ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #100 : เจ้าชายแห่งทวีปเหนือ [รีไรท์]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.55K
      471
      15 ธ.ค. 60





    เพียงชั่วครู่เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอีกนานนับปี วึ่ง วึ่ง วึ่ง วึ่ง กระแสจิตวิญญาณหุบเข้าและขยายออกรอบร่างของกาเล็ทขึ้นอีกคราหนึ่ง การกระเพื่อมของธารจิตวิญญาณเกิดขึ้นรอบตัวของกาเล็ทเช่นนี้กินระยะเวลากว่า 1 วันแล้ว เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะกาเล็ทได้สะสมพลังจิตวิญญาณเข้าสู่แก่นจิตวิญญาณจนเต็มเปี่ยมแล้วและเข้าสู่ขั้นต้อนการทะลวงขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิ์ ทว่าการที่จะทะลุขีดจำกัดของตนเองขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิ์นั้นความยากลำบากย่อมเหนือกว่าการทะลวงสู่ระดับราชาขั้นกลางและขั้นสูงดั่งเช่นที่ผ่านมาเป็นคนละเรื่อง

    สาเหตุที่เกิดแรงกระเพื่อมของกระแสจิตวิญญาณรอบตัวของกาเล็ทขณะที่พยายามทะลวงสู่ขีดขั้นต่อไปนั้นก็เนื่องมาจากการใช้พลังจิตวิญญาณทะลวงช่วงคอขวดที่กั้นขวางอยู่ระหว่างระดับราชาขั้นสูงกับระดับจักรพรรดิ์ หากจะต้องเปรียบเทียบนั้นการที่จะทะลวงขีดจำกัดสู่ระดับต่อไปก็เสมือนการทำศึกตีประตูเมือง การจะตีประตูเมืองที่ปิดดานลั่นกลอนไว้ให้แตกออกก็จำเป็นที่จะต้องให้ท่อนซุงที่หนักหน่วงแข็งแกร่งเข้ากระทุ้งใส่ ในการตีประตูเมืองนั่นคือท่อนซุงแต่การที่จะทะลวงขีดขั้นสู่ระดับต่อไปคือพลังจิตวิญญาณ แรงกระเพื่อมของจิตวิญญาณจึงเกิดขึ้นเพราะกาเล็ทรวบรวมพลังเป็นระลอกเพื่อเจาะทะลวงกำแพงที่กั้นขวางสู่ความสำเร็จของตนเองอยู่ ทว่าคราครั้งนี้กาเล็ทพยายามทำเช่นนี้มากว่าหนึ่งวันแล้วแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จ ทว่าในขณะที่กาเล็ทกำลังคิดจะถอดใจอยู่นั้นก็เกิดการระเบิดของมวลพลังจิตวิญญาณระดับมหาศาลขึ้น การระเบิดของมวลจิตวิญญาณมหาศาลนี้กลับช่วยหนุนเนื่องให้กาเล็ททะลวงขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิ์ได้สำเร็จอย่างงงงวย

    ซูมมมมมม แท่งเสาพลังงานที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ เสาพลังงานที่เกิดจากการรวมตัวกันของพลังจิตวิญญาณเข้มข้น กาเล็ทที่ทะลวงสู่ขีดขั้นจักรพรรดิ์ขั้นต้นได้สำเร็จกำลังเข้าสู่ขั้นตอนสร้างแก่นจิตวิญญาณระดับจักรพรรดิ์ของตนเอง เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปกาเล็ทกลับสัมผัสได้ว่าร่างกายของตนเองเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดประการหนึ่งขึ้น เมื่อกาเล็ทเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อสำรวจว่าความรู้สึกประหลาดนั้นเกิดขึ้นจากสิ่งใด กาเล็ทก็ได้พบว่าเป็นมิร่าน้อยเองที่กำลังโลมเลียใบหน้าของตนเองอย่างกระตือรือล้นและมีความสุข

    "กรู๊รร กรู๊รรร" มิร่่าส่งเสียงร้องออกมาขณะที่ใช้ลิ้นของตนเองเลียใบหน้าของกาเล็ท หางของนางแกว่งไกวไปมาถี่ยิบซึ่งแสดงออกถึงความรู้สึกยินดีปรีดาถึงขีดสุด

    "ปะป๋า ปะป๋า ปะป๋ายังอยู่ ดีใจ ดีใจ ปะป๋ายังอยู่" เสียงเล็กซึ่งแสดงออกถึงความยินดีอย่างสุดชีวิตส่งมาตามพันธะสัญญาระหว่างกาเล็ทและมิร่า

    กาเล็ทซึ่งลืมตาตื่นขึ้นจากห้วงสมาธิก็ยื่นมือทั้งสองของตนออกไปคว้าจับร่างของมิร่าซึ่งกระพือปีกสีนิลลอยอยู่เบื้องหน้าของตนเองไว้ เมื่อสัมผัสกับร่างของนางกาเล็ทกลับมีความรู้สึกว่าร่างของนางมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย "หืม หรือเราจะคิดไปเอง ดูไปภายนอกนางก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรนี่" กาเล็ทสรุปเช่นนั้น

    "ก็ต้องยังอยู่สิ ก็ปะป๋าบอกหนูแล้วว่าการพบกันของพวกเราเป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน การที่มิร่ากับปะป๋าได้มาพบเจอกันและได้อยู่ด้วยกันเป็นเรื่องจริงที่สุดไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องโกหกไปได้หรอก จากนี้ปะป๋ากับมิร่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่แยกจากกัน" กาเล็ทเอ่ย

    "กรู๊ อยู่ด้วยกันตลอดไป ตลอดไป" ขณะที่ร่างมังกรส่งเสียงร้องอย่างน่ารัก เสียงของมิร่าก็ส่งผ่านทางพันธัสัญญาโบราณมาพร้อมกัน

    เมื่อสงบใจลงได้และสำรวจตรวจดูบริเวณโดยรอบกาเล็ทก็พบว่าที่ข้างกายของตนเองกับมีเศษศากประหลาดอยู่ ดูไปคล้ายกับฟันหน้าซึ่งแหลมคมคู่หนึ่ง เมื่อคิดได้เช่นนั้นกาเล็ทก็เหลียวมองกลับมาที่มิร่าซึ่งถูกตนเองอุ้มชูอยู่อีกครั้งทว่ากลับไม่พบถึงสิ่งผิดปกติใดกับร่างกายของนาง

    เหมือนว่าจะสามารถเข้าใจถึงความสงสัยของกาเล็ทได้ เสียงของมิร่าจึงตอบกลับมา "ฟันของมิร่าเอง ฮี ฮี่ เป็นกระบวนการทางร่างกายของมังกร เมื่อมีพลังที่เพิ่มพูนขึ้นอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายที่บกพร่องชำรุดก็จะถูกผลัดเปลี่ยนสร้างใหม่ขึ้น ครั้งนี้คือฟันของมิร่า" มิร่าเอ่ยอธิบาย

    เมื่อได้ฟังคำอธิบายกาเล็ทก็ตรวจพบว่าระดับพลังของมิร่านั้นสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แต่เดิมระดับแก่นจิตวิญญาณของมิร่าซึ่งอยู่ที่ระดับจักรพรรดิ์ขั้นต้นบัดนี้กลับเลื่อนระดับขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิ์ขั้นกลางแล้ว "การระเบิดของกระแสจิตวิญญาณที่ช่วยให้เราสามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิ์ได้สำเร็จเกิดขึ้นจากนางเอง" รู้เช่นนั้นกาเล็ทก็รั้งร่างของมิร่าเข้ามาสูดดมอย่างรักใคร่ "มิร่าน้อยนี่เป็นดวงดาวแห่งโชคของปะป๋าจริงๆ ขอบใจมิร่ามากนะที่เลือกปะป๋า ขอบใจหนูจริงๆ" กาเล็ทเอ่ย

    มิร่าแสดงสีหน้าที่เปี่ยมสุขออกมาขณะที่ถูกกาเล็ทสูดดม

    กาเล็ทเก็บเศษฟันของมิร่าที่หลุดออกมาเข้าสู่แหวนมิติจากนั้นจึงลุกขึ้นยืนเพื่อสำรวจถึงระดับพลังที่เพิ่มพูนของตนเอง กาเล็ทพบว่าบัดนี้ตนเองมีพลังเพิ่มพูนขึ้นจากเมื่อครั้งก่อนที่จะทะลวงขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิ์เกือบสามเท่า "มากมายถึงเพียงนี้ หากว่ามีพลังจิตวิญญาณมากมายถึงเพียงนี้วิชาต่างๆที่ยังไม่สมบูรณ์พร้อมดีคงได้เวลาทำให้สำเร็จแล้ว" กาเล็ทเอ่ยกับตนเอง

    "มิร่า พลังของมิร่าเองก็เพิ่มขึ้น พลังของปะป๋าเองก็เพิ่มขั้น เพื่อให้คุ้นชินกับระดับพลังใหม่ของตนเองเรามาซ้อมต่อสู้กันอีกดีไหม" กาเล็ทเอ่ย

    "ซ้อมต่อสู้ ซ้อมต่อสู้" มิร่าส่งเสียงออกมาอย่างยินดี

    ได้ฟังกาเล็ทก็นิ่งครุ่นคิดกับตนเอง ด้วยระดับพลังของตนเองที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างเทียบไม่ติดกับเมื่อก่อนหากว่าเป็นมิร่าก่อนที่จะบรรลุพลังไปอีกขีดขั้น ตนเองย่อมมีความมั่นใจว่าจะสามารถต้านรับมือตัวนางที่ใช้พลังถึง 10 ส่วนได้แล้ว ทว่ายามนี้นางกลับเลื่อนระดับของตนเองขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง "มิร่าเอาเป็นมิร่าใช้พลัง 7 ส่วนก็แล้วกัน" กาเล็ทเอ่ยบอกกล่าวกับมิร่าอีกครั้งเมื่อได้ข้อสรุป

    "เข้าใจแล้ว"

    ด้วยเหตุนี้กาเล็ทจึงใช้เวลาที่เหลืออีก 6-7 เดือนไปกับการฝึกฝนให้คุ้นชินกับระดับพลังที่เพิ่มพูนของตนเองและฝึกซ้อมต่อสู้จริงกับมิร่าอยู่ภายในมิติเทพเจ้า ไม่แต่เพียงนั้นกาเล็ทยังได้หลอมรวมแร่โอริฮารูกอนที่ยังพอเหลืออยู่น้อยนิดเข้ากับเขี้ยวมังกรของมิร่า

    การหลอมรวมแร่โอริฮารูกอนเข้ากับเขี้ยวของมิร่ากลับทำให้สีของแร่กลายเป็นสีดำทมิฬดูไปน่าเกรงขามนัก เมื่อหลอมรวมแร่โอริฮารูกอนเข้ากับเขี้ยวมังกรของมิร่าได้สำเร็จ กาเล็ทก็ไม่รอช้านำแร่ทั้งหมดหลอมสร้างขึ้นเป็นดาบอีกเล่มหนึ่งทันดี ใช้เวลาร่วมหนึ่งวันในการเขี้ยวกรำแร่สีดำอย่างยากเย็นสุดท้ายแล้วกาเล็ทก็ขึ้นรูปแร่พิเศษที่เกิดจากการหลอมรวมโลหะเวทมนต์ในตำนานนี้กับเขี้ยวมังกรของมิร่าได้สำเร็จ กาเล็ทยกชูดาบที่ขึ้นรูปสำเร็จแล้วขึ้นชมอย่างยินดี ตัวดาบนั้นมีสีดำทมิฬไม่ต่างจากสีแรกเริ่มของตัวแร่ ตลอดใบดาบที่สร้างขึ้นจนถึงด้ามดาบนั้นมีส่วนเว้ารอยยักนับไม่ด้วย เพียงแค่มองดูดาบนี้ครู่เดียวไม่ว่าผู้ใดก็สามารถดูออกได้ว่าดาบเล่มนี้เป็นดาบชั้นดี "ให้ดาบนี้ชื่อว่าดาบเขี้ยวมังกรก็แล้วกัน"

    "ฮี ฮี่ ดาบเขี้ยมมังกร เขี้ยวของมิร่า" มิร่าในร่างมนุษย์เข้ามากอดขาของกาเล็ทและแหงนหน้ามองขึ้นไปยังตัวดาบสีดำทมิฬที่อยู่ในมือของกาเล็ทด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ

    ขณะที่กาเล็ทกำลังยินดีปรีดาอยู่กับความสำเร็จของตนเอง โลกเบื้องนอกนั้นเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านมาเกือบครบกำหนดสองเดือนแล้ว

    ในวันนี้ได้มีทหารจากราชวังเดินทางมายังตระกูลบุสโซ่เพื่อแจ้งข่าวให้ซิลเวียเจ้าหญิงแห่งโรฮานซึ่งพำนักอยู่ที่ตระกูลบุสโซ่กลับเข้าวังอย่างเร่งด่วน

    "มีเรื่องด่วนใดหรือ เหตุใดจึงได้เร่งรีบถึงเพียงนี้" ซิลเวียเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ถึงนางจะเป็นเจ้าหญิงของโรฮานทว่าจะอย่างไรนางก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรสำคัญ นางจึงไม่สามารถที่จะคาดเดาถึงสาเหตุที่อยู่ๆตนเองก็ถูกเรียกตัวด่วนให้กลับสู่วังหลวงได้

    "เรียนองค์หญิง องค์ราชาให้ข้าแจ้งต่อองค์หญิงว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนได้มีจดหมายด่วนจากไอออนมาถึงประกอบกับในวันนี้องค์ชายเมอร์ลินได้เดินทางกลับมาจากการออกไปเป็นทูตเพื่อสารสัมพันกับอาณาจักรต่างๆแล้ว องค์ราชาจึงมีความประสงค์ให้องค์หญิงกลับเข้าวังไปพะยะค่ะ" ทหารผู้ทำหน้าที่นำสารมาแจ้งเอ่ยกล่าว

    แม้ว่าจะได้ฟังเช่นนั้นซิลเวียก็ยังคงเกิดความสงสัยใจไม่คลาย "มีแต่เพียงเรื่องนี้หรือ ท่านพี่เมอร์ลินกลับมาแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนถึงกับให้ข้าต้องกับไปอย่างเร่งรีบกลางดึกเช่นนี้ อีกทั้งหากจะบอกว่ามีจดหมายด่วนจากไอออนส่งมาเหตุใดเจ้าไม่นำมันมาด้วยเล่า" ซิลเวียเอ่ย

    "เอิ่มม คือองค์หญิง นอกจากองค์ชายเมอร์ลินที่กลับมาแล้ว องค์ชายยังนำแขกพิเศษร่วมทางมาด้วย พะยะค่ะ" ทหารนั้นเอ่ยรายงาน

    ได้ฟังเช่นนั้นซิลเวียก็ผงกหัว "หรืออาจบางทีท่านพ่อต้องการให้เราไปต้อนรับแขกพิเศษนั้น" สรุปได้เช่นนั้นซิลเวียก็ไปบอกกล่าวต่อนีน่าและเทลเล่อว่าตนเองจะเดิรทางกลับวังหลวงจากนั้นจึงติดตามทหารแจ้งข่าวและผู้คุ้มกันกลับสู่วังหลวงไป

    ภายในห้องบัลลังก์ของราชวังกลับเกิดเรื่องที่น่าแปลกประหลาดขึ้นไม่น้อยนั่นคือ ราชาเบรุทซิ่งเป็นราชาของโรฮานกลับไม่ได้นั่งอยู่บนแท่นบัลลังก์ของตนเอง หากแต่กลับมีชายที่ดูไปน่าจะมีอายุประมาณ 30 ปีนั่งอยู่แทนที่ "อืม ความรู้สึกในการได้นั่งบัลลังก์มันดีเช่นนี้เอง" บรุษผู้ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ในขณะนี้เอ่ยคำขึ้น มันผู้นี้คืออังเดร สโตนฮาท เจ้าชายลำดับที่สามของราชวงศ์แห่งทวีปเหนือ บิดดาของมันคือจักรพรรดิ์แดนเหนือผู้ซึ่งปกครองทั่วทั้งทวีปเหนือเอง

    "ซักซ้อมไว้ก่อนก็ดีไม่น้อยพะยะค่ะองค์ชาย จะอย่างไรองค์จักรพรรดิ์ก็รักเอ็นดูองค์ชายเป็นที่สุด บัลลังก์แห่งทวีปเหนือจะตกเป็นของผู้ใดไปได้หากว่าไม่ได้เป็นขององค์ชาย" ข้ารับใช้ขององเดรเอ่ยคำขึ้นเพื่อเอาอกเอาใจผู้เป็นนาย ถึงแม้จะเป็นข้ารับใช้แต่มันผู้นี้กลับมีระดับพลังถึงระดับราชาขั้นสูง

    จะอย่างไรอังเดรก็เป็นถึงเจ้าชายแห่งทวีปเหนืออีกทั้งมันยังเป็นบุตรชายที่จักรพรรดิ์แห่งทวีปเหนือรักเอ็นดูที่สุดเนื่องจากมันเกิดจากสตรีที่จักรพรรดิ์แดนเหนือรักใคร่กว่าผู้ใด ทำให้ตลอดมาจักรพรรดิ์แห่งแดนเหนือตามใจมันยิ่ง การเดินทางมาเพื่อเป็นทูตครั้งนี้จักรพรรดิ์แดนเหนือยังให้ผู้มีพลังระดับราชาขั้นกลางและขั้นสูงถึงสองคนติดตามมาเพื่อทำหน้าที่คุ้มกันมันด้วย

    ระหว่างที่เจ้าชายแห่งแดนเหนือและข้ารับใช้กำลังพูดคุยโต้ตอบกันอยู่ ราชาเบรุทกลับมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ตัวมันมอบหมายหน้าที่ให้กับบุตรชายเมอร์ลินเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นทูตไปเยือนอาณาจักรต่างๆเพื่อสานสัมพัน ทว่าอาณาจักรต่างๆที่มันมอบหมายให้ล้วนอยู่ภายในทวีปตะวันออกของมันเองทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใดบุตรชายของมันจึงนำเจ้าชายแห่งทวีปเหนือผู้นี้มาได้ในวันนี้

    "หากว่าองค์ชายได้ขึ้นครองบัลลังก์แห่งทวีปเหนือแล้ว ข้าก็หวังว่าท่านจะไม่ลืมอาณาจักรโรฮานของข้า" เมอร์ลินผู้เป็นเจ้าชายแห่งโรฮานเอ่ยขึ้น

    เมื่อได้ฟังคำกล่าวของเมอร์ลินอังเดรก็หันมาสนใจที่ตัวของเมอร์ลิน "แน่นอนหากว่าสิ่งที่เจ้าเอ่ยบอกไว้นั้นเป็นความจริงข้าย่อมไม่ลืมเลือนสัญญาที่เคยให้ไว้เช่นกัน แต่หากว่าเจ้ากล้าที่จะกล่าวโป้ปดทำให้ข้าเสียเวลาอันมีค่าไปแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าโหดห้ายเลย"

    ได้ฟังคำกล่าวของอังเดร บนใบหน้าของเมอร์ลินก็ปรากฎเหงื่อเม็ดโป้งขึ้นแต่จะอย่างไรมันก็ยังคงมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน "เรื่องที่ข้ากล่าวบอกต่อท่านย่อมเป็นความจริงไม่แปลกปลอม น้องหญิงของข้านั้นแม้จะยังมีอายุเพียง 17 ปีทว่าความงดงามของนางนั้นนับว่าไม่เป็นรองผู้ใดในโรฮาน ขอองค์ชายได้โปรดสงบใจรออีกสักนิด ข้าได้ให้ทหารไปตามนางมาเพื่อให้องค์ชายยลโฉมแล้ว"

    "อืม เป็นเช่นนั้นได้ก็ดี" อังเดรเอ่ยกล่าวอย่างพอใจเมื่อได้ฟังคำกล่าวของเมอร์ลินขณะที่เคาะนิ้วทั้ง 5 ของตนเองไปพร้อมกันบนเก้าอี้บัลลังก์ของราชาเบรุท



    ส่วนทางด้านของกาเล็ทเมื่อสร้างดาบเขี้ยวมังกรเสร็จแล้วก็ตัดสินใจว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่ตนเองจะออกไปสู่โลกภายนอก หากนับเอาจากระยะเวลาเกือบสองปีที่ตนเองเก็บตัวฝึกฝนแล้วเวลาของโลกภายนอกในเวลานี้ก็สมควรผ่านไปเกือบสองเดือนแล้ว

    "มิร่าปะป๋าว่าพวกเราควรจะออกไปด้านนอกได้แล้วล่ะ" กาเล็ทเอ่ยบอกกับมิร่า

    "ฮี ฮี่ ไปโลกภายนอกกัน มิร่าเองก็คิดถึงท่านย่าแล้ว" มิร่าเอ่ย

    ได้ข้อสรุปเช่นนั้นกาเล็ทจึงนำพามิร่าออกจากมิติเทพเจ้า


    วูบ ร่างของกาเล็ทปรากฎขึ้นยังห้องทำงานของตนเอง กาเล็ทแสดงสีหน้าซึ่งแสดงออกถึงความแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีทั้งเทลเล่อ ครูโซ่ และแชลเทียที่อยู่ในห้องทำงานของตนอง

    เมื่อสังเกตุเห็นร่างของกาเล็ทที่จู่ๆก็ปรากฎขึ้นเทลเล่อก็เผยรอยยิ้มอย่างยินดีขึ้น "กาเล็ท ในที่สุดเจ้าก็ออกมาแล้ว ใช่สามารถบรรลุพลังระดับจักรพรรดิ์ได้หรือไม่ ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งยากจะหยั่งถึงได้ในตัวของเจ้ากาเล็ท" เทลเล่อรีบลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานของกาเล็ทเดินเข้ามาหาผู้เป็นศิษย์

    ได้เห็นทีท่าซึ่งแสดงออกถึงความยินดีของผู้เป็นอาจารย์ประหนึ่งว่าเป็นตนเองที่ประสบความสำเร็จกาเล็ทก็เกิดความอบอุ่นขึ้นภายในจิตใจ "ท่านอาจารย์ข้าบรรลุพลังระดับจักรพรรดิ์ขั้นต้นแล้ว" นั่นคือถ้อยคำที่กาเล็ทกล่าวตอบ แม้จะเป็นถ้อยคำเพียงประโยคเดียวแต่กลับส่งผลให้ทั้งห้องเงียบกริบลง

    "เจ้าทำได้ เจ้าทำได้จริงๆหรือ ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่บอกกล่าวไว้จริงๆ นับว่าเหลือเชื่อนัก รู้หรือไม่ว่าไม่เคยมีผู้ใดบรรลุระดับจักรพรรดิ์ได้ตั้งแต่อายุ 17 ปีเช่นที่เจ้าทำได้ ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษย์และจากนี้ต่อไปก็คิดว่าคงไม่มีอีกแล้ว นับว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อนัก" เทลเล่อเอ่ยกล่าวด้วยความยินดีพร้อมเข้ามาคว้าจับมือของกาเล็ทไว้

    "ล.. ลูกเขย เจ้าบรรลุพลังถึงระดับจักรพรรดิ์แล้วจริงๆหรือ" ครูโซ่เองก็เอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน จะให้เชื่อเรื่องนี้ลงง่ายๆได้หรือ? ต้องบอกก่อนว่าระดับจักรพรรดิ์หมายถึงสิ่งใด? ยิ่งใหญ่เพียงไร? หากจะกล่าวถึงผู้ที่มีพลังระดับจักรพรรดิ์แล้วทั่วทั้งดินแดนยูยานแห่งนี้เห็นทีว่าจะมีไม่ถึงร้อยคนเสียด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะในทวีปตะวันออกแห่งนี้แล้วมีเพียงจักรพรรดิ์แดงเพียงผู้เดียวที่เข้าถึงขอบเขตระดับจักรพรรดิ์ได้

    "ไม่แปลกปลอมท่านพ่อตา ข้าบรรลุระดับจักรพรรดิ์ขั้นต้นแล้ว ไม่แต่เพียงข้าแต่มิร่าน้อยเองก็เพิ่มพูนระดับพลังของตนเองสำเร็จตอนนี้นางอยู่ในระดับจักรพรรดิ์ขั้นกลางแล้ว จะว่าไปแล้วหากไม่ได้นางข้าก็คงไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ์ได้ง่ายดายเช่นนี้" กล่าวไปกาเล็ทก็อุ้มมิร่าในร่างมนุษย์ขึ้นมาหอมแก้มทั้งสองข้างอีกคราหนึ่ง

    "ฮี ฮี่" มิร่าหัวเราะออกมาอย่างพอใจ

    จากนั้นกาเล็ทจึงหันมองไปทางแชลเทียที่ส่งสายตาซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความคิดถึงมาทางตนเอง กาเล็ทเดินเข้าไปโอบกอดนางไว้พร้อมกับหอมไปที่แก้มของนางฟอดหนึ่ง "ข้าคิดถึงเจ้านัก"

    "ก..กาเล็ท ท่านพ่อกับท่านผู้พิทักษ์ดูอยู่" แชลเทียเอ่ยอย่างเอียงอาย

    "ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องเกรงใจข้า ไม่ต้องเกรงใจข้า" ครูโซ่หัวเราะขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของบุตรสาว

    "เอาเถอะข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน ถือว่าเป็นรางวัลแห่งความพยายามของเจ้ากาเล็ท" เทลเล่อก็เอ่ยออกมา

    "ว่าแต่ซิลเวียไม่อยู่ด้วยหรือ" กาเล็ทเอ่ยถามขึ้นเมื่อสอดส่องสายตาดูแล้วพบว่าซิลเวียไม่อยู่ในห้องทำงานของตนเองด้วย

    "ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น เห็นว่านางถูกเรียกตัวให้กลับวังด่วน" แชลเทียที่ยังคงถูกโอบกอดอยู่เอ่ยบอกกล่าวต่อกาเล็ทอย่างไม่สบายใจ

    "กลางดึกเช่นนี้หรือ" กาเล็ทเองก็รู้สึกถึงความไม่ถูกต้องของเรื่องนี้เช่นกัน

    "อืม เห็นว่าพี่ชายของนางเจ้าชายเมอร์ลินพึ่งกลับมาจากการเดินทางเป็นทูตน่ะ" แชลเทียเอ่ยบอก

    แม้จะได้ยินเหตุผลเช่นนั้นแต่กาเล็ทเองก็ยังคงมีความรู้สึกที่ว่าเรื่องนี้ยังคงไม่ถูกต้อง เพียงแต่เจ้าชายแห่งโรฮานผู้เป็นพี่ชายกลับมาต้องมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนถึงกับต้องเรียกนางให้เข้าวังไปกลางดึกเช่นนี้หรือ ทว่ากาเล็ทก็ข่มความรู้สึกไม่สบายใจนั้นไว้และเอ่ยถามครูโซ่ขึ้น "ท่านพ่อตาเหตุใดท่านจึงได้มาอยู่ที่ตระกูลบุสโซ่กัน"

    "เป็นข้าเรียกท่านครูโซ่ให้มาเอง เจ้าคิดว่างานการทั้งหมดนี่ข้าสามารถกระทำให้สำเร็จได้เพียงลำพังผู้เดียวหรือหรือ?" เทลเล่อเอ่ย

    "กลับกลายเป็นการรบกวนท่านพ่อตาแล้ว" กาเล็ทเอ่ย

    "หืมไม่ได้รบกวนอันใด ส่วนใหญ่ตัวข้านั้นก็อยู่ว่างอยู่แล้ว ลูกเขยมีงานการมากมายต้องรับผิดชอบเช่นนี้เหตุใดไม่บอกต่อข้าตั้งแต่แรก" ครูโซ่เอ่ยถามขึ้น

    "ข้าไม่อยากรบกวนผู้ใด จะอย่างไรเรื่องราวของข้า ข้าก็สมควรกระทำด้วยตนเองจึงถูกต้อง" กาเล็ทเอ่ย

    ได้ฟังคำตอบของผู้เป็นศิษย์เทลเล่อก็ส่ายหัวอย่างเอือมละอา "เหลวไหล คนผู้หนึ่งสามารถกระทำได้ทุกเรื่องราวหรือ? เจ้าอย่าได้ทำตนเสมือนว่าแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว เอิ่มถึงแม้ว่าเจ้าจะมีความสามารถอยู่บ้างก็เถอะ อย่าได้กระทำตนเป็นคนปากหนักไม่กล้าเอ่ยขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเข้าใจหรือไม่?" เทลเล่อเอ่ย

    กาเล็ทกระชับวงแขนที่โอบกอดแชลเทียให้แน่นขึ้นอีกคราหนึ่งจากนั้นจึงหอมแก้มนางอีกคราและหันไปตอบเทลเล่อ "เข้าใจแล้วท่านอาจารย์ เช่นนั้นข้าก็ถือโอกาสนี้ร้องขอให้ท่านอยู่ที่นี่ช่วยข้าจัดการเรื่องราวต่างๆอีกแรงหนึ่งไปตลอดกาลเลยเป็นอย่างไร"

    "จ เจ้า" เทลเล่อถลึงตาเอ่ยกับกาเล็ททันที




    ภายในห้องโถงกลางของราชวัง อังเดรเริ่มเคาะนิ้วของตนกับเก้าอี้บัลลังก์รวดเร็วขึ้นเพื่อระบายออกถึงความหงุดหงิดที่ตนเองต้องทนรอคอยเนิ่นนานเช่นนี้ "เหตุใดจึงได้นานนัก" มันเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง ในน้ำเสียงแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกไม่พอใจ

    "องค์ชายโปรดรออีกสักครู่ได้หรือไม่ น้องหญิงของข้ากำลังอยู่ระหว่างการเดินทาง บางทีอาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง" เมอร์ลินเอ่ยกล่าว

    ราชาเบรุทกลับเกิดความรู้สึกไม่สู้ดีเกิดขึ้น มันมีความรู้สึกว่าในวันนี้ต้องมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นกันแน่ มันอยากที่จะเอ่ยปากถามบุตรชายของมันยิ่งว่านี่เป็นเรื่องราวใด บุตรชายของตนเองไปสัญญาอะไรไว้กับเจ้าชายแห่งแดนเหนือผู้นี้ ทว่าสถานการณ์กลับไม่เปิดช่องให้ตัวมันได้เอ่ยปากสอดคำเลยแม้แต่น้อย

    ในขณะที่ความตึงเครียดซึ่งเกิดจากอารมณ์ร้ายของอังเดรที่ต้องรอคอยเป็นเวลานานค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นเสียงหวานใสก็ดังขึ้น "ท่านพ่อ ท่านใช้ให้ทหารไปติดตามข้ากลับมาอย่างเร่งด่วนไม่ทราบว่ามีเรื่องใดหรือ" ซิลเวียที่พึ่งจะมาถึงเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างรีบร้อย เมื่อนางสังเกตุเห็นว่าผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หาใช่บิดาของตนเองคิ้วคู่สวยของนางก็ย่นเข้าหากันซึ่งแสดงออกถึงอาการประหลาดใจ "ท่านเป็นใคร" ซิลเวียเอ่ยถามขึ้น

    ดวงตาของอังเดรทอประกายขึ้นคราหนึ่งเมื่อมันได้มองเห็นซิลเวียอย่างชัดตา "โอ้ว นับว่าไม่เสียทีที่ข้าต้องรอคอยเนิ่นนานถึงเพียงนี้ นับว่าเจ้าไม่ได้กล่าวแปลกปลอมเมอร์ลิน" มันหันไปเอ่ยกล่าวกับเมอร์ลิน ตัวมันย่อมไม่คาดคิดว่าการเดินทางมายังอาณาจักรเล็กๆเช่นโรฮานแห่งนี้แล้วจะได้พบสตรีที่งดงามเช่นนี้ ความงดงามของสตรีที่เบื้องหน้าของมันในยามนี้แม้แต่ในทวีปเหนือของมันเองก็ยังนับว่าหายากที่จะสามารถพบพานได้สักคนหนึ่ง

    "ข้าจะไปกล้ากล่าวเท็จทูลต่อท่านได้อย่างไรองค์ชาย" เมอร์ลินกล่าวอย่างถ่อมตน

    "เรื่องที่เราพูดคุยกันไว้ถือว่าเป็นอันตกลง" อังเดรเอ่ย

    "ท่านพี่เมอร์ลิน ท่านกลับมาแล้ว แต่ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นข้าไม่เข้าใจ คนผู้นั้นคือใครเหตุใดเขาจึงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของท่านพ่อ" ซิลเวียยังคงเกิดความรู้สึกสับสนไม่เข้าใจต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น

    อังเดรได้ฟังก็เผยรอยยิ้มออกมาคราหนึ่ง จากนั้นมันจึงลุกขึ้นยืน "ข้าคือใครหรือ ข้าคือคนที่จะกลายมาเป็นสามีของเจ้ายังไงล่ะ" มันเอ่ยคำขึ้นพร้อมกับใช้สายตาที่หื่นกระหายจ้องมองไปยังเรือนร่างของซิลเวีย

    "ให้นางไปปรณิบัติข้าคืนนี้" กล่าวจบมันก็ทำท่าเหมือนจะจากไปยังห้องพักของตนเองที่เมอร์ลินได้ตระเตรียมไว้ให้

    "หยาบช้า ใครจะยอมเป็นภรรยาของคนอย่างเจ้ากัน หากต้องแต่งให้กับคนอย่างเจ้าข้ายอมตายเสียดีกว่า" ซิลเวียเอ่ย แม้จะยังไม่เข้าใจในเรื่องราวดีพอแต่ทว่ากริยาที่บรุษเบื้องหน้านี้แสดงออกต่อตนเองเมื่อครู่เป็นสิ่งที่ถือว่าไม่อาจยอมรับได้

    ได้ฟังคำกล่าวซึ่งเสมือนเป็นการท้าทายตน อังเดรที่ทำท่าเหมือนจะหันกายจากไปก็หันกลับมา "ยอมตายดีกว่าที่จะเป็นสตรีของข้าหรือ เฮอะ ดี ดีมาก เช่นนั้นเราจะได้พิสูจน์" ตัวมันก็อยากรู้เช่นกันว่าอาณาจักรเล็กๆเช่นโรฮานซึ่งแม้แต่ผู้มีพลังระดับราชายังหาได้ยากเช่นนี้จะเอาอะไรมาต่อต้านมันเพื่อไม่ให้ครอบครองร่างกายของหญิงงามที่เบื้องหน้าผู้นี้ อาณาจักรเล็กๆที่อ่อนแล้วเช่นนี้สมควรดีใจจึงถูกต้องที่ตัวมันยอมลดตัวลงมาเพื่อเกี่ยวดองด้วย หากว่าได้ตกแต่งให้แก่องค์ชายแห่งทวีปเหนือเช่นมันไม่ทราบว่าโรฮานอาณาจักรเล็กจ้อยเช่นนี้จะได้รับผลประโยชน์มากมายถึงเพียงไหน พวกมันสมควรยินดีหาใช่แสดงออกถึงการต่อต้านเช่นนี้

    "น้องหญิงอย่าได้เสียมารยาทต่อองค์ชาย" เมอร์ลินเอ่ยปรามซิลเวียเมื่อเห็นได้ว่าซิลเวียเอ่ยวาจาที่เป็นการกระตุ้นให้อังเดรเกิดอารมณ์โมโหขึ้น

    "ช้าก่อน ข้าคิดว่าคงจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรบ่างอย่างเกิดขึ้น ซิลเวียบุตรีผู้นี้ของข้านั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว" ในที่สุดราชาเบรุทก็เอ่ยปากกล่าวคำขึ้น

    "ท ท่านพ่อ น้องหญิงมีคู่หมั้นแล้วหรือเหตุใดข้าจึงไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนเลย" เมอร์ลินหันไปเอ่ยกล่าวกับราชาเบรุทผู้ซึ่งเป็นบิดาของตนเอง

    "ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่หลายเดือนที่ผ่านมานี้เกิดเหตุการณ์ขึ้นในโรฮานของเราไม่น้อย" ราชาเบุรุทหันไปเอ่ยกล่าววาจากับเมอร์ลินผู้บุตรชาย

    "ท่านพ่อเช่นนั้นคู่หมั้นของนางคือผู้ใด" เมอร์ลินเอ่ยถามขึ้น

    ราชาเบรุทแสดงท่าทีลำบากใจออกมา ตัวมันในตอนนี้เองก็ยากที่จะตัดสินใจได้ หากว่าบรุษที่ชื่ออังเดรผู้นี้เป็นเจ้าชายแห่งทวีปเหนือจริงตัวมันจะทำเช่นไรดีหากว่าเขายังดึงดันที่จะเอาตัวของซิลเวียไป หากว่าตนเองเกิดข้อขัดแย้งหมางใจกันกับเจ้าชายแห่งทวีปเหนือ ผลที่จะตามมาใช่จะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายสุดจะหยั่งใช่หรือไม่ ?

    ขณะที่ราชาเบรุทครุ่นคิดอย่างหวั่นใจอยู่นั้นก็มีคนผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาในห้องบัลลังก์โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้สึกตัว

    "คู่หมั้นของนางนั้นเป็นข้าเอง" เสียงของชายหนุ่มเอ่ยดังขึ้นก้องกังวาลไปทั้งห้องโถง




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×