ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณหญิงบ้านนา [จบแล้ว มี Ebook]

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 4 กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็โยนทิ้งไป

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.47K
      12
      5 พ.ย. 64

    บทที่ 4 

    กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็โยนทิ้งไป

     

    “เชิญ”

    ปรเมธผลักประตูห้องให้เปิดกว้างจนสุด เผยให้เห็นห้องนอนขนาดใหญ่หรูหรา ประดับตกแต่งด้วยสิ่งของราคาแพงระยับ กรณาราเดินเข้าไปในห้องอย่างตื่นเต้น โอ้โห นี่ชาววังเขาอยู่แบบนี้กันเหรอเนี่ย

    “โห ห้องนี้อยู่ได้ตั้งสิบคนเลยนะเนี่ย อ้าว แล้วคุณชายไม่เข้ามาหรือคะ”

    เมื่อเห็นว่าคนที่พาเธอมายังคงยืนอยู่ตรงบริเวณประตูห้องโดยไม่มีทีท่าว่าจะก้าวขา หญิงสาวจึงเอ่ยถาม

    “มันดูไม่ดี”

    กรณาราแอบขำในใจ ตานี่ถือตัวชะมัด หญิงสาวยักไหล่พลางหันกลับไปสำรวจห้องต่อ

    “ฉันมาส่งเธอแล้ว ขอตัวก่อนละกัน”

    ปรเมธเดินจากไปอย่างรวดเร็วจนดูผิดปกติ กรณาราเห็นท่าทางนั้นจึงคิดไปว่าเขาคงจะเบื่อขี้หน้าเธอเต็มทน เหอะ ใครสนกัน จะไปไหนก็ไปเลย

    เจ้าของห้องคนใหม่เดินสำรวจห้องไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดกับภาพที่แปะติดผนัง ภาพของหญิงชราในชุดผ้าไหมสีครีม ใบหน้ายิ้มแย้ม...แต่ดวงตาดูเศร้าเหลือเกิน หญิงสาวยกมือขึ้นลูบภาพนั้นเบาๆ ราวกับกลัวว่าภาพนั้นจะแหลกสลาย

    “นั่นภาพหม่อมดวงพรค่ะ”

    กรณาราสะดุ้ง รีบชักมือออกจากภาพทันที พอหันหลังกลับไปทางประตูก็พบกับร่างแน่งน้อยน่าทะนุถนอมของมนีจันท์

    หลังจากไปส่งหม่อมเจ้ารำไพแม่บุญธรรมของเธอเสร็จ เธอก็ตั้งใจว่าจะเดินกลับห้องที่อยู่ทางฝั่งซ้ายถัดจากห้องของหม่อมเจ้าแสงแข แต่เมื่อเดินผ่านห้องเก่าของหม่อมดวงพร คนตัวเล็กก็เห็นว่าประตูห้องเปิดอยู่จึงเดินมาดู เห็นคุณหญิงกำลังมองรูปภาพอยู่จึงเข้ามาทัก

    “คุณมนีจันท์”

    คนตรงหน้าประตูเดินยิ้มน้อยๆ เข้ามาในห้อง มายังจุดเดียวกับที่กรณาราเดิน

    “เรียกมณีอย่างเดียวก็ได้ค่ะ หนูอายุน้อยกว่าพี่แถมยังเป็นเพียงลูกบุญธรรมของท่านหญิงรำไพเท่านั้น”

    กรณารายิ้มแห้งๆ เด็กหญิงตรงหน้าถึงแม้จะไม่ได้มีสายเลือดของชาววัง แต่กิริยามารยาทเมื่อเทียบกับตัวเธอนี่ เธอตายสนิท

    “ก็ได้จ้า น้องมนี” เธอยิ้ม

    “ดีจังค่ะ” มนีจันท์ยิ้มบ้าง “ที่จริงหนูฝันว่าอยากจะมีพี่สาวสักคนมานานแล้วค่ะ พอรู้ว่ามีพี่กรณาราหนูดีใจมากเลย”

    ทั้งสองรู้สึกถูกชะตาซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก กรณาราหันไปมองรูปอีกครั้ง มนีจันท์จึงเริ่มเล่าเรื่องของคนในรูปให้ฟัง

    “นี่หม่อมดวงพร พระมารดาของท่านหญิงแสงแขค่ะ” หญิงตัวเล็กมองภาพที่แปะบนผนังบ้าง “ท่านงดงามและใจดีมากค่ะ แต่หนูไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเองหรอกนะคะ ฟังป้าจิตเล่ามาอีกทีเพราะตอนนั้นท่านหญิงยังไม่รับหนูมาเลี้ยง”

    กรณาราสนใจเรื่องที่มนีจันท์เล่า เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาคนในภาพ ชีวิตท่านน่าจะมีความสุขมาก แต่ดวงตาที่แสนเศร้านั่น มันเหมือนกับคนอมทุกข์อย่างไรอย่างนั้น

    “ค่า พี่ก็ว่าจังสั้น แต่เป็นหยังแววตาของเพิ่นคือเศร้าแท้”

    มนีจันท์ถอนหายใจหนึ่งที เธอก็ฟังป้าจิตเล่ามาอีกที ไม่ค่อยรู้เบื้องลึกเบื้องหลังสักเท่าไร

    “มนีเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหม่อมดวงพรเท่าไรหรอกค่ะ เหมือนป้าจิตแกไม่อยากเอ่ยถึง”

    “มีอย่างนี้ด้วย” กรณาราเอ่ยกับตัวเองเบาๆ

    “คุณหญิงว่ายังไงนะคะ” มนีจันท์ที่ได้ยินแวบๆ เอ่ยถาม

    “อ่อ บ่ค่า บ่มีหยัง” เธอบอกปัด “ว่าแต่ คราวหลังเอิ้นพี่ว่าพี่กิ่งก็พอ เอิ้นคุณหญิงมันบ่ชินหูจ้า”

    มนีจันท์ลังเลเล็กน้อยด้วยคิดถึงความเหมาะสม แต่พอเห็นสีหน้าคนตรงหน้าที่ไม่ถือเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์แล้ว เด็กสาวก็ดูจะใจชื้นขึ้นมา

    “ก็ได้ค่ะ พี่กิ่ง”

    “จังสั้นละค่า น้องมนี คล่องหูกว่าหลาย”

    หญิงสาวยิ้มให้บุคคลที่เธอยกให้เป็นเสมือนน้องสาว ตอนนี้เธอสร้างมิตรได้อีกหนึ่งคน แต่จะว่าไปนอกจากหม่อมเจ้ารำไพท่านป้ามหาภัยแล้ว คนในวังดูเหมือนจะไม่ค่อยมีปัญหากับเธอเลย

    อ่อ...ลืมอีตาคุณชายปรเมธอีกคน...

    “ถ้าอย่างนั้นมนีไม่กวนคุณหญิง...เอ่อ พี่กิ่งแล้วดีกว่า เชิญตามสบายนะคะ”

    คนตัวเล็กยิ้มให้พี่สาวคนใหม่หนึ่งทีก่อนจะเดินออกไปจากห้องและไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องให้ เมื่อกลับมาตัวคนเดียวอีกครั้งกรณาราจึงละความสนใจจากภาพของหม่อมดวงพรไปยังสิ่งของอื่นๆ เตียงขนาดคิงไซซ์ถูกจัดวางไว้เยื้องไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่บัดนี้ถูกปิดทับด้วยผ้าม่านทึบซ้อนทับอีกชั้นด้วยผ้าม่านลูกไม้สีทอง

    บรรยากาศช่างดูเหมือนกับ...

    ความคิดของหญิงสาวหยุดลงไปเมื่อหันไปเห็นตู้เสื้อผ้าหลังโต พื้นที่ตรงนั้นไม่น่าจะเอาไว้วางตู้เสื้อผ้าเลยนะ เพราะมันเป็นมุมแถมยังมีกระถางต้นไม้ตั้งขวางไว้ข้างๆ ตั้งสองกระถาง กรณารางุนงงกับภาพตู้เสื้อผ้าที่ดูโดดออกมาจากสิ่งของรอบข้าง สงสัยคนจัดคงจะเมาตอนเอาตู้เสื้อผ้ามาวาง มันดูเด่นจนตลกมากในสายตาเธอ แต่กรณาราก็ไม่คิดจะขยับมันไปไหนทั้งสิ้น ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เหมาะกับคนบ้าๆ บอๆ แบบเธอดี

    หญิงสาวยกเสื้อแขนยาวขึ้นมาดม กลิ่นไม่พึงประสงค์ตลบอบอวลจนเจ้าของเสื้อย่นจมูก

    “อื้อฮือ โคตรเหม็น เป็นเพราะคุณชายนั่นแท้ๆ คอยดูนะ แค้นนี่ต้องชำระ”

    เธอคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวขึ้นมาพาดไหล่ สัมภาระเสื้อผ้าทั้งหลายก็ขนมาแค่นิดเดียว สงสัยต้องหาเวลาไปขนมาเพิ่มซะแล้ว

    กรณาราเดินไปล็อกประตูห้องก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำ ไว้ว่างๆ แล้วกัน พอดีช่วงนี้เธอมีภารกิจสำคัญมากมายต้องทำเกี่ยวกับวังแห่งนี้

    ...ภารกิจพิชิตหม่อมเจ้ารำไพ

     

     

    บรรยากาศภายในร้านกาแฟชื่อดังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟ ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานแต่งกายด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับแขนจนถึงศอกกับกางเกงสแลคสีดำ ทรงผมที่ถูกเซตมาอย่างดีอวดโฉมแก่เหล่าบรรดาสาวๆ ที่คอยแอบมองเขาตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้ามาในสถานที่แห่งนี้

    คมสันยกนาฬิกาข้อมือเรือนเหยียบแสนขึ้นมาดูเวลา อะไรกัน เลทมาสิบห้านาที ปกติไอ้หม่อมมันไม่เคยมาเลทนี่หว่า วันนี้เขามาก่อนเวลานัดตั้งห้านาทีเชียวนะ

    พอบ่นในใจเท่านั้นแหละ ประตูร้านกาแฟก็ถูกเปิดออก คมสันรีบพลิกตัวกลับหาโต๊ะที่เจ้าตัวนั่งอยู่ซึ่งค่อนข้างใกล้ประตู หันหลังให้เก๊กหน้าขรึม ก่อนจะเอ่ยคำต่อว่า

    “โห มาช้าขนาดนี้ก็กลับบ้านไปเลยไป”

    ฝ่ายนั้นเงียบไป คมสันได้ใจใหญ่เลยพูดต่อ

    “สงสัยรถคงจะติด เฮ้อ เหตุผลไก่กาเดิมๆ มุกเก่าๆ กากจริงๆ “

    “นี่แกว่าใครวะ! “

    คอเสื้อด้านหลังของคมสันถูกกระชากขึ้นอย่างแรง ชายหนุ่มรีบหันหน้ากลับไปดู...อืม อ้วนขึ้นนะไอ้หม่อม ช่วงนี้คงกินข้าวเยอะสิท่า...

    จะบ้าเหรอ! ไอ้หัวล้านนี่มันไม่ใช่เพื่อนเขา!

    “แกว่าใครกาก”

    “ปละ...เปล่าครับพี่”

    สัญชาตญาณของชายหนุ่มหน้าอ่อนสั่งให้มือทั้งสองข้างประนมขึ้นไหว้ชายหัวล้านพุงโย้หนวดเฟิมตรงหน้า ซวยแต่หัววันเลยไอ้คมสัน

    “เมื่อกี้พูดอยู่” พี่โล้นยกนิ้วชี้ชี้หน้า “สงสัยมีชีวิตอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เดี๋ยวฉันส่งไปสัมผัสความเป็นอยู่ในโลกหน้าดีไหม”

    “อย่าทำอะไรผมเลยพี่ ผมทักคนผิด ผมคิดว่าพี่เป็นเพื่อนผม” คมสันพยายามอธิบาย

    “ไม่สนเว้ย ถึงยังไงแกก็ด่าฉันไปแล้วอยู่ดี มันต้องแลกกันสักหมัดถึงจะหาย” ชายร่างยักษ์ยกกำปั้นขึ้นมา คมสันหลับตาปี๋ไม่พร้อมรับรู้ทุกสถานการณ์ แหกปากลั่นร้าน

    “ม่ายยย!! “

    ตุบ

    ...ไม่เจ็บแฮะ เอ๊ะ หรือว่าเขาจะน็อกตายไปด้วยหมัดพลังแรงควายของชายร่างหมีนั่นเลยไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวด

    ไม่จริง...ไม่จริงงง!

    “อย่าทำเขาเลยครับ เพื่อนผมแค่เข้าใจผิดเล็กน้อย”

    เสียงคุ้นหูดังขึ้น คมสันค่อยๆ ลืมตาช้าๆ หมัดของชายร่างหมีอยู่ห่างจากใบหน้าหล่อเหลาของเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตรโดยมีมือของปรเมธคั่นอยู่ ชายหนุ่มตัวต้นเหตุรีบวิ่งไปหลบหลังเพื่อนรัก เหมือนพ่อพระมาโปรด

    “ช่วยฉันด้วยนะโว้ยไอ้หม่อม ไอ้หมีควายนี่มันจะทำร้ายร่างกายฉัน” คมสันกระซิบ

    ปรเมธหันไปมองเพื่อนที่คอยจะสร้างแต่ปัญหาด้วยความเซ็ง

    “อยู่เฉยๆ เถอะ” ปรเมธหันกลับมาเจรจากับคู่กรณีของเพื่อน “เพื่อนผมมันสติไม่ค่อยดีน่ะครับ คุณอย่าไปถือสาคนบ้าเลย บาปกรรมเปล่าๆ แค่นี้มันก็มีกรรมมากพอแล้ว”

    “เฮ้ย! ไอ้...”

    “โกหกหรือเปล่า” คนร่างยักษ์ทำท่าไม่เชื่อ

    ปรเมธหยิบถุงยาออกมาจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้ พี่อ้วนรับไปดูสักพักก่อนจะส่งกลับคืน

    “ที่แท้ก็ปัญญาอ่อน คราวนี้ฉันจะปล่อยไปก็ได้ แต่อย่าให้เจออีกนะ บ้าก็บ้าเถอะ จะเตะไม่เลี้ยง”

    ชายร่างยักษ์ตีเข่าให้ดูเป็นการข่มขวัญก่อนจะเดินจากไปสั่งกาแฟที่เคาน์เตอร์ เมื่อเห็นดังนั้นคมสันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะต้องมาจบชีวิตอยู่ที่ร้านกาแฟนี่ซะแล้ว

    “แกยื่นยาอะไรให้หมอนั่นดูวะ”

    ปรเมธเหล่ตามองเพื่อนเล็กน้อย โยนถุงยาไปให้คมสันก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะตัวในสุดที่เขาได้จับจองไว้ตั้งนานแล้ว ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลครับถุงยามาจากเพื่อนก่อนจะลวงหยิบซองยาข้างในขึ้นมาดู

    “ยาระงับประสาท...เฮ้ย ไอ้หม่อม อ้าว ไปไหนแล้ววะ”

    คมสันมองไปรอบบริเวณพลันเห็นร่างของเพื่อนไวๆ จึงหยิบแก้วกาแฟแล้วเดินตามไปจนเจอโต๊ะขนาดสองที่นั่งที่อยู่ชิดในสุดพอดี ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาเดี่ยวตัวนุ่ม วางแก้วกาแฟที่ดื่มไปแล้วกว่าครึ่งลงบนโต๊ะ

    “แกไปเอาไอ้นี่มาจากไหน” คมสันโยนถุงยากลับคืนไปให้ปรเมธ ซึ่งเขารับได้พอดีแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม

    “ฉันเป็นหมอ”

    “เออ เป็นหมอน่ะรู้ แต่หมอบ้านไหนเขาพกยาระงับประสาทกันบ้างวะ”

    “ฉันไง”

    “แกเป็นโรคประสาทเหรอ!” คมสันเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ ยกมือขึ้นทาบอกโอเวอร์เอคติ้งสุดๆ

    “อย่ามาบ้า ฉันผ่านแผนกจิตเวชมาเห็นถุงยาตก ไม่รู้ของใครเลยจะเก็บไปให้ประชาสัมพันธ์ แต่ลืมติดกระเป๋ามาด้วย นับเป็นบุญของแกนะคมสัน”

    ปรเมธอธิบาย ตอนนั้นเขากำลังจะเดินไปฝ่ายประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว แต่บุรุษพยาบาลผู้หนึ่งเกิดหน้ามืดจะเป็นลมกะทันหันเขาจึงไปช่วยประคอง พาไปนั่งพลางปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ จึงลืมเรื่องถุงยาไปเสียสนิทกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนขับรถมาที่ร้านกาแฟ

    “เออ สำลักบุญจนจะอ้วกเลยเนี่ย แกไม่มีวิธีอื่นนอกจากหาว่าฉันเป็นบ้าแล้วหรือไงวะ ดูสิ สาวๆ ในร้านจะมองฉันยังไง” คมสันโอดครวญ เขาอุตส่าห์วางภาพลักษณ์ไว้ซะเท่ ไอ้เพื่อนบ้านี่ทำเสียเรื่องหมด

    “ก็ใช้ตามองปกตินั่นแหละ ไม่ต้องบ่นมากได้ไหม สุดท้ายแกก็รอดมาได้ไหมล่ะ”

    คมสันเป่าลมออกปาก แสดงท่าทางเหมือนกับเด็ก

    “วันนี้แกมาช้านะไอ้หม่อม ฉันมาถึงก่อนเวลาตั้งห้านาที”

    “ฉันไม่ได้มาช้า” ปรเมธวางกาแฟที่ยกขึ้นมาจิบ “ฉันมาก่อนเวลาสิบห้านาที”

    “อย่ามาๆ” คมสันส่ายนิ้วไปมาตรงหน้าเพื่อน “อย่ามาโกหกซะให้ยาก ฉันมาถึงที่นี่ไม่ยักจะเห็นแม้แต่เงาของแก”

    “ที่แกไม่เห็นเพราะเอาแต่หว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงในร้านน่ะสิ” ปรเมธบอกเสียงนิ่ง

    “อะไร ใครหว่านเสน่ห์ ไม่มี้ ไม่มี”

    ปรเมธส่ายหัวเอือมให้กับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขา คมสัน หรือ 'คมสัน ตระกูลเกียรติ' นักประมูลหนุ่มไฟแรงชื่อดัง เขาสะสมของเก่ามีราคาไว้มากมายแถมยังเป็นนายหน้าคอยจัดซื้อจัดหาสิ่งของหายากต่างๆ ให้แก่นักสะสมคนอื่นๆ คมสันเป็นเพื่อนกับปรเมธมาตั้งแต่สมัยประถมเล่นตบไพ่ยูกิ เป่ากบ โดนยางก็เคยผ่านมาด้วยกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนอย่างหม่อมราชวงศ์ปรเมธจะเปิดใจรับคมสันเป็นเพื่อนสนิท

    “เอาเป็นว่าลืมเรื่องนั้นไปเถอะ” คมสันเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ เป็นไร นัดฉันออกมาสวีตนี่ร้อยวันพันปีจะมีหน”

    “ที่วังมีเรื่องนิดหน่อย”

    “คงไม่นิดล่ะมั้ง หน้าเครียดซะขนาดนี้”

    “แกจำหม่อมเจ้ากิตติได้ไหม”ปรเมธทำเสียงจริงจัง

    คมสันนิ่งคิดไปสักพักก่อนจะร้องอ๋อออกมา

    “ใช่น้องชายต่างแม่ของหม่อมเจ้าแสงแขแม่เลี้ยงแกปะวะ”

    ปรเมธพยักหน้าเป็นคำตอบ คมสันจึงเอ่ยถามต่อ

    “ทำไมวะ มีอะไรหรือเปล่า”

    “ท่านชายมีลูกสาว”

    คมสันตาโตขึ้นมาทันที เสือผู้หญิงอย่างเขามีหรือจะพลาดเรื่องแบบนี้

    “จริงเหรอๆ แล้วสวยรึเปล่า”

    ปรเมธนึกไปถึงคุณหญิงคนใหม่ป้ายแดง รูปร่างหน้าตาแบบนั้น...บอกว่าสวยคงตกนรกข้อหาพูดปดลงไปหลายขุม

    “ไม่รู้ ฉันไม่ชอบประเมินผู้หญิง”

    “ฉันไม่สงสัยเลยว่าทำไมแกถึงอยู่เป็นโสดมาถึงทุกวันนี้” คมสันกรอกตา “ตายด้านซะ”

    “แกพูดว่าอะไรนะ” ปรเมธทวนเสียงเย็น

    “ฉันบอกว่าอยากกินปลาซาบะ” ชายหนุ่มรีบแก้ตัว “หูอย่าหาเรื่องสิ”

    ปรเมธอ่อนอกอ่อนใจกับเพื่อนยิ่งนัก คมสันนี่มันปลาไหลดีๆ นี่เอง ถ้าจับไม่ได้คาหนังคาเขาก็ไม่ยอมรับ

    “พูดถึงอาหาร ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ เย็นนี้ฉันขอไปฝากท้องที่วังแกแล้วกัน” พูดเองเออเองตามฉบับหนุ่มไฟแรง

    “ถามยัง” ปรเมธปรายตามอง

    “จำเป็นหรือไง แกก็รู้ว่าฉันมีมารยาทแค่ไหนไอ้หม่อม”

    คมสันลุกขึ้นยืนเดินผิวปากล้วงกระเป๋าออกไปจากร้าน ทิ้งให้ปรเมธนั่งส่ายหัวไปมาด้วยความเหนื่อยใจอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินทางกลับบ้าง แต่ระหว่างที่กำลังจะก้าวพ้นผ่านประตูไปนั้น ตาขวาของปรเมธก็กระตุกอย่างแรง ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกถึงลางร้ายที่คืบคลานเข้ามา

     

     

    “พี่สัน ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะคะ” มนีจันท์เยี่ยมหน้าออกมาทักทายเมื่อได้ยินเสียงรถดังที่หน้าวัง

    “น้องมนีโตขึ้นเยอะ สวยขึ้นมากเลยครับ”

    มนีจันท์ยิ้มอย่างขวยเขินพลางบิดตัวไปมา

    “แหม ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ พี่สันก็เหมือนกัน แก่ขึ้นเยอะเลยนะคะ”

    เด็กสาวตอบอย่างใสซื่อ คมสันได้ยินแบบนี้ก็มุมปากกระตุกเล็กน้อย

    “น้องมนีครับ ถ้าไม่ติดว่าเคยรู้จักกันมาก่อนพี่คงคิดว่าน้องมนีหลอกด่าพี่นะครับ”

    “มนีเปล่านะคะ มนีพูดตามความจริงค่ะ”

    “เหอๆ พี่ว่าเข้าวังกันดีกว่านะครับ พี่ไม่อยากติดคุก”

    คมสันดุนหลังเด็กสาวให้เข้าไปในตัววัง ปรเมธยิ้มเล็กน้อยกับท่าทีของคมสันที่โดนพิษบริสุทธิ์ใสซื่อของมนีจันท์เล่นงาน

    “ทุกคนอยู่ที่ห้องรับประทานอาหารค่ะ พี่สันมาทันมื้อเย็นพอดี เชิญค่ะ คุณชายด้วยนะคะ”เด็กสาวผายมือไปยังห้องกินข้าว

    เมื่อเข้ามาถึงคมสันก็ยกมือขึ้นไหว้ท่านหญิงรำไพกับท่านหญิงแสงแขที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มพยายามมองหาบุคคลที่เขาต้องการมาเจอแต่ก็ไม่พบวี่แวว จึงหันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนที่ตามหลังมา

    “ไหนวะ คุณหญิงป้ายแดงของแก”

    “ไม่รู้ อีกอย่างคุณหญิงไม่ใช่ของฉัน”

    ว่าจบเขาก็เดินไปนั่งร่วมโต๊ะอาหาร คมสันยิ้มนัยย์ตาก่อนจะเดินอารมณ์ดีเข้ามานั่งตาม

    “ไปไงมาไงละพ่อสัน วันนี้ถึงมาเยี่ยมที่วังนี้ได้” หม่อมเจ้ารำไพเอ่ยถาม

    “หม่อมฉันจะขอมาฝากท้องที่วังสักมื้อน่ะกระหม่อม รู้สึกคิดถึงรสชาติที่นี่เหลือเกิน” คมสันพูดเอาใจ

    ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น เสียงยกถาดอาหารก็ดังขึ้นมา คมสันหันไปมองก็พบกับหญิงสาวร่างดำฟันเกยินสวมชุดเสื้อยืดกางเกงผ้าสามส่วนที่กำลังยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ จึงหันไปถามปรเมธ

    “คนใช้ใหม่เหรอ หน้าไม่คุ้นเลย”

    ปรเมธเงียบไม่พูดอะไร หม่อมเจ้ารำไพเห็นกรณารายกกับข้าวมาก็เชิดหน้า เอ่ยเเขวะหลานสาวนอกไส้

    “คิดจะโชว์ฝีมือ อุตส่าห์ให้ใช้บ่าวไพร่ได้ไม่จำกัดยังทำออกมาช้าขนาดนี้ คราวหน้าคราวหลังจะทำมาหากินอะไรได้”

    หญิงสาวฟังดังนั้นจึงกัดฟันยิ้ม สั่งให้เด็กรับใช้วางกับข้าวไว้บนโต๊ะ ส่วนเจ้าตัวก็เดินอ้อมไปนั่งฝั่งเดียวกับมนีจันท์

    “ท่านป้าลองชิมสิคะ ว่ารสชาติสิเป็นจังได๋บ้าง”

    กรณารายังคงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน คมสันที่ได้ยินสรรพนามที่หญิงสาวใช้เรียกหม่อมเจ้ารำไพก็ตกใจ

    “ท่านป้า...อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้คือคุณหญิงบุตรสาวของหม่อมเจ้ากิตติ”

    ปรเมธพยักหน้า คมสันหันกลับไปมองกรณาราอีกครั้ง ไม่น่าเชื่ออย่างแรง!

    กรณาราที่เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนนอกอยู่ด้วยจึงหันไปยิ้มให้แล้วกล่าวทักทาย

    “สวัสดีค่า คุณคงเป็นเพื่อนของคุณซายแม่นบ่ค่ะ ยินดีที่ได้ฮู้จักเด้อค่า”

    หญิงสาวยื่นมือออกไปเพื่อจะเช็คแฮนด์กับคมสัน ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ แต่ก็ยอมยื่นมือมาจับด้วย

    “ตกลงจะกินกันได้หรือยัง ฉันหิวจะตายอยู่แล้วนะ”หม่อมเจ้ารำไพเริ่มหงุดหงิด

    “เชิญเลยค่าท่านป้า บ่ต้องเกรงใจ”

    หญิงชราเชิดหน้าเชิดคออีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปตักแกงส้มผักรวมที่วางอยู่ตรงหน้าเป็นชามแรก แต่เมื่อเอาเข้าปากสิ่งที่ตามมาก็คือ...

    ปรู๊ดดด

    เสียงพ่นน้ำแกงดังมาจากปากของหม่อมเจ้ารำไพ ถึงแม้จะไม่ดังมากจนน่าเกลียด แต่ก็ถือว่าดูไม่ดีไปเหมือนกัน หม่อมเจ้าแสงแขรีบขยิบกระดาษทิชชูส่งให้พี่สาวอย่างด่วน ท่านหญิงดื่มน้ำตามลงไปเกือบครึ่งแก้วก่อนจะตะคอกเสียงดังตามฉบับตัวร้ายในละคร

    “ใครมันเป็นคนทำแกงชามนี้! “

    บ่าวที่ยืนเรียงกันต่างทำหน้าตาเลิ่กลั่กเสมองไปทางคุณหญิงป้ายแดงคนใหม่

    “ไม่อร่อยเหรอเพคะท่านหญิง” มนีจันท์สงสัย เธอใช้ช้อนกลางตักน้ำแกงมาใส่ช้อนตัวเองก่อนจะเอาเข้าปากบ้าง แล้วสิ่งที่ตามมาก็ไม่ต่างกัน

    ปรู๊ดดด

    มนีจันท์พ่นน้ำแกงออกมาเป็นละอองฝอย เมื่อเห็นว่าทำกิริยาไม่งามออกไปจึงกล่าวขอโทษคนที่นั่งร่วมโต๊ะ

    “ตายจริง มนีขอโทษค่ะ” มนีจันท์หยิบทิชชูขึ้นมาซับปาก พลางหันไปกวาดสายตามองบรรดาคนรับใช้ “ใครทำกันคะ รสชาติช่างไม่ได้เรื่องเอาซะเลย”

    กรณาราแอบสงสารเด็กสาวที่เธอยกให้เป็นเสมือนน้อง เตือนไม่ทันจริงๆ อย่าโกรธกันนะ

    “บ่แซ่บหรือคะ”

    “รสชาติแย่มากค่ะ” เด็กสาวยังไม่วายคาดโทษไปยังบ่าวไพร่ “อย่างกับน้ำล้างทีน”

    โอ้ววว

    กรณาราเหงื่อตก สงสัยรสชาติคงจะเข้าขั้นวิกฤต ตอนปรุงเธอก็ปรุงไปส่งๆ งั้นๆ ไม่ได้คำนึงถึงระดับพลังทำลายล้างเลยสักนิด ท่าทางมลพิษทางด้านการทำอาหารของเธอคงจะแตะระดับเทพไปแล้ว

    “ถ้าแกงบ่อร่อย งั้นลองชิมของแห้งดูบางบ่ค่ะ เผื่อรสชาติสิเข้าที่เข้าทาง” หญิงสาวตัวดีบรรจงตัก 'ของแห้ง' ที่จัดวางอยู่บนจานเซรามิกขอบทองอย่างสวยงามไปให้ท่านหญิงรำไพ

    “จานนี้หลานเฮ็ดเองเด้อค่า รับรองแซ่บบบ”

    หม่อมเจ้ารำไพมองสิ่งที่ปรากฏบนจาน ชิ้นเนื้อสีน้ำตาลติดจะไหม้ แต่กลิ่นหอมยวนใจทีเดียว นางเก๊กท่าเล็กน้อยก่อนจะใช่ส้อมจิ้มชิ้นเนื้อนั้นเข้าปาก สัมผัสนุ่มละมุนลิ้นกำลังดี รสชาติไม่โดดจนเกินไป ท่านหญิงใหญ่เก๊กหน้าถามคนทำ

    “ก็กินได้” นางเชิดหน้า แต่สายตาเหล่มองไปทางเนื้อทอดจานนั้น “ว่าแต่มันคืออะไร”

    กรณารายิ้มหวานส่งไปให้ เนื้อทอดจานนี้จัดว่าเป็นเมนดิชของวันนี้เลยล่ะ หญิงสาวตักเนื้อทอดส่งไปให้ท่านหญิงอีกชิ้น ก่อนจะเฉลยคำตอบ

    “แย้ทอดค่าท่านป้า แซ่บหลายแม้นบ่ค่า”

    ท่านหญิงรำไพที่กำลังจิ้มชิ้นเนื้อเข้าปากปล่อยส้อมลงกระแทกจานเสียงดังด้วยความตกใจ

    “ว่าไงนะ!!! “

    “ฟังบ่ผิดดอกค่า แย้แท้ๆ บ่มีสิ่งเจือปนเลยค่า” กรณาราเอ่ยสรรพคุณโดยไม่สังเกตสีหน้าของท่านหญิงที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีเขียวไปเรียบร้อยแล้ว

    “ฉันจะฆ่าแก นังกิ่งกล้าาา!! “

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×