ตอนที่ 8 : กล้าหาญ
ผมโดนปลุกขึ้นมากินยาสมุนไพรที่เฟริซ่าปรุงมาให้หลังจากนอนหลับไปสักพัก ผมมองเห็นในถ้วยยามีหนอนด้วงตัวใหญ่เท่านิ้วโป้งมีขนยาวยุบยับดิ้นไปมา
"ผมไม่เป็นไรแล้ว"
ผมรีบตอบกลับเธอ คิดจะให้ผมกินไอ้หนอนขนดกนี้นะเหรอ ไม่ทาง
"นายต้องกิน ถ้าไม่ยอมกิน ฉันเป็นคนจัดการให้เอง"
เฟริซ่าฉีกยิ้มหวานถือถ้วยยาน่าสะอิดสะเอียนมุ่งมาทางผม
"เธอบ้าไปแล้ว หนอนตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ใครจะไปกินได้แค่เห็นมันดิ้นไปมาก็อ้วกจะอยู่แล้ว ไม่นะ เฟริซ่า ม่ายย"
ผมร้องขอชีวิตราวกับนักโทษที่กำลังจะโดนประหาร ก่อนจะโดนเธอจัดการบังคับให้กินจนหมดแล้วก็โดนเธอจับถอดเสื้อเช็ดตัว
"เจ้าตัวเล็กคงจะเจ็บมากเลยสินะเพราะเจ้านายของแกเป็นหมาหื่นแกก็เลยต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ฮ่าๆ"
เฟริซ่าบ่นพึมพำขณะที่กำลังเช็ดตัวให้ผม
เยมะ: "ยัยโรคจิตเอ๊ย แล้วสมุนไพรหนอนยักษ์พวกนี้มันใช้ได้จริงหรือเปล่าเนี่ย? แหวะคิดแล้วอยากจะอ้วก นี่ยังรู้สึกได้ถึงหนอนติดอยู่ในปากอยู่เลย"
เฟริซ่า: "ไม่ต้องเป็นห่วงนะถ้านายตาย นายจะอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป"
เยมะ: "เฮ้ย เอาดีๆ สิไม่ใช่ว่าเธอใช้ผมเป็นหนูลองยาหรอกนะ"
ผมคิดว่าเธอยังโกรธผมเรื่องที่ลำธารอยู่แหง๋เลย
เฟริซ่า: "นายคิดมากไปเองฉันไม่แกล้งหรอกน่า แต่เอาจริงๆ มันก็สนุกดีนะ"
เยมะ: "ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ"
ว่าละเฟริซ่าโกรธอยู่จริงๆสินะ
ผมทิ้งตัวนอนลง เอาหัวไปหนุนตักของเธอที่กำลังนั่งอยู่
เฟริซ่า: "อะไรอีกล่ะทีนี้? "
เยมะ: "เล่าเรื่องของเธอให้ฟังหน่อยสิ"
เฟริซ่า:"แทนที่จะสนใจเรื่องที่จำเป็นสำหรับนาย กลับมาถามเรื่องของฉันแทนนี้นะ? เอางี้และกัน ฉันจะอธิบายเรื่องที่ สำคัญให้"
จากที่ฟังเธอเล่ามา พอจะสรุปได้ว่า
โลกแห่งนี้เป็นโลกแฟนตาซี ที่หาอ่านตามฉบับนิยายทั่วๆ ไป นอกจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่คล้ายกับมนุษย์อย่างเช่น มนุษย์สัตว์ คนแคระ เอลฟ์ ยังมีมอนสเตอร์อีกหลายๆ อย่าง ทางด้านเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ค่อนข้างจะล้าหลัง แต่จะหนักไปทางคิดค้นการใช้เวทย์มนต์และไอเท็มเวทมนตร์ มาทดแทนมากกว่า ทวีปนี้มีชื่อ'พาเชียร์'แยกเป็นประเทศต่างๆ และประเทศก็ประกอบด้วยเมืองต่างๆ โดยมีเหล่าขุนนางเป็นผู้ปกครอง ส่วนประชากรส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนธรรมดาชนกับทาส และการซื้อขายทาสของที่นี่ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย!
หลังจากที่ฟังสักพัก ทำให้ผมได้รู้ว่าที่นี่ยังเป็นโลกที่ป่าเถื่อน นอกจากการค้าทาสแล้ว กฎของโลกนี้คือ ใครดีใครได้ใครแข็งแกร่งได้ครอบครองทำให้เกิดสงครามแย่งชิงดินแดนกันอยู่ตลอด การเกิดโรคระบาดที่ไม่มียารักษา มอนสเตอร์อาละวาด และปัญหาความอดอยาก คนทั่วไปมีอายุเฉลี่ยแค่40ปีเท่านั้น หากเป็นคนที่ร่ำรวยก็จะมีอายุเฉลี่ยเพิ่มเป็น50ปี
พอได้ผมได้ฟังถึงตรงนี้แล้ว ผมก็อยากหาทางกลับไปโลกเก่าทันที คนธรรมดาแบบผม ที่ไม่ได้เป็นผู้กล้า ไม่ได้รับพรใดๆ จากเทพธิดาหรือสกิลโกงๆ จากพระเจ้า จะไปทำอะไรได้?"
เฟริซ่ามีวิธีส่งผมกลับไปไหม"
"กลับ? กลับไปไหนละ?"
"ไม่รู้สิ ผมมาที่นี่ได้ยังไงยังไม่รู้เลย แต่ผมจำสถานที่อยู่ก่อนหน้านี้ได้ มันสะดวกสบาย และก็สงบสุข ไม่มีทาส ไม่มีสงครามหรือการฆ่าฟันกัน"
"นายมาจากสรวงสวรรค์หรือยังไง ของแบบนั้นมันมีแต่ในคำสอนของศาสนาหลอกเด็กเท่านั้นละ"
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมเองก็ถอดใจ ในเมื่อกลับไม่ได้ งั้นก็ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ที่นี่
"อย่างแรกที่นายต้องรู้คือ ภาษาที่ใช้ร่วมกันของที่นี่เรียกว่า ภาษาพาเชียร์ตามชื่อทวีปนี้ แม้จะมีบางเผ่าที่มีภาษาเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังสามารถใช้ภาษาพาเชียร์ในการสื่อสารได้ จึงเรียกได้ว่าเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากสุด ส่วนอีกภาษาอีกอันที่มนุษย์ใช้ มีชื่อว่า 'ภาษาโดชง' ใช้กันในพวกขุนนางชนชั้นสูง"
"เยมะ! นายควรจะตั้งใจฟังมากกว่า จะเอาหน้ามาถูกับตักของฉันนะ"
"อย่าพูดแบบนั้นกับคนป่วยสิ ผมกำลังนอนสบายเลยมีใครบอกมาว่าตักของเธอนุ่มมาก"
"พอได้แล้ว แล้วก็เลิกทำมือเป็นปลาหมึกจับนู่นจับนี่ซะที ไม่งั้นฉันจะหักมือนายอีกข้างหนึ่ง"
"หูยย โหดร้ายที่สุด ผมแค่นวดเท้าให้เท่านั้นเอง~"
ช่วงเวลากลางดึก
'คุณผ่านเงื่อนไขที่กำหนด ปลดล็อกทักษะความทรงจำด้านภาษา'
เสียงบางอย่างดังขึ้น ขณะผมกำลังนอนหลับอยู่ในตอนกลางคืน เสียงไรฟะ ฝันเหรอ? ช่างมันละกันนอนต่อดีกว่าคร่อก แม้จะอยู่ในฝันแต่ผมก็จะนอนต่ออยู่ดีนั้นละ
จะว่าไปตอนนี้ ผมก็เรียนภาษาพาเชียร์กับเฟริซ่ามาครบ1อาทิตย์แล้วจนพอที่จะสามารถสื่อสารได้ในระดับพอจะคุยรู้กันได้เรื่อง แม้บางคำอาจจะงงๆ บ้างก็เถอะ ส่วนอาการบาดเจ็บมันดีขึ้นมากจนไม่รู้สึกไม่เจ็บแล้ว แม้ว่าส่วนนั้นจะยังใช้งานไม่ได้
°°°°°°°°°
เฟริซ่าที่ทำท่าเป็นหมอเป็นมาตรวจร่างกายของผมในตอนเช้ากล่าวขึ้น
"คนไข้ค่ะ หมอมีข่าวร้ายจะบอก มันไม่สามารถกลับมาใช้งานไม่ได้อีกแล้ว"
"มันใช่เรื่องจะมาล้อเล่นกันไหมคนยิ่งกลัวๆ อยู่นะ"
"ฮ่าๆๆ น่าสงสารนี่ฉันต้องรับผิดชอบนายที่ทำให้เป็นแบบนี้หรือเปล่า"
"หน็อย...มาหัวเราะเยาะเย้ยงั้นเหรอ นี่แน่"
ผมเอื้อมมือไปหยิกแก้มของเธอเพื่อเป็นการแก้แค้น
"อู้ย เจ็บๆ "
"ฮ่าๆๆ เป็นไงล่ะพูดมากดีนะ"
"งั้นเหรอ ได้งั้นนายก็ไปหาตักอื่นมาหนุนนอนแล้วกัน"
"ไม่น้า~ อย่าเอาหมอนของผมไป~"
ผมร้องอย่างสิ้นหวัง เธอลุกหนีแล้วเดินจากไป จนผมลุกขึ้นมานั่งบิดขี้เกียจ ใช่แล้วละ ผมเองน่ะ หายปวดนานแล้วแต่แกล้งทำท่าสำออยเพื่อให้เธอเอาใจ แต่ดูเหมือนกับว่าเฟริซ่าจะรู้ทันผมแล้วสิ ก็ตักของเธอมันสุดยอดจริงๆนะ
ผมเดินออกมาจากถ้ำ ส่วนเฟริซ่าคงไปอาบน้ำที่ลำธาร งั้นผมไปแอบดู เฮ้ย ไปตรวจกับดักดีกว่า เพื่อจะได้ซ่อมมันด้วย หลังจากไม่ได้ซ่อมแซมพวกมันมาหลายวันแล้ว
ผมซ่อมกับดักไปสักพักก็เห็นพวกฝูงหมาป่ามีอาการผิดปกติขึ้น ผมได้ยินเสียงหอนและเห็นพวกมันวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง
ผมเลยแอบตามพวกหมาป่าไป 'เกิดอะไรขึ้นกันนะ? ' ผมเคยเห็นพวกมันเป็นแบบนี้มาก่อน มันเคยหอนเรียกพวกพ้องไปสู้กับหมี หรือว่าจะมีศัตรูบุกเข้ามากัน และในที่สุดผมก็ได้พบกับคนกลุ่มหนึ่ง มันก็คือพวกโจรที่จับเฟริซ่าไป
พวกมันตามมาได้ยังไง!
หลังจากแอบซุ่มดูอยู่สักพักก็ได้คำตอบ หนึ่งในพวกมันคือนักแกะรอย กลุ่มโจรตามมาจนเกือบจะถึงตัวของผมอยู่แล้ว มันเป็นความผิดพลาดของผมเอง การเดินทางไปสังเกตการณ์ที่หมู่บ้านบ่อยๆ ทำให้พวกมันแกะรอยตามมาถูก ทำไมพวกมันถึงได้ตื้อแบบนี้นะ
ผมต้องจัดการกับพวกโจรก่อนที่มันจะไปเจอเฟริซ่า พวกหมาป่ายังแอบซุ่มอยู่ในป่าพวกมันกำลังประเมินพลังของผู้บุกรุก มันยังลังเลเนื่องจากไม่เคยมีมนุษย์คนไหนเข้ามาในป่าแห่งนี้นอกจากตัวผมกับเฟริซ่า ที่พวกมันมองว่าไม่เป็นตัวอันตรายกับพวกมันและยังค่อยแบ่งอาหารให้ ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะแบ่งอะไรให้มันหรอก แต่โดนพวกมันมาขโมยสัตว์ที่ติดกับดักไปบ่อยๆ
การเดินทางของพวกโจรค่อนข้างช้าเนื่องจากต้องคอยระวังไม่ให้แกะรอยไปผิดทางแถมยังต้องหาเสบียงระหว่างทางบวกกับความเหนื่อยล้า ใบหน้าของพวกเขาดูเป็นกังวลมาก อีกราวครึ่งชั่วโมงพวกมันจะเข้ามาสู่พื้นที่กับดัก ผมจึงต้องกลับไปเตรียมแผนการรับมือ
พวกโจรทั้ง4คนใส่หน้ากากเป็นรูปใบหน้าของปีศาจมองดูน่ากลัว ผมสีน้ำตาลดำ รูปร่างเตี้ย ไหล่กว้างผิวดำคล้ำจากการตากแดดและมีรอยสักเต็มตัว หุ่นผอมมีกล้ามเนื้อเล็กน้อยดูแล้วขยับตัวได้ว่องไว
เมื่อทั้งสี่คนเดินเข้ามาใกล้พื้นที่กับดักโจรสองคนที่เดินนำหน้ามา กำลังปรึกษากันด้วยท่าทางเคร่งเครียด โดยหนึ่งในนั้นเป็นนักแกะรอยคุยกับโจรอีกคนที่ดูน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม ตามมาด้วยโจรคนที่สามที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อนแต่ดูมีท่าทางหวาดระแวงป่าแห่งนี้เดินตามมาติดๆ ส่วนคนที่อยู่ท้ายสุด ถือคันธนูเดินตามมาอยู่ห่างๆ โดยไม่สนใจเพื่อนร่วมทีมมากนัก เขาทำหน้าที่ล่าสัตว์หาเสบียงอาหารระหว่างทาง ดูจากมีเชือกที่เขาพกมา มันแขวนกระรอกกับนกไว้หลายตัว เขาน่าจะยิงธนูได้อย่างแม่นยำพอสมควร นักแม่นธนูจะสร้างปัญหาให้ผมอย่างมาก เพราะเขาใช้ลูกธนูอาบยาพิษ หากพลาดโดยยิงขึ้นมาแค่ที่เดียวผมไม่รอดแน่
ผมแอบหลบซุ่มรอให้จนโจรสามคนเดินผ่านไปก่อน เมื่อโจรนักธนูคนสุดท้ายกำลังจะผ่านไปผมก็ดึงเชือกที่มัดไว้กับพุ่มไม้จนสั่นไหวและหยุดทันที ที่เขาหันกลับมาพร้อมถือธนูขึ้นเล็งตามสัญชาตญาณพร้อมกับค่อยๆ ย่องมาว่าดูมันคืออะไร เขาเจอกระต่ายบาดเจ็บที่กำลังดิ้นไปมา เขาจึงรีบกระโดดพุงมาตะครุบมามันไว้แม้รอบแรกเขาจะโดดข้ามกับดักไป แต่ตอนจังหวะที่เดินกลับออกมาเขาก็ก้าวเท้าตกหลุมกับดักของผม
"ผลุบ!"
"อ๊าก~ ท่านพ่อช่วยด้วย"
เขาร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดและตกใจ หลังจากขาข้างหนึ่งของเขาตกลงไปในหลุมกับดัก มันเป็นหลุมกับดักชนิดใช้สำหรับ ล็อกขาให้อยู่กับที่ ขนาดของมันจะพอดีกับขาที่ตกลงไปและข้างในจะเต็มไปด้วยไม้แหลม มันปักแน่นเข้ากับน่องของเขาจนดึงออกไม่ได้ พวกโจรทั้งหมดจึงรีบวิ่งกลับมาดู
"เกิดอะไรขึ้นดอนก้า"
"ข้ากำลังจะเดินไปจะจับกระต่ายแล้วตกลงไปในหลุม ข้างในมันมีอะไรแหลมๆ มาทิ่มขา ข้ามันดึงขาออกไม่ได้"
โจรคนที่สามได้ยินดังก็จับแขนของเขาดึงทันที
"โอ๊ยเจ็บๆ " เขาร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดหลังจากที่โดนเพื่อนพยายามจะช่วยดึงเขาออกมา
"หยุดเดียวนี้! เจ้าโง่! ยิ่งไปขยับยิ่งทำให้แผลใหญ่ขึ้น ข้างในมันเป็นเหมือนเขี้ยวงูเจ้าต้องขุดดินเอาไม้ออกมาก่อน"
เมื่อหัวหน้าโจรพูดจบก็สั่งให้ขุดดินทำลายกับดักของผมทันที โจรคนนี้เป็นพ่อของนักแม่นธนูที่ติดกับดักอยู่ชายผู้นี้ดูฉลาดมากเลยทีเดียว
ผมแอบดูพวกเขาอยู่หลังพุ่มไม้ ค่อยๆ ง้างธนูอาบยาพิษ ผมเล็งไปที่หัวหน้าโจรที่ดูจะฉลาดที่สุดในกลุ่มและน่าจะเป็นปัญหากับผมมากสุดในตอนนี้
"ฟิ้ว"
เสียงลูกธนูตัดผ่านอากาศด้วยความเร็ว แต่น่าเสียดายที่มันไม่โดน มันลอยเฉียดหัวพวกเขาออกไป ผมจึงรีบก้มต่ำวิ่งหนีไปตามพุ่มไม้ทันที
"เฮ้ย ตามไป"
หัวหน้าโจรและนักแกะรอยวิ่งตามผมมาด้วยความว่องไว แม้ผมจะออกตัวก่อนและชำนาญเส้นทางมากกว่าแต่พวกเขาก็ตามด้วยความรวดเร็วจนผมหนีไม่พ้นสายตาของพวกเขา ผมจึงง้างธนูหันไปยิงสกัดพวกเขาทันที พวกเขาเห็นดังนั้นก็วิ่งฉีกตัวออกจากกัน มันทำให้ผมยิงไม่โดนอีกครั้ง ผมเอาธนูขึ้นมาง้างยิงใหม่อีกครั้งแต่ด้วยความรีบร้อน ผมทำลูกธนูหลุดมือไป นักแกะรอยรีบคว้าโอกาสทองจึงถือดาบพุ่งเข้ามาหมายจะจัดการผมในทันที
"แกตาย!!"
เขาร้องตะโกน ผมจึงทำท่าจะชักมีดสั้นขึ้นมาต่อสู้
"หยุดก่อน มันเป็นกับดัก"
ถึงแม้ว่าหัวหน้าโจรจะรีบตะโกนห้าม แต่มันก็สายเกินไปเขาวิ่งตกลงไปในหลุมกับดักแล้ว
โจรนักแกะรอย หลงกลของผมในทันที ที่เห็นว่าลูกธนูของผมหลุดมือหลังจากนั้นเสียงร้องของเขาก็เงียบไป
"ไอ้สาระเลว"
เสียงร้องด้วยโกรธแค้นดังมาจากหัวหน้าโจร ทำเอาผมต้องรีบตั้งสติเพื่อรับมือกับเขา
"อย่าเข้ามานะ ตรงนี้มีกับดัก"
คำพูดของผม ทำให้เขาชะงักและเกิดความลังเลขึ้น ผมง้างธนูขึ้นข่มขู่เขาทันที
"กลับไปซะผมไม่อยากทำร้ายใครอีกเธอไม่ได้อยู่ที่นี่"
"อ่อ ยัยผู้หญิงนั้นอยู่นี้เอง ส่งตัวมาแล้วพวกข้าจะไว้ชีวิตแก"
"ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย ตอนนี้เพื่อนของแกก็ตายหนึ่งเจ็บหนึ่ง จงกลับไปเสียซะ"
"หุบปาก! แกไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับนางปีศาจนั้นเลย มันกำลังหลอกใช้แกอยู่ ส่งตัวเธอมาแล้วแกจะปลอดภัย"
"ถ้าหากผมยอมส่งตัวเธอให้ พวกนายจะยอมกลับไปแต่โดยดีสินะ"
ผมตอบกลับ พลางลดธนูลง
"ตัดสินใจได้ดีนี่ แล้วผู้หญิงอยู่ไหน? "
ผมชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ข้างๆ เขา เมื่อเขาหันมองตาม ผมก็ยิงธนูดอกสุดท้ายใส่ทันที แต่เขาก็หลบได้แบบสบายๆ บ้าชะมัด ลูกไม้โง่ๆ แบบนี้ใช้กับพวกนักสู้มีประสบการณ์ไม่ได้ผลเลยสักนิด
"นั้นคือคำตอบสุดท้าย? ลูกธนูของแกหมดแล้ว ส่วนกับดักนั่นมันก็แค่กับดักสองอันมาวางติดกันเลยยาวมากกว่าปกติ"
เขาก้าวถอยหลังก่อนจะเริ่มวิ่งตรงมาที่ผม
"ชิ!! " ผมจะวางแผนหลอกให้เขากลัวกับดักข้างหน้า จะได้เดินอ้อมไป เพราะมันมีกับดักอีกชุดรออยู่ แต่เขากลับวิ่งตรงมาเพื่อจะโดดข้ามกับดักแทน ผมจึงจะหนีแต่ดันลื่นล้มไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว ก่อนจะรีบลุกขึ้น
"หยุดนะ!! ไอ้บ้านี้คิดหนีอีกแล้ว แกมีเกียรติแห่งนักสู้อยู่ไหม"
เขากระโดดข้ามหลุมกับดักเพื่อจะตามมา ผมอาศัยจังหวะนั้นเหยียบไปที่ปลายไม้กระดกที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน ปลายไม้อีกข้างเด้งขึ้นมา ไม้ท่อนยาวกระแทกใส่หน้าของเขาจนร่วงลงไปในหลุมกับดักทำให้เกิดเสียงดังตามมา
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกหลังจากเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะต้องหลอกล่ออยู่นาน เสียงหัวใจของผมยังเต้นแรงอยู่ต่อเนื่องจนได้ยินเสียงตุ๊บๆ โชคดีที่เขามองไม่เห็นไม้กระดกที่ซ่อนอยู่ เพราะตั้งแต่นักแกะรอยตกหลุมกับดักไป ตาของเขาก็จ้องมองอยู่ที่พื้นตลอด ผมเลยยิงธนูใส่เขาเพื่อจะดึงความสนใจให้เขาหันมามองผมและพูดถึงเฟริซ่าเพื่อกดดันให้เขาต้องบุกเข้ามา เมื่อผมตั้งสติได้จึงเดินไปดูหัวหน้าโจรที่อยู่ก้นหลุมกับดัก แม้เขาจะยังไม่ตายแต่ก็อาการร่อแร่
"มีอะไรจะสั่งเสียไหม"
"ข้าคงมาได้แค่นี้สินะ อัก"
เขาตอบกลับมาทั้งที่ยังมีไม้เสียบร่างจนเลือดท่วม
"ผู้หญิงคนนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับพวกแกทำไมต้องตามล่าเธอ"
"ผู้หญิงนั้นเป็นปีศาจ ทุกคนข้าขอโทษ ดอนนาพ่อขอโทษ"
หัวหน้าโจร เอ่ยขอโทษใครสักคนที่ฟังแล้วน่าจะเป็นลูกของเขาก่อนจะสิ้นใจไป คำก็ปีศาจสองคำก็ปีศาจ ยัยบ้าเฟริซ่าไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้กันนะ
ผมเก็บดาบของหัวหน้าโจรขึ้นมา มันทำจากเหล็กคุณภาพดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นมา สมกับเป็นอาวุธของหัวหน้า ผมสูดหายใจเข้าก่อนจะกลั้นใจตัดหัวของโจรทั้งสอง แม้จะรู้สึกกลัวมากก็ตาม
ผมรีบกลับไปดูโจรสองคนที่เหลือ
ตอนนี้แม้ว่าโจรนักแม่นธนูจะหลุดออกจากกับดักมาได้แล้ว แต่ก็ได้รับบาดแผลฉกรรจ์ที่ขา จนไม่สามารถต่อสู้ได้ งั้นก็เหลือแค่ไอ้โจรขี้กลัวนี้สินะ งั้นก็เอางี้ละกัน
"เจ้าาา พวกมนุษย์ บังอาจเข้ามาในเขตของปีศาจพวกแกต้องโดนลงโทษ"ผมเอามือป้องปากทำเสียงใหญ่ๆ ดูน่ากลัวเหมือนปีศาจ แล้วก็โยนหัวของโจรทั้งสองออกไป
"ท่าพ่อ ท่านลุง ไม่นะแกเป็นใครโผล่หัวออกมาสิโว้ยย"
โจรที่บาดเจ็บร้องตะโกนลั่น
"เฮ้ย ปะป่ะ...ปีศาจมีปีศาจอยู่ในป่าต้องคำสาป"
โจรขี้กลัวหน้าซีดเผือดจนเริ่มจะสติแตกหลังจากเห็นหัวของพวกตัวเอง โดนโยนออกมา
ได้ผลแฮะ เห็นหัวหน้าโจรชอบพูดถึงปีศาจ ท่าทางพวกมันจะมีความเชื่อเรื่องปีศาจ แค่พูดว่าก็กลัวจนหัวหดละ
งั้นก็ลองไล่มันไปแบบนี้แหละ
"หนีไปซะ ก่อนที่ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดแล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก ออกไป!! "
พอผมพูดจบเจ้าโจรขี้กลัววิ่งหนีตะเลิดออกไปคนเดียว ทิ้งเพื่อนที่บาดเจ็บเอาไว้เฉยเลย แถมยังซุ่มซ่ามวิ่งไปโดนกับดักจนได้รับบาดเจ็บ พวกหมาป่าที่ซุ่มดูอยู่ได้จังหวะก็ออกมาจากป่าก่อนจะรุมเข้าโจมตีเขาจนตาย ผมกะว่าแค่ไล่พวกเขาออกไป แต่ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ละเนี้ย
ผมจัดการจับโจรที่ได้รับบาดเจ็บมัดแล้วพาเขากลับไปที่ถ้ำ เผื่อได้ข้อมูลอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของเฟริซ่า เธอไปทำอะไรมากันแน่ ทำไมพวกเขาถึงต้องการตัวเธอนัก
"เอ๋ นายไปจับเขามาได้ยังไง!?"
เฟริซ่าร้องด้วยความตกใจ
"เฟริซ่า ช่วยรักษาเขาที ผมอยากจะรู้ว่าทำไมเขาถึงต้องการตัวเธอมากนัก พวกเขา 4 คนตาย 3 โดนบาดเจ็บ 1 ไม่มีใครหนีรอด"
ผมสรุปสถานการณ์สั้นๆ ให้เฟริซ่าฟัง
"นางปีศาจ มันมาหลบอยู่ที่นี่เอง อีกไม่นานแกจะต้องโดนพวกเราฆ่าตาย"
เจ้าโจรพูดขึ้นมาขณะเฟริซ่ากำลังรักษาเขา
เยมะ: "ทำไมพวกเราทุกคนต้องเรียกเธอว่าปีศาจด้วย"
เฟริซ่า: "ไม่รู้สิ แต่ตัวนายเหม็นเลือดมากเลยนะได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า"
เยมะ: "มันไม่ใช่เลือดผม ทำไมผมลองพูดภาษาโดชงกับเขาแล้ว เขาฟังไม่รู้เรื่องและยังบอกว่ามันเป็นภาษาปีศาจอีกมันหมายความว่ายังไง?"
เฟริซ่า: "มันเป็นภาษาที่ใช้กันในชนชั้นสูงน่ะ พวกเขาเกลียดพวกชนชั้นสูงละมั้งถึงได้บอกว่าเป็นภาษาของปีศาจ"
ผมเริ่มชักจะไม่เชื่อที่เธอพูด เฟริซ่าจึงหันไปถามโจรหนุ่มแทน
"นายชื่อดอนก้าใช่ไหม ฟังนะถ้านายตอบคำถามของผม ผมจะรักษาบาดแผลให้และจะปล่อยตัวนายกลับหมู่บ้านไป ทำไมนายเรียกเธอว่าปีศาจละ"
ดอนก้า: "เพราะนางขโมยสมบัติกับคัมภีร์ปีศาจ ของพระราชวัง 'อันคาทา'ไป"
เฟริซ่า: "ไม่จริงสักหน่อย ของพวกนั้นเป็นค่าตอบแทนที่ฉันไปทำงานแปลเอกสารลายแทงขุมทรัพย์ให้กับพระราชาตั้งหาก"
ดอนก้า:"ไม่ต้องมาโกหก เพราะแกนั้นละทำให้หมู่บ้านของข้าต้องรับกรรมไปด้วย"
เยมะ: "แล้วสมบัติที่ว่าอยู่ไหนกันละ"
เฟริซ่า:"ก็อยู่ในหมู่บ้านของเจ้าพวกโจรนี้ไงละ ถ้าเดาไม่ผิดพวกเขาก็โดนขุนนางยัดข้อหาขโมยสมบัติพระราชวันเหมือนฉันนี้ละ"
ดอนก้า: "นางปีศาจเป็นเพราะแกคนเดียว ถ้าหากวันนั้นแกไม่โผล่มา หมู่บ้านของข้าก็คงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้"
เฟริซ่า: "นายได้รับใบสั่งจากพวกขุนนางให้มาปล้นรถม้าของฉันแล้วสุดท้ายก็โดนพวกมันหักหลังเหมือนกัน แล้วอีกอย่าง นี่คือสิ่งที่นายทำกับคุณลุงคุณป้า"
เพียะ! เพียะ! เฟริซ่าตบหน้าของเขาเต็มแรงจนเสียงดังสนั่น
ดอนก้า: "นางปีศาจแกเอาสมบัติพวกนั้นไปไว้ที่ไหน ของที่เราปล้นมาไม่มีอะไรที่เป็นของราชวังสักชิ้น แต่แกกลับบอกว่าสมบัติอยู่ที่หมู่บ้านเราแกวางแผนทั้งหมดเพื่อจะโยนความผิดให้กับเรา"
เฟริซ่า: "อ่อ แสดงว่าคนในหมู่บ้านโดนจับไว้หมดแล้วสิ พวกมันบอกนายว่าไงล่ะ? หากจับฉันกลับไปไม่ได้จะไว้ชีวิตทุกคนใช่ไหม พวกนั้นใช้แต่วิธีเดิมๆ "
ดอนก้า: "พวกมันให้เวลา 2อาทิตย์หลังจากนั้นมันจะเริ่มฆ่าคนในหมู่บ้านวันละคน"
เฟริซ่า: "ถึงนายจะจับฉันกลับไปได้ พวกมันก็ฆ่าทุกคนอยู่ดี พวกมันคิดจะฮุบสมบัติไว้ใครที่รู้เห็นเรื่องนี้ต้องตายทั้งนั้น ความจริงแค่นายออกจากหมู่บ้าน พวกมันก็ฆ่าพวกผู้ชายทิ้งหมดแล้ว ส่วนผู้หญิงก็จะโดนพวกมันจับไป...ทั้งวันทั้งคืน"
ดอนก้า: "ไม่จริง! พวกเขาต้องรักษาสัญญา พวกเขาจะปล่อยเราไป"
เฟริซ่า: "ถ้านายยังไม่อยากตาย นายต้องหนีไป อย่ากลับไปที่หมู่บ้านอีกแล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เสีย"
ดอนก้า: "ไม่..ไม่จริง ดอนนา ท่านแม่ ทุกคน พวกเราจะต้องรอด ฮื่อๆ"
เมื่อได้รู้ความจริงว่าเขาโดนหักหลังมาตั้งแต่แรก แถมยังบาดเจ็บจากการทำภารกิจพลาด จนตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป เขาก็เริ่มร้องไห้ฟูมฟายอย่างสิ้นหวัง จนไม่เหลือสภาพนักรบผู้เกรงขามอีกเลย ความจริงแล้วเขาก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้นเอง
เฟริซ่า: "เยมะแล้วนายจะเอาไงต่อ?"
เยมะ: "รักษาบาดแผลให้กับเขาก่อน ยังไง เขาก็เป็นลูกของหัวหน้าหมู่บ้าน เผื่อเราจะใช้เขาในการต่อรองได้"
เฟริซ่า: "ได้สิ ว่าแต่นายไปจัดการศพของพวกเขารึยัง มีโอกาสที่พวกนั้นใช้มนต์ต้องสาป ทำให้พวกโจรพื้นขึ้นมาเป็นซอมบี้ เราต้องตัดหัวแล้วจัดการฝังศพพวกเขาให้เรียบร้อย"
เยมะ: "งั้นผมไปจัดการศพของพวกเขาก่อน ฝากเธอรักษาเขาด้วย ผมยังต้องการข้อมูลจากเขาอีก"
ผมกลับไปทำหลุมฝังศพให้พวกเขาทั้ง3คน มันน่าขนลุกมาก เมื่อศพของพวกเขาโดนหมาป่ารุมแทะจนร่างเละเทะไปหมด หวังว่าวิญญาณ ของพวกเขาจะไปสู่สุคตินะ ผมจัดการฝังพวกเขาทั้งสามคนไว้ด้วยกันก่อนจะนำหินมาทำเป็นป้ายหลุมศพ และเขียนคำว่า'กล้าหาญ'ให้พวกเขาอย่างสมเกียรติ ผมยืนไว้อาลัยให้กับพวกเขา ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา
********
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามา
อ่าน/กดติดตาม/กดหัวใจให้นะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
