คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 5 วันลุยๆ(ของใคร) ปฐมบท
บทที่ 5
วันลุยๆ (ของใคร?) ปฐมบท
หม่อมเจ้ารำไพลุกขึ้นยืนทำท่าจะกระโจนเข้าใส่กรณาราที่นั่งตาแป๋วไม่รู้ร้อนรู้หนาวราวกับว่าการได้ลิ้มลองรสชาติของแย้ช่างเป็นเรื่องปกติทั่วไป หม่อมเจ้าแสงแขที่นั่งอยู่ใกล้สุดรีบคว้าตัวผู้เป็นพี่ทันที หญิงชราหน้าตาบิดเบี้ยวเพราะความโมโหพยายามดิ้นออกจากการเกาะกุม ยังไงวันนี้นางก็ต้องจัดการนังเด็กบ้านนอกนี่ให้ได้
“นั่งลงก่อนเถอะเพคะ กิ่งกล้าเธอเอาของแบบนี้ขึ้นโต๊ะเสวยได้ยังไง” หม่อมเจ้าแสงแขดุ
“โถ่ท่านหญิง แย้มันก็คืออาหาร เป็นหยังข้อยสิเอาขึ้นโต๊ะบ่ได้ บ้านข้อยก็กินจังซี่ แซ่บจะตาย”
“นั่นมันบ้านแกแต่นี่มันวังของฉัน! ที่นี่วังปรัตถกรวงศ์ ไม่ใช่บ้านป่าหลังเขาที่จะมากินอาหารพันธุ์นี้ อย่าเอานิสัยหรืออาหารไพร่ๆ ของแกเข้ามาใช้ที่นี่!” วาจาอันเจ็บแสบถูกพ่นออกมาจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหม่อมเจ้า
กรณารานั่งนิ่ง หญิงชราที่ยืนถมึงทึงอยู่ตรงหน้าเธอช่างมีนิสัยชอบดูถูกคนอย่างร้ายกาจ สายเลือดชนชั้นสูงที่นางภูมิใจไม่ได้ช่วยขัดเกลานิสัยแย่ๆ ของนางเลยสักนิด หญิงสาวกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกวนประสาท
“แหม ข้อยเพิ่งฮู้ว่าผู้ดีชาววังนี่ปากสูงหลาย กินของป่าของไร่บ่ได้อีหลี” กรณาราแสร้งทำหน้าอ่อนใจ “สงสัยมื้ออื่นข้อยสิต้องเฮ็ดอาหารฝรั่งแม่นบ่ค่ะ เอ...อิหยังหว่า อ๋อ อย่างท่านป้าต้องอันนี่เลย...สเน็ก”
หม่อมเจ้ารำไพดิ้นพล่าน นังเด็กบ้านี่มันจงใจกวนประสาทนางชัดๆ ชายหนุ่มสองคนนั่งดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ ด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน คมสันมองสถานการณ์ตรงหน้าเป็นเรื่องสนุกสนานผิดกับปรเมธที่มองคนก่อเรื่องด้วยแววตาตำหนิระคนจับผิด เธอพูดอีสานอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เธอก็รู้ว่าเขารู้ว่าเธอพูดสำเนียงกลางได้
“แก...” ท่านหญิงที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไม่สามารถหาคำมาด่าได้จึงสะบัดตัวจากหม่อมเจ้าแสงแข มองหน้าหลานสาวตัวดีอย่างคาดโทษก่อนจะเดินตึงตังออกไป
“รอมนีด้วยเพคะ ไปก่อนนะพี่กิ่ง” ประโยคหลังมนีจันท์บอกกรณารา หล่อนโค้งหัวให้ทุกคนก่อนจะรีบเดินตามมารดาไป
หญิงสาวต้นเรื่องค่อยๆ หุบยิ้ม ที่จริงเนื้อทอดจานนั้นไม่ได้เป็นแย้ทอดแต่อย่างใด ที่จริงมันก็คือเนื้อหมูดีๆนี่เอง เพียงแต่ว่าเจ้าตัวอยากแกล้งคนเป็นป้าเลยบอกแบบนั้นไป ตอนแรกก็ว่าจะเฉลยอยู่หรอก แต่พอได้ฟังคำด่าที่หลุดออกมาจากปากของหญิงชราสูงศักดิ์ผู้นั้นแล้วมันทำให้เธอปรี๊ดไม่อยากเฉลยเอาเสียดื้อๆ
“กินกันต่อเถอะค่า” กรณาราตักชิ้นเนื้อจานเดิมส่งไปให้หม่อมเจ้าแสงแข นางทำหน้าแหยงเล็กน้อยทำท่าจะปฏิเสธ กรณาราเห็นดังนั้นจึงบอก “บ่ต้องห่วงดอกท่านหญิง มันคือหมูทอดธรรมดานี่ล่ะค่า”
“หมูทอดธรรมดา” ท่านหญิงรองทวนคำ
“เเม่นค่า”
“แล้วทำไมเธอถึงบอกพี่หญิงว่ามันคือแย้ทอดล่ะ”
กรณารายิ้มไม่ตอบคำถาม ตักกับข้าวอื่นๆ มากิน เมื่อเห็นว่าคงจะมีแต่แกงส้มที่รสชาติไม่ได้เรื่อง คมสันจึงตักกับข้าวมาใส่จานตัวเองบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะฮะ” ชายหนุ่มหน้าอ่อนใช้ช้อนส่วนตัวตักอาหารที่ดูแล้วน่าจะเป็นแกงเขียวหวานเข้าปาก สัมผัสแห่งหายนะคืบคลานเข้าสู่ลิ้นทันที คมสันทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนคนอยากอ้วก
“เป็นอิหยังค่ะ” หญิงสาวถาม เธอแอบขำ โถ่ พ่อคุณ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งคุณซักนิด แต่บังเอิ๊ญบังเอิญคุณดันเข้ามาอยู่ในแผนของฉันซะได้
“นี่แกงอะไรฮะ” คมสันดื่มน้ำตามหลายอึก
“แกงเขียวหวานค่า”
ชายหนุ่มค่อยโล่งใจ อย่างน้อยมันก็เป็น 'แกง' ที่คนส่วนมากเขากินกัน
“แต่พอดีข้อยเฮ็ดบ่ค่อยเป็น จำสูตรบ่ค่อยได้ จะจำได้ก็แต่กะปิ เลยจัดซะหมดกระปุกเลยค่า”
คมสันที่เพิ่งจะโล่งใจได้ไม่นานพลิกคอกลับมามองกรณาราหัวแทบหลุด ว่าไงนะ...หล่อนใส่อะไรลงไปนะ
“กะปิค่า” ตอบเหมือนรู้ใจ เท่านั้นไม่พอยังยกกระปุกกะปิที่เธอใช้หมดแล้วออกมาโชว์ด้วยความภาคภูมิใจอีกต่างหาก ไปหยิบมาตอนไหนวะเนี่ย!
กรณารารู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเพื่อนของปรเมธ สายตาของหญิงสายหันไปสบกับคุณชายของวัง สายตาที่เขาส่งมานั้นฉายแววตำหนิและด่าไปในตัว แต่มีหรือเธอจะสะเทือน หญิงสาวตัวแสบยักคิ้วส่งไปให้ปรเมธหนึ่งที ก่อนจะตักแกงเขียวหวานชามเดิมไปให้คมสัน
“กินอีกนะคะ แซ่บหลาย”
“ปะ ปกติ คุณหญิงทานรสชาตินี้เหรอฮะ”
“แม่นค่า”
คมสันยกมือขึ้นปาดเหงื่อ แค่คำเดียวก็แทบอ้วกแล้ว นี่ยังจะตักมาให้เพิ่มอีก จิตใจทำด้วยอะไร! ครั้นจะให้เขาตักกับข้าวอย่างอื่นมากินก็ไม่กล้า กลัวเจอชามที่หนักกว่าแกงเขียวหวานเต่าถุยนี่
“เฮ้ย ไอ้หม่อม ช่วยฉันหน่อยสิวะ” เมื่อมองไม่เห็นทางออกจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ข้าวในจานยังไม่พร่องลงไปสักเม็ด
“ก็แกอยากมากินข้าวที่วังนักไม่ใช่เหรอ กินไปสิ กินเข้าไปเยอะๆ”
“ไอ้หม่อมมม”
“กระซิบอิหยังกันเหรอคะ” คมสันหมุนหัวกลับมายิ้มแห้งๆ ให้กรณารา
“เปล่าฮะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็กินเลยค่า เดี๋ยวกับข้าวสิชืดหมด”
“ฮะๆ กินฮะ” คมสันใช้ส้อมเขี่ยส่วนที่โดนแกงเขียวหวานน้อยที่สุดใส่ช้อน ในระหว่างที่กำลังเขี่ยอยู่นั้นแขนของปรเมธขยับขึ้นพอดีทำให้แกงเขียวหวานที่เขี่ยออกเมื่อครู่ถูกส้อมโกยเข้ามาในช้อนอย่างเต็มเปี่ยมราวกับโดนแกล้ง
คมสันหันไปมองหน้าปรเมธเล็กน้อยซึ่งสีหน้าของเพื่อนรักยังคงนิ่งสนิทเหมือนเดิม จะเขี่ยออกก็ไม่ทันเพราะกรณารากำลังมองมาพอดี คมสันตัดสินใจยกช้อนขึ้นมามองอย่างถอดใจ ถ้าหนีไม่พ้นก็กินมันเข้าไปเลยจะได้จบๆสักที แค่แกงเขียวหวาน ไม่สิ...แกงเขียวเค็มแค่ช้อนเดียวคงไม่ถึงกับตายหรอก คมสันให้กำลังใจตัวเอง กลั้นใจยัดแกงเข้าปากทันที
อ้วกกก!
ชายหนุ่มเคราะห์ร้ายยืนอ้วกอยู่ตรงต้นไม้มาได้ห้านาทีแล้ว หลังจากจบสิ้นคำนั้นคมสันก็ขอตัวออกมาเยี่ยมชมสวนทันที ประเมธที่เดินตามมาจากในตัววังยื่นขวดน้ำให้
“ขอบใจ” คมสันกระดกน้ำรัวๆ กินกะปิยังติดทนนานในลมหายใจทำให้นึกถึงแกงเขียวเค็มสยองนั่นไม่หาย
“อร่อยไหม อาหารที่วัง” ปรเมธแกล้งถาม
“อร่อยกับผีอะดิ”
“ก็เห็นไม่ปฏิเสธ”
“ปฏิเสธบ้าอะไรล่ะ แกก็เห็นว่าคุณหญิงตักมาให้ฉันไวซะขนาดนั้น” คมสันเช็ดปากส่วนที่เลอะน้ำ ยืดตัวขึ้นสนทนากับเพื่อนตรงๆ “ว่าแต่คุณหญิงแกกินรสชาติแบบนั้นจริงเหรอวะ”
ปรเมธเงียบ ดูก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจงใจแกล้งเพื่อนเขาแถมยังทำมื้อเย็นล่มอีก นี่ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเขาสักเม็ดเลยนะ “ไม่รู้”
“เตือนคุณหญิงไว้หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวเป็นโรคตงโรคไตขึ้นมารักษากันยาว แล้วดูท่าว่าจะอีกไม่นานด้วยนะ เค็มซะเกลือยังต้องกราบ” คมสันบ่น เขาตั้งใจจะมาลิ้มรสอาหารชาววังแสนอร่อยแท้ๆ แต่ดันมาเจออาหารชาววังเวงแทน กินทีหนาวไปถึงไส้ติ่ง
“เออ ไอ้หม่อม” คมสันทำท่าเหมือนนึกอะไรออก ใช่ เขาเพิ่งนึกออกว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับปรเมธแต่ดันลืมเพราะโดนเขียวเค็มล้างสมอง
“อะไร”
“ของมาใหม่ว่ะ”
ปรเมธชักสีหน้าจริงจังทันที 'ของ' มาใหม่งั้นเหรอ ต้องไปอีกแล้วสินะ “ประมาณเท่าไร”
“เดาไม่ถูกว่ะ ต้องดูที่หน้างาน”
คุณชายพยักหน้า ของที่ว่านี้ถือเป็นความลับที่มีแค่คมสันเท่านั้นที่รู้ว่ามันคืออะไร และเป็นเพราะเรื่องนี้ตอนเรียนแพทย์ที่อังกฤษเขาจึงไม่สามารถขึ้นเป็นที่หนึ่งของคณะได้และได้อันดับสองมาตลอด
“วันไหน”
“อีกประมาณเดือนกว่า เพราะของยังไม่เสร็จ” คมสันบอก “พอพูดเรื่องนี้แล้วนึกถึงตอนที่แกเรียนอยู่ที่อังกฤษเลยว่ะ”
มันเป็นเรื่องตลกร้ายในสายตาของคมสันเมื่อรู้ว่าเพื่อนจะเรียนต่อแพทย์ ถึงแม้ปรเมธจะเรียนเก่งมากแต่เขาก็มีจุดอ่อนที่ใหญ่มากเหมือนกัน
“คนเก่งๆ อย่างแกดันตกม้าตายได้ที่สองมาตลอด แล้วไอ้คนที่ได้ที่หนึ่งนี่ก็ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นด้วยนะ ตลกว่ะ”
ชายหนุ่มนิ่งคิดถึงวันวาน เขาจบมัธยมปลายจากโรงเรียนชื่อดังแล้วบินไปเรียนต่อแพทย์ที่อังกฤษ ด้วยความที่ทุกคนต่างคนต่างเรียน บางคนจึงอยู่กันเป็นคู่ หรือไม่ก็เกาะกลุ่มกันสามสี่คน แต่สำหรับปรเมธเขาเลือกที่จะอยู่คนเดียวเพราะไม่ชอบสุงสิงกับใคร จะมีก็แต่ศรุต นักศึกษาจากไทยที่เขาคุยด้วยเพียงผิวเผินเท่านั้น
ในคลาสมีนักศึกษาร่วมร้อย การจะจำได้ทั้งหมดคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่ชอบเข้าสังคมอย่างปรเมธ แต่เขาเลือกที่จะตามคนที่ได้ชื่อว่ามีคะแนนสูงสุดของคณะที่ทำตัวเหมือนสายลับไม่เปิดเผยตัว ครั้นจะได้เขาไปตามสืบแบบโคนันก็เกินไป ดังนั้นเขาจึงเลือกตามข่าวเงียบๆ ตามฉบับคนเข้ม แต่จวบจนวันจบการศึกษาเขาก็ไม่ได้เห็นหน้าคนผู้นั้นเพราะคนคนนั้นไม่เข้ารับปริญญาบัตร
“ช่างเขาเถอะ”
“อ้าว ก็แกปลื้มแม่นั่นไม่ใช่เหรอ”
“ไอ้สัน” ปรเมธกดเสียงเย็น
แทนที่คมสันจะสลดกลับทำสีหน้าระรื่น ใครว่าเพื่อนเขาไม่เคยชอบใคร คนอย่างปรเมธจะติดตามใครสักคนได้คนคนนั้นต้องไม่ธรรมดา “แหม ล้อแค่นี้ทำเป็นเสียงเข้มใส่”
“ฉันไม่ได้ปลื้ม แค่สงสัย”
“เหรอออ” หนุ่มหน้าทะเล้นลากเสียงยาวล้อเพื่อน
“เออ ถ้าแกยังทำเสียงแบบนั้นอีกล่ะก็ แกหักเป็นสองท่อนแน่” ปรเมธขู่จริงจัง เขารำคาญจริตมารยาของคมสันจนรู้สึกคันเท้านิดๆ
“โหย โหดตลอด เออ ฉันกลับก็ได้ ฝากลาท่านหญิง มนีจันท์ แล้วก็คุณหญิงด้วยแล้วกัน” คมสันเอ่ยลาเพื่อน ยื่นขวดน้ำคืนให้ก่อนจะเดินจากไปที่รถ
ปรเมธมองส่งคมสันไปจนสุดสายตา เรื่องในอดีตยังคงอยู่ในความทรงจำของเขาไม่เสื่อมคลาย ช่วงที่เรียนที่อังกฤษเป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุณชายหมอแห่งวังปรัตถกรวงศ์ลืมไม่ลงจริงๆ
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กรณารายังคงสถิตอยู่ที่วังปรัตถกรวงศ์ไม่ไปไหน ตั้งแต่เหตุการณ์ที่โต๊ะอาหารคราวนั้นเธอก็มีปะทะกับหม่อมเจ้ารำไพอยู่บ้างแต่เป็นเพียงการจิกกัดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เมื่อวันก่อนเธอกลับไปเอาชุดมาเพิ่มจากคอนโดแล้วขับเอารถไปคืนเมฆขลาเลยกลับมามืดค่ำ ส่งผลให้ท่านหญิงใหญ่วีนแตก หาว่าเธอหนีออกจากวังจะพาให้ซวยชวดสมบัติเสด็จกันทั้งหมด
กรณารานั่งอ่านหนังสือตรงศาลาในสวน อากาศช่วงเช้าช่างบริสุทธิ์ปลอดโปร่ง กลิ่นอายดินระเหยเข้ามาแตะจมูก ลมเย็นๆพัดผ่านร่างกาย เสียงนกร้องดังมาจากต้นไม้ทำให้เธอคิดถึงบ้านจริงๆ
“นี่เธอ” มีคนเคยบอกว่าความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นานเห็นจะเป็นเรื่องจริง กรณาราหันหน้าไปทางขวาสี่สิบห้าองศาก็พบกับนางยักษ์ขมูขีตีหน้าบึ้งยืนอยู่ บรรยากาศที่แสนบริสุทธิ์รอบข้างกลายเป็นพิษทันที
“มีหยังค่ะท่านป้า หาเรื่อง เอ๊ย! มาหาข้อยแต่เซ้า”
คนสูงศักดิ์ยกแขนกอดอก วันนี้เป็นวันดีทีเดียวในการสั่งสอนบทเรียนนิดๆ หน่อยๆ แก่หลานสาวนอกไส้ “อีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดมนีจันท์” ท่านหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิด “ไม่รู้ว่าคนอย่างเธอจะมีน้ำใจกับเขาหรือเปล่า”
กรณาราหรี่ตามองหม่อมเจ้ารำไพ จะมาไม้ไหนอีกละทีนี้ “ข้อยก็ยังบ่ฮู้คือกันว่าสิเป็นคนมีน้ำใจหรือเปล่า จนกว่าท่านป้าสิบอกข้อยว่าต้องการอิหยัง”
หญิงชราชักหน้าหงุดหงิด ฉลาดนักนะ ก็คอยดูแล้วกันว่าจะฉลาดไปได้สักกี่น้ำ
“เธอรู้ใช่ไหมว่ามนีจันท์เป็นลูกบุญธรรมของฉัน”
“ฮู้ค่ะ”
“ดังนั้นในวันเกิด มนีจันท์เลยต้องการที่จะกลับไปยังที่ที่เคยจากมา ไปจัดงานที่นั่น”
“แล้ว”
“ฉันจะวานให้เธอไปซื้อของมาเลี้ยงวันเกิดของมนีจันท์”
หญิงสาวเหล่ตาจับผิด คนรับใช้ก็ตั้งเยอะตั้งเเยะ ทำไมต้องเป็นเธอด้วย มันจะเจาะจงเกินไปหรือเปล่า
“กำลังคิดว่าฉันจะแกล้งเธองั้นสิ”
กรณาราสะดุ้งเล็กน้อย บังอาจมารู้ความคิดของเธอได้ไง ไม่ยุติธรรมเลย
“เรื่องนั้นน่ะลืมซะเถอะ ฉันจะให้ขนอมขับรถพาเธอไป” หม่อมเจ้ารำไพหยิบซองกระดาษที่พกมาด้วยยื่นให้เหมือนเป็นการบังคับกลายๆ “นี่คือรายการของพร้อมกับเงิน หวังว่าเธอจะหาได้ครบนะ”
คนมัดมือชกหันหลังเดินยิ้มมุมปากออกไป กรณาราได้แต่ยืนเอ๋อ นี่สรุปว่าเธอต้องไปซื้อของพวกนี้จริงๆเหรอเนี่ย เฮ้อ ให้ตายเถอะ คิดซะว่าทำเพื่อมนีจันท์ก็แล้วกัน
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าจัดแจงข้าวของเรียบร้อย กรณาราก็เดินลงมาที่โรงรถแต่ทว่าเห็นท่านหญิงรำไพกำลังคุยกับคนขับรถเลยหลบมุมแอบฟัง
“จะดีหรือกระหม่อม”
“ดีสิ ทำตามที่ฉันสั่ง ไปถึงก็ปล่อยมันไว้นั่นแหละ สักเย็นค่อยขับกลับไปดู”
หญิงสาวที่หลบตรงกำแพงกั้นได้ยินบทสนทนาเต็มสองรูหู หน็อย เล่นแรงนะท่านป้า นี่กะจะทิ้งไว้กลางทางกันเลยทีเดียว ร้ายกาจมาก
“แต่คุณหญิงเธอเป็นเด็กต่างจังหวัด หม่อมฉันเกรงว่า...” คนขับรถแสดงอาการหนักใจ
“ไม่ต้องเกรงว่าอะไรทั้งนั้น ฉันสั่งแกก็ต้องทำตาม หรืออยากโดนไล่ออก”
เมื่อโดนขู่แบบนั้นขนอมจึงกลัวหัวหด ภาระหนี้สินไหนจะลูกเมียอีก...ขอโทษนะคุณหญิง มันจำเป็นจริงๆ “กระหม่อม”
“ดีมาก” หม่อมเจ้ารำไพเดินยิ้มสะใจออกไป หญิงสาวที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่เอือมระอาในความคิดสกปรกๆของหม่อมเจ้าผู้สูงศักดิ์ กรณาราเดินออกมาจากที่ซ่อน ขนอมเห็นดังนั้นก็ปากสั่นคอสั่นด้วยมีชนักติดหลัง
“คะ คุณหญิง”
“สิไปกันได้หรือยังคะ” หญิงสาวแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ขนอมเบาๆใจคิดว่าคุณหญิงน่าจะไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับท่านหญิง
“ไปเลยก็ได้ครับ” ขนอมจับกระเป๋าเสื้อปรากฏว่าไร้สิ่งของที่เรียกว่ากุญแจรถอยู่ในนั้น เจ้าตัวจึงบอก “ขอโทษนะครับคุณหญิง ผมลืมกุญแจรถครับ ขออนุญาตไปเอากุญแจรถนะครับ”
“เซิญค่า” คุณหญิงอารมณ์ดีผายมือเป็นเชิงว่าให้ไปได้ ชายวัยกลางคนรีบเดินไปทางเรือนบ่าวทันที
เมื่อสบโอกาสกรณาราจึงคิดหาวิธีแก้เกม ในระหว่างนั้นปรเมธที่วันนี้ไม่มีเวรตรวจกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี หญิงผุดไอเดียขึ้นมาได้ทันควัน
“คุณจะไปไหน” กรณาราเอ่ยถาม
ปรเมธหยุดเดินมองผู้หญิงใส่เสื้อยืดกางเกงยีนสามส่วน หล่อนมาอยู่โรงรถทำไม “เธอเกี่ยวอะไร”
หญิงสาวหัวคิ้วกระตุก อุตส่าห์ถามดีๆ แต่โดนหาว่ายุ่งเรื่องชาวบ้านเนี่ยนะ แต่ตอนนี้เธอต้องกันพันธมิตรดังนั้นจึงได้แต่ทดไว้ในใจ
“เอาดีๆ คุณชายจะไปไหนคะ”
ปรเมธประเมินสถานการณ์ก่อนตอบ “ไปซื้อของขวัญให้มนีจันท์”
โป๊ะเชะ! คุณชายก็จะออกไปซื้อของให้มนีจันท์เหมือนกัน หญิงได้ยินดังนั้นจึงออกอุบายทันที
“ขอฉันไปด้วยคนสิ ฉัน...”
“ไม่”
อีตาบ้านี่! ยังพูดไม่ทันจบก็ปฏิเสธเสียแล้ว มารยาทน่ะมีไหม หา
“ฟังฉันพูดให้จบก่อนสิ”
ปรเมธเงียบ กรณารารีบอธิบายทันทีเมื่อได้โอกาส
“ท่านหญิงสั่งให้ฉันไปซื้อรายการของที่จะใช้ในวันเกิดให้มนีจันท์ แต่ฉันขับรถไม่เป็นแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ากรุงเทพมันมีแหล่งซื้อขายที่ไหนบ้าง”
ชายหนุ่มครุ่นคิด สิ่งแรกที่เขานึกออกคือท่านป้าต้องการเอาคืนกรณาราที่ทำกับท่านเจ็บแสบมากในวันนั้น เขาไม่อยากเข้าไปอยู่ในเกมของสองคนนี้
“ให้ลุงขนอมพาไปสิ”
หญิงสาวอึกอักทันที ขืนไปกับคนขับรถของท่านหญิงมีหวังเธอคงต้องร้องเพลงของวงโปเตโต้แน่นอน กรณาราออกอุบายแผนสองออกมา
“ถ้าคุณไม่พาฉันไป ฉันก็ไม่ไป ก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านหญิงจะว่ายังไง” พูดด้วยน้ำเสียงท้าทาย “อาจจะมีมวยสักคู่สองก็ได้นะ”
ปรเมธคิด ถ้าหญิงสาวตรงหน้าไม่ไปก็เท่ากับว่าไม่ทำตามคำสั่งของหม่อมเจ้ารำไพ วังคงเกิดเรื่องวุ่นๆ อีกแน่ ชายหนุ่มหน้านิ่งถอนหายใจยาวหนึ่งที คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว วันนี้คงไม่ได้ไปเดินดูของคนเดียวเหมือนเคย สรุปคือเขาต้องหิ้วแม่นี่ไปด้วยเพื่อรักษาความสงบในวัง
“ตามมาเร็วๆ” ปรเมธเดินนำหน้าไปยังรถ กรณารายกมือขวาขึ้นทำท่า เยส! หนึ่งครั้ง ในที่สุดอีตาคุณชายก็หลงกล พาเธอไปด้วยสักที
ขอโทษนะคะท่านป้า...คนที่ชนะคือฉัน
ความคิดเห็น