ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณหญิงบ้านนา [จบแล้ว มี Ebook]

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 6 วันลุยๆ(ของใคร) ปัจฉิมบท

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.96K
      11
      5 พ.ย. 64

    บทที่ 6 

    วันลุยๆ (ของใคร?) ปัจฉิมบท

     

    ปิ๊นๆ ปิ๊นๆ ปิ๊นนน

    เซ็ง!ซวย!

    กรณาราถอนหายใจให้กับสัญญาณไฟแดงรอบที่สาม นี่ไม่ทราบว่าคุณตำรวจจราจรจะรีบเปลี่ยนไฟแดงเร็วไปไหน ไฟเขียวแทบนับวินาทีได้ รถในกรุงก็เยอะยิ่งกว่าอะไรดี ถ้าเรียงต่อท้ายกันไปเรื่อยๆสงสัยเวียนได้ครบรอบโลกพอดีแน่ๆ เฮ้อๆๆ

    “เป็นอะไร” ชายหนุ่มเจ้าของรถเห็นอาการถอนหายใจเบื่อโลกของหญิงสาวตั้งแต่เมื่อครู่ถามขึ้น

    “จะอะไรล่ะ คุณไม่สังเกตหรือไงว่าฉันกับคุณติดไฟแดงรอบที่เท่าไรแล้ว”

    “ก็นี่มันวันหยุด”

    “มันเกินไปค่ะ!” หญิงสาวยังคงนั่งหน้าตูม ดูท่าว่าจะติดอีกนานเสียด้วย ให้ตายเถอะ รถมันมาจากไหนเยอะแยะมากมายขนาดนี้นะ

    “แล้วจะถึงไหมวันนี้” พอทำอะไรไม่ได้ก็เริ่มบ่นกระปอดกระแปดเหมือนคนวัยทอง

    ปรเมธเหล่มองหญิงร่วมทาง ถ้าเขาไม่พาแม่นี่มาด้วยรถคงจะสงบขึ้นกว่านี้ คิดถูกคิดผิดไม่รู้ที่พามาด้วย ชายหนุ่มสำรวจถนนตรงหน้า การจราจรข้างหน้าวุ่นวายมากรถราเต็มไปหมด ก็จริงอย่างที่หล่อนว่าต่อให้ผ่านแยกนี้ไปได้แต่ก็คงจะไปติดแยกหน้าอยู่ดี พลันสายตาปรเมธเหลือบไปเห็นห้างสรรพสินค้าขนาดกลาง จึงเสนอวิธีแก่กรณารา

    “ถ้าอย่างนั้นฉันจะขับรถไปจอดที่ห้างทางฝั่งโน้น”

    “จอดทำไม” หญิงสาวร่วมทางเอ่ยด้วยความฉงน

    “เธอก็เห็นว่ารถมันเยอะขนาดไหน ขืนผ่านแยกนี้ไปได้ก็ต้องไปติดแยกอื่นอยู่ดี”

    กรณาราคิดตามก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าขับรถต่อไปมีหวังชาติหน้าก็คงไม่ถึง

    สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถยนต์ทั้งหลายพากันขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับหลุดพ้น รถของปรเมธก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งคู่ผ่านแยกมาได้เป็นคันสุดท้ายพอดิบพอดี เมื่อรถยนต์แล่นมาถึงห้างสรรพสินค้าที่หมายมั่นไว้ก็ดิ่งตรงไปยังลานจอดรถทันที ในขณะลงจากรถสายตาหญิงสาวมองเห็นร้านขายน้ำตรงประตูทางเข้าห้าง ด้วยความกระหายจึงรีบเดินไปซื้อ ทิ้งปรเมธให้เดินตามมาห่างๆ เมื่อได้ดื่มน้ำสมใจอยากแล้วหญิงสาวจึงเริ่มพูด

    “ไปไม่น่าถึงสามชั่วโมง หวังว่าจะไม่โดนปรับนะ” กรณาราหยิบบัตรจอดรถขึ้นดู ในบัตรเขียนว่าห้ามจอดเกินสามชั่วโมง เกินปรับชั่วโมงละห้าสิบ “ว่าแต่จะไปซื้อของที่ไหนเหรอคุณชาย” หญิงสาวถาม เก็บขวดน้ำใส่กระเป๋าสะพายข้างใบเล็กก่อนจะหยิบซองที่ท่านหญิงให้มาเปิดดู

    “ไม่รู้”

    “เอ้า ไม่รู้แล้วมาที่นี่ทำไม”

    “เดินดูเรื่อยๆเดี๋ยวก็เจอ” ชายหนุ่มตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ

    “แปลกคน” หญิงสาวส่ายหัวน้อยๆ มือล้วงเข้าไปหยิบกระดาษรายการสิ่งของออกมา ตอนแรกเธอนึกว่าจะมีแผ่นเดียว แต่ปรากฏว่าเมื่อดึงออกมากลับยาวขึ้นเรื่อยๆ “นี่มันหางว่าวชัดๆ!”

    ปลายท้ายสุดของกระดาษยาวแตะพื้นคอนกรีตพอดี ท่านหญิงป้าเล่นเธอแล้วไหมล่ะ! บ้าเอ๊ย รายการมากมายขนาดนี้ใครจะไปซื้อหมด หญิงสาวหัวเสียรุนแรงนึกว่าจะชนะแล้วเชียว ร้ายนักนะท่านป้า

    ชายหนุ่มที่ยืนดูอยู่จะขำก็ขำไม่ออก นึกๆดูแล้วถ้าหญิงสาวตรงหน้าซวยเขาก็ซวยไม่แพ้กัน ในเมื่อเขาต้องพาเธอไปซื้อของพวกนี้ด้วย

    “ฉันรู้แล้วว่าจะไปซื้อของที่ไหน”

    กรณาราละจากรายการสิ่งของมองหน้าคุณชายปรเมธ ชายหนุ่มมองกระดาษหางว่าวนั้นอีกครั้ง ซื้อของเยอะขนาดนี้ไม่ต้องคิดแล้วว่าจะไปไหน “ที่ไหนคะ”

    “สำเพ็ง”

     

     

    “แปดบาท สองคนสิบหกบาท”

    กระเป๋ารถเมล์ยื่นมือออกมาตรงหน้าของปรเมธ ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวที่นั่งเบาะติดหน้าต่างเล็กน้อย กรณาราพยักหน้าเป็นเชิงว่าออกตังค์ไปสิตอบกลับไปให้ ชายหนุ่มจึงถอนหายใจหนึ่งทีหยิบกระเป๋าตังค์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาค้นหาเศษตังค์แต่ก็พบว่ามีแต่ธนบัตรสีม่วงกับสีเทาในนั้น

    “สิบหกบาท” กระเป๋ารถเมล์กดเสียงเข้ม

    ปรเมธตัดสินใจควักแบงก์ห้าร้อยยื่นให้ คนรับเงินทำหน้านิ่ง มองคนให้

    “เศษไม่มีรึไง”

    “คุณไปจ่ายแบงก์ห้าร้อยให้เขาทำไม” หญิงสาวตาโตเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยื่นแบงค์อะไรให้กระเป๋ารถเมล์

    “ก็ฉันไม่มีแบงก์ย่อย”

    “แล้วทำไมคุณไม่บอกฉัน!” กรณารากระซิบเสียงดุ หันไปยิ้มให้พี่กระเป๋าก่อนจะลวงมือค้นหาเศษเหรียญในกระเป๋าสะพาย “นี่ค่ะ สิบหกบาท” หญิงสาวหัวเราะแห้งๆ

    กระเป๋ารถเมล์ส่งธนบัตรสีม่วงคืนแก่ปรเมธ รับเงินจำนวนสิบหกบาทถ้วนจากมือหญิงสาวตัวดำพลางบ่น

    “ผัวเอ็งนี่ท่าทางจะรวย คราวหลังถ้าจ่ายแบงก์ใหญ่มาอีก ข้าจะทอนเหรียญบาทให้ครบจำนวนเลย” กระเป๋ารถเมล์ยัดตั๋วใส่มือหญิงสาวแล้วเดินไปเก็บเงินที่อื่น

    เฮ้อออ...หญิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ ถ้าจะถามว่าทำไมเธอกับปรเมธถึงมาอยู่ที่จุดนี้ได้ล่ะก็ หึๆ หึๆ หึๆๆๆ...

     

     

    'ที่ไหนคะ'

    'สำเพ็ง'

    กรณาราย่นคิ้ว สำเพ็ง...จะว่าไปเธอก็คุ้นๆเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้าง เป็นตลาดค้าส่งสินค้าขนาดใหญ่หลากหลายชนิด

    'ไป ขึ้นรถ'

    'หา'

    'ไม่ต้องหา ถ้าจะไปที่นั่นมันไกลต้องขับรถไป' ปรเมธเดินนำไปที่รถ หญิงสาวที่เพิ่งลงจากรถมาได้แปบเดียวเก็บรายการสิ่งของกลับเข้าที่เดิมก่อนรีบเดินตามไป แต่เมื่อไปถึงก็พบกับรถยนต์สีดำเงาคันหนึ่งจอดขวางหน้าโดยมีคุณชายแห่งวังปรัตถกรวงศ์เข็นอยู่

    'โห ไปแปบเดียว มีคนมาจอดขวางซะแล้ว'

    'นี่ มาช่วยกันหน่อย'

    'ค่าๆ' หญิงสาวเดินไปจับท้ายรถข้างๆชายหนุ่ม นับหนึ่งถึงสามช่วยกันออกแรง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถดันรถที่ขวางให้เคลื่อนออกไปได้

    'บ้าจริง ล็อกเกียร์' กรณาราตบท้ายรถสีดำเงาไร้มารยาทหนึ่งทีด้วยความหงุดหงิด 'ไร้มารยาทที่สุด เอาไงดีคุณ ท่าทางเข็นไม่ไปชัวร์' หญิงสาวยกมือขึ้นปาดเหงื่อก่อนเปลี่ยนเป็นซับเบาๆเพราะเพิ่งนึกได้ถึงสีผิวปลอม

    ชายหนุ่มนิ่งคิด รถเขาโดนจอดขวางเป็นครั้งที่สองแถมเวลาไล่เลี่ยกันอีกต่างหาก ทำไมรู้สึกว่าช่วงนี้ชีวิตเขาจะซวยเป็นพิเศษ ปรเมธละความพยายาม สงสัยคงต้องเข้าอีหรอบเดิม

    'เหลือทางเดียว' ชายหนุ่มเอ่ยอย่างจริงจัง

    'หือ'

    'สายแปด'

     

     

    เอี๊ยดดด!

    เสียงรถเบรกกะทันหัน กรณาราที่กำลังรำลึกอดีตอยู่ไม่ทันตั้งตัว พุ่งหลาวไปข้างหน้าจนหัวแทบโขกเหล็กจับ ดีที่ชายหนุ่มข้างๆเอามือมาบังไว้ทันแล้วดันหัวเธอกลับไปที่เดิม

    “โหย ขับรถอย่างนี้กลับไปเลี้ยงลูกที่บ้านดีไหม ฟายเอ๊ย!” คนขับก่นด่ารถกระบะที่ขับปาดหน้าอย่างกระชั้นชิด

    แกสิฟาย!

    กรณาราด่าคนขับรถกลับในใจ เล่นปาดซ้ายปาดขวาล้อหน้าแทบยก ขับไม่เกรงใจมนุษย์ตาดำๆที่นั่งกันเป็นสิบ ถ้าหัวเธอกระเเทกแล้วเกิดแตกขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ หา!

    “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณชายหนุ่มหน้าตายผู้ช่วยรักษาสวัสดิภาพหน้าผากเธอ

    “คราวหน้าอย่าเหม่ออีก ฉันไม่อยากเสียเงินซ่อมเหล็กให้เขา” ปรเมธตอบเรียบๆแต่โดนใจหญิงสาวอย่างจัง หมอนี่หาว่าเธอหัวแข็งงั้นเหรอ หลอกด่ากันชัดๆ

    แต่ไม่ทันที่กรณาราจะได้ลงมือแก้แค้น พอรถเมล์จอดป้ายผู้คนที่รอรถอยู่เป็นจำนวนมากต่างกรูกันขึ้นมาบนรถจนล้น พี่กระเป๋าเมล์จึงเดินมาเอากระเป๋าเก็บตังค์ตบที่ไหล่ปรเมธสองที

    “สองชิดสามน้อง”

    ชายหนุ่มทำหน้างง

    “สองชิดสาม เร็วๆ!”

    พี่กระเป๋ารถเมล์ทำหน้าหงุดหงิด เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มหน้าขาวยังไม่เข้าใจจึงผลักเข้าไปชิดคนข้างในจนปรเมธแทบจะสิงกับกรณารา หญิงสาวตกใจกับความใกล้ชิดกะทันหัน แต่ก็แค่แปบเดียวเท่านั้น ความรู้สึกต่อมาของเธอคืออึดอัดเหมือนจิ้งจกโดนทับ

    “เอ้าน้องชุดเขียวๆอะ มานั่งนี่” คนผลักเรียกเด็กหนุ่มน้ำหนักวัดจากหุ่นแล้วน่าจะเกือบร้อยมานั่งข้างๆอีกฝั่งหนึ่งของปรเมธ เมื่อเด็กอ้วนนั่งลง สิ่งแรกที่กรณาราสัมผัสได้คือ 'กลิ่น' มันทรงอานุภาพรุนแรงราวกับช้างที่ตายในกองขี้หมามาสามปี เน่าสุดๆจนอาหารที่กินมาเมื่อเช้าตีขึ้นมาจุกตรงหลอดอาหารส่วนกลาง

    กรณาราหันไปมองปรเมธ เธอคิดว่าความรู้สึกของคุณชายคงไม่ต่างกัน สังเกตจากคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน แต่เหมือนว่าเขาจะโชคร้ายกว่าเธอตรงที่อยู่ใกล้ชิดติดแนบแน่นกับช้างตายตัวนั้น

    “คุณโอเคนะ” กรณารากระซิบถามอย่างห่วงในสวัสดิภาพโพรงจมูกของชายหนุ่ม

    ปรเมธนิ่งเงียบไม่ตอบ หญิงสาวจึงคิดว่าชายหนุ่มคงสบายดี เอาหน่า อย่างน้อยอีตาคุณชายก็เป็นหมอ คงค่อนข้างชินกับกลิ่นพวกนี้ล่ะมั้ง เมื่อคิดเองเออเองได้แบบนั้นหญิงสาวจึงหันหน้าออกนอกหน้าต่างเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    รถเมล์ในตำนานขับไปได้สักพัก ทุกอย่างดูปกติสุข แต่คลื่นลมสงบมักจะพบกับพายุลูกใหญ่เสมอ เมื่อคนขับรถเมล์เข้าโค้งอย่างแรงทำให้อาวุธชีวภาพร่างอ้วนเอนมาเบียดปรเมธปานจะสิง ตัวมากลิ่นก็ย่อมตามมาเป็นเงาตามติด จังหวะนั้นชายหนุ่มเผลอสูดลมหายใจเข้าพอดีจึงรับกลิ่นไปเต็มๆอย่างเลี่ยงไม่ได้

    ปู้ดดด

    เสียงอะไร!

    กรณาราหันไปมองตามเสียงก็เห็นรอยยิ้มแฉ่งของเด็กอ้วนเสื้อเขียวนั่น เด็กหนุ่มเผยอปากบอกแบบอายๆ

    “ขอโทษครับพี่ ผมกินถั่วมากไปหน่อย...ออกมาหมดเลย แหะๆ”

    หญิงสาวได้ฟังอย่างนั้นก็แทบอยากตาย ไอ้เด็กบ้านี่ตด! ให้ตายเถอะ แค่กลิ่นตัวเธอก็ว่าเหม็นแทบอ้วกแล้ว พอเจอกลิ่นตดนี่ยิ่งกว่า แม่งกินหมาเน่าเข้าไปหรือไงวะ!

    กรณาราหันไปสังเกตสีหน้าปรเมธอีกครั้ง โห อีตาคุณชายอดทนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตีหน้านิ่งสงบเหมือนเป็นเพียงกลิ่นดอกลาเวนเดอร์

    “คุณทนได้ไงเนี่ย” หญิงสาวกระซิบถาม

    ปรเมธยังคงนิ่ง นิ่ง และนิ่ง ราวกับว่าไม่รับรู้สิ่งใด

    “เฮ้คุณ ฉันถาม” หญิงสาวเริ่มถามเสียงดังขึ้น แต่ว่าชายหนุ่มก็ยังคงหน้านิ่ง “คุณชายปรเมธ ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง”

    ชายหนุ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้บ้างโดยการเหล่ตามามองหญิงสาวขี้สงสัย

    “ฉันจะบอกเธอแค่คำเดียว” ปรเมธเอ่ยกระซิบจนแทบจะไม่ได้ยิน หญิงสาวตั้งใจฟังเต็มที่ ชายหนุ่มขยับปากช้าๆแต่แสดงออกทุกความรู้สึกที่มีมานานแสนนาน

    “ลงป้ายนี้”

     

     

    ทั้งคู่ลงก่อนถึงที่หมายด้วยไม่อาจทนได้อีกต่อไป แต่เดินเพียงสองป้ายรถเมล์เท่านั้นก็ถึงที่หมายที่อยู่ไม่ไกลนัก กรณาราหยิบแผ่นกระดาษหางว่าวออกมาจากซองอีกครั้งก่อนจะอ่าน

    “ของเล่นเด็ก หืม ระบุซะกว้าง แล้วฉันจะซื้ออะไรล่ะทีนี้” หญิงสาวไม่รู้ว่านี่เป็นแผนแกล้งเธออีกแผนหรือเปล่า ไม่ใช่พอซื้อไปก็บอกไม่ชอบไม่ดี กรณาราไล่สายตาลงไปเรื่อยๆ ของที่ลิสต์มาก็น่าจะหาได้จากในสำเพ็งสบายๆ เว้นเสียแต่รายการท้ายๆที่เป็นอาหาร

    “อาหารพวกนี้ที่จริงซื้อแถววังก็ได้...แกล้งกันเห็นๆ” ประโยคหลังหญิงสาวกระซิบกับตัวเอง

    “ไปได้แล้ว รีบไปจะได้รีบกลับ” ปรเมธบอกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงยืนมองแผ่นกระดาษไม่ไปไหน

    “ค่าคุณชายปรเมธ” หญิงสาวแสร้งดัดเสียงล้อเลียน ก่อนจะขำนิดๆเมื่อเห็นยาดมที่อยู่ในมือของชายหนุ่ม

    “ขำอะไร” ชายหนุ่มทำเสียงเข้ม

    “เปล๊า ฉันก็แค่อยากจะบอกว่า” กรณาราทำจมูกฟุดฟิดใกล้ๆตัวปรเมธ “คุณน่ะเหยาะพิมเสนเยอะเกินไปแล้ว”

    “ไปซื้อของ” ชายหนุ่มทำหน้าดุใส่ กรณารายักไหล่ก่อนจะหันหลังเดินนำเข้าไปในตลาดโดยไม่วายแอบขำกับความขี้เก๊กของเขา

    คนอะไร อวดเก่งสิ้นดี

     

     

    “เฮ้อ ครบสักที”

    ตุบ

    กรณาราวางถุงพลาสติกขนาดใหญ่ลงกับพื้น กว่าจะหาของครบกินเวลาไปตั้งสามชั่วโมง คอยดูนะท่านหญิง วันพระไม่ได้มีหนเดียว

    ปรเมธเดินตามหลังมาถึงพร้อมกับน้ำมะพร้าวแก้วใหญ่ หญิงสาวมองน้ำในแก้วด้วยสายตาแวววับ เดินมาตั้งนานถ้าให้ดื่มน้ำเย็นๆสักแก้วคงจะ...

    ความหวังของกรณาราถูกดับลงเมื่อปรเมธดูดน้ำมะพร้าวในแก้วจนหมด หญิงสาวมองดูแก้วเปล่าตรงหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์ นี่เขากินหมดโดยไม่แบ่งเธอสักหยดเลยเนี่ยนะ!

    “น้ำใจอยู่ไหน” หญิงสาวบ่นลอยๆต้องการกระทบคนตรงหน้าตรงๆ “ใช่ซี่ ไอ้เรามันก็แค่หญิงสาวบอบบาง หวังใจว่าจะมีใครมาช่วยถือของแต่ก็ไม่มี พอคิดว่าจะมีคนใจดีซื้อน้ำมาให้ก็ต้องผิดหวัง เฮ้อ ชีวิตฉันนี่มันนางเอกละครน้ำเน่าชัดๆ”

    เเก้วน้ำมะพร้าวใบใหญ่อีกใบยื่นมาตรงหน้ากรณารา หญิงสาวทำหน้าฉงน ปรเมธจึงเอ่ย “ไม่ต้องบ่นมาก รีบกินจะได้รีบไป”

    หญิงสาวหายหน้าเหวอรับแก้วน้ำมะพร้าวมาจากมือปรเมธพลางยิ้ม “แหม คุณก็ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย” ยิ้มล้อ

    “รีบกินเร็วๆ” ชายหนุ่มเดินออกหน้าไปโดยไม่รอให้กินเสร็จ ปล่อยให้หญิงสาวที่กำลังดูดน้ำอยู่ยกถุงขนาดใหญ่ตามไปแทบไม่ทัน

    “เดี๋ยวสิคุณ”

    “อะไรอีก” ปรเมธถามเสียงติดจะรำคาญ แม่นี่วุ่นวายจริงๆ

    “ฉันอยากไปเที่ยว”

    “ว่าไงนะ”

    “นะๆ ฉันยังไม่เคยเที่ยวในเมืองเลย” หญิงสาวพยายามโน้มน้าว

    “ดูด้วยว่าสภาพเธอเป็นยังไง” ปรเมธมองถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่กรณาราถืออยู่ ถึงแม้มันจะไม่หนักมากแต่มันก็ใหญ่เทอะทะเกินกว่าจะแบกไปเที่ยวด้วย

    “โอ๊ยสบายมากคุณ ตอนอยู่โคราชฉันแบกหนักกว่านี้เดินเป็นกิโลยังไม่สะเทือน”

    ชายหนุ่มถอนหายใจกับความดื้อของหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “แล้วเธอจะไปไหน”

    กรณารานิ่งคิด สักพักก็ยิ้มออกมา

    “ศิริราชค่ะ”

    ปรเมธตีหน้างง ไปเที่ยวโรงพยาบาลเนี่ยนะ บ้าหรือเปล่า

    “จะไปทำไม”

    “ก็ตอนเด็กๆฉันฝันอยากเป็นหมอ อยากช่วยรักษาคนในหมู่บ้าน และฉันก็อยากเป็นหมอที่นี่ด้วย” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุขในความใฝ่ฝันของตนเอง ปรเมธเห็นดังนั้นจึงใจอ่อน เขาก็เป็นหมอดังนั้นเขาจึงเข้าใจความรู้สึกอยากจะช่วยคนของเธอดี

    “จะไปก็รีบไป ฉันมีเวลาไม่มาก” พูดจบชายหนุ่มก็เดินนำไปอีกหน หญิงสาวมองตามหลังชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสมส่วนที่เดินไปยังป้ายรถเมล์ด้วยความทึ่งจัด ไม่คิดว่าเขาจะยอมง่ายๆ แบบนี้

    ตานี่ก็มีมุมดีๆ เหมือนกันแฮะ

     

     

    เมื่อถึงท่าเรือปรเมธชะงักทันทีกับภาพเรือเก่าๆ ตรงหน้า เรือโดยสารที่เขาเห็นเก่าจนเห็นสนิมเกาะเต็มไปหมด

    “นี่อะไร”

    “เรือข้ามฟากไง คุณไม่เคยนั่งเหรอ”

    ราชนิกุลหนุ่มมองสภาพเรือโดยสารตรงหน้าที่ช่างไม่ต่างอะไรกับโครงเหล็กลอยน้ำเลยสักนิด “เวลาข้ามไปฝั่งธนฯฉันขับรถไป” ชายหนุ่มตอบ สร้างความหมั่นไส้นิดๆแก่คนร่วมทาง

    “ก็วันนี้ฉันกับคุณไม่มีรถไง นั่งๆ ไปเหอะ แปบเดียวเดี๋ยวก็ถึง” กรณารายกถุงที่เกือบจะเรียกได้ว่าถุงซานตาคลอสขึ้นพาดไหล่ ก่อนจะเดินนำไปที่เรือ

    ปรเมธยืนชั่งใจ ของก็หนักยังจะอุตส่าห์ดั้นด้นข้ามฟากไปดูโรงพยาบาลฝั่งโน้นอีก นี่มันแม่น้ำเจ้าพระยานะ ถ้าตกน้ำขึ้นมาจะขำให้ดู ชายหนุ่มตัดสินใจก้าวขาเดินตามหญิงสาวมากเรื่องไปยังโครงเหล็กลอยน้ำนั่น

    “เรือจะออกแล้ว รีบๆ หน่อยพ่อหนุ่ม”

    ลุงที่เหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่บนเรือตะโกนบอกปรเมธ ให้ตายเถอะ เขาไม่น่าหลงกลมากับแม่นี่เลยจริงๆ ชายหนุ่มสาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ทันเรือ แต่ราวกับว่าคนขับเรือจะไม่ได้นัดกับตาลุงคนนั้น ช่วงที่กำลังจะก้าวเท้าขวาออกไปเหยียบธรณีเรือ พื้นเรือที่ปรเมธเล็งไว้อย่างมาดมั่นกลับกลายเป็นกอผักตบชวาแทนเพราะตัวเรือได้เคลื่อนออกจากท่าไปแล้วส่งผลให้ราชนิกุลหนุ่มดวงซวยทรงตัวไม่อยู่หล่นลงไปเยี่ยมชมเหล่ามัจฉาในแม่น้ำเจ้าพระยาทันที

    ตูมมม!

    “เฮ้ยยย คุณชายยย!”

    กรณาราตะโกนสุดเสียง แย่แล้ว อีตาคุณชายตกน้ำแถมยังเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาเสียด้วย หญิงสาวพยายามคิดถึงวิธีช่วยคนตกน้ำที่เคยเรียนมา คิดสิ คิดๆๆ

    ตูม!

    เสียงสิ่งของตกลงไปในน้ำดังขึ้น หญิงสาวหันไปมองก็พบกับห่วงยางสีแดงขาวถูกโยนลงไปช่วยปรเมธ พร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มของใครบางคนดังขึ้น

    “จับห่วงยางไว้ก่อนครับ คุณชายปรเมธ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×