ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #293 : ความใจกล้าที่เพิ่มพูน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.22K
      347
      24 ธ.ค. 61


    หลังจากที่บาทหลวงเจมินี่ติดตามเจฟไปยังที่พักซึ่งจัดเตรียมไว้ให้แล้ว ตัวมันก็ขอตัวเดินทางไปยังที่ซึ่งเอกีย์ถูกจับตัวคุมขังอยู่ ถึงแม้ว่าผู้เป็นนายของตนเองเอ่ยบอกกล่าวว่า ตั้งแต่นี้ไปบาทหลวงเจมินี่ผู้นี้ถือว่าเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลบุสโซ่ หากแต่เจฟผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ขุนพลสำคัญของตระกูลบุสโซ่ยังคงรู้สึกไม่วางใจ เจฟจึงเลือกที่จะติดตามบาทหลวงเจมินี่ไปอย่างห่างๆเพื่อเฝ้าระวัง
    เพียงก้าวเดินเข้ามาใกล้เรือเหาะซึ่งถูกใช้เป็นห้องคุมขังชั่วคราวของเอกีย์ก็สามารถได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจากด้านในดังแว่วมาเข้าที่ข้างหู มาร์ตินผู้ซึ่งเป็นคนที่ต้องคอยเฝ้าระวังจับตาดูเชลยศึกจากทวีปกลางผู้นี้ถึงกลับลอบนึกคิดสังสัยใจกับตนเองว่ามันผู้นี้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรืออย่างไรถึงได้เปิดปากส่งเสียงร่ำร้องด่าทออยู่ตลอดเวลาได้เช่นนี้
    เสียประตูที่เปิดออกดึงความสนใจของมาร์ตินไปยังผู้คนที่ก้าวเดินผ่านเข้ามา เมื่อเห็นว่าผู้มาคือบาทหลวงเจมินี่ซึ่งบนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม มาร์ตินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัยใจ ไม่นานความสงสัยใจของมาร์ตินก็ได้รับคำตอบ
    เจฟที่ติดตามบาทหลวงเจมินี่มาส่งสัญญาณให้แก่มาร์ตินให้คลายใจลง
    เห็นใบหน้าที่ยิ้มระรื่นของบาทหลวงเจมินี่ซึ่งก้าวเดินเข้ามาภายในห้องซึ่งถูกใช้เป็นห้องขัง อีกทั้งเสื้อผ้าการแต่งกายและสภาพโดยรวมของบาทหลวงเจมินี่กลับไม่คล้ายเหมือนกับตนเองในขณะนี้ซึ่งรุ่งริ่ง รุงลัง น่าเวทนาทำให้เอกีย์จ้องมองเขม็งไปยังบาทหลวงเจมินี่ที่ก้าวเข้ามา "เจ้าคนทรยศ" ท้ายที่สุดเอกีย์ก็อดทนไม่ได้พ่นคำกร่นด่าใส่อดีตบาทหลวงแห่งโบทจรัสแสงแห่งทวีปกลาง
    ได้รับฟังว่าอีกฝั่งเอ่ยเรียกตนว่าคนทรยศบาทหลวงเจมินี่กลับไม่ได้รู้สึกเจ็บแค้นแต่อย่างไร นั่นเป็นเพราะตัวมันไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นผู้ทรยศอย่างที่ถูกด่าทอ "คนทรยศ? หมายถึงข้าหรือ" บาทหลวงเจมินี่ยังคงปรากฎรอยยิ้มบนใบหน้าเอ่ยยอกย้อนถามกลับใส่เอกีย์ซึ่งจ้องเขม็งมองมาที่ตนเองอยู่
    "คนทรยศเช่นเจ้าจะต้องไม่ตายดี ท่านจักรพรรดิจรัสแสงจะต้องไม่ปลดปล่อยเจ้า เจ้าและทวีปตะวันออกจะต้อง...." เอกีย์เอ่ยกล่าวยังไม่ทันจบประโยค ร่างกายของมันก็ถูกพลังขุมหนึ่งกดดันเข้าใส่จนยากที่จะเอ่ยกล่าววาจาได้
    สัมผัสได้ถึงพลังระดับสูงที่บาทหลวงเจมินี่ใช้ออก ทั้งเจฟและมาร์ตินก็ตื่นตัวขึ้น แม้จะสัมผัสได้ว่าตนเองถูกสายตาอีกสองคู่คอยจ้องมองจับตาดูอยู่หากแต่บาทหลวงเจมินี่กลับไม่ใส่ใจ มันยกมือข้างหนึ่งของมันขึ้นและใช้นิ้วชี้ของตนเองแตะไปที่ริมฝีปาก ขณะที่เดินเข้าหาเอกีย์ "เอิ่มคนทรยศหรือ หากจะบอกล่าวว่านี่เป็นคำด่าที่ไม่ถูกต้องก็หาใช่เสียทั้งหมด ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาเป็นข้า เป็นข้าที่โง่เขลาทรยศต่อความไว้วางใจของพระองค์ที่มอบให้ ข้ากลับหลงผิดไปรับใช้มารร้ายซึ่งเอ่ยอ้างนามของพระผู้เป็นซึ่งเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างไม่น่าจะให้อภัย แต่ไม่อีกแล้ว ไม่แล้ว ต่อจากนี้ข้าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดเพื่อแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่ตนเองได้กระทำขึ้น" เอ่ยกล่าวมาถึงจุดนี้บาทหลวงเจมินี่ก็กระทำเสมือนว่านึกคิดสิ่งใดออก "อ้อ หากคำทรยศที่เจ้าเอ่ยด่าทอเมื่อสักครู่หมายถึงทรยศต่อทวีป.." เอ่ยถึงจุดนี้บาทหลวงเจมินี่ก็เผยรอยยิ้มประหลาดออกมาบนใบหน้า "เกรงว่าผู้ซึ่งทรยศต่อทวีปกลางคงไม่ใช่ข้าหากแต่เป็นเจ้าเอกีย์"
    เอกีย์ได้รับฟังเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกงุนงงไม่เข้าใจขึ้นอย่างสุดที่จะระงับได้ ตัวมันที่ยอมตายถวายชีวิตให้แก่จักรพรรดิจรัสแสงจะกลับกลายเป็นคนทรยศได้เช่นไร? มันเลือกที่จะยอมหักไม่ยอมงอเช่นนี้ยังจะมีผู้ใดกล้าใส่ความด่าว่ามันเป็นผู้ทรยศได้อีก?
    เห็นถึงอาการของเอกีย์ที่หน้าแดงจ้องเขม็งมาที่ตนเองบาทหลวงเจมินี่ก็คลี่คลายพลังที่กดดันเข้าใส่เอกีย์ของตนเองออกเล็กน้อย
    ทันทีที่พลังที่กดดันตนเองอยู่ถูกคลี่คลายออก เอกีย์ก็เปิดปากด่าทอขึ้นมาอีก "คนทรยศคือเจ้า ท่านจักรพรรดิจรัสแสงจะต้องสับเจ้าออกเป็นหมื่นชิ้น เพียงคิดถึงว่าท่านจักรพรรดิจรัสแสงจะจัดการกับคนทรยศเช่นเจ้าอย่างไรข้าก็สามารถที่จะนอนตายตาหลับแล้ว"
    "ฮ่า ฮ่า เกรงว่าคนต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ที่ข้าผู้เป็นบาทหลวงมาในวันนี้ก็เพื่อที่จะมาบอกกล่าวเอ่ยลากับเจ้าอีกีย์" เห็นว่าเอกีย์เงียบปากไปพร้อมกับแสดงออกถึงสีหน้าที่ไม่เข้าใจออกมาบาทหลวงเจมินี่ก็เอ่ยกล่าวต่อ "อีกไม่นานข้าจะเดินทางกลับสู่ทวีปกลางแล้ว"
    บาทหลวงเจมินี่เอ่ยกล่าวยังไม่ทันจบเอกีย์ก็พ่นคำกร่นด่าออกมาใส่ "บัดซบ เจ้าแพร่งพรายความลับของพวกเราจนทำลายแผนการที่ท่านจักรพรรดิจรัสแสงวางไว้พังป่นปี้ไม่เป็นชิ้นดีเช่นนี้แล้วยังจะมีหน้าเดินทางกลับสู่ทวีปกลางอีก ดูว่าท่านจักรพรรดิจรัสแสงจะจัดการกับเจ้าเช่นไร"
    ได้ยินเช่นนั้นบาทหลวงเจมินี่กลับเปิดปากหัวเราะฮ่าๆออกมาพร้อมทั้งเดินเข้าไปตบที่บ่าของเอกีย์ซึ่งถูกจับมัดพันธนาการอยู่ "เป็นข้าหรือที่แพร่งพรายความลับ เจ้าผิดแล้วเอกีย์ เป็นเจ้าต่างหากซึ่งถูกศัตรูจับกุมขุมขังไว้สุดท้ายแล้วเมื่อถูกทรมาณเค้นถามจึงได้แพร่งพรายความลับทั้งหมดออกมา"
    เอกีย์ซึ่งได้ยินคำเอ่ยกล่าวของบาทหลวงเจมินี่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ เมื่อมันสามารถตีความหมายในวาจาของบาทหลวงเจมินี่ออก มันที่กำลังจะเปิดปากด่าทออีกเที่ยวใหญ่กลับถูกสันมือของบาทหลวงเจมินี่ฟาดหวดเข้าใส่จนสลบเหมือดไป "พวกท่านทั้งสองไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงต่อข้าถึงเพียงนั้น เราท่านล้วนถือว่าเป็นผู้รับใช้ต่อท่านผู้ถูกเลือกเช่นเดียวกัน รับรองว่าต่อจากนี้ต่อไปข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับท่านผู้ถูกเลือกแน่นอน"
    "ท่านผู้ถูกเลือก? ท่านบาทหลวงหมายถึงนายน้อยกาเล็ทของพวกข้าหรือ" เจฟเอ่ยถามขึ้น
    "ถูกแล้วเป็นท่านจักรพรรดิทมิฬกาเล็ท บุสโซ่ ที่ข้าหมายถึงไม่แปลกปลอม" บาทหลวงเจมินี่ผงกศรีษะรับ

    ภายในรถม้าคันใหญ่ซึ่งกำลังถูกลากจูงโดยหมาป่าขนแดงถึงสองตัว "สัตว์อสูรเหล่านี้นับว่ามีกำลังวังชากว่าม้าหลายเท่านั้น ข้านั้นคิดไม่ผิดจริงๆที่นำพวกมันมาใช้ต่างม้า"
    "จะไม่เป็นไรแน่หรือลูก" นีน่าเอ่ยกล่าวถามออกมาอย่างหวั่นใจ
    "ขอให้ท่านแม่วางใจ หากว่าพวกเราเลี้ยงดูและฝึกสอนมันอย่างถูกวิธีแล้วจะไม่เกิดปัญหาใดๆตามมาแน่นอน อย่าว่าแต่เรายังมีมิร่าน้อยที่สามารถสื่อสารสั่งกับพวกมันได้" กาเล็ทเอ่ยกล่าว
    นีน่าได้รับฟังเช่นนั้นก็ก้มลงมองมิร่าซึ่งกำลังนอนหลับขดตัวอยู่ในวงแขนของตนเอง "กล่าวถึงมิร่าน้อยแล้ว แม่สังเกตุเห็นว่าที่ปีกข้างหนึ่งของมิร่าน้อยเกิดบาดแผลขึ้น .."
    นีน่าเอ่ยถามยังไม่ทันจบประโยคกาเล็ทก็หัวเราะฮ่าๆยกมือขึ้นเกาศรีษะ "เรื่องนี้เอง เรื่องนี้เอง เพียงแผลเล็กน้อยครับท่านแม่ เพียงแผลเล็กน้อย ขอเพียงนางหลับไหลพักผ่อนสักตื่นหนึ่งร่างกายของนางก็จะรักษาเยียวยาฟื้นฟูตัวเองครับท่านแม่"
    "อย่างนั้นหรือลูก ว่าแต่มิร่าน้อยไปโดนอะไรมาหรือกาเล็ท" นีน่ายังคงเอ่ยถาม
    "ฮ่า ฮ่า อุบัติเหตุในการฝึกครับท่านแม่" กาเล็ทยังคงเกาศรีษะหัวเราะฮ่าๆออกมาในขณะที่เอ่ยตอบผู้เป็นมารดา กริยาท่าทางซึ่งกาเล็ทแสดงออกมาทั้งหมดก็เพื่อที่จะกลบเกลื่อนไม่ให้ผู้เป็นมารดาสังเกตุออกว่าตนเองกำลังโกหกโป้ปดอยู่ หรือจะให้ตนเองบอกออกไปตามความจริงว่ามิร่าน้อยได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ หากบอกกล่าวออกไปเช่นนี้ผู้เป็นมารดาของตนเองมิใช่ว่าจะแตกตื่นตกใจจนวิตกกังวลอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว? โดยหารู้ไม่ว่าการหัวเราะกลบเกลื่อนเช่นนี้ของตนเองแม้แต่เซลิน่าและโซเฟียซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างยังสามารถที่จะมองออกได้ว่าตนเองกำลังโกหกโป้ปดอยู่
    "กาเล็ทเองก็อย่าได้เข้มงวดกับนางจนเกินไปนักสิลูก มิร่าน่ะถึงแม้จะเป็นสัตว์อสูรแต่ก็ไม่แตกต่างอะไรกับเด็กเล็กหรอกนะลูก" นีน่าเอ่ยกล่าว
    "ครับ ท่านแม่" กาเล็ทเอ่ยขานรับพร้อมกับเผยรอยยิ้มเจื่อนๆออกมาอย่างรู้สึกผิด
    ใช้เวลาไม่นานรถม้าที่มีนีน่า เซลิน่า โซเฟียและกาเล็ทโดยสารอยู่ก็เดินทางกลับมาถึงปราสาทบุสโซ่
    "กาเล็ทก็ไปพักผ่อนเถอะลูก พึ่งเดินทางไกลกลับมาทั้งยังต้องออกไปช่วยแม่แบบนี้อีกคงจะเหนื่อยแย่แล้ว ทางนี้แม่จะดูแลมิร่าน้อยเอง ไม่ได้พบกับตัวน้อยหลายวันให้แม่ได้นอนกอดสักคืนคงจะหายคิดถึงขึ้นมาบ้าง" นีน่าซึ่งลงมาจากรถม้าแล้วเอ่ยกล่าวกับกาเล็ท
    "ครับท่านแม่" กาเล็ทเอ่ยกล่าวขานรับการตัดสินใจของผู้เป็นมารดาซึ่งตรงกับความต้องการของตนเอง ใช้สายตามองส่งผู้เป็นมารดาเดินจากไปได้ไม่นานเมื่อเหลืออยู่แต่เพียงตนเองกับเซลิน่าและโซเฟียกาเล็ทก็ยกมือของตนเองขึ้นเพื่อโอบเอวของพวกนางไว้
    "ก..กาเล็ทวันนี้เซลิน่าคงไม่สะดวกที่จะรับใช้กาเล็ทแล้ว ก เกรงว่าวันนี้เซลิน่าคงต้องขอตัวก่อน" อยู่ๆเซลิน่าก็เอ่ยกล่าวขึ้น ในน้ำเสียงของนางกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดหวังหดหู่อยู่บ้าง
    กาเล็ทได้รับฟังเช่นนั้นก็ได้แต่เกิดความรู้สึกมึนงงไม่เข้าใจขึ้น เมื่อหลายชั่วโมงก่อนนางมิใช่เพิ่งจะผงกศรีษะตอบรับคำขอของตนเองหรอกหรือ ไฉนยามนี้กลับปฎิเสธแล้ว? หรือว่าคืนนี้ความสุขที่ตนเองคาดหวังจะได้รับจะต้องหลุดลอยไปแล้ว? กาเล็ทได้แต่หันมองตามเงาหลังของเซลิน่าที่วิ่งกลับเข้าปราสาทบุสโซ่ตามหลังผู้เป็นมารดาไปอย่างไม่เข้าใจ
    "ขอกาเล็ทอย่าได้เข้าใจผิด ในบางครั้งสตรีอย่างพวกเราก็มีเวลาที่ไม่สะดวกอยู่บ้างในวันนี้เซลิน่าเกิดความไม่สะดวกขึ้นกับร่างกายอย่างกระทันหันจึงไม่สามารถที่จะรับใช้กาเล็ทได้อย่างใจนึก" โซเฟียเอ่ยกล่าว คำว่าไม่สะดวกซึ่งนางหมายถึงย่อมหมายถึงช่วงรอบเดือนของสตรี
    กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็ร้องอ้อออกมาคำหนึ่งหากแต่ยังไม่เข้าใจถึงความหมายคำ "ไม่สะดวก" ที่โซเฟียเอ่ยกล่าวถึง
    "ซ..โซเฟียคงไม่ ไม่สะดวกไปอีกผู้หนึ่งกระมัง?" กาเล็ทเอ่ยถามอย่างหวาดหวั่น
    โซเฟียได้รับฟังคำเอ่ยถามเช่นนั้นก็ได้แต่แสดงทีท่าเขินอายออกมา "คืนนี้โซเฟียจะ จะทำหน้าที่รับใช้ปรณิบัตกาเล็ทเอง"
    ได้ยินเช่นนั้นหัวใจของกาเล็ทก็พองโตอย่างลิงโลดพร้อมกับความลิงโลดยินดีซึ่งพุ่งทะยานขึ้นกาเล็ทก็เลื่อนมือของตนเองลงต่ำไปลูบคลำยังสะโพกของโซเฟียคราหนึ่งจากนั้นมือของกาเล็ทพลันกำเข้าบีบคั้นใส่หนันเนื้อที่นุ่มนิ่มนั้น ในจิตใจก็พลันครุ่นคิด "ไม่ทราบว่าเราใจกล้าหน้าด้านขึ้นมาถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร อืมอาจบางทีเรื่องเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนกับการฝึกฝนวิชาและความรู้เมื่อมีการฝึกฝนและใช้ออกบ่อยเข้าก็ต้องมีความก้าวหน้าให้เห็นเป็นธรรมดา"
    "ก..กาเล็ท ที่นี่ไม่ได้" แม้ว่าจะเคยเป็นสตรีในหอร้อยบุปผามาก่อนหากแต่โซเฟียในยามนี้ยังทราบดีว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร หากว่าปล่อยให้เขากระทำตามใจชอบที่เบื้องนอกเช่นนี้แล้วนีน่าผู้เป็นแม่สามีกลับมาเห็นเข้าคงเป็นเรื่องยากที่จะบอกกล่าวอธิบายให้แม่สามีผู้นี้ไม่นึกคิดดูแคลนตนเองได้แล้ว
    กาเล็ทได้รับฟังเช่นนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องปากกระแอมไอคราหนึ่งจากนั้นจึงก้มลมหอมไปที่แก้มของโซเฟียฟอดใหญ่ "เข้าใจแล้ว อืมม คืนนี้ขอให้เปิดประตูไว้คอยข้า ขอเวลาสักสองชั่วโมงเมื่อจัดการเรื่องราวที่คั่งค้างไว้แล้วข้าจะไปหาเจ้าแน่นอน"
    โซเฟียที่บัดนี้เกิดความรู้สึกขวยเขินทำได้แต่ก้มศรีษะลงต่ำและผงกศรีษะตามคำเอ่ยกล่าวของกาเล็ท ในยามนี้สตรีซึ่งเคยอยู่ในหอร้อยบุปผาเช่นนางซึ่งไม่เคยคิดฝันถึงความสุขของการแต่งงานมีคู่ครองตามประสาชายหญิงทั่วไปกลับเกิดความรู้สึกหน้าร้อนผ่าวจิตใจเต้นแรงอย่างยากที่จะระงับไว้ได้ "อืมความรู้สึกเช่นนี้เองหรือที่เรียกว่าความรัก" โซเฟียนึกคิดขณะที่ลอบชำเรืองมองดูต้นสายปลายเหตุที่ทำให้หัวใจของตัวนางเต้นถี่เร็วขึ้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×