ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #101 : ไม่อาจหวนกลับ [รีไรท์]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.02K
      442
      17 ธ.ค. 60





    "เจ้าเป็นใคร" เมอร์ลินเอ่ยถามอย่างงงงวย ไม่ทราบว่าคนผู้นี้เข้ามายังห้องโถงตั้งแต่เมื่อใดและเหตุใดทหารยามจึงปล่อยให้เข้ามาได้โดยง่าย

    "ข้าเป็นคู่หมั้นของนางเจ้าหูหนวกหรือ" กาเล็ทซึ่งก้าวเดินเข้ามาถึงบริเวณข้างกายของซิลเวียเอ่ยขึ้นหากจับสังเกตุให้ดีจะพบว่าในน้ำเสียของกาเล็ทมีความแข็งกร้าวปนอยู่

    กาเล็ทคว้าจับข้อมือของซิลเวียไว้ "กลัวหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงที่ใช้นั้นแตกต่างกับที่ใช้พูดคุยกับเมอร์ลินเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด

    "ก.กาเล็ทเจ้าออกมาจากการฝึนฝนแล้วหรือ" ซิลเวียเอ่ยถาม น้ำเสียงของนางนั้นสั่นเครือ เมื่อครู่หากกล่าวว่าตนเองไม่รู้สึกกลัวก็คงกลายเป็นการโป้ปดแล้ว อันที่จริงแล้วนางรู้สึกกลัวจับใจ ชั่วครู่ที่นางรู้สึกกลัวและหวังพึ่งพิงบิดากับพี่ชายของตนเองให้เข้าช่วยเหลือ ทว่ากลับไม่มีความช่วยเหลือเช่นว่านั้น หนำซ้ำผู้ซึ่งเป็นพี่ชายไม่เพียงไม่ช่วยเหลือหากแต่กลับตวาดใส่นางด้วยเสียงอันดัง

    กาเล็ทซึ่งจับสัมผัสถึงน้ำเสียงที่สั่นเครือของซิลเวียได้ก็กุมมือของนางไว้ "ข้าอยู่ที่นี่แล้วไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัวอีก"

    เมอร์ลินซึ่งสังเกตุเห็นว่าสีหน้าของอังเดรเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจมันก็กัดฟันกรอด "บัดซบ ข้าถามว่าเจ้าเป็นผู้ใดเจ้าไม่ได้ยินหรือ ยังจะกล้าย้อนคำข้าอีก" เมอร์ลินตวาดด้วยเสียงอันดังใส่กาเล็ท

    กาเล็ทหันมองไปที่ต้นเสียงตวาดนั้นพร้อมกับจ้องมองเมอร์ลินอย่างเย็นชา "เจ้าคงเป็นเมอร์ลินสินะ พี่ชายที่เร่ขายน้องสาวเพื่อความสำเร็จของตนเอง ช่างน่าสมเพชนัก" กาเล็ทเอ่ยพร้อมกับยิ้มเหยียดใส่เมอร์ลิน

    "บังอาจเจ้าข้าทาสที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง" เมอร์ลินตวาดใส่อีกครา พร้อมกับหันไปเอ่ยกับราชาเบรุทที่ด้านข้าง "ท่านพ่อ ที่มันบอกว่าเป็นคู่หมั้นของน้องหญิงจริงหรือไม่ แล้วมันคือผู้ใดกันแน่" เมอร์ลินเอ่ยถามราชาเบรุท

    "จะว่าจริงก็ใช่อยู่ แต่ว่าการหมั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นเป็นแต่เพียงสัญญาปากเปล่าเท่านั้น เขาคือกาเล็ทบุสโซ่ บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลบุสโซ่" ราชาเบรุทเอ่ยอธิบาย

    อังเดรได้ฟังดังนั้นมุมปากข้างหนึ่งของมันก็ยกสูงขึ้น ที่มันยังอดทนรอจนถึงตอนนี้ก็มีสาเหตุมาจากว่ามันเดินทางมาเป็นทูต จะอย่างไรทวีปนี้ก็อยู่ในการปกครองของจักรพรรดิ์แดงดังนั้นมันไม่อาจหาเรื่องกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิ์แดงได้ ขณะที่เด็กหนุ่มผู้นี้เดินเข้ามายังห้องโถงแห่งนี้ตัวมันผู้มีระดับพลังถึงขั้นราชาขั้นกลางกลับไม่สามารถจับสัมผัสได้เลย มิหนำซ้ำแม้ว่าจะใช้พลังตรวจสอบถึงระดับพลังของเด็กหนุ่มที่มาใหม่นี้แต่ตัวมันยังไม่สามารถที่จะตรวจสอบความตื้นลึกหนาบางของเด็กหนุ่มได้ยังมีท่าทีซึ่งดูไปไม่เกรงกลัวฟ้ากลัวดินของเด็กหนุ่มทำให้ตัวมันสรุปเบื้องต้นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิ์แดงไม่มากก็น้อยเป็นแน่และที่ตนเองสัมผัสพลังของเด็กหนุ่มไม่ได้คงเพราะเด็กหนุ่มนั้นได้สวมใส่สิ่งป้องกันไว้

    ทางด้านเมอร์ลินที่ได้รับคำอธิบายจากผู้เป็นบิดาก็หลับตาครุ่นคิด จากนั้นมันจึงนึกออกว่าตระกูลบุสโซ่คือตระกูลขุนนางเล็กๆที่ตกต่ำลง "เป็นเพียงขุนนางเล็กๆกลับกล้าสามหาวกับผู้เป็นนายหรือ บัดซบ ท่านพ่อในเมื่อยังไม่ได้จัดพิธีหมั้นหมายก็ยกเลิกไปซะเถอะ ต่อให้จัดแล้วก็ยังคงต้องยกเลิก บุตรชายของตระกูลขุนนางเล็กๆเช่นมันจะไปเที่ยบกับเจ้าชายอังเดรแห่งทวีปเหนือได้อย่างไร"

    กาเล็ทได้ฟังเช่นนั้นก็ส่ายหัวอย่างผิดหวัง ที่ผิดหวังนั้นคือท่าทีของราชาเบรุท ในวันนี้หากเพียงว่าราชาเบรุทยอมที่จะแสดงท่าทีปกป้องบุตรสาวของตนเองสักนิด กาเล็ทก็พร้อมที่จะลืมเลือนเรื่องกินแหนงแคลงใจทุกอย่างที่ผ่านมาและเริ่มปฎิบัติกับราชาเบรุทด้วยดี ทว่าไม่เพียงไม่ปกป้องมันยังเกิดความลังเลใจ ดูจากเมื่อครู่ที่เอ่ยอธิบายเรื่องการหมั้นหมายของตนเองกับซิลเวีย จำเป็นด้วยหรือที่ต้องบอกกกล่าวว่าการหมั้นยังไม่เกิดขั้นในเมื่อสัญญากันแล้วการหมั้นจะเกิดขึ้นแล้วหรือไม่มันก็คือการหมั้น มิใช่มีคำกล่าวที่ว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำหรอกหรือ? สรุปได้เช่นนี้ความโกรธเคืองของกาเล็ทก็พุ่งสูงขึ้น

    "เมอร์ลิน" กาเล็ทเอ่ยชื่อเมอร์ลินออกมาด้วยเสียงอันดัง "ต่อหน้าข้าเจ้ากลับแสดงท่าทางวางอำนาจใหญ่โต หากว่าเจ้าเอาความกล้านั้นมาปกป้องน้องสาวของตนเองสักเสี้ยวหนึ่งคงจะดีไม่น้อย เจ้าเอ่ยว่าเป็นนายของข้าหรือ? ราชวงศ์อย่างพวกเจ้าตั้งตนขึ้นเป็นผู้ปกครองประชาชนเที่ยวเก็บเกี่ยวภาษี รู้หรือไม่ว่าราชวงศ์และประชาชนสมควรดูแลซึ่งกันและกันเสมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า หากว่าประชาชนไม่มีราชวงศ์อย่างพวกเจ้าคอยปกครองพวกเขาก็ยังคงอยู่ได้ด้วยตนเองแต่หากว่าราชวงศ์อย่างพวกเจ้าไม่มีประชาชนเล่า? ราชวงศ์อย่างพวกเจ้าจะยังสามารถอยู่ได้หรือ"

    "เหลวไหล พวกมันล้วนเกิดมาเป็นข้าทาสก็ต้องเป็นข้าทาสอยู่วันยังค่ำ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าหรือไร้สาระ" เมอร์ลินเอ่ยกล่าวความคิดของตนเองออกมาทันควัน

    "ข้าคิดตลอดมาว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปโรฮานคงถึงคราวล่มสลายลงจากระบบการปกครองที่เน่าเฟะสักวันหนึ่ง วันนี้ได้มาเห็นผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงรัชทายาทแห่งโรฮานข้ายิ่งแน่ใจว่าโรฮานคงต้องล่มสลายลงในมือของเจ้าเป็นแน่ ข้าทาสหรือ? อย่างเจ้าอาศัยอะไรมาปกครองผู้คน ที่เบื้องหน้าข้าตอนนี้หาได้เป็นเจ้าชายแห่งอาณาจักรอันใดหากแต่กลับเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งที่พยายามชะเลียเอาใจผู้เป็นนาย" กาเล็ทเอ่ยแดกดันใส่เมอร์ลิน

    คำกล่าวเช่นนี้ของกาเล็ทยากที่เมอร์ลินเจ้าชายแห่งโรฮานนั้นจะยอมรับได้ ไม่เคยมีผู้ใดกล่าวคำเช่นนี้ต่อมันมาก่อน "บัดซบ กล้ากล่าววาจาก้าวล่วงผู้เป็นนายเหนือหัวถึงเพียงนี้ กบฎ กบฎ กบฎแล้ว ทหาร ทหาร" เมอร์ลินร่ำร้องออกมา

    "ท่านพี่ ท..ทุกสิ่งที่กาเล็ทกล่าวล้วนเป็นความจริง เขาหาได้มีจิตเจตนาคิดกบฎ" ซิลเวียเอ่ย

    "หุบปาก" เมอร์ลินตวาดใส่ซิลเวียทันควันส่งผลให้ร่างเล็กเกิดอาการสั่นไหวเล็กน้อย "ยังไม่แต่งให้กับมันเจ้าก็เข้าข้างมันแล้ว หากว่าแต่งให้กับมันแล้วเจ้าจะไม่ยกประเคนเองบัลลังก์ของข้าให้กับมันเลยหรือ"

    แต่แล้วอยู่ๆก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น แปะ แปะ แปะ "เมอร์ลินอย่าได้ร้อนใจไป จะอย่างไรข้าอังเดร สโตนฮาทก็เดินทางมายังโรฮานเพื่อเป็นทูตสานสัมพันระหว่างสองอาณาจักร เช่นนั้นก็ให้ข้าออกหน้าทำหน้าที่ทูตที่ดีโดยการยื่นมือช่วยเหลือโรฮานปราบกบฎเถอะ"

    กาเล็ทซึ่งได้ฟังเช่นนั้นก็หันไปทางอังเดร "เจ้าสินะคือแขกพิเศษ เจ้าชายอังเดรแห่งทวีปเหนือ"

    "เป็นข้าเอง" อังเดรกล่าวยิ้มแย้ม สถานการณ์ต่างๆนั้นช่างเป็นใจสำหรับมัน ถึงแม้ว่ามันจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวตลอดมาแต่อันที่จริงแล้วมันยังขวัญกล้าไม่พอที่จะก่อเรื่องราวใหญ่โตขึ้น บิดดาของมันจักรพรรดิ์แห่งทวีปเหนือนั้นเป็นบุคคลที่เคร่งในพิธีรีตรองยิ่ง การเดินทางมาเป็นทูตของมันในครานี้บิดาของมันก็รู้เห็นด้วย หากว่ามันก่อเรื่องขึ้นมันก็ต้องถูกผู้ซึ่งเป็นบิดาตำหนิ นี่จึงเป็นสาเหตุที่มันอดทนอดกลั้นเป็นเวลานานยืนฟังการโต้ตอบระหว่างกาเล็ทและเมอร์ลิน ทว่าเมื่อสถานการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้ตัวมันก็สามารถยกข้ออ้างที่ว่าช่วยโรฮานปราบกบฎมาบังหน้าเพื่อเป็นการลงมือต่อกาเล็ท เด็กหนุ่มที่บังอาจเกาะกุมมือของสตรีซึ่งมันหมายปองต่อหน้ามัน

    "อังเดรขอเตือนเจ้าว่าจะแสดงท่าทีใดต่อจากนี้ไปคิดให้จงหนัก เพราะหากว่าลงมือกระทำสิ่งใดไปแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลที่จะตามมาได้" กาเล็ทเอ่ย

    "เด็กน้อย อย่าได้วางท่าทางใหญ่โตต่อหน้าข้า รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด? บิดาของข้าเป็นเป็นผู้ใด? ยิ่งใหญ่เพียงใด หืมม เงาหัวของตัวเองจะหลุดออกจากบ่าเมื่อไหล่ก็ไม่อาจจะทราบได้ยังกล้าวางท่าทางใหญ่โตอีกหรือ" อังเดรกล่าว

    "ปล่อยมือของเจ้าจากสตรีขององค์ชาย" ข้ารับใช้ซึ่งมีพลังระดับราชาขั้นสูงของอังเดรก้าวเท้าออกมาชี้มายังกาเล็ทเพื่อออกคำสั่ง

    กาเล็ทเมื่อได้ฟังก็เผยรอยยิ้มเยาะออกมา "พวกเจ้าละเมอเพ้อฝันอยู่หรือ? สตรีขององค์ ผายลม ไม่ทราบว่าพวกเจ้าอาศัยอะไรมากล่าวว่านางเป็นสตรีของนายเจ้า นางเป็นคู่หมั้นข้า ข้ารักนาง และนางก็มีใจให้ข้า ข้าไม่เพียงจะไม่ปล่อยมือแต่จะกอดนางไว้ไม่ปล่อย" กล่าวจบกาเล็ทก็คว้าตัวของซิลเวียเข้ามากอดไว้ "ซิลเวียอย่าได้เป็นกังวลไป หากว่าบิดาเจ้าลังเลใจที่จะปกป้องเกียรติของเจ้า พี่ชายเจ้าพร้อมที่จะขายเจ้าทิ้งเพื่อยศฐาและอำนาจ ข้าอยากจะให้เจ้าได้รับรู้ไว้ว่าต่อให้โลกทั้งใบทอดทิ้งเจ้า ข้าจะเป็นผู้ยืนหยัดขึ้นมาปกป้องเจ้าจากนี้และตลอดไป" กาเล็ทเอ่ยกับซิลเวีย

    "อืม" ซิลเวียส่งเสียงแผ่วเบาตอบกลับมา ในอ้อมกอดของกาเล็ทนางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น นางรู้สึกปลอบภัย นี่คือความรู้สึกที่นางโหยหาต้องการมาตลอด ความรู้สึกที่จะมีผู้ยืนหยัดขึ้นเพื่อปกป้องตนเอง

    เห็นภาพที่เบื้องหน้าซึ่งบาดตาบาดใจ สตรีที่มันหมายปองกลับถูกโอบกอดด้วยชายอื่นอยู่ทำให้อังเดรไม่อาจอดทนรอได้อีกต่อไป "เจ้าถามว่าอาศัยอะไรหรือข้าจะตอบให้ อาศัยพลังของข้า" กล่าวจบอังเดรก็ฟันมือออกส่งผลให้เกิดคลื่นพลังจิตวิญญาณระดับราชามุ่งตรงเข้าหากาเล็ทและซิลเวียอย่างรวดเร็ว

    ทางด้านราชาเบรุทและเมอร์ลินที่เห็นเหตุการณ์อย่างชัดตาก็แสดงสีหน้าตกใจถึงขีดสุดออกมา ด้วยคลื่นพลังนี้ต่อให้ตัวมันที่มีพลังถึงระดับ 8 และ 9 หากว่าเปลี่ยนเป็นมันที่เป็นเป้าหมายหากว่าโดนเข้าไปไม่ตกตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ยังมีผู้ที่เป็นเป้าหมายของคลื่นพลังนี้มีน้องหญิงของมันที่อ่อนแอรวมอยู่ด้วย หากว่าน้องหญิงของมันตกตายไปข้อตกลงทุกอย่างที่มันวาดฝันไว้ก็ต้องจบสิ้นพังทลายลงในพริบตา

    ทว่ากาเล็ทซึ่งกำลังกอดซิลเวียอยู่นั้นไม่ได้แสดงอาการหวั่นไหวออกมากับการจู่โจมด้วยคลื่นพลังของอังเดรเลยแม้แต่น้อย มุมปากของกาเล็ทปรากฎร้อยยิ้มขึ้น รอยยิ้มของการหยามดูแคลน "เอ่ยอ้างตนว่าอยู่เหนือกว่าผู้อื่นหากแต่กลับลงมือกับสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง" เพียงแค่สบัดมือข้างหนึ่งคราเดียวคลื่นพลังที่พุ่งตรงมาหาตนเองอย่างดุดันเมื่อครู่ก็สลายหายไปประหนึ่งว่าไม่เคยมีอยู่

    "บิดาเจ้าสอนเรื่องการสร้างคลื่นพลังจากจิตวิญญาณรอบตัวแต่ไม่เคยสอนเรื่องการควบคุมพลังหรือ ที่ว่าการจู่โจมด้วยคลื่นพลังสมควรเป็นเช่นนี้จึงถูกต้อง" กล่าวจบกาเล็ทก็ฟันมือข้างเดิมที่ใช้ปัดป้องคลื่นพลังของอังเดรลงในแนวตั้งส่งผลให้ก่อเกิดคลื่นพลังจากจิตวิญญาณเข้มข้นมุ่งตรงกลับไปยังบริเวณที่อังเดรยืนอยู่พร้อมกับสองผู้คุ้มกัน คลื่นพลังนี้ไม่เพียงตัดผ่านอากาศมุ่งตรงไปหากลุ่มของอังเดร อานุภาพของมันยังตัดฝ่าพรมแดงที่ปูอยู่บนพื้นห้องโถงให้ขาดออก แควกกกกก เสียงของพรมแดงที่ขาดออกเป็นทางตั้งแต่จุดที่กาเล็ทยืนอยู่ไล่ไปหากลุ่มของอังเดรอย่างรวดเร็ว

    เมื่อได้เห็นถึงอานุภาพของคลื่นพลังที่พุ่งมา ดวงตาของอังเดรและผู้ติดตามทั้งสองก็เบิกโพรง สองผู้ติดตามกระโดดมาขวางกั้นยังเบื้องหน้าของผู้เป็นนายไว้โดยทันที พวกมันเร่งเร้าพลังของตนเองจนถึงขีดสุดเพื่อช่วยกันต้านรับสลายคลื่นพลังที่พุ่งมา ซูมมม เสียงของพลังจิตวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นเป็นโล่คุ้มกายปะทะเข้ากับคลื่นพลังที่พุ่งเข้าใส่ อย่างยากเย็นในที่สุดสองผู้คุ้มกันก็สามารถสลายคลื่นพลังของกาเล็ทไปได้

    "ลงมือ ไม่ว่าเป็นหรือตายก็ต้องนำร่างของนางมาให้แก่ข้า ส่วนเด็กน้อยนั่นฆ่าไม่ต้องละเว้น" อังเดรออกคำสั่งด้วยความโกรธ จะไม่ให้มันโกรธได้หรือเมื่อครู่ตัวมันมิใช่พึ่งเสื่อมเสียหน้าครั้งใหญ่?

    สิ้นคำสั่งร่างของผู้ติดตามคุ้มกันของอังเดรทั้งสองคนก็แยกออกเป็นหนึ่งซ้ายหนึ่งขวากลายเป็นเงาร่างสองสายแยกกันพุ่งตรงกระนาบเข้าหากาเล็ท

    "มังกรดื้อ ในเมื่อมาแล้วก็ออกมาช่วยปะป๋าเถอะ พี่สาวซิลเวียโดนรังแกปะป๋าต้องคอยดูแลคงไม่ว่างจัดการกับโจรร้าย"ไม่แม้แต่จะตั้งท่าป้องกันรับมือหากแต่กาเล็ทกลับเอ่ยถ้อยคำที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจในความหมายได้ออกมา

    สิ้นเสียงของกาเล็ทก็มีเงาร่างสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจากทางเข้าของห้องโถง ความรวดเร็วของเงาร่างนี้รวดเร็วกว่าความเร็วของผู้ติดตามทั้งสองของอังเดรนับสิบๆเท่า

    ตุบ ตุบ เกิดเสียงกระทบกันขึ้นสองคราติดๆกัน

    ในขณะที่ผู้ติดตามทั้งสองของอังเดรซึ่งมีพลังระดับราชาขั้นสูงและขั้นกลางแยกกันเป็นหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาผสานกันจู่โจมเพื่อปิดทางหนีของกาเล็ท ขณะที่พวกมันทั้งสองทุ่มสมาธิทั้งหมดของตนเองไปที่การจู่โจมอย่างไม่ระวังป้องกัน จู่ๆพวกมันทั้งสองกลับรู้สึกว่าร่างของตนเองถูกกระแทกเข้าอย่างแรงคราหนึ่งจากนั้นภาพที่มองเห็นก็หมุนคว้างไป ยังไม่ทันที่จะเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นสติของพวกมันก็มืดดับไป ดับไปตลอดกลาล

    มังกรดื้อที่กาเล็ทเอ่ยถึงย่อมเป็นใครไปไม่ได้เสียนอกจากมิร่า มิร่านั้นลงมือทีหลังกลับสามารถเข้าถึงตัวของสองผู้คุ้มกันของอังเดรได้ก่อนสิ่งนี้แสดงออกถึงความเร็วที่มากกว่าสองผู้คุ้มกันของอังเดรหลายสิบเท่า ด้วยระดับพลังของมิร่าในตอนนี้การสังหารผู้มีพลังระดับราชาย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น อีกทั้งยังเป็นการลงมือต่อผู้ที่เปิดช่องว่างอย่างไม่ระมัดระวังตัว ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่มิร่าจะสามารถสังหารระดับราชาทั้งสองได้ภายในการเคลื่อนไหวเดียว

    "ไม่ได้ดื้อนะ มังกรน้อยไม่ได้ดื้อนะ" ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดกลับมีร่างของเด็กหญิงตัวน้อยปรากฎขึ้นมาเกาะแข้งขาของกาเล็ทไว้พร้อมกับแสดงสีหน้าซึ่งแสดงออกถึงความกังวลใจออกมา

    "มิใช่บอกให้อยู่บ้านดูแลท่านย่าหรือ" กาเล็ทเอ่ย

    "ก็ท่านย่าเป็นห่วงปะป๋า เลยบอกให้มิร่าตามมาดู มิร่าก็ตามมา ไม่ใช่เด็กดื้อนะ ไม่ใช่" มิร่าเอ่ย


    ทางด้างอังเดรที่เห็นว่าผู้ติดตามทั้งสองของตนเองถูกสังหารอย่างง่ายดาย ร่างกายของมันก็สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ดวงตาของมันเบิกโพลง เท้าของมันก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว มันแน่ใจว่าผู้ที่ลงมือเมื่อครู่ต้องเป็นเด็กหญิงที่พึ่งปรากฎตัวขึ้นไม่ผิดแน่ ความเร็วและพลังระดับนี้ พลังระดับที่มันคุ้นเคย พลังที่ระดับเดียวกับที่มันรู้สึกได้จากผู้เป็นบิดา พลังระดับจักรพรรดิ์ "ม... ไม่จริง ต้องไม่ใช่เรื่องจริง จะไปมีระดับจักรพรรดิ์ที่ข้าไม่รู้จักในอาณาจักรเล็กๆเช่นนี้ได้ยังไงกัน" อังเดรกล่าวพึมพำกับตนเองอย่างแผ่วเบา ทว่าราชาเบรุทกับเมอร์ลินกลับสามารถได้ยินอย่างชัดเจน




    "มิร่าเก่งไหมเก่งไหม" มิร่าซึ่งกอดแข้งกอดขอของกาเล็ทอยู่เอ่ยถามเพื่อรอรับคำชมเชย

    "มิร่ามาอยู่ที่นี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านย่าจะทำยังไงล่ะ" กาเล็ทเอ่ยถามขึ้น

    "ไม่มีหรอก มิร่าตรวจดูแล้วนะ คนที่มีพลังสูงพอที่จะเป็นอันตรายต่อลุงหัวล้านได้ก็มาอยู่ที่นี่หมดแล้ว มิร่าไม่ปล่อยให้หลุดรอดออกจากที่นี่ได้หรอก ไม่เป็นราย" มิร่าเงยหน้าเอ่ยตอบ

    "พี่สาวซิลเวียโดนรังแกตอนพวกเราไม่อยู่ด้วย มิร่าว่าควรทำยังไงดี" กาเล็ทเอ่ยถามขึ้น สำหรับกับกาเล็ทสถานการณ์ในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นกังวลแต่อย่างไร จึงเป็นเหตุให้กาเล็ทผ่อนคลายลงและเอ่ยถามหยอกล้อกับมิร่าเช่นนี้

    "ใครหรอ ใครรังแกพี่สาว พี่สาวบอกมิร่า ใครรังแกพี่สาว" มิร่าหันไปเอ่ยถามซิลเวียที่ถูกกาเล็ทโอบกอดอยู่

    เมื่อได้ฟังซิลเวียก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดเช็ดน้ำตาของตนเองพร้อมทั้งดันร่างของตนเองให้ผละออกจากอ้อมกอดของกาเล็ท นางยกมือขึ้นชี้ไปยังอังเดรซึ่งกำลังยืนตกตะลึงอยู่

    "ข.ข้าไม่" อังเดรพยายามจะเอ่ยถ้อยคำเพิื่อปฎิเสธออกมาแต่แล้วมันก็เปลี่ยนใจเสียกลางคัน "ม..แม่หนู เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดบุคคลเช่นแม่หนูจึงได้มาอยู่ในอาณาจักรเล็กๆเช่นนี้กัน"

    กาเล็ทได้ยินคำถามของอังเดรก็ส่ายหัวอย่างเอือมระอา "มังกรดื้อ มีคนถามน่ะตอบเขาไปสิ" กาเล็ทเอ่ยขึ้น

    "งือ ไม่ได้ดื้อนะมิร่าไม่ได้ดื้อ" มิร่าแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาเมื่อได้ฟังว่ากาเล็ทยังคงเอ่ยเรียกตนว่ามังกรดื้อ จากที่นางเข้าใจได้คือเด็กดื้อคือเด็กไม่ดี กาเล็ทไม่ชอบเด็กไม่ดี ดังนั้นมังกรดื้อก็ต้องไม่ดีและกาเล็ทก็ต้องไม่ชอบใจ จึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะแสดงความกังวลใจออกมาให้ได้เห็น

    ทางด้านอังเดรนั้นเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจของมันก็เกิดความหวังขึ้น "หืมเจ้าโง่ มีของดีอยู่กับตัวแต่กับไม่รักษาไว้" นั่นคือสิ่งที่อังเดรคิด จากนั้นมันจึงเปิดปากเอ่ยคำขึ้น "แม่หนูเจ้าชื่อมิร่าใช่หรือไม่ ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผู้มีความสามารถเช่นเจ้าต้องมาจมปลักอยู่ในอาณาจักรเล็กๆเช่นนี้ เอาเช่นนี้เป็นอย่างไรหากว่าเจ้ามาอยู่กับข้า ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี ข้ามีข้ารับใช้มากมาย มีบ้านหลังใหญ่ มีดินแดนมากมายที่อยู่ใต้อาณัติ หากว่าแม่หนูมิร่ามาอยู่ข้างกายข้า ข้าจะยกให้แม่หนูทั้งหมดเลยเป็นอย่างไร" บัดนี้ความหยิ่งทรนงของอังเดรที่เคยมีหายไปจนหมดสิ้น น้ำเสียงที่มันใช้ออกมันก็พยายามดัดเสียงให้ดูเป็นมิตรที่สุดเท่าที่มันเคยทำมาในชีวิตนี้ เหตุที่มันยอมกระทำถึงเพียงนี้ก็เพราะว่ามันรู้ดีว่าความเป็นความตายของมันขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ เด็กหญิงตัวน้อยที่เบื้องหน้ามันสามารถลงมือสังหารผู้ติดตามคุ้มกันมันได้ในพริบตาถึงสองคนแล้วนับประสาอะไรกับตัวมันที่มีพลังไม่ต่างกันเล่า?

    "มีดินแดนเยอะแยะเลยหรอ มีข้ารับใช้เยอะแยะเลยใช่ไหม" มิร่าเอ่ยกล่าวขึ้นนางทำท่าเหมือนขบคิดไปชั่วขณะจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาถามกาเล็ท "ปะป๋า ถ้าหากว่ามิร่าตกลงที่จะไปอยู่กับเจ้ามนุษย์นั่นปะป๋าจะทำยังงาย จะยอมให้มิร่าไปไหม"

    กาเล็ทได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่งจากนั้นจึงคลายมือออกจากการกุมมือซิลของซิลเวียและก้มลงอุ้มร่างเล็กขึ้นมา "อืมมม จะทำยังไงดีน้า ทำยังไงดี ให้ไปดีหรือเปล่านะ"

    เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงที่เบื้องหน้าดูเหมือนจะรู้สึกสนใจในข้อเสนอของตนเองอังเดรก็รู้สึกมีความหวังขึ้นยิ่งกว่าเดิม "แม่หนูมิร่าอย่าได้ไปสนใจมัน มันไม่มีพลังพอที่จะห้ามปรามเจ้าได้ มันไม่มีค่าพอ หากว่าเจ้าต้องการสิ่งใดข้าจะหามาให้ หากว่าติดตามข้าเจ้าจะได้ทุกสิ่ง"

    ได้ฟังคำกล่าวของอังเดรที่ดูเป็นจริงเป็นจังกาเล็ทก็ถึงกับส่ายหัวออกมาคราหนึ่ง คิดจะล่อลวงบุตรสาวของผู้อื่นในลักษณะนี้มันไม่ดูไร้เหตุผลไปหรือ ช่างไร้สาระนัก กาเล็ทหอมแก้มมิร่าฟอดใหญ่จากนั้นจึงเอ่ยกล่าว "จะมีพ่อคนไหนยอมให้บุตรสาวที่น่ารักอย่างมิร่าไปกับคนอื่นได้ล่ะหืม ถ้ามิร่าอยากไปอยู่กับเจ้าอังเดรนั่นจริงๆปะป๋าจะจับตีก้นจนเปลี่ยนใจเลย" กาเล็ทเอ่ย


    เมื่อเอ่ยจบประโยคร่างของมิร่าก็เปลี่ยนไปอยู่ในร่างของมังกรทันที นางแลบลิ้นโลมเลียใบหน้าของกาเล็ทจนทั่วด้วยความรู้สึกยินดี นางรู้สึกยินดีจนไม่อาจควบคุมตนเองให้อยู่ในร่างของเด็กหญิงได้อีกต่อไป

    "เดี๋ยวเถอะนะ บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าไม่ได้อยู่ในบ้านของเราให้ควบคุมตัวเองให้ดีน่ะ แบบนี้จะไม่ให้เรียกว่ามังกรดื้อได้ยังไงหืม" กาเล็ทเอ่ยดุอีกคราหนึ่ง

    "ฮี ฮี่ ฮี่ ฆ่าให้หมด มิร่าจะฆ่าให้หมดแค่นี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วนะ ฮี ฮี่ มิร่าดีใจจังเลย ปะป๋าไม่ยกมิร่าให้กับคนอื่น " มิร่าส่งเสียงตามสัญญาโบราณมายังกาเล็ท

    ได้ฟังเช่นนั้นกาเล็ทก็ส่ายหัวออกมาอีกคราหนึ่งเด็กน้อยนี่ไม่ทราบว่ารู้จักลองใจผู้คนตั้งแต่เมื่อใด

    ได้เห็นมิร่าเปลี่ยนร่างเป็นมังกรต่อหน้าต่อตา ทั้งราชาเบรุท ทั้งเมอร์ลินและอังเดรก็แสดงอาการตกใจอีกคราหนึ่งออกมา จะว่าไปแล้วเพียงแต่วันนี้วันเดียวพวกมันกลับเกิดอาการตกใจมากเสียกว่าทั้งชีวิตของตนเองรวมกันเสียอีก

    "อสูรสงคราม ?" อังเดรเอ่ยพึมพำกับตนเองเมื่อเห็นว่ามิร่าเปลี่ยนร่างกลายเป็นสัตว์อสูร แต่แล้วมันก็เปลี่ยนความคิด อสูรสงครามที่มันรู้จักไม่เคยมีตัวใดที่ทรงพลังเช่นนี้มาก่อนและมันก็ไม่เคยได้ยินมาว่ามีอสูรสงครามตัวใดมีความสามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์และมีสติปัญญาเช่นเด็กหญิงที่เบื้องหน้านี้

    กาเล็ทยกมือขึ้นตบก้นของมิร่าเบาๆคราหนึ่ง "กลับเป็นร่างมนุษย์เถอะ จะอย่างไรก็มีคนรอคำตอบมิร่าอยู่นะจะไปอยู่กับเขาไหมก็ให้คำตอบเขาสิ เขาจะได้ไม่ต้องรอ"

    มิร่าที่ได้ฟังและกำลังแกว่งไกวหางไปมาด้วยความยินดีก็กลับเป็นร่างมนุษย์ตามที่กาเล็ทบอก "ไม่ไป ต้องไม่ไปอยู่แล้ว ต่อให้ปะป๋าไล่ก็ไม่ไปหรอกนะ เจ้ามนุษย์นั่นไม่เห็นจะมีอะไรดีเลยนะ เทียบกับปะป๋ากาเล็ทไม่ได้หรอก เจ้ามนุษย์นั่นน่ารังเกียจ ทั้งแววตาทั้งน้ำเสียงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความโลภ ฆ่าทิ้งเลยนะ ฆ่าทิ้งเลยได้ไหมปะป๋า" มิร่าเอ่ยกล่าวบอกคำตอบของตนเองออกไป พอมาถึงช่วงท้ายนางกลับร้องขอเสมือนว่าร้องขอของเล่นชิ้นหนึ่งกับกาเล็ทหากแต่ว่าสิ่งที่นางร้องขอหาใช่ของเล่นแต่เป็นชีวิตของเจ้าชายแห่งทวีปเหนือผู้หนึ่ง

    ได้ฟังคำกล่าวของมิร่าใบหน้าของอังเดรก็บิดเบี้ยวไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง "ช ช้าก่อน" มันเอ่ยคำกล่าวออกมาด้วยเกรงกลัวว่ากาเล็ทจะพยักหน้าให้กับคำขอช่วงท้ายของเด็กหญิง หากว่าเด็กหนุ่มพยักหน้าชีวิตของมันคงต้องหลุดลอยไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงแล้ว

    "จ เจ้าไม่อาจสังหารข้า ข้าเป็นทูตที่เดินทางมา ตามธรรมเนียมไม่ว่าจะอย่างไรไม่สมควรลงมือต่อผู้เป็นทูต" อังเดรเอ่ยขึ้น

    "เช่นนั้นทูตที่เดินทางมาสามารถสังหารผู้คนได้ตามอำเภอใจหรือ เจ้าชายแห่งทวีปเหนือช่วยไขข้อกระจ่างแก่ข้าที" กาเล็ทเอ่ยถามกลับไปทันควัน

    "ข. ข้ายินดี ยินดีที่จะขออภัยต่อนาง ต่อคู่หมั้นของเจ้า เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกันอย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังไป" มันกล่าวพร้อมกับหันไปมองยังเมอร์ลินและราชาเบรุทซึ่งยืนอยู่ สายตาของมันส่อเป็นนัยว่าให้ทั้งสองคนช่วยออกหน้าพูดให้แก่มันอีกแรงหนึ่งด้วย

    "นี่ท่านล้อเล่นอยู่หรืออังเดร ข้าใช่บอกกล่าวต่อท่านแล้วหรือไม่ว่าจะแสดงท่าทีใดให้คิดอย่างรอบคอบเพราะหากกระทำสิ่งใดลงไปแล้วก็ไม่อาจหวนกลับคืนได้อีก บิดาท่านซึ่งเป็นถึงจักรพรรดิ์แดนเหนือไม่เคยสอนท่านไว้หรือว่าหากคิดจะสังหารผู้คนก็ต้องเตรียมใจที่จะถูกผู้คนสังหารไว้ด้วย" กาเล็ทเอ่ยกล่าว

    อังเดรเมื่อได้ฟังก็ก้าวถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว "จะอย่างไรเจ้าไม่อาจสังหารข้า ข้าเป็นถึงบุตรแห่งจักรพรรดิ์แดนเหนือ หากว่าเจ้าสังหารข้า บิดาของข้าต้องไม่นิ่งเฉยแน่ ขอเพียงปล่อยข้าไปข้าจะไม่กลับมายุ่งวุ่นวายกับโรฮานอีก" ตอนนี้มันรู้สึกกลัวแล้ว กลัวอย่างจับใจ ตัวมันไม่คาดคิดว่าก่อนเลยว่าการเดินทางมายังอาณาจักรเล็กๆเช่นโรฮานในวันนี้จะเกิดภัยคุกคามถึงชีวิตของมันได้ สุดท้ายแล้วมันจึงงัดเอาไพ่ใบสุดท้าย สิ่งนี้ไม่ว่าตัวมันจะตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเพียงใดขอเพียงมันเอ่ยกล่าวบอกออกไปมันก็จะสามารถรอดพ้นมาได้ทุกครั้งไป

    "อังเดร ท่านคิดว่าข้าโง่งมหรือ ดูจากนิสัยของท่านมีหรือที่ท่านจะปล่อยวางความแค้นครั้งนี้ได้ หากข้าปล่อยท่านไปอาจบางทีท่านอาจจะทำอย่างที่ท่านพูดจริง แต่โอกาสที่ท่านจะกลับไปแจ้งข่าวต่อบิดาท่านและยกกำลังพลกลับมาพร้อมบิดาท่านมิใช่จะมีมากมายกว่าหรอกหรือ? ขอบอกต่อท่านอังเดรต่อให้ในวันนี้บิดาท่านอยู่ที่นี่ด้วยท่านยังคงต้องตกตาย ทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?" กล่าวจบร่างของกาเล็ทก็พุ่งทะยานเข้าหาอังเดรซึ่งยืนอยู่บนแท่นบัลลังก์ทันที

    อังเดรจะอย่างไรก็เป็นเจ้าชายแห่งทวีปเหนือเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่อาจกอบกู้แก้ไขแล้ว ก็ตั้งท่าต่อสู้ขึ้นหากว่าผู้ที่ลงมือไม่ใช่เด็กหญิงที่น่าสะพรึ่งนั่นหากแต่กลับเป็นเด็กหนุ่มที่พุ่งทะยานเข้ามาซึ่งมันคาดคิดว่ามีระดับพลังใกล้เคียงกับตนเองก็ยังพอมีหวัง หากว่ามันสามารถสังหารเด็กหนุ่มผู้นี้ลงได้อาจบางดีเด็กหญิงนั้นอาจจะเปลี่ยนใจมาอยู่กับมันก็เป็นได้

    มันปลอบประปลุกจิตใจฮึดสู้ของตนเองขึ้น ตอนนี้มันยืนอยู่ในที่สูงอยู่ในจุดที่นับว่ามีเปรียบกว่าอีกทั้งเด็กหนุ่มยังพุ่งทะยานเข้าหามันด้วยความประมาท หากว่าจับจังหว่ะการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มให้ดีและทุ่มพลังทั้งหมดของตนเองในการจู่โจมครั้งเดียวมันก็จะสามารถผ่าร่างของเด็กหนุ่มนี้ให้ขาดออกเป็นสองเสี่ยงได้ด้วยปราณดาบที่สร้างขึ้นจากพลังจิตวิญญาณ มันพลันรวบรวมสมาธิจ้องมองการเคลื่อนไหวของกาเล็ทไม่ให้หลุดรอดสายไป "ตาย" ดวงตาของมันเป็นประกายเมื่อมองเห็นจังหว่ะลงมือ พร้อมกับเสียงคำรามก้องที่มันตวาดออกมามือของมันก็ประกับเข้าหากันก่อเกิดกระแสจิตวิญญาณเข้มข้นสูงเป็นลำพวยพุ่งขึ้นฟาดฟันใส่กาเล็ท

    ฟับ เสียงดาบซึ่งสร้างขึ้นจากพลังจิตวิญญาณเข้มข้นฟันถูกแต่เพียงอากาศธาตุ ร่างของเด็กหนุ่มที่เป็นเป้าหมายกลับหายวับไปในจังหว่ะที่มันคิดว่าตนเองเป็นผู้กำชัยไว้แน่แท้แล้วส่งผลให้หัวสมองของมันอื้ออึงอย่างไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดการจู่โจมของมันจึงพลาดเป้าได้

    "มิใช่บอกแล้วหรอกหรือว่าต่อให้บิดาของเจ้าอยู่ที่นี่ด้วยเจ้าก็ยังคงต้องตกตายอังเดร" เสียงแว่วขึ้นที่ข้างหูของมัน อังเดรตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนกแต่แล้วจู่ๆมันกลับพบว่าภาพเบื้องหน้าหมุนคว้างไป กลับเกิดเรื่องประหลาดขึ้นกับมันเรื่องหนึ่ง อยู่ๆมันกลับพบเห็นร่างของตนเองยืนจังก้าอยู่ ร่างที่ไร้ศรีษะของตนเอง! "เพราะข้าเองก็มีพลังระดับจักรพรรดิ์" เสียงสุดท้ายที่มันจะได้ยินในชีวิตดังแว่วเข้ามาในหูของมันก่อนที่สติของมันจะมืดดับตลอดกาล


    ปล.เหมือนว่าจะมีงานวิจัยหนึ่งออกมาแล้วเน้อว่าต่อให้ถูกตัดหัวลงผู้ถูกตัดหัวก็จะยังมีสติและรับรู้ถึงเรื่องราวได้ก่อนตายจริงอยู่หลายวิ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×