ายแพ้ศึกประลองเป็นตายให้แก่กาเล็ท  หลงเหลือไว้แต่เพียงโจดานบุตรชายผู้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายตลอดมาก  เมื่อรุสโซ่บิดาของมันตายลงในวันนั้นโลกของมันทั้งใบเสมือยว่าจะพังทลายลองในพริบตา โจดานนั้นแม้จะมีพรสวรรค์ที่จัดได้ว่าหายาก ในขณะที่ผู้คนในวัยเดียวกันที่มาจากครอบครัวขุนนางและมีโอกาสได้ฝึกฝนพลังจิตวิญญาณจะมีระดับพลังเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3 - 4  แต่ด้วยพรสวรรค์ของโจดานทำให้มันนั้นเหนือกว่าผู้คนโดยทั่วไป ในวัยเพียงสิบห้าย่างเข้าสิบหกปี ระดับพลังของมันก็เพิ่มพูนอย่างต่อเนื่องมาจนถึงระดับห้าขั้นปลาย ด้วยระดับพลังที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น ด้วยพื้นเพครอบครัวที่ดูดีมีฐานะมั่นคง ตัวมันนั้นคิดว่าตนเองเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และอำนาจ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวมันใช้ชีวิตด้วยความประมาท ตัวมันไม่ได้ทุ่มเทเวลาไปกับการฝึกฝนอย่างที่ควรจะเป็น ตัวไม่ไม่ได้ศึกษาธุรกิจของครอบครัวอย่างที่ควรจะเป็น ตัวมันเมื่อก่อนนั้นรู้แต่เพียงว่าตัวเองเปี่ยวไปด้วยพรสวรรค์และครอบครัวของมันยิ่งใหญ่ อนาคตของมันนั้นยาวไกลกว่าผู้ใดในโรฮาน มันใช้ชีวิตด้วยแนวคิดเช่นนั้นตลอดมา 

         แต่เพียงแค่พริบตาเดียวทันทีที่บิดาของมันล้มตายลง โลกของมันก็พังทลาย พังทลายไม่เป็นชิ้นดี พังทลายลงโดยน้ำมือของบุคคลที่มันไม่เห็นอยู่ในสายตา มันไม่อยากจะเชื่อ เรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจมันอย่างมาก หลังจากที่บิดาของมันตกตายตัวมันก็ได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาพบกับผู้ใด ในช่วงอาทิตย์แรกบ่าวไพร่ของมันยังคงทำเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอนานวันผ่านไปบ่าวไพร่มันก็เริ่มตีตัวออกห่าง แม้แต่อาหารประจำวันบ่าวไพร่ก็ไม่ได้นำมาให้มันเมื่อเวลาสามอาทิตย์ผ่านไปหลังจากบิดาของมันตกตาย พอย่างเข้าอาทิตย์ที่สี่ข้าวของมีค่าภายในตระกูลก็ถูกบ่าวไพร่นำไปขายจนหมดสิ้น ธุรกิจต่างๆที่เคยเป็นของตระกูลมันก็ถูกหุ้นส่วนหุบไปจนหมด เมื่อปราศจากเสาค้ำดั่งเช่นรุสโซ่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงกลัวตระกูลบลูโนอีก

         "กาเล็ท บุสโซ่ !!" โจดานขบกรามเปลี่ยงเสียงแหบพล่ารอดไรฟันออกมา เปล่งเสียงเรียกชื่อของบุคคลที่มันเกลียดชังที่สุดในชีวิตตอนนี้ บุคคลที่มันต้องการพังทลาย บุคคลที่มันต้องการฆ่าฟันยิ่งกว่าผู้ใด "ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าแย่งชิงไปจากข้า ความรู้สึกที่ต้องสูญสิ้นทุกสิ่ง ความรู้สึกสิ้นหวังนั้น ข้าจะให้เจ้ารับรู้มัน" ใช้ความแค้นเป็นแรงผลักดัน สุดท้ายโจดานนายน้อยแห่งตระกูลโรมาสก็ลุกขึ้นอีกครั้ง ร่างของมันที่เคยดูสูงส่งสง่างาม บัดนี้กลับปราศจากความสง่างามน่าเกรงกลัวอีกต่อไป ผมสีแดงของมันที่เคยสั้นบัดนี้กับงอกยาวขึ้นประบ่า ร่างที่เคยสมบูรณ์พูนพร้อมของมันบัดนี้กลับผอมแห้ง แววตาของมันบัดนี้เต็มเปี่ยวไปด้วยรังสีฆ่าฟัน ขณะที่พยุงตัวลุกขึ้นหากสังเกตุให้ดีจะพบว่าในมือของมันถือของสิ่งหนึ่งไว้ ของสิ่งนั้นเป็นผลึกแก้วเปล่งแสงสีแดงอ่อนออกมา ของสิ่งนั้นกลับเป็นผลึกจิตวิญญาณของบิดาที่ตกตายของมัน ผลึกจิตวิญญาณระดับ 9 ขั้นสูง มันก้าวเดินออกจากห้องของมันเป็นครั้งแรกในรอบเดือนมานี้ ร่างของมันค่อยๆโซซัดโซเซเดินไปยังห้องที่มันมักจะใช้เก็บตัวฝึกวิชา มันไม่สนใจสภาพรอบข้าง มันไม่สนใจว่าตัวตึกของมันจะมีฝุ่นเกรอะ มันไม่ตั้งคำถามกับตนเองว่าเหตุใดบริวารของมันจึงหนีหายไปหมด ในจิตใจของมันตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวคือการล้างแค้น


         ในขณะที่เป้าหมายแห่งการล้างแค้นของมันอย่างกาเล็ทกลับไม่ทุกข์ร้อนและรับรู้ว่ามีผู้คนผู้หนึ่งโกรธเกลียดตนเองถึงขั้นไม่อาจที่จะอยู่ร่วมโลก กาเล็ทกลับกำลังยืนมองบ้านเก่าของตนเองแต่ไกล นับตั้งแต่ที่กำลังเสริมมาถึงกาเล็ทและกำลังของของตนเองก็กลายเป็นคนที่อยู่ว่างไปโดยปริยายหลายวันที่ผ่านมากาเล็ทได้ตรวจดูให้แน่ใจแล้วว่าผู้อพจะถูกดูแลด้วยดีเมื่อหมดห่วงแล้วดังนั้นกาเล็ทจึงตัดสินใจที่จะกลับเมืองหลวงในวันนี้ ก่อนกลับเมืองหลวงกาเล็ทจึงได้ถือโอกาสมาแวะดูบ้านเก่าที่ตนเองเคยอยู่มาตลอดระยะเวลาหลายปีและจากไปเมื่อไม่นานมานี้สักครั้งหนึ่ง ข้างกายของกาเล็ทกลับมีหญิงสาวสองคนอยู่เคียงข้าง หนึ่งนั้นคือแชลเทียและอีกหนึ่งนั้นคือซิลเวียเจ้าหญิงแห่งโรฮานนั่นเอง นับตั้งแต่เอ่ยคำขออภัยแก่กาเล็ท ซิลเวียก็มักจะแวะมาหาเพื่อพูดคุยกับแชลเทียอยู่บ่อยๆทำให้หลายวันที่ผ่านมานี้ทั้งซิลเวียและแชลเทียสนิทสนมกันมากขึ้นไม่น้อย และแน่นอนตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้แชลเทียและซิลเวียก็มักจะออกไปเดินชมสำรวจทั่วทั้งเมืองรีเวล ไม่เพียงแต่เท่านั้นนางยังรบเร้ากาเล็ทให้พาออกไปท่องเที่ยวนอกเขตเมืองอีกด้วย

         "ไม่นึกเลยว่าข้าจะได้กลับมาเยือนมันรวดเร็วเช่นนี้" กาเล็ทเอ่ยอย่างหวนนึกเมื่องมองไปยังบ้านหลังเก่าของตนเองขณะที่อาศัยอยู่ที่เมืองรีเวลหลังนั้น

         "เจ้ากับท่านป้าเคยอาศัยอยู่ที่นี่หรือกาเล็ท" แชลเทียเอ่ยถามอย่างสงสัยใจพร้อมทั้งมองดูสำรวจบ้านหลังเล็กที่ดูซอมซ่อนั้น บ้านหลังนั้นบัดนี้ภายในนั้นว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่ ทั่วทั้งบ้านเต็มเปี่ยมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ มิหนำซ้ำผนังของบ้านหลายส่วนยังผุพังเป็นรูจนแสงจากด้านนอกสามารถเล็ดลอดเข้ามาในตัวบ้านได้

         "ใช่แล้ว นับตั้งแต่ที่ท่านพ่อจากไป ท่านแม่ก็เลี้ยงข้าอย่างอยากลำบากมา ณ ที่แห่งนี้ ท่านแม่มักจะยั่งเย็บเสื้อผ้าอยู่บริเวณนี้ ทุกๆอาทิตย์ข้าจะเข้าไปในเมืองรีเวลเพื่อไปรับผ้ามาเพื่อให้ท่านแม่ตัดเย็บเป็นเสื้อ พอท่านแม้ตัดเย็บจนเสร็จข้าก็จะนำพวกมันเข้าเมืองไปขายเพื่อแลกกับเงิน" กาเล็ทเอ่ยเล่าอย่างหวนนึกถึงอดีต

         "กาเล็ท ท่านพ่อของเจ้ามิใช่เคยเป็นขุนนางมาก่อนหรอกหรือ เหตุใด เหตุใดจึงมีชีวิตที่ลำบากถึงเพียงนี้" แชลเทียเอ่ยถามเสี่ยงสั่นเครือ

         กาเล็ทได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมทั้งกุมมือของแชลเทียไว้ "ชีวิตของผู้คนล้วนเป็นเช่นนี้ มีขึ้นก็ต้องมีลง ท่านพ่อเคยเป็นขุนนางก็จริงอยู่แต่ทรัพย์สินที่ท่านพ่อหลงเหลือไว้ก็มีไม่มากเท่าใด อีกทั้งตัวข้ายังเคยล้มป่วยลง ทำให้ท่านแม่ต้องลำบากไม่น้อย" กาเล็ทเอ่ยเล่าเรื่องราวของตนเองให้แก่ทั้งคู่ฟัง

         "ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าต้องอยู่อย่างลำบากเช่นนี้" แชลเทียเอ่ยด้วยความสะเทือนใจ

         แม้แต่ซิลเวียเองเมื่อได้ฟังเรื่องราวของกาเล็ทก็ถึงกับมีน้ำใสปรากฎขึ้นบนดวงตาคู่งามของนาง

         กาเล็ทที่สังเกตุเห็นได้ก็ยิ้มออกมาและเอ่ยขึ้น "ชีวิตคนก็มีขึ้นและมีลงดั่งเช่นที่ข้ากล่าวไปแล้ว ตอนนี้ข้ากับท่านแม่มิใช่สบายดีหายห่วงหรอกหรือ" หลายวันที่ผ่านมานี้กาเล็ทได้รับรู้ว่าซิลเวียนั้นไม่เพียงแต่มีรูปโฉมที่งดงามไม่แพ้แชลเทียเท่านั้นแต่จิตใจของนางนั้นเปรียบเสมือนเด็กที่บริสุทธิ ดังนั้นความรู้สึกที่มีต่อเจ้าหญิงของอาณาจักรผู้นี้ถึงดีขึ้นจากเมื่อก่อนอย่างก้าวกระโดด

         กล่าวจบกาเล็ทก็เดินเข้าไปยังบริเวณผนังของบ้านที่ชำรุดเสียหาย ครืน ครืน ครืน เสียงดังประหลาดดังขึ้นเมื่อกาเล็ททาบฝ่ามือของตนเองกับผนังของบ้านเก่าหลังนั้น เพียงไม่นานผนังบ้านทั้งหมดจากภายนอกก็ค่อยๆถูกดินที่ไม่ทราบว่าก่อตัวขึ้นจากที่ดินปกคลุม ผ่านไปไม่นานไม่เพียงแต่รูโหว่ที่ถูกซ่อมแซม ทั่วทั้งผนังของบ้านเสมือนว่าถูกก่อฉาบไปด้วยดินสีน้ำตาล 

         ซิลเวียและแชลเทียที่เห็นภาพที่เกิดขึ้นก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อย "กาเล็ท นี่มัน" แชลเทียถามออกมาอย่างสงสัยใจ 

         "การแปลงคุณสมบัติน่ะ เจ้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าการฝึกพลังนั้นจะต้องสร้างแกนจิตวิญญาณขึ้นมาก่อน ในคนหนึ่งคนเมื่อสามารถสร้างแก่นจิตวิญญาณได้สำเร็จก็จะกลายเป็นผู้ฝึกพลังและสามารถเข้าถึงพลังจิตวิญญาณได้ ขั้นต่อมาที่เหนือล้ำกว่านั้นก็คือการเข้ากันได้กับแต่ละธาตุ หากว่ามีความเข้ากันได้กับธาตุใดก็จะสามารถดึงความสามารถของธาตุนั้นมาผสมผสานได้ ที่เจ้าเห็นเมื่อครู่คือการแปลงคุณสมบัติของธาตุดิน  และนี่คือน้ำ" กาเล็ทกล่าวเอ่ยอธิบายพร้อมทั้งยกฝ่ามือขึ้น บนฝ่ามือของกาเล็ทก็ปรากฎก้อนมวลของน้ำขนาดเล็กขึ้น

         เห็นเช่นนั้นดวงตาของแชลเทียและซิลเวียก็แปล่งประกายตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด "อ่าข้ายังไม่ได้เรียนลึกถึงขั้นนั้น" แชลเทียเอ่ยอย่างอายๆ หากเทียบกับกาเล็ทตนเองนั้นจะนับเป็นอย่างไรได้ ระดับพลังของตนเองในตอนนี้นั้นยังอยู่เพียงระดับ 4 เท่านั้นเอง  "ที่สถาบันยังไม่ได้สอนถึงเรื่องนี้เลย" แชลเทียเอ่ย

         กาเล็ทเอ่ยยิ้มๆ "ที่สถาบันน่ะสอนเฉพาะพื้นฐาน ข้าเกรงว่าเรื่องพวกนี้คงไม่มีสอน" กาเล็ทเอ่ย หากให้เปรียบเทียบจากที่กาเล็ทได้ลองเข้าเรียนในสถาบันอยู่พักหนึ่ง ความรู้เกี่ยวกับพลังจิตวิญญาณที่มีสอนในสถาบันผู้ฝึกตนของโรฮานนั้นเป็นเป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน เช่นจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเข้าถึงพลังจิตวิญญาณ การดูดซัพพลังจิตวิญญาณ การเข้าสู่ห้วงสมาธิขั้นจิตว่างเปล่า  ความรู้พวกนี้ล้วนเป็นความรู้ระดับแรกเริ่มทั้งสิ้น จากการที่กาเล็ทสังเกตุดูต้องเป็นผู้ที่ศึกษาอยู่ในสถาบันเป็นเวลาหลายปีแล้วถึงจะเริ่มเข้าใจในเรื่องเหล่านี้  "นอกจากการแปลงคุณสมบัติแล้วยังมีเรื่องของการผสานธาตุ หากว่าจิตวิญญาณของคนผู้หนึ่งสามารถเข้ากันกับธาตุได้หลายธาตุ ก็สามารถผสมผสานพวกมันก่อเกิดให้เป็นธาตุใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม" กาเล็ทกล่าวพร้อมยกฝ่ามืออีกข้างขึ้น ประกายแปล๊บป๊าบสีฟ้าก็ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือของกาเล็ทพร้อมกับเสียงสั่นไหวของอากาศ

         "เจ้าสร้างได้แม้กระทั่งสายฟ้า!!" แชลเทียเอ่ยอย่างตกใจ

         "นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้มาจากท่านอาจารย์เทลเล่อ ซึ่งคือการผสานธาตุ ซึ่งข้าก็ยังไม่เชี่ยวชาญเท่าใดนัก" แม้ปากกาเล็ทจะกล่าวว่าตนเองยังไม่เชี่ยวชาญเท่าใด แต่ความเป็นจริงแล้วกาเล็ทกลับสามารถใช้มันได้ในการต่อสู้แล้ว

         "เอาเช่นนี้เป็นอย่างไรแชลเทีย เจ้าหาเวลามาอยู่กับข้าให้มากขึ้น ข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเอง" กาเล็ทเอ่ยเสนอแนะพร้อมทั้งเคลือบแฝงไปด้วยเจตนาบางอย่าง หากว่าแชลเทียยอมให้ตนเป็นผู้ฝึกสอนให้ย่อมหมายความว่าตนเองจะได้อยู่กับนางมากขึ้นกว่าเดิม

         "ท ท่านช่วยสอนข้าด้วยได้หรือไม่" ซิลเวียเอ่ยเสียงเบา

         "เหตุใดจะไม่ได้ซิลเวีย หากเขาไม่ยอมสอนให้ข้าจะรายงานกับท่านป้า เจ้าก็ให้เขาสอนพร้อมกับข้าเลยเป็นเช่นไร นับจากนี้พวกเราจะสนิทสนมกันให้มากไว้ เจ้าจะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยวเดียวดายอีก" แชลเทียเอ่ย ในขณะที่ซิลเวียยังคงมองไปที่กาเล็ทซึ่งยังไม่ได้ตอบคำอย่างคาดหวัง

         "ม ไม่เห็นต่องเอาท่านแม่มาขู่เลย ข้าเข้าใจแล้ว" กาเล็ทเอ่ย ไม่ทราบว่าตนเองจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีในสถาณการณ์เช่นนี้

         ซิลเวียซึ่งสังเกตุได้ว่าบรุษหนุ่มเบื้องหน้าของตนเองนั้นให้ความเคารพต่อมารดาของเขาเป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่ามารดาของเขาจะเป็นคนเช่นไร ใช่อ่อนโยนใจดีดั่งที่เพื่อนสาวของตนบอกเล่าหรือไม่ เมื่อคิดว่าอีกไม่นานตนเองก็จะได้ไปพบกับมารดาของเขาหัวใจของนางก็เต้นแรงหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา 
         





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×