ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #298 : ความกลัวที่มาถึง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.1K
      334
      27 ธ.ค. 61


    รถม้าเคลื่อนตัวมาถึงเขตของหมู่บ้านบุสโซ่และปราสาทบุสโซ่ตามลำดับได้อย่างราบรื่น แต่น่าแปลกใจสำหรับกับกาเล็ทเมื่อรถม้าเคลื่อนตัวมาถึงแล้วทั้งเซลิน่าและโซเฟียต่างแจ้งบอกว่าตนเองลืมที่จะกระทำเรื่องราวบางประการจึงต้องการที่จะขอกลับเข้าเมืองไปยังหอร้อยบุปผาอีกรอบหนึ่ง
    กาเล็ทได้รับฟังเช่นนั้นก็ครุ่นคิดอยู่พัก ไม่นานกาเล็ทก็ตัดสินใจที่จะเป็นผู้นำพาทั้งเซลิน่าและโวเฟียกลับเข้าสู่เมืองแบรี่ไปยังหอร้อยบุปผาด้วยตนเอง
    ทั้งเซลิน่าและโซเฟียได้ยินเช่นนั้นก็ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงผงกศรีษะรับคำ ที่พวกนางต้องการจะกลับไปยังหอร้อยบุปผาแท้จริงแล้วพวกนางหาได้ลืมกระทำเรื่องราวอัดใด หากแต่เป็นเพราะคำขอร้องของซิลเวียกับเบลล่าเอง ที่เซลิน่าและโซเฟียต้องการที่จะเดินทางกลับไปยังหอร้อยบุปผาก็เนื่องเพราะพวกนางจะกลับไปเอาหนังสือรูปเกี่ยวกับเพศศึกษาที่เอาไว้ใช้สอนสั่งเหล่าหญิงสาวซึ่งเป็นของตนเองที่เก็บไว้ยังหอร้อยบุปผาเพื่อที่จะนำมาแนะนำบอกกล่าวต่อเบลล่าและซิลเวียในเรื่องนี้
    กาเล็ทใช้สายตามองส่งซิลเวียและเบลล่าซึ่งกำลังอุ้มมิร่าอยู่กลับเข้าสู่ตระกูลบุสโซ่ไปจากนั้นจึงหันไปเอ่ยถามกับ เซลิน่าและโซเฟีย "เซลิน่ากับโซเฟียเกรงกลัวความสูงหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยถาม
    เซลิน่าและโซเฟียได้ยินเช่นนั้นก็งุนงงไม่เข้าใจถึงเรื่องราวอยู่ครู่หนึ่ง
    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นพลันเดินเข้าไปคว้ามือนวลเนียนของพวกนางไว้จากนั้นกาเล็ทก็เริ่มใช้พลังของตนเองส่งให้ร่างของตนเองและพวกนางทั้งสองค่อยๆลอยสูงขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ
    "อ๊ะ" ทั้งเซลิน่าและโซเฟียส่งเสียงอุทานออกมาคำหนึ่งด้วยความรู้สึกตกใจ
    "ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว มีข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน รับรองว่าไม่ปล่อยให้เจ้าทั้งสองพลัดตกลงไปแน่นอน" กาเล็ทเอ่ยคำพร้อมกับค่อยๆบังคับใช้พลังของตนเองส่งให้ร่างตนเองที่จับมือเซลิน่าและโซเฟียอยู่ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ
    "นี่แตกต่างกับการมองลงไปยังเบื้องล่างจากบนเรือเหาะอยู่บ้าง ท่านพี่โซเฟียคิดเหมือนข้าหรือไม่" เซลิน่าหันซ้ายแลขวาก้มมองลงไปยังเบื้องล่างอย่างตื่นเต้นสนุกสนาน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกสำหรับกับนางที่ได้มีโอกาสล่องลอยอยู่กลางอากาศเช่นนี้
    กาเล็ทซึ่งเห็นอาการและทีท่าของเซลิน่าพลันรู้สึกคลายใจลง หากแต่พอหันไปมองดูอีกข้างหนึ่งกลับพบว่าโซเฟียมีสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่กุมมือของนางให้แน่นขึ้นพร้อมกับเอ่ยคำ "ผ่อนคลายเถอะ หากว่าโซเฟียรู้สึกไม่ค่อยสบายข้าจะลดระดับความสูงลง"
    "โซเฟียไม่เป็นอะไร เพียงแต่เกิดความรู้สึกหวาดกลัวไม่คุ้นชินอยู่บ้าง" โซเฟียเอ่ย
    "หากหวาดกลัวก็ลองหลับตาลงสักครู่หนึ่ง รับรองว่าใช้เวลาเดินทางไม่นานก็จะไปถึงหอร้อยบุปผาในอึกใจ" กาเล็ทเอ่ยกล่าว เมื่อเห็นว่าโซเฟียหลับตาลงตามที่ตนเองแนะนำแล้วกาเล็ทก็เร่งความเร็วขึ้นเพื่อเดินทางเข้าสู่เมืองแบรี่อีกครั้งโดยมีจุดมุ่งหมายคือหอร้อยบุปผา
    ใช้เวลาเดินทางไม่นานกาเล็ทก็นำพาเซลิน่าและโซเฟียร่อนลงที่หน้าของหอร้อยบุปผาอย่างพอดิบพอดี
    "ท่านพี่ ถึงแล้ว รวดเร็วจริงๆ" เซลิน่าที่ไม่หวั่นเกรงต่อการเดินทางที่หวาดเสียวเอ่ยกล่าวขึ้น
    โซเฟียได้ยินเช่นนั้นก็ลืมตาขึ้น นางพบว่าบัดนี้ตนเองมาอยู่ที่หน้าของหอร้อยบุปผาแล้วดังที่เซลิน่าบอกจริงๆ
    เหล่านักบู๊ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันและดูแลประตูทางเข้าเหลือบแลเห็นว่าผู้มาถึงคือดยุคบุสโซ่ก็รีบเข้ามาคุกเข่าต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง "ยินดีต้อนรับท่านดยุค"
    กาเล็ทพยักหน้าพร้อมกับส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่งตามมารยาท
    "กาเล็ทไม่จำเป็นต้องเข้าไปให้เสียเวลา พวกข้าเข้าไปหยิบเอาข้าวของสักครู่เดียวก็จะกลับออกมาแล้ว" โซเฟียเอ่ยกล่าวบอก
    กาเล็ทได้รับฟังเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกประหลาดใจไม่น้อย "ไม่มีข้าวของให้ข้าช่วยหยิบจับยกถือหรือ?" กาเล็ทเอ่ยถาม
    โซเฟียส่ายศรีษะ "เป็นเพียงหนังสือเล่มสองเล่มเท่านั้นเซเฟียกับเซลิน่าสามารถจัดการเองได้" โซเฟียเอ่ย พวกนางย่อมไม่อยากที่จะให้ผู้เป็นสามีล่วงรู้ว่าสิ่งที่ทำให้ตนเองต้องกลับมายังหอร้องบุปผาตามคำร้องขอของซิลเวียและเบลล่าคือหนังสือภาพเกี่ยวกับเพศศึกษาที่เอาไว้สอนสั่งเหล่าสตรี จะอย่างไรสตรีก็มีความไม่สะดวกของสตรีอยู่
    กาเล็ทได้รับฟังเช่นนั้นก็ผงกศรีษะรับ
    เห็นว่ากาเล็ทยินยอมตามที่ตนเองร้องขอแล้วโซเฟียกับเซลิน่าก็หันกายเดินเข้าสู่หอร้อยบุปผาไป
    กาเล็ทเหลือบมองดูเหล่านักบู๊ประจำหอร้อยบุปผาที่ยังคงคุกเข่าก้มหน้าแน่นิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้าของตนเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา "พวกเจ้าคุกเข่าอยู่ทำอะไร กลับไปทำหน้าที่เถอะ เอ้านี่" กาเล็ทล้วงเมือเข้าไปในอกเสื้อเพื่อหยิบเอาเหรียญทองออกมาสี่ถึงห้าเหรียญพร้อมทั้งส่งมอบให้แก่เหล่านักบู๊ทีละคน "กลับไปทำหน้าที่ของพวกเจ้ากันได้แล้ว อืมติดตามพวกนางเข้าไปด้านในด้วย อาจบางทีมีสิ่งของที่ต้องออกเรี่ยวแรงยกจับจะได้ช่วยเหลือพวกนางได้อย่างทันท่วงที"
    "ขอรับ" เหล่านักบู๊รับคำ "เชิญท่านดยุคมานั่งรอท่านหญิงทั้งสองทางด้านนี้จะดีกว่าขอรับ" หัวหน้าของเหล่านักบู๊ที่รับเงินทองจากกาเล็ทไปยังไม่ลืมที่จะเอ่ยประจบเพื่อหวังจะเอาใจดยุคแห่งตระกูลบุสโซ่
    กาเล็ทได้แต่ส่ายศรีษะพร้อมทั้งโบกไม้โบกมือในเชิงปฎิเสธ
    เหล่านักบู๊เห็นเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยหากแต่พวกมันยังคงรีบแยกย้ายไปปฎิบัติหน้าที่
    กาเล็ทซึ่งยืนรอคอยอยู่หน้าหอร้อยบุปผากว่าสองสามนาทีกลับพบกลุ่มของบรุษซึ่งแต่ชุดเครื่องแบบดูคล้ายกับทหารชายแดนของทางการ คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าดูไปแล้วมีท่าทางหยิ่งทรนงถือดี ก่อนที่มันจะเดินผ่านกาเล็ทเข้าสู่ประตูของหอร้อยบุปผาไปพร้อมกับผู้ติดตามมันยังลอบสังเกตุเหลือบมองดูกาเล็ทอยู่วูบหนึ่ง
    กาเล็ทลอบส่ายศรีษะพร้อมกับครุ่นคิดกับตนเอง "อืม ไม่ว่าแห่งหนใดล้วนคราคลั่งไปด้วยผู้คนที่ชอบอวดโอ่"
    กลุ่มของบรุษที่พึ่งจะเดินผ่านกาเล็ทเข้าไปยังด้านในหอร้อยบุปผานี้เป็นแม่ทัพทหารและผู้ติดตามจากชายแดนทางใต้ของโรฮานเอง เนื่องจากสถานการณ์ทางชายแดนในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดหน้าเป็นห่วง จากสถานการณ์เมื่อก่อนที่เคยตรึงเครียดจ้องจะฮุบเอาดินแดนของกันและกันอยู่ตลอดเวลา บัดนี้ยามที่โรฮานรุ่งโรจน์ทยานขึ้นฟ้าด้วยการปรากฎตัวของจักรพรรดิทมิฬซึ่งแข็งแกร่งขนาดที่สังหารจักรพรรดิแดงและสามารถบุกยึดไอออนได้ด้วยระยะเวลาไม่นานแล้วยังจะมีแว่นแคว้นใดกล้าที่จะลองดีท้าทายอำนาจของจักรพรรดิทมิฬผู้นี้อีก? ดังนั้นด้วยเหตุผลนี้แว่นแคว้นโดยรอบต่างพากันส่งทูฒเข้ามาติดต่อเจริญสัมพันธไมตรีกับโรฮานกันอย่างถ้วนหน้า พร้อมกันนั้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงๆ แว่นแคว้นที่รายล้อมโรฮานอยู่ต่างพากันถอนกำลังทหารออกจากชายแดนอีกทั้งยังอนุญาติให้ผู้คนจากโรฮานผ่านเข้าออกไปมาได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ทำให้กำลังทหารของโรฮานที่อยู่ตามชายแดนไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังรักษาดินแดนให้มากความอีก
    เมื่อสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังลดน้อยลง บุคคลากรจากชายแดนก็ทยอยถูกเรียกตัวให้กลับเข้าสู่เมืองหลวงกันอย่างต่อเนื่อง หัวหน้าของกลุ่มบรุษเมื่อครู่นั้นย่อมเป็นแม่ทัพนายหนึ่งซึ่งทำหน้าที่คอยควบคุมดูแลกองทหารประจำชายแดนทางใต้ของโรฮานจากตระกูล วอมบริด หากว่าเรื่องราวทั้งหมดจบแต่เพียงนี้วันนี้คงไม่เกิดเรื่องอันใด หากแต่โชคชะตาบางครั้งก็เล่นตลกกับผู้คนนัก ด้วยหัวหน้าของกลุ่มทหารซึ่งเป็นทายาทคนโตของตระกูลวอมบริดกลับเป็นหนึ่งในบรุษที่มาเรียเคยปรนิบัติรับใช้เมื่อหลายปีก่อน และสาเหตุที่มันเดินทางมาในวันนี้ก็เพื่อที่จะเจาะจงใช้บริการของมาเรียเป็นพิเศษ
    เมื่อความบังเอิญหลายอย่างประกอบเข้าด้วยกันอย่างเหมาะเจาะก็สามารถที่จะเกิดเป็นคราวซวยอย่างใหญ่หลวงของผู้คนขึ้นได้
    โซเฟียและเซลิน่าที่พึ่งจะหยิบเอาหนังสือซึ่งต้องการจากห้องหับที่เคยเป็นของตนเองและกำลังเดินกลับออกมาเพื่อที่จะออกจากหอร้อยบุปผากลับต้องพบเจอเผชิญหน้าเข้ากับกลุ่มทหารชายแดนจากตระกูลวอมบริด
    "มาเรีย?" เสียงเอ่ยเรียกหาดังขึ้น
    เมื่อโซเฟียเหลียวมองไปตามเสียงเรียกหาตามชื่อเก่าของตนเองหัวใจของนางก็ถึงกลับตกวูบลง
    เห็นถึงปฎิกริยาท่าทีของสตรีที่เบื้องหน้าซึ่งตอบสนองตามเสียงเรียกหาของตนเอง มิเกลก็เกิดความมั่นใจขึ้นว่าสตรีที่เบื้องหน้าของตนเองนี้ต้องเป็นมาเรียซึ่งเคยปรนิบัติรับใช้ตนเองเมื่อหลายปีก่อนแน่นอน แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางจะเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยจากเมื่อหลายปีก่อนมันยังคงมีความรู้สึกมั่นใจว่าตนเองเข้าใจไม่ผิดแน่นอน "เป็นเจ้าจริงๆมาเรีย ทราบหรือไม่ว่ายามที่ข้าอยู่ที่ชายแดนข้าไม่เคยลืมเจ้าเลยแม้สักคืนหนึ่ง" มันเอ่ยกล่าวจากนั้นจึงใช้สายตาพินิจวิเคราะห์ดูสตรีที่เบื้องหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง "เจ้าเติบโตงดงามขึ้นไม่น้อยจากเมื่อเราเจอกันครั้งก่อน อื่มม" สายตาของมิเกลจ้องมองไปยังหน้าอกที่ตูมตั้งของโซเฟียอย่างไม่ปิดบังแสดงออกถึงความต้องการของตนเองออกมาอย่างแจ่มชัด
    "เกรงว่าคุณชายคงจดจำผู้คนผิดแล้ว." โซเฟียก้มหน้าลงเอ่ยกล่าวพร้อมกับบีบมือของเซลิน่าแน่นจากนั้นจึงหมายจะรีบเดินเลี่ยงจากมาแต่มีหรือที่มิเกลจะปล่อยให้สตรีผู้นี้ซึ่งตนเองมั่นใจว่าเป็นมาเรียแน่นอนหลีกหนีหลบเลี่ยงไปได้ในวันนี้
    แต่ก่อนที่มันจะทันได้กระทำสิ่งใดต่อ เหล่านักบู๊ของหอร้อยบุปผาก็เร่งรีบเข้ามาเอ่ยห้ามทัดทานไว้ "คุณชาย ท่านหญิงทั้งสองนี้ไม่สามารถล่วงเกิน" หนึ่งในเหล่านักบู๊บอกกล่าวทัดทานเอ่ยเตือนออกมา
    "ท่านหญิง? แม้ว่าข่าวคราวที่ตนเองได้ยินมาว่าหลายปีผ่านไปมาเรียได้ขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ยอดหญิงงามแห่งหอร้อยบุปผาแล้วแต่จะอย่างไรนางยังคงเป็นนางคณิกาอยู่ข้อนี้ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน ไฉนยามนี้กลับกลายเป็นท่านหญิงไปแล้ว?" แม้จะยังไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจกับเรื่องราวได้หากแต่มิเกลกลับเอ่ยปากตวาดเข้าใส่เหล่านักบู๊ที่เข้ามาเอ่ยทัดทานบอกเตือนแก่ตนเอง "ใสหัวไป"
    ถึงแม้ว่าจะถูกเอ่ยตวาดเข้าใส่หากแต่เหล่านักบู๊แห่งหอร้อยบุปผายังคงปฎิเสธที่จะหลีกทางให้แก่มิเกล เพราะพวกมันต่างทราบดีว่าที่เบื้องหลังของโซเฟียและเซลิน่าซึ่งบัดนี้กลับกลายเป็นท่านหญิงแห่งตระกูลบุสโซ่ไปแล้วคือผู้ใด
    เห็นว่าเหล่านักบู๊แห่งหอร้อยบุปผาปฎิเสธที่จะหลีกทางให้แก่ตนเอง มิเกลก็หันไปให้สัญญาณแก่กลุ่มผู้ติดตามของมัน จากนั้นกลุ่มผู้ติดตามของมันก็ก้าวเท้าออกมาและต่างพากันคว้าจับร่างของเหล่านักบู๊แห่งหอร้อยบุปผาเหวี่ยงโยนให้กระเด็นพ้นจากเบื้องหน้าของผู้เป็นนายออกไปยังประตูทางเข้าของหอร้อยบุปผา
    ต่อให้เป็นเหล่านักบู๊แห่งหอร้อยบุปผาซึ่งต่างเป็นชายฉกรรจ์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่แต่มีหรือที่พวกมันจะต่อต้านทหารจากชายแดนซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนพลังจิตวิญญาณได้ เพียงชั่วอึกใจพวกมันทั้งห้าต่างถูกจับโยนออกจากหอร้อยบุปผาไปอย่างน่าเวทนา
    เมื่อไม่มีเหล่านักบู๊คอยกีดกันกั้นขวางแล้ว มิเกลก็เหลือบมองหันสายตายของตนเองกลับไปยังโซเฟียที่กำลังร่างอ่อนแรงหัวใจตกวูบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ได้พบเจออีกครั้ง "มาเรียของข้ากลับกลายเป็นท่านหญิงสูงศักดิ์ไปเสียแล้ว? เจ้าจดจำไม่ได้หรือว่าเป็นผู้ใดที่ประมูลพรหมจร.." มิเกลเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งยื่นมือของตนเองออกไปหมายจะคว้าจับร่างของโซเฟียซึ่งหวาดกลัวจนเซก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว หากแต่ก่อนที่มือของมันจะได้สัมผัสยังร่างของโซเฟียก็มีมือที่แข็งแรงข้างหนึ่งมาหยุดยั้งคว้าจับข้อมือของมันไว้
    มิเกลซึ่งเกิดความรู้สึกตื่นตัวระคนแปลกประหลาดใจเหลียมมองให้ความสนใจยังผู้ที่เป็นเจ้าของมือซึ่งหยุดยั้งตนเองไว้ "หืมม มันผู้นี้มิใช่ผู้ที่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหอร้อยบุปผาเมื่อครู่หรอกหรือ? ไม่ทราบว่ามันเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไฉนเรากลับไม่รู้ตัว?" มิเกลครุ่นคิดสงสัย


    ปล. มาเรียคือชื่อเดิมของโซเฟียก่อนจะได้มาเจอกับกาเล็ทนะครับเผื่อใครยังจำไม่ได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×