ตอนที่ 9 : จุดจบของผู้นำ
ผมกลับมาใกล้จะถึงที่พัก ก็ได้ยินเสียงร้องของเฟริซ่าดังขึ้น ทำให้ผมต้องรีบวิ่งแจ้นกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อมาถึงผมพบว่า เฟริซ่ากำลังโดนเจ้าโจรดอนก้า ล็อกคอจากทางด้านหลังในท่านั่ง มันใช้แขนข้างซ้ายล็อกคอเธอแน่นจนขยับไม่ได้และเริ่มจะหน้าแดงจากอาการหายใจไม่ออก
"เฮ้ใจเย็นๆ ดอนก้าไม่มีใครทำร้ายนาย ปล่อยเธอซะ" ผมพูดพร้อมกับยกมือขึ้นห้ามเขา
"ไม่! ข้าต้องจับนังปีศาจนี้กลับไปที่หมู่บ้าน" เขาร้องอย่างโกรธแค้น
"ได้สิ แต่ก่อนอื่น นายช่วยปล่อยเธอก่อนได้ไหม" ผมรีบบอกเขา เพราะเห็นเฟริซ่าอาการเริ่มแย่ลง
"ไม่! พวกแกมันไว้ใจไม่ได้" ดอนก้าตอบ
เขาไม่มีโอกาสให้พลาดอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มระแวงทุกอย่าง
ผมเริ่มจะโมโห เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องและเฟริซ่ากำลังจะขาดใจตาย
"ถ้านายเอาศพเธอไปแทนแล้วพวกนั้นจะยอมหรือไง เธอกำลังจะตายอยู่แล้ว ปล่อยเธอเดียวนี้!"
ผมพูดเสียงดัง จนเขาเริ่มจะคิดได้และยอมคลายแขนข้างที่ล็อกคอออกเล็กน้อย เฟริซ่าสูดหายใจเข้าเต็มแรง เธอมีสีหน้าดีขึ้นไม่ทรมานเหมือนก่อนหน้านี้
ผมยกมือขึ้นเหนือหัวแล้วนั่งลงเพื่อให้รู้ว่าผมยอมแพ้ก่อนจะถามว่า
"แล้วจะเอาไงต่อ? "
ดอนก้าหันมองไปรอบๆ แล้วไปเห็นอะไรบางสิ่งในถ้ำแล้วสั่งให้ผมไปเก็บมา
"อย่าได้คิดจะเล่นตุกติก เล็บของข้าได้อาบยาพิษไว้แล้ว แค่รอยข่วนเพียงนิดเดียวก็สามารถส่งเธอไปนรกได้ทันที"
เขาพูดพร้อมกับใช้นิ้วขึ้นมาจิ้มไปที่ใบหน้าของเธอ
ผมจึงลุกขึ้นไปเก็บของตามที่เขาบอก มันก็คือปลอกคอที่พวกโจรเคยสวมให้เฟริซ่าในตอนที่เธอโดนปล้น
ผมจำได้ว่าวันแรกที่พาเฟริซ่าหนีมาจากหมู่บ้านนั้น เธอยังใส่ปลอกคออยู่ แต่พอเช้าขึ้นมาผมก็ไม่เห็นมันอีกเลย แต่ทำไมมันมาอยู่นี่ล่ะ!?
เขาจัดการสวมปลอกคอให้กับเธอแล้วพูดขึ้นว่า
"ตัวเจ้าจงมารับใช้ข้าชั่วนิรันดร์"
แต่เฟริซ่านิ่งไม่ยอมตอบ
"ได้! ถ้างั้นก็ตายมันด้วยกันที่นี่ล่ะ"
ดอนก้าเอ่ยขึ้นมาและออกแรงล็อกคอเธอเต็มแรงอีกครั้ง เขาเอาจริง ในตอนนี้เขานั้นเหมือนหมาจนตอกที่พร้อมจะทำทุกอย่าง
จนผมต้องพยักหน้าให้เฟริซ่ายอมทำในสิ่งที่มันต้องการ
"ตัวข้าคือผู้รับใช้ท่านชั่วนิรันดร์"
พอเฟริซ่าพูดจบ ก็มีแสงเกิดขึ้นที่ปลอกคอ
วิ้งง!! แล้วเฟริซ่าก็เกิดอาการชักกระตุกทรมานเหมือนหายใจไม่ออกอีกครั้ง
สักครู่หนึ่งเธอก็นิ่งไปก่อนจะฟื้นขึ้นมา
"พาข้ากลับไปที่หมู่บ้านเดี๋ยวนี้"
ดอนก้าสั่งให้เฟริซ่ารีบช่วยพยุงเขาออกไป เขาหันมาขู่ผม
"ถ้าแกคิดจะทำอะไรโง่ๆ ข้าจะสั่งให้ปลอกคอทาสฆ่านางทันทียังไงข้าก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว"
แววตาของเขากลับมามุ่งมั่นเด็ดขาด สมกับเป็นนักสู้อีกครั้ง
ผมนั้นไม่รู้มาก่อนเลยว่าปลอกคอทาสอันนี้จะสามารถใช้ฆ่าคนได้ด้วย ไม่งั้นผมคงจับเขาใส่ปลอกคอไปแล้ว
ผมต้องคิดหาวิธีจัดการกับเขา แต่ด้วยวิธีไหนล่ะ? เหมือนกับว่ามันจะสั่งการด้วยเสียงนะ ถ้าฆ่าเขาแล้วเอามือปิดปากไว้ล่ะ?
ไม่ได้ๆ มันอันตรายกับเฟริซ่าเกินไป ผมไม่รู้ว่าปลอกคอนั้นทำงานอย่างไร ในสายตาของผมตอนนี้ ปลอกคอนี้มันก็คือลูกระเบิดห้อยคอดีๆ นี้เอง
ถ้าผมทำพลาดเธอจะตาย คงดีกว่าถ้าไม่ทำอะไรผลีผลาม
ระหว่างที่ผมกำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น เฟริซ่าก็พยุงตัวดอนก้าขึ้นและเดินขากะเผลกออกไป
"เร็วเข้ารีบพาข้ากลับไปที่หมู่บ้าน"
เขารีบสั่งเร่งเฟริซ่า แต่เมื่อเดินผ่านผมไปได้สามก้าว เฟริซ่าก็ยกเท้าขึ้นกระทืบไปที่แผลบนเท้าของดอนก้า
"อ๊ากก! "
เขาร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะโดนเฟริซ่าหมุนเหวี่ยงแขนเขาไปข้างหน้าแล้วถีบเข้าที่ชายโครงจนกระเด็นออกไปนอกถ้ำ
เธอชักมีดที่ซ่อนไว้ในเสื้อพุ่งตามไปฟันใส่ดอนก้าที่กำลังล้มอยู่ แขนทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมากันโดนเฟริซ่าใช้มีดปาดจนเลือดกระเซ็นพุ่งกระฉูด จนแขนของเขาหมดสภาพที่จะยกขึ้นมาป้องกันตัวเองได้อีก
เธอจิกหัวเขาขึ้นมา พร้อมกับง้างมีดแทงใส่หน้าของเขาเพื่อปลิดชีพ
"อย่า เฟริซ่า"
ผมร้องห้ามในขณะที่เฟริซ่ากำลังแทงมีดใส่เขา เธอหยุดมือก่อนที่มีดจะแทงเข้าลูกตาของเขาเพียงไม่กี่มิลลิเมตร
ผมรีบดึงเธอออกมาจากเขาแล้วแย่งมีดของเธอโยนทิ้งไป ก่อนจะจับมือเธอไว้แน่น
"บาดเจ็บรึเปล่า? "
เธอไม่ตอบอะไรกลับมา ผมได้ยินเพียงเสียงหอบดังอยู่ครู่หนึ่ง
"ฉันไม่เป็นไร"
เธอกล่าวขึ้น ก่อนจะผลักมือผมออกแล้วหันไปมอง ร่างของดอนก้าที่บาดเจ็บสาหัส
"นางปีศาจ ทำไมแกถึง..."
ดอนก้าร้องถามด้วยความเจ็บใจ
"ไอ้นี่นะเหรอ"
เธอถอดปลอกคอทาสออกอย่างง่ายดาย ก่อนจะสะบัดผมสีทองให้สยายออกอย่างสวยงาม
"ทำไมกัน!? ทั้งที่ข้ากำลังจะพานางกลับไปช่วยพวกเราได้อยู่แล้วเชียว"
ดอนก้ากล่าวอย่างงุนงง เมื่อเขาเห็นสิ่งที่เฟริซ่าทำ
"ก็มันเป็นของปลอมนะสิ เจ้าโง่หมู่บ้านของแกเป็นแบบนี้ก็เพราะมีผู้นำโง่ๆ แบบนี้ไงละ"
เฟริซ่าพูดด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะง้างเท้าจะเตะใส่หน้าของดอนก้าแต่ผมห้ามเธอเอาไว้ได้ทันและโอบเอวดึงเธอออกมา
"ปล่อยนะเยมะ ชั้นจะฆ่ามันเอง ปล่อยชั้นเซ่!!"
เฟริซ่าหัวร้อนจัดเธอดิ้นจนตัวลอยจนผมต้องลากเธอไปไว้ในถ้ำเพื่อสงบสติอารมณ์
"เย็นไว้เฟริซ่า เธอฆ่าเขาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเหรอ"ผมเตือนเธอ
"ฉันอุตส่าห์ช่วยรักษาแผลให้ แต่มันดันคิดจะฆ่าฉันนะ คนเนรคุณแบบนี้จะเก็บไว้ทำไม"
เธอยังตีโพยตีพายไม่เลิก ในตอนนี้บริเวณดวงตาสีขาวของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงดูน่ากลัวมาก อาจจะเพราะเธอโดนรัดคอจนหายใจไม่ออกไปหลายรอบ จนทำให้ดวงตาของเธอเปลี่ยนไป
แม้เธอจะไม่พอใจอย่างมากแต่ผมยังยืนยัน ห้ามไม่ให้เธอทำร้ายเขาอีก ผมใช้เวลากล่อมเฟริซ่าอยู่สักพักหนึ่งเธอจึงยอมสงบลง
ผมจับดอนก้ามัดแล้วนำเขาไปรักษาต่อ โดยมีสายตาที่รู้สึกไม่พอใจของเฟริซ่าส่งมาเป็นระยะๆ
ผมคุยกับเฟริซ่าเรื่องปลอกคอนี้
มันคืออุปกรณ์ที่ทำให้คนกลายเป็นทาส โดยที่เจ้านายและทาสจะต้องตอบตกลงกัน ผู้สวมใส่จะไม่สามารถขัดคำสั่งหรือทำร้ายเจ้านายได้เลยและเมื่อมันลงโทษผู้สวมใส่
สมองของผู้สวมใส่จะไม่สามารถควบคุมร่างกายได้เหมือนกับโดนไฟฟ้าช็อต ปลอกคอสามารถระเบิดทันทีหากเจ้านายสั่งให้มันระเบิด หรือระเบิดเมื่อทาสขัดคำสั่งที่มีโทษสถานหนัก
และที่เธอไม่เป็นไรหลังจากสวมปลอกคอไปแล้ว นั้นเป็นเพราะปลอกคออันนี้ เป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับในการแต่งตัวไปเที่ยวในงานเลี้ยงแฟนซี
ในตอนแรก มันอยู่บนรถของเฟริซ่าแต่พวกโจรไปค้นเจอแล้วเข้าใจผิดว่ามันคือปลอกคอทาสของจริง เลยนำมันสวมให้กับเธอ
ซึ่งตัวเฟริซ่าเองเธอใช้ไหวพริบ แสดงออกได้อย่างแนบเนียนจนพวกโจรทุกคนเชื่อว่ามันคือของ
เมื่อเธอเจอกับดอนก้าอีกครั้ง เธอไม่ไว้ใจเขา เลยนำปลอกคอทาสของปลอมออกมาวางตั้งโชว์ไว้ แล้วเขาก็หลงกลอีกครั้ง
"ขนาดใช้แผนเดิมยังโดนหลอก แกคงได้เป็นผู้นำหมู่บ้านเพราะว่า ใช้เส้นสายแต่งกับลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านสินะ"
เฟริซ่าพูดตอกย้ำใส่ดอนก้าอีกครั้ง โดยที่รอบนี้เหมือนจะจี้ใจดำของเขา จนต้องหันหน้ามาจ้องใส่เฟริซ่าด้วยสีหน้าเคียดแค้น เฟริซ่าแสยะยิ้มรับ
เมื่อเห็นแบบนั้นผมจึงห้ามทั้งคู่ไปคนละทาง ก่อนที่พวกเขาจะลงไม้ลงมือกันอีก
บาดแผลของโจรหนุ่มดีขึ้นมากจนผมนั้นรู้สึกแปลกใจ ยาสมุนไพรของเฟริซ่าใช้ได้ผลดีมากทีเดียว
แต่ทว่าจิตใจของเขายังดูย่ำแย่มาก เขานั่งเหม่อลอยไม่ตอบสนองต่อคำพูดของผมเลยแม้แต่น้อย
ผมเลยไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่หมู่บ้านเพิ่มเติม ส่วนเฟริซ่าดูเหมือนว่าเธอหายโมโหแล้ว
ผมกับเฟริซ่าจึงออกไปหาตักน้ำที่ลำธารด้วยกัน ในระหว่างที่เรากำลังพักเหนื่อย
ผมก้มลงใช้ฝ่ามือจับไปที่แก้มสองข้างของเฟริซ่า "ไหน ดูหน่อยซิ" แล้วใช้นิ้วโป้งกดลงที่ใต้ตาของเธอเบาๆ เพื่อดูดวงตาของเธอ
"ไม่ๆ ฉันไม่เป็นไรแล้ว"เธอพูดขึ้นแต่ผมไม่ได้สนใจและทำต่อไปเธอเลยเงียบไป ใบหน้าเธอแดงขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว
"อืม กลับมาเป็นปกติแล้ว"
ผมเอานิ้วโป้งเช็ดไปที่รอยเปื้อนบนแก้มของเธอเบาๆ เธอกะพริบตาใสๆ ก่อนจะหลับตาลง
"กลับกันได้ละ"
ผมปล่อยมือจากเธอแล้วเดินนำไป
เสียงเฟริซ่าบ่นดังงึมงำอยู่ในลำคอก่อนจะเดินตามมา
เมื่อผมกลับมาถึงถ้ำ ก็พบกับศพของดอนก้าผูกคอตายใต้ต้นไม้อยู่ไม่ไกลจากปากถ้ำ เขาหลุดจากเชือกที่มัด ไว้แล้วใช้เชือกนั้นฆ่าตัวตาย
เยมะ: "โถ่โว้ย อุตส่าห์รอดมาได้ ยังจะมาตายอีกตัวประกันของเรา"
เฟริซ่า: "แค่กระซิบให้ฟังถึงกับต้องฆ่าตัวตายหนีเลย"
เยมะ: "เธอไปกระซิบอะไรกับเขาตอนไหน?"
เฟริซ่า: "ก็เมื่อคืนเห็นเขานอนไม่หลับฉันก็เลยคุยกับเขา"
เยมะ: "เมื่อคืน? ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย"
เฟริซ่า: "นายก็หลับลึกแบบนี้ตลอดล่ะ คนบ้าอะไรขี้เซาชะมัด"
เยมะ: "แล้วเธอไปพูดอะไรกับเขา"
เฟริซ่า: "ไม่มีไรมากหรอก แค่กระซิบบอกความจริงว่า หมู่บ้านกับเมียสุดรักของเขา จะโดนพวกทหารทั้งกลุ่มนั้นทำอะไรบ้าง แค่นั้นเอง ส่วนที่ย้ำว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขาก็พูดไปนิดๆเอง"
เยมะ: "แต่ว่าพวกเขาเป็นถึงทหารของเมืองอันคาทาเลยนะ จะใช้วิธีต่ำช้าแบบนั้นอยู่เหรอ"
เฟริซ่า: "เยมะ ฟังฉันให้ดีนะกฎของการอยู่ที่นี่ข้อแรกคือ ถ้านายไม่อยากจะตายก็อย่าไว้ใจใคร ผู้คนไม่ได้รักสงบแบบที่ไหนคิด ดูอย่าเจ้าหมอนี่เป็นตัวอย่างสิ"
เธอมองไปที่ร่างของดอนก้าด้วยสายตาเย็นชาราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เธอต้องพบเจอเป็นประจำ
เยมะ: "น..น่ากลัวชะมัดไม่ใช่ว่าเธอขู่ให้ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเป็นทาสเซ็กซ์ ของเธอหรอกนะ"
เฟริซ่า: "งั้นหราาา ไอ้หนุ่มมะเขือเผา"
เยมะ: "ไปเอายามา วันนี้ไม่ต้องกินแล้วต้มอาบแทน"
เฟริซ่า: "นี่ๆ ไปจัดการศพของเขาให้เรียบร้อยก่อนสิ มัวแต่เล่นอยู่ได้ เดี๋ยวก็เหม็นเข้าไปในถ้ำกันพอดี"
เยมะ: "ยังไงซะ ที่นี่จะปลอดภัยไปอีกสักระยะ เธอจะเอายังต่อละเฟริซ่า"
ผมหันมามองหน้าเธอแบบจริงจังเพราะรู้สึกไม่ดีที่ทำให้เธอต้องมาเสี่ยงอันตรายด้วย หากเธออยากจะไปผมก็จะไม่ห้ามเธอไว้
เฟริซ่า: "ฉันจะอยู่ทำตามข้อตกลงของเราให้เสร็จ ตอนนี้นายพูดได้ทั้งภาษา 'พาเซียร์' และ 'โดชง' แล้วต่อไปฉันจะสอนนายเขียนภาษาโดชงต่อและค่อยพาเซีย
เยมะ: "เอ้า! ทำไมเธอไม่สอนภาษาพาเซียร์ก่อนล่ะ มันได้ใช้มากกว่าไม่ใช่เหรอ"
เฟริซ่า: "ภาษาพาเซียนายจะเรียนที่ไหนกับใครก็ได้ แต่ภาษาโดชงนายเรียนได้แค่กับฉัน รับรองได้ว่ามันต้องมีประโยชน์กับนายแน่ๆ"
เยมะ: "ต้องเรียนอีกแล้วเหรอน่าเบื่อจัง ทำยังไงฉันถึงจะมีสกิลแปลภาษาแบบเธอบ้าง"
เฟริซ่า: "สกิลมันแปลได้แค่เสียงพูด นายจะอ่านและเขียนไม่ได้ แถมบางทียังแปลเพี้ยนอีกด้วย เพราะฉะนั้นเรียนเถอะ อยากสอน"
ผมจัดการนำร่างของดอนก้าไปฝังไว้ ใกล้กับหลุมศพของพวกเขา ผมต้องยอมรับในความพยายามของเขาอยู่นะ มันน่าเสียดายที่เขาคิดสั้น
แต่ผมเองก็พอเข้าใจ หมู่บ้านนั้นคือโลกทั้งใบของเขาเมื่อมันหายไปเขาก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม
°°°°°°
ผมนำทรายมากองแทนกระดาษแล้วใช้ท่อนไม้เขียนแทนดินสอ เฟริซ่าเอาจริงเอาจังกับการสอนมาก แต่เป็นผมเองที่ขี้เกียจและไม่สนใจจะเรียน
"ท่านอาจารย์เฟริซ่าครับ ผมมีข้อเสนอเราควรจะเรียนครึ่งชั่วโมงและนอนหนุนตักครึ่งชั่วโมงครับ"
ผมพูดขึ้นขณะที่กำลังนั่งหัดเขียนตัวอักษรโดยมีเฟริซ่านั่งขนาบข้าง
"ไม่ได้ถ้านายนอนหนุนตักนายก็จะหัดเขียนไม่ได้เลยสิมันไม่เหมือนกับตอนหัดพูดนะ จะได้นอนไปพูดไปได้"เฟริซ่าตอบกลับมาเสียงดุ
เยมะ: "ม่ายยนะ เอาหมอนของผมคืนมา อาจารย์ปีศาจ"
เฟริซ่า: "ไม่ต้องมาอ้อนเลยถ้านายตั้งใจจริงๆ แค่อาทิตย์เดียว นายก็ทำได้แล้วแท้ๆแต่นี่ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว นายยังเขียนอะไรไม่ได้เลย
เยมะ: "ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ยังไงเธอก็ต้องอยู่กับผมไปอีกนานค่อยๆ เรียนไปก็ได้นี้นา"
ผมนอนลงข้างๆ แล้วค่อยกระดึ๊บๆ เอาหัวไปหนุนตักเธอแล้วหัวเราะแหะๆ
เฟริซ่าทำหน้าเหนื่อยใจในการสอนลูกศิษย์จอมขี้เกียจคนนี้เป็นอย่างมาก
"เฮ้อ..นายนี่ไม่ไหวเลยนะทำตัวเป็นลูกผู้ชายเหยาะแหยะแบบนี้ จะเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ยังไง"
คำพูดนี้ของเฟริซ่าแทงใจผมเป็นอย่างมากจนผมต้องทำหน้าเจ็บปวดและฝืนใจ รวบรวมพลังขึ้นฮึดขึ้นสู้อีก
เยมะ: "ได้ เฟริซ่าผมจะเป็นคนดูแลเธอกับลูกๆ ของเราเอง"
เฟริซ่า: "เดี๋ยวนะเดี๊ยว! นายมะเขือเผา นายกำลังเข้าใจผิดอยู่นะฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น"
เยมะ: "ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะดูแลลูกๆ ทั้งร้อยคนของเราให้ดีที่สุดเอง"
เฟริซ่า: "นี่นายเรียนมากจนสมองเพี้ยนไปแล้วหรือยังไง แล้วอะไรคือลูกๆ ร้อยคนกันย่ะ"
เยมะ: "ไว้ใจผมได้เลย หนึ่งร้อยคน ผู้ชายห้าสิบผู้หญิงห้าสิบ"
เฟริซ่า: "โอ๊ยตายแล้ว หมอนี่เกินเยียวยาแล้ว"
ผมยกนิ้วโป้งขึ้นมาโชว์พร้อมยิ้มอย่ามุ่งมั่น ส่วนเฟริซ่ากำลังกุมขมับด้วยความเครียด
หลังจากนั้นอีก 3 วันต่อมาผมก็สามารถเขียนภาษาโดชงได้ในระดับที่พอจะสื่อสารรู้เรื่องแม้ว่าคำศัพท์บางคำจะไม่รู้จัก
พร้อมกับเสียงบ่นของเฟริซ่าไปตลอดทั้งวัน
"นี่นายตั้งใจจะแกล้งฉันใช่ไหมไอ้มะเขือเผา"
ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมผมถึงหัดเขียนภาษาโดชงได้ไวนักนะเหรอ พอผมมาสังเกตดูดีๆ ภาษานี้มีความคล้ายกับภาษาอังกฤษอยู่บ้าง
ภาษานี้น่าจะมีต้นแบบมาจากของภาษาละตินก่อนจะผสมกับภาษาต่างๆ ของโลกใบนี้เข้าไปจนเพี้ยนมาเป็นภาษาโดชงในที่สุด
ผมสันนิษฐานว่า ผู้กล้ารุ่นก่อนๆ อาจจะเป็นคนนำมาเผยแพร่จนเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง อารมณ์ประมาณว่า
'ข้าพูดภาษาผู้กล้าได้เว้ย ภาษาเดียวกับเซเลบเน็ตไอดอลในดวงใจเลย แหมโคตรเท่เลย'
********
โปรดติดตามตอนต่อ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามา
อ่าน/กดติดตาม/กดหัวใจครับ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
