ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #299 : เพราะต้องปกป้องจึงไร้ปราณี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.1K
      368
      27 ธ.ค. 61


    มิเกลซึ่งเป็นผู้ฝึกตนที่มีระดับพลังขั้นที่ 7 พยายามเร่งพลังของตนเองดึงรั้งเพื่อที่จะสลัดแขนของตนเองให้หลุดออกจากการคว้าจับของเด็กหนุ่มที่เบื้องหน้าอย่างสุดกำลังหากแต่ไม่ว่าตัวมันจะพยายามออกแรงเร่งพลังไปมากสักเพียงไร พลังที่มันทุ่มเทใช้ออกไปกลับเสมือนว่าถูกสลายให้เลือนหายไปเป็นอากาศธาตุ
    กาเล็ทหันไปหาโซเฟียซึ่งกำลังตัวสั่นเทาเพราะความหวาดกลัวที่จู่โจมใส่จิตใจ ที่นางหวาดกลัวหาใช่เพราะเกรงกลัวต่อมิเกลที่คุกคามเข้ามาใส่หากแต่ที่นางเกรงกลัวคือ นางนั้นเกรงกลัวว่าความสุขที่เสมือนกับอยู่ในความฝันของนางจะสลายหายไป นางเฝ้าหวาดหวั่นมาตลอดว่าเหตุการณ์เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้จะมาถึงเข้าสักวันหนึ่ง จะอย่างไรนางไม่สามารถที่จะปฎิเสธได้ว่านางเป็นสตรีที่ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องดังเช่นกับเซลิน่า ตามความจริงแล้วนางไม่มีสิทธิที่จะยืนอยู่เคียงข้างเขาผู้นั้นด้วยซ้ำไป นางตระหนักดีว่าตัวนางนั้นไม่คู่ควรกับเขาแต่เมื่อความสุขมาเยือนอยู่ตรงหน้าเช่นนี้มีผู้ใดจะไม่ยื่นมือออกไปคว้าไว้? ช่วงเวลาหลายเดือนที่นางได้อาศัยอยู่ร่วมในตระกูลบุสโซ่และการปฎิบัติของเขาต่อตัวนางนั้นทำให้นางเฝ้าหลอกตัวเองมาตลอดว่านางพบที่ซึ่งเป็นที่อยู่ของตนเองแล้ว จากนี้นางจะไม่จำเป็นต้องกลับไปกระทำในสิ่งที่ฝืนใจตนเองอย่างการขายเรือนร่างต่อผู้อื่นอีกทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับย้ำเตือนนางถึงความเป็นจริงอันโหดร้าย ความเป็นจริงที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ความเป็นจริงที่ว่าร่างกายของนางเคยผ่านมือของบรุษมาแล้วหลายผู้คน
    กาเล็ทซึ่งเห็นอาการของโซเฟียที่หน้าซีดตัวสั่นจนแทบจะล้มทรุดลงไปอยู่กับพื้นได้ทุกเมื่อก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก เวลานี้คือเวลาที่ตนเองต้องตัดสินใจ เพื่อสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้องไว้ให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ดังนั้นในยามนี้ตนเองไม่อาจที่จะมีจิตใจโอนอ่อนดังเช่นสตรีได้
    "โซเฟีย มีข้าอยู่ที่นี่ไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัว" กาเล็ทเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมั้งยื่นมือของตนเองอีกข้างหนึ่งของตนเองออกไปเพื่อสัมผัสตัวของโซเฟียซึ่งกำลังสั่นกลัวอยู่ "เซลิน่าพานางไปพักผ่อนที่ด้านในสักครู่เถอะ"
    เซลิน่าไดรับฟังเช่นนั้นก็ผงกศรีษะรับคำและประคองร่างของโซเฟียที่บัดนี้ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้กลับเข้าไปยังหอร้อยบุปผา โดยมีกลุ่มผู้คนภายในหอร้อยบุปผาที่รายล้อมเข้ามาช่วยเหลือประคับประคองอีกแรงหนึ่ง
    กาเล็ทที่เห็นว่าเซลิน่าและโซเฟียเดินหายเข้าไปยังส่วนชั้นในของหอร้อยบุปผาแล็วก็หันกลับมายังมิเกลซึ่งตนเองคว้าจับข้อมือของมันไว้แน่น กาเล็ทหลับตาลงคราหนึ่งจากนั้นเมื่อกาเล็ทลืมตาขึ้นมาอีกครั้งบรรยากาศรอบกายของกาเล็ทก็พลันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ แววตาของกาเล็ทที่จ้องมองไปยังมิเกลผันแปรเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
    มิเกลซึ่งสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงถึงกลับผงะนิ่งอึ้งไป ผู้ติดตามของมันกว่าห้าคนเองก็มีอาการไม่ต่างกัน ครั้นพอตั้งตัวได้สติขึ้นมา เหล่าผู้ติดตามของมิเกลกว่าห้าคนก็ชักอาวุธซึ่งเป็นดาบคู่ใจออกจากฝักที่แนบอยู่ข้างเอวอย่างพร้อมเพรียง "ป..ปล่อยท่านแม่ทัพ" น่าสังเวทสำหรับกับพวกมันที่อ่อนแอจนไม่สามารถแยกแยะได้ออกว่าบุคคลที่เบื้องหน้าของพวกมันในขณะนี้หาใช่คนที่ผู้มีระดับพลังเพียงระดับที่ 4 ถึงระดับที่ 5 อย่างพวกมันจะสามารถต่อกรต้านติดได้
    "หากพวกเจ้าขยับเคลื่อนไหวแม้เพียงสักก้าวเดียว ข้าจะฆ่าให้สิ้น" กาเล็ทเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบชวนให้ผู้รับฟังเข้าใจได้ทันทีว่าตนเองจะปฎิบัติอย่างที่ลั่นวาจาแน่นอน
    แม้ดาบจะถูกชักออกมาจากฝักหากแต่เหล่าผู้ติดตามของมิเกลกลับไม่กล้าที่จะขยับเคลื่อนไหวแม้เพียงสักก้าวเดียว
    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็พ่นลมหายใจออกมาคำหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันที่ปรากฎขึ้นยังมุมปาก กาเล็ทหันกลับมาจ้องมองไปยังมิเกลซึ่งบัดนี้ขวัญหนีดีฝ่อละล้าละลังไม่ทราบว่าตนเองจะต้องกระทำเช่นไรดี "หากจะให้บอกว่าข้าไม่รู้สึกอะไรต่อพวกมันก็คงไม่ถูกต้อง ถ้าจะให้กล่าวตามจริงแล้วข้ารู้สึกชิงชังพวกมันที่เคยแตะต้องนางนัก หากว่าพวกมันทั้งหลายสงบปากสงบคำอยู่อย่างเรียบๆร้อยๆไว้อาจบางทีข้าสามารถกระทำเป็นนิ่งเฉยไม่ถือสาหาความแต่หากว่ามีมันผู้ใดกล้าที่จะเสนอหน้าออกมาหรือเอ่ยกล่าวในสิ่งที่ไม่ควรจะเอ่ย ข้าจะฆ่าให้สิ้น" กาเล็ทเอ่ยวาจาซึ่งไม่ได้เจาะจงว่าเอ่ยกล่าวกับผู้ใดจบก็เว้นช่วงไปสักระยะหนึ่งจากนั้นจึงเปิดปากขึ้นเอ่ยกล่าวต่อ "ในเมื่อเจ้าแส่หาเรื่องเสนอหน้าออกมาก็ให้ข้าใช้เจ้าแทนคำพูดเพื่อแจ้งบอกต่อพวกมันเถอะว่าจะมีชะตากรรมเช่นไรหากว่ากล้าที่จะเอ่ยกล่าวในสิ่งที่ไม่ควรหรือเสนอหน้าออกมาให้ข้าพบเห็น" พวกมันที่กาเล็ทเอ่ยถึงนี้ย่อมหมายถึงเหล่าบรุษซึ่งเคยมีสัมพันธ์กับโซเฟียมาก่อน
    สิ้นคำเอ่ยกล่าวของกาเล็ท ก็เกิดพลังสภาวะพิเศษยกร่างของมิเกลให้ลอยสูงขึ้นจากพื้นจากนั้นก็ปรากฎม่านพลังโปร่งใส่ครอบคลุมร่างของมันไว้เพื่อกักขังมิเกลให้ติดอยู่ในม่านพลัง
    มิเกลพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต มันที่เป็นอิสระแล้วพยายามยกแขนและขาของตนเองกระแทกเข้าใส่ม่านพลังโปร่งแสง หากแต่ไม่ว่ามันจะพยายามเช่นไรกลับคล้ายเหมือนว่าตัวมันกำลังทุบเตะเข้าใส่หุบเขาที่หนักแน่น สุดท้ายมิเกลเสมือนว่าจะเปิดปากร้องขอพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่น่าสังเวชสำหรับกับมันที่เสียงของมันไม่อาจที่จะผ่านออกมาจากม่านพลังโปร่งแสงสู่เบื้องนอกได้
    ไม่นานภายในม่านพลังที่ซึ่งมิเกลถูกคุมขังไว้อยู่ก็ปรากฎแสงสว่างวูบจ้าขึ้นอยู่นานหลายวินาที ต้องขอบคุณที่ม่านพลังโปร่งใสที่กาเล็ทเป็นผู้สร้างขึ้นมาเพื่อล้อมกรอบกังขังมิเกลไว้ซึ่งสามารถปิดกั้นเสียงจากภายในไม่ให้เล็ดลอดออกมาได้ หาไม่แล้วทุกผู้คนภายในห้องโถงของหอร้อยบุปผาคงจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาของมิเกลซึ่งกำลังถูกเผาทั้งเป็นด้วยความรู้ยิ่งยวดอยู่ภายในม่านพลังแล้ว
    เปลวเพลิงที่ก่อเกิดขึ้นในม่านพลังนั้นร้อนแรงจนก่อให้เกิดแสงสว่างจ้าคงที่สาดกระจายไปทั่วภายในห้องโถงจนทำให้ผู้คนที่อยู่ภายในถึงกลับต้องยกมือของตนเองขึ้นมาปกป้องไว้แม้จะหลับตาลงแล้ว
    หลายสิบวินาทีผ่านไปแสงสว่างจ้าที่เปล่งออกมาจากม่านพลังก็ค่อยๆหลี่เล็กลงทีละน้อยสุดท้ายแล้วจึงหายวับไปส่งให้ภายในห้องโถงของหอร้อยบุปผากลับคืนสู่สภาวะปกติ
    เมื่อกาเล็ทคลายม่านพลังออก ร่างของมิเกลที่อยู่ภายในก็กลับกลายเป็นเพียงเศษเถ้าธุลีกองหนึ่งซึ่งหล่นล่วงลงสู่พื้นของหอร้อยบุปผา
    หากจะให้กล่าวแล้วการฆ่ามิเกลสำหรับกาเล็ทหาใช่เรื่องยากเย็นอันใดและหาได้จำเป็นต้องสิ้นเปลืองพลังมากมายถึงเพียงนี้ ที่กาเล็ทเลือกที่จะใช้ออกด้วยพลังที่เหนือล้ำในการสังหารมิเกลเช่นนี้ หนึ่งนั้นก็เพื่อที่จะแสดงออกถึงพลังอำนาจของตนเองโดยใช้การตายของมิเกลส่งเป็นข้อความไปถึงอีกหลายผู้คน
    เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับมิเกลแม่ทัพแห่งแดนใต้ของโรฮานแล้ว บรรยากาศภายในหอร้อยบุปผาถึงกลับเงียบกริบลง เหล่าผู้ติดตามของมิเกลทั้งห้าซึ่งกลับตัวสั่นอย่างไม่อยากจะควยคุมได้ ดาบในมือของพวกมันบางคนถึงกับล่วงหล่นลงสู่พื้นก่อให้เกิดเสียงทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น
    "กลับไปแจ้งบอกต่อครอบครัวของมันว่าข้ากาเล็ท บุสโซ่เป็นลงมือ อย่าได้ลืมแจ้งบอกว่ามันตายเพราะเหตุใด" กาเล็ทหันไปเอ่ยกล่าวกับผู้ติดตามทั้งห้าของมิเกลจากนั้นจึงหันกายหมายจะเดินเข้าสู่ส่วนในของหอร้อยบุปผาไปหากแต่กาเล็ทกลับสังเกตุเห็นว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งตกอยู่ที่พื้นเบื้องหน้า "พวกนางมิใช่บ่งบอกว่าต้องการมาหยิบจับเอาหนังสือเล่มหนึ่งหรอกหรือ? หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่โซเฟียทำตกไว้" กาเล็ทครุ่นคิดสงสัยใจกับตนเองพลางก้มลงหยิบเอาหนังสือที่ตกอยู่ขึ้นมาเปิดอ่านดูว่าที่แท้แล้วนี่เป็นหนังสืออะไรกันแน่
    เมื่อเปิดอ่านดูสีหน้าของกาเล็ทถึงกลับแปรเปลี่ยนไปด้วยความประหลาดใจ "พวกนางมาเพื่อเอาหนังสือเช่นนี้ไปทำอะไร?" กาเล็ทได้แต่พกพาความสงสัยใจนี้เดินเข้าสู่ส่วนในของหอร้อยบุปผาไปโดยไม่สงใจถึงสายตาของผู้คนที่ลอบมองมาที่ตนเอง
    กาเล็ทเปิดประตูเข้าไปยังห้องเซลิน่ากำลังนั่งปลอบโซเฟียอยู่ภายใน "เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นแล้วหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยถามไถ่ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงพร้อมทั้งเดินเข้าไปสังเกตุอาการของโซเฟียอย่างใกล้ชิด
    "ใยต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้ มีข้าอยู่จะไม่ปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้แน่นอน" กาเล็ทเอ่ยขณะที่เข้าไปนั่งโอบปลอบโซเฟียไว้อีกคนหนึ่งหากแต่โซเฟียกลับเบือนหน้าไปและขยับหลีกหนี
    "กาเล็ทท่านพี่โซเฟียไม่ได้เกรงกลัวว่าจะถูกทำร้าย ที่นางมีอาการเช่นนี้ เพราะกลัวว่า กลัวว่าเพราะสถานะของนางจะทำให้กาเล็ทต้องเสื่อมเสียขายหน้าต่อผู้คน" เซลิน่าอดทนไม่ได้สุดท้ายแล้วจึงเอ่ยบอกกล่าวถึงสิ่งที่โซเฟียหวาดหวั่นอย่างแท้จริงออกมา
    กาเล็ทได้รับฟังเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา "เรื่องนี้พวกเรามิใช่พูดคุยกันจบไปแล้วหรอกหรือ? อย่าว่าแต่ต่อจากนี้จะไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงอีก หากว่าพวกมันมีผู้ใดกล้าที่จะเสนอหน้าออกมาข้าจะฆ่าให้สิ้นไม่ให้เหลือแม้สักคนเดียว"
    โซเฟียได้รับฟังเช่นนั้นก็ส่ายศรีษะ พร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพลูออกมานางก็หันเข้าไปซบยังอกของกาเล็ท
    "ไม่อยากให้ฆ่าผู้คนก็ไม่ฆ่า ไม่ฆ่าแล้วพอใจหรือไม่ กลับบ้านของพวกเรากันเถอะ สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่สำหรับพวกเจ้าอีกต่อไป พวกเราจะไปจากสถานที่ซึ่งน่าชังนี้ ต่อจากนี้จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกดีหรือไม่?" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งใช้มือของตนเองลูบหลังเพื่อปลอบประโลมโซเฟียเสมือนปลอบเด็กหญิงที่กำลังร้องไห้ผู้หนึ่ง
    เห็นว่าน้ำเสียงและทีท่าของกาเล็ทไม่คล้ายเหมือนจะทอดทิ้งตนเองไปอย่างที่ตนเองนึกคิดหวาดกลัวอาการและท่าทีของโซเฟียก็ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ เอ่ยกล่าวปลอบประโลมกันอยู่นานสุดท้ายแล้วเมื่อเห็นว่าโซเฟียปาดเช็ดคราบน้ำตาออกจากดวงตาของตนเองแล้วกาเล็ทก็หยิบเอาหนังสือซึ่งตนเองเก็บได้จากพื้นเมื่อครู่ขึ้นมายื่นส่งให้แก่พวกนาง
    "นี่ใช่พวกเจ้าทำตกไว้หรือไม่" กาเล็ทเอ่ยถาม
    เหลือบแลเห็นว่ากาเล็ทส่งยื่นหนังสือเกี่ยวกับเพศศึกษาซึ่งภายในขีดเขียนไว้ไปด้วยรูปภาพท่วงท่าต่างๆของการร่วมสัมพันธ์รักระหว่างชายหญิงไว้ ทั้งโซเฟียกลับเซลิน่ากลับเกิดความรู้สึกเสมือนว่าตนเองถูกเปิดโปงจับได้ในเรื่องที่น่าอาย พวกนางต่างหน้าขึ้นสีเกิดความอับอายขึ้นอย่างสุดระงับ
    "พวกเจ้าทั้งสองจะเอาหนังสือพวกนี้ไปทำอะไร" กาเล็ทยังไม่วายที่จะเอ่ยถามต่อโดยหารู้ไม่ถึงความลำบากใจของภรรยาทั้งสอง
    เซลิน่าเห็นเช่นนั้นก็รีบยื่นมือออกไปดึงรั้งเอาสมุดหนังสือออกมาจากมือของกาเล็ทพร้อมกับเอ่ยคำ "ไม่บอกแก่ท่าน" ออกมา หรือจะให้พวกนางบ่งบอกออกไปว่านี่เป็นคำร้องขอจากซิลเวียและเบลล่า? พวกนางย่อมไม่สามารถที่จะบ่งบอกออกไปเช่นนั้นได้
    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาศรีษะ "ไม่บอกก็ไม่บอก" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมกับประคองโซเฟียให้ลุกขึ้นเพื่อเตรียมนำพาพวกนางออกจากหอร้อยบุปผาเพื่อกลับสู่ตระกูลบุสโซ่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×