ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #33 : Short Fic. || A Dragon's Affair (Thorki)→ ᴘᴀʀᴛ 1

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 62


    Title : A Dragons Affair

    Author : Fengmii

    Pairing : Thorki

    Genre : Short Fiction (1/??)

    Notes : เทพนิยายมักจบลงด้วยเจ้าชายฆ่ามังกรแล้วแต่งงานกับเจ้าหญิง แต่ถ้า...มังกรที่ว่านี่ไม่ใช่สัตว์ร้ายบ้าคลั่งอย่างที่ทุกคนคิดล่ะ?

     

     

     










     

     

     

     

           ร่างของคนรับใช้สาวน้อยในชุดกระโปรงสีขาวหยิบถาดที่วางชุดน้ำชามาถือไว้แล้วจ้ำออกจากห้องครัว เธอเดินเข้าไปในโถงทางเดินหินมืดที่มีคบเพลิงอยู่บนกำแพงเป็นระยะ

     

           คนรับใช้อีกคนกำลังเดินมา ทันทีที่เธอคนนั้นเห็นว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวก็รีบก้มหัวลงแล้วเดินผ่านสาวน้อยไป

     

           ดวงตาสีน้ำตาลมองตามแผ่นหลังนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะผ่อนลมหายใจ

     

           คงจะมาใหม่เลยเกร็งสินะ

     

           เด็กสาวกระชับมือที่อยู่ตรงหูจับถาดแล้วก้าวเดินต่อไป ชายกระโปรงผ้าเนื้อไม่ดีนักแต่ก็ไม่ได้แย่จนดูน่าเกลียดสำหรับคนรับใช้ในปราสาทของเชื้อพระวงศ์ลอยอยู่เหนือพื้น ตรงกับข้อเท้าที่มีรอยแผลจากสายรัดรองเท้าหนังที่บางครังก็รัดขึ้นมารอบนั้นแน่นเกินไป

     

           จีบบนกระโปรงหมุนเล็กน้อยเมื่อเจ้าของหยุดลงตรงหน้าห้องหนึ่ง บานประตูไม้ประดับด้วยลวดลายที่ทำจากทองคำเป็นรูปต้นไม้ใหญ่ทั้งสองบาน

     

           “องค์หญิงเพคะ ชุดน้ำชายามดึกที่ท่านสั่งไปเพคะ”

     

           ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน

     

           “องค์หญิงเพคะ?”

     

           คนรับใช้เรียกอีกครั้ง

           บางทีองค์หญิงอาจหลับจนไม่ได้ยินก็ได้

     

           “องค์หญิง...”

     

           มือที่เต็มไปด้วยร่องรอยหลายอย่างและสากกร้านจากการทำงานอันเป็นสิ่งหายากสำหรับเด็กสาววัยเดียวกันยกขึ้นเคาะ

     

           ทันทีที่นิ้วแตะกับบานประตูไม้สีเข้ม มันก็แง้มออก

     

           คิ้วของเธอขมวดลง

     

           ร่างเล็กบางค่อยๆชะโงกเข้าไปด้านในห้องนอนก่อน แล้วจึงขยับส่วนที่เหลือตาม

     

           เธอเดินไปยังเตียงขนาดใหญ่สี่เสาทางขวา ผ้ากำมะหยี่ขึงอยู่เหนือเตียงทำหน้าที่เป็นหลังคาที่ถูกปักด้านล่างเป็นลายการเรียงตัวของดาวให้ผู้ที่นอนในนั้นได้มอง หมู่ดาวมีมากเหลือเกินจนต้องปักบนผ้าม่านโปร่งบางที่รายล้อมขอบเตียงทั้งสี่ด้านด้วย

     

           สาวน้อยเอื้อมมือไปแตะผ้าม่าน กำมันไว้กับมือแล้วดึงไปด้านข้าง เผยให้เห็นเตียงคลุมด้วยผ้าห่มที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย

     

           “โอ้ องค์หญิง...” เธอผ่อนลมหายใจ วางถาดชาสีขาวลงกับโต๊ะไม้เนื้อดีข้างเตียงแล้วเอื้อมมือไปจับชายผ้าขาวนุ่มที่คลุมหมอนอยู่ครึ่งหนึ่ง

           “ทรงประทับอยู่ตรงนี้นี่เอง อย่าแกล้งหม่อมฉันอีกนะเพค-”

     

           ผ้าห่มถูกเลิกออก เตียงที่ว่างเปล่ามีเพียงหมอนสองสามใบและหมอนข้างยาววางไว้ทำให้ดูเหมือนกับมีคนนอนอยู่เท่านั้น

     

           และแล้ว ทั้งปราสาทก็ตื่นตัวขึ้นด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกของเอลลี่ นางกำนัลประจำตัวขององค์หญิงแห่งอาณาจักวานาไฮม์

     

           “แย่แล้ว! ใครก็ได้ตามพระราชากับองค์ราชินีมาที!! องค์หญิงซิฟทรงหายตัวไป...อีกแล้ว!!”

     

     

           อีกมุมหนึ่งของปราสาท หญิงสาวในชุดนางกำนัลสีขาวรีบหมุนตัวหลบเข้ามุมของซุ้มประตูหินเมื่อเห็นร่างของทหารคู่หนึ่งวิ่งเหยาะๆมา ทั้งสองผ่านช่องประตูไปโดยเมินเฉยร่างบางที่อยู่หลังทางเข้า

     

           ดวงตาสีน้ำตาลมองตามครู่เดียวก่อนจะตวัดกลับตามร่างของเจ้าของที่รีบสงวนท่าทีเดินออกไป

     

           เธอเคลื่อนกายผ่านกลุ่มคนรับใช้ที่กำลังคุยซุบซิบคิกคักกันอยู่นอกครัวและแทรกตัวไปตามต้นไม้ในสวนหน้าปราสาทอย่างเงียบเชียบโดยหลีกเลี่ยงทหารยามให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

     

           มือบางเอื้อมออกไปเปิดประตูคอกม้าที่ทำจากไม้หลังจากที่เข้าไปในโรงม้า บานพับส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ หญิงสาวเดินเข้าไปในนั้น ตรงไปหาอาชาสีน้ำตาลซึ่งมีลายจุดสีขาวกลุ่มหนึ่งบนหน้าผากและถุงเท้าสีเดียวกันบนสองขาหน้า ปากคาดบังเหียนเรียบร้อย

     

           เธอเอื้อมมือไปที่มุมอับของคอกที่ถูกบังไว้โดยม้าดังกล่าว ล้วงเอากระเป๋าหนังแบบที่จะคาดไว้ตรงสีข้างของม้าเวลาเทียมอานขึ้นมาถือ มันนูนออกคล้ายกับมีอะไรยัดอยู่ในนั้น

     

           ร่างบางในชุดกระโปรงมองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้วจึงดึงสายเข็มขัดหนังที่ยึดช่องกระเป๋าเอาไว้ออก ยื่นมือลงไปจับวัตถุในนั้นแล้วดึงออกมาเล็กน้อย เผยให้เห็นห่อผ้าเรียบๆ

     

           เธอขัดเข็มขัดกลับ พลิกไปอีกด้านแล้วดึงเข็มขัดช่องกระเป๋าด้านตรงข้ามออก ในนั้นคือเสื้อผ้าเนื้อธรรมดาสองสามชุด

     

           มุมปากยกขึ้นอย่างพึงพอใจ มือบางรีบจัดการปิดช่องให้เรียบร้อยแล้วคว้าสายเข็มขัดหนังอีกสองเส้นขึ้นมา เส้นหนึ่งคาดไว้ด้วยดาบยาว อีกเส้นหนึ่งสั้นกว่ามากและเป็นกริชขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่แต่พอดีมือ

     

           เธอเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นคาดหลังม้าและรัดสายหนังใต้ท้องของมันอย่างเร่งรีบ รัดสายหนังคาดกริชไว้ที่ขาอ่อนใต้กระโปรง มัดดาบยาวเข้ากับกระเป๋าด้านซ้ายของม้าแล้วเปิดประตูคอก รีบตวัดผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มขึ้นมาคลุมไหล่ มัดสายรัดผ้าคลุมขณะเหวี่ยงตัวขึ้นไปและดึงบังเหียน พามันออกจากโรงม้า

     

           เจ้าม้าควบขับไปถึงหน้าวังและออกไปจากบริเวณได้แล้วในตอนที่หูได้ยินเสีงตะโกนใส่กันเบื้องหลัง

     

           “องค์หญิงซิฟหายตัวไป องค์หญิงหายไปแล้ว!!”

     

           เธอกรอกตา

     

           ยังกะว่าเธอหนีออกจากวังครั้งนี้ครั้งแรก

     

           พวกเขาหยุดลงตรงร้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ยังคงเปิดไฟอยู่ ป้ายไม้ห้อยอยู่เหนือถนน ยื่นออกมาจากกำแพงร้านและสลักเป็นรูปขวดยา

     

           ร่างบางหย่อนตัวลงและรีบเดินเข้าไป

     

           ภายในร้านประดับไปด้วยชั้นไม้ที่มีขวดยาสารพัดชนิดจับจองพื้นที่ กลิ่นสมุนไพรอบอวลไปทั่ว

     

           หลังเค้าน์เตอร์คือร่างสูงชะลูดของชายหนุ่มคนหนึ่ง เขากำลังง่วนอยู่กับอะไรบางอย่างก่อนจะหันมาเห็นเธอ มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมสั้นสีน้ำตาลทองที่ปรกหน้าปรกตาเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มให้

     

           “เป็นไงบ้างล่ะ ครั้งนี้ท่านหนีออกมาทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลานอนสำเร็จแล้วนะ ยินดีด้วย”

     

           เธอกอดอก พ่นลมออกจากรูจมูกแล้วส่ายหน้าเบาๆ

     

           “เกือบถูกจับได้แล้วน่ะสิ ข้าเดินสวนกับเอลลี่ระหว่างทาง กลัวแทบตายว่านางจะจำได้”

     

           คู่สนทนาหัวเราะหึหึ

           “เป็นเรื่องดีที่นางไม่ทันสังเกต”

     

           “มาเถอะ รับเสบียงท่านไป...แล้วก็จ่ายข้าด้วย”

     

           “ให้ตายเถอะ นี่ข้าสหายเจ้านะเฟนดรัล หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ยังจะมารีดเงินข้าอีก ข้ายิ่งมีไม่มากด้วย รีบน่ะเลยเอามาแค่ถุงเดียว” หญิงสาวยกมือทังสองข้างขึ้นอย่างจนใจ

     

           “น้อยๆหน่อยองค์หญิง อย่าลืมนะว่าข้าเป็นคนแอบเข้าไปจัดของในโรงม้าให้ท่าน ข้าเป็นคนหาเสื้อผ้า อาวุธและเอาห่อผ้าไปใส่ในนั้นให้ท่าน ข้าต่างหากที่ควรจะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน” เฟนดรัลงอมือเข้าชี้หาตนเอง

     

           ร่างบางทำปากขมุบขมิบ ล้อเลียนคำพูดเขาขณะกรอกตา มือเอื้อมไปใต้คอร์เซ็ตสีน้ำเงินอ่อนแบบรั้งไหล่ที่ถูกสวมไว้ด้านนอกตามแบบนางกำนัลวังหลวง ดึงเอาถุงเงินออกมาแล้วหยิบเหรียญทองคำห้าเหรียญโยนไปให้ชายหนุ่มผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสหาย

     

           “เอ้า”

     

           เขาแลบลิ้นเลียฟันเขี้ยวด้านบน หรี่ตาลงข้างหนึ่งแล้วยกเหรียญขึ้นส่องไฟ

     

           “ว้าว ทรงพระใจดีเลือเกิน”

     

           เธอเอียงหัวรับ เดินมาหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลบนเค้าน์เตอร์แล้วเดินออกไป

     

           “เดินทางปลอดภัยนะซิฟ”

     

           เจ้าหญิงหันกลับมา ยกยิ้มบางๆ

           “แล้วเจอกัน เฟนดรัล”

     

           ร่างในผ้าคลุมน้ำเงินหายลับไปตรงขอบประตู เฟนดรัลหลับตาลงเมื่อได้ยินเสียงร้องสั่งให้ม้าเริ่มวิ่ง

     

           ให้ตาย เพื่อนเขานี่มันเกิดมาเพื่อแหกกฎทุกข้อของการเป็นเจ้าหญิงชัดๆ

     

     

     

     

     




     

     

     

     

           ธอร์มองถุงผ้าที่บรรจุเหรียญทองคำจนมีขนาดใหญ่เท่ากับกระสอบใส่มันฝรั่งสองใบตรงหน้า มือใหญ่ประสานกันตรงหน้าขณะที่เขากำลังยืนตรงอยู่ในโถงใหญ่อันวิจิตร

     

           “ช่างดีนัก องค์ชาย” ราชินีแห่งวานาไฮม์กล่าว รอยยิ้มประดับบนใบหน้า ปิดความอิดโรยและกังวลใจไว้เกือบมิด

           “ธิดาเราคงจะดีใจยิ่งเมื่อรู้ว่าสหายอย่างท่านมาช่วย”

     

           ชายหนุ่มพยักหน้าครั้งหนึ่ง

     

           “หากท่านทำงานอันตรายนี้สำเร็จ” พระราชาในเสื้อคลุมหนาสีแดงขลิบขนเออร์มินขาวขยับกายบนบัลลังก์

     

           “ทองสองถุงนี้จะเป็นของท่าน...รวมถึงองค์หญิงด้วย”

     

           “องค์ราชา” ดวงตาสีฟ้าหรุบลงขณะที่เขาสูดหายใจลึก

           “หม่อมฉันรับองค์หญิงไว้ในฐานะใดที่มากกว่าสหายไม่ได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

     

           ผู้ปกครองสูงสุดแห่งอาณาจักรเลิกคิ้ว

     

           “อย่างที่ทั้งสองพระองค์รู้ อาณาจักรแอสการ์ดของหม่อมฉันและอาณาจักรแห่งนี้มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน โดยตัวหม่อมฉันเองและซ-องค์หญิงซิฟก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ยังเล็ก เราเป็นเหมือนพี่น้องกัน และพี่ชายไม่สามารถแต่งงานกับน้องสาวได้ฉันใด หม่อมฉันกับนางก็ไม่มีวันจะแต่งงานกันได้ฉันนั้น”

     

           อีกเหตุผลคือซิฟต้องเอาขวานจามหน้าเขาแหกแน่ๆถ้าเขาตอบตกลงจะแต่งงานกับเธอ...แม้ว่าเขาจะยืนยันว่าไม่ได้เจตนาจะทำอย่างนั้นจริงๆ เพียงแค่รอเวลาจะบ่ายเบี่ยงหรือหาข้ออ้างยกเลิกข้อตกลงนี้เท่านั้น

     

           “เห็นพวกเจ้ารักกันดีเช่นนี้เราก็วางใจ” ประมุขหญิงยิ้มอ่อนหวาน

     

           นิ้วมือที่ประดับด้วยแหวนวงโตชนิดที่สามารถใช้แทนสนับมือประเภทสวยงามแต่ชำรุดเร็วได้สบายๆขององค์ราชาขยับไปมาบนเท้าแขน

     

           “เจ้าต้องการรายละเอียดอะไรอีกหรือไม่ เจ้าชาย?”

     

           “ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

     

           “ดี ไปเถิด...” ชายวัยใกล้ชราเลียริมฝีปากอย่างยากลำบากก่อนจะต่อด้วยเสียงที่เบาลงจนได้ยินกันเพียงผู้ที่อยู่ใกล้เท่านั้น

     

           “แล้วอย่า...หายสาบสูญเหมือนผู้กล้าอื่นๆล่ะ เราคงใจสลายหากต้องเป็นคนเขียนจดหมายหาราชาโอดินว่าเจ้าชายรัชทายาทหายตัวไป”

     

           เจ้าชายแห่งแอสการ์ดนิ่งไปครู่หนึ่ง ยังค้างอยู่ในท่าเตรียมหันหลังเดิน ก่อนจะกะพริบตาและพยักหน้า

     

           “หม่อมฉันจะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวัง”

     

           ราชินียิ้มอย่างฝืนที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น

           “โชคดีจ้ะ ธอร์”

     

           ชายหนุ่มออกมาจากวังวานาไฮม์ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

     

           หากเป็นครั้งก่อนๆที่ซิฟหนีไป เขาคงไม่ห่วงมากหรือแล่นมาอาสาตามหาเธอแบบนี้

     

           แต่มันเป็นเพราะว่าป่าโยธันไฮม์

     

           ป่านี้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความลี้ลับ ใครที่เข้าไปแล้ว ถ้าไม่ออกมาอีกเลยก็ต้องออกมาแบบเป็นบ้าหรือเป็นศพ ว่ากันว่ามันเป็นที่อยู่ของมังกร พ่อมดแม่มด ภูตผีปีศาจและสิ่งเหมือธรรมชาติทั้งหลาย นักโทษที่ทำผิดร้ายแรงขนาดที่โทษตายยังไม่สามารถจะรองรับได้บางคนของวานาไฮม์จะถูกบังคับให้เดินเข้าไปในป่าในคืนพระจันทร์เต็มดวงซึ่งเป็นเวลาที่เวทย์มนตร์จะแกร่งกล้าที่สุด

     

           มีคนเห็นหญิงสาวท่าทางคล้ายกับเธอและม้าสีน้ำตาลที่น่าจะเป็นเจ้านาร์ ม้าประจำตัวที่หายไปจากคอกในคืนเดียวกันมุ่งไปที่ประตูเมืองด้านตะวันตก...อันเป็นทิศที่จะตรงเข้าสู่ป่านี้

     

           ยิ่งเมื่อมีผู้กล้าสายบ้าบิ่นหลายอาสาจะเข้าไปตามหาเธอและไม่เคยกลับมาได้อีกเลยถึงห้าคนแล้วในตอนนี้

     

           แค่สามวัน หลายคนอาจปลอบใจเขาแบบนั้น

           แค่สามวัน คงยังไม่ทันเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับเจ้าหญิงและเหล่านายพรานพวกนั้นหรอก

     

           แต่สามวันสำหรับเขามันมากกว่านั้น

     

           ถ้าซิฟรู้ว่านางทำอะไรอยู่ เธอจะต้องเดินทางไม่หยุดไม่หย่อนจนกว่าจะถึงที่หมายเป็นแน่

     

           และไม่มีใครรู้ด้วยว่าที่หมายที่ว่านี่คือที่ไหน

     

           ธอร์ต้องหาเพื่อนสาวของเขาให้เจอโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นต้องแย่แน่ๆ

     

           ชายหนุ่มตัดสินใจไปดื่มย้อมใจก่อนสักหน่อย

     

           ร้านยาของหมอหลวงเป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่น่าแปลกเพราะมันเป็นที่วิ่งเล่นของเขา, ซิฟและเพื่อนๆอีกสองคน

     

           “คุณพระช่วย ธอร์ นั่นเจ้ารึ?” ร่างใหญ่ของโวลแสต็กก์ที่กำลังซดเหล้าอยู่หน้าเค้าน์เตอร์หันมาหาและเบิกตากว้าง

     

           “ไง” เจ้าชายยิ้มรับแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆ

           “ไม่เจอกันนานเชียว”

     

           “ใช่ นานมาก” คู่สนทนาพยักหน้ารับ

     

           “แหม แหม แหม ฝ่าบาท” เฟนดรัลโผล่หัวออกมาจากม่านด้านหลัง

           “อะไรพาเจ้ากลับมาที่วานาไฮม์?”

     

           “ว่าไงพี่โย่ง” มือใหญ่ยกขึ้นทักทาย

     

           “ขอเหล้าสมุนไพรเจ้าสักแก้วซิ”

     

           “โอ จัดให้” ชายหนุ่มผมน้ำตาลทองยิ้มมุมปากแล้วหันหลังไปหยิบแก้ว ง่วนอยู่กับการผสมสมุนไพรเข้ากับน้ำหวานและเหล้ากลิ่นหอมนุ่มนวลที่หมักไว้

     

           “หมอหลวงไม่อยู่รึ?” ธอร์เท้าแขนลงกับพื้นผิวไม้

     

           “ท่านพ่ออ่ะนะ?” แก้วไม้ขนาดสำหรับคนชอบดื่มวางลงตรงหน้าเขา ของเหลวสีทองใสส่งกลิ่นยั่วยวน

           “เข้าไปอยู่ในวังตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว องค์ราชาเจ็บออดๆแอดๆ เหล่าเสนาบดีคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าแพทย์ฝีมือดีที่สุดในอาณาจักรจะไปอยู่ข้างกายพระองค์”

     

           เขาพยักหน้ารับ

     

           “...ข้ามาเรื่องซิฟ”

     

           มือที่กำลังชงนมอยู่ชะงักไปเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ดวงตาสีฟ้ากะพริบ

     

           ...ให้ตายเหอะซิฟ

     

           เขาหรุบตาลงมองเหล้าก่อนจะยกแก้วขึ้นมาดื่ม

     

           “มีผู้พบเห็นนางอยู่แถวร้านเจ้าคืนที่นางหายตัวไป”

     

           ถึงแม้มันจะเบาบาง แต่ด้วยระยะที่ใกล้ชิดทำให้ธอร์มองเห็นชัดเจนว่าสันกรามของบุตรชายหมอหลวงสั่น

     

           “ม-มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ไม่มีทาง”

     

           “รู้อะไรมั้ยเฟนดรัล เจ้าน่ะเป็นนักโกหกที่ห่วยแตกมากๆ” ร่างสูงผุดลุดขึ้นแล้วเอนตัวข้ามเคาน์เตอร์ไปหาสหาย

     

     

           “เจ้ารู้อะไร?”

     

           ดวงตาสีน้ำผึ้งของเฟนดรัลวูบไหว

           “เจ้ากำลังพูดเรื่องอะ-”

     

           “เจ้ารู้อะไร?” เสียงของเขาเข้มขึ้น ก่อนจะผ่อนลมหายใจ

           เขาไม่ควรจะขึ้นเสียงใส่เฟนดรัล แค่นี้เพื่อนชายก็ตระหนกพอแล้ว

           “ได้โปรด เฟนดรัล ซิฟเป็นเพื่อนข้า เพื่อนเรา

     

           โวลแสตกก์เงยหน้าขึ้นจากแก้วเหล้า มองร่างสูงชะลูดหลังเคาน์เตอร์เงียบๆ

     

           มุมปากของชายหนุ่มผมน้ำตาลทองสั่นระริก

     

           “นาง...นางมาหาข้าเมื่ออาทิตย์ก่อน ขอให้ข้าเตรียมกระเป๋าหนังสองด้านสำหรับเทียมหลังม้าให้ ใส่เสื้อผ้าเรียบๆสองสามชุดไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านใส่ยาสำหรับสมานแผล, ชุดยาห้าสังหาร, ยาขับพิษ แล้วก็...”

     

           “แล้วก็อะไร”

     

           “...แล้วก็ขวดใส่น้ำตานกฟีนิกซ์”

     

           “ว่าไงนะ?” โวลแสตกก์ขมวดคิ้ว ท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

           “น้ำตานกฟีนิกซ์ เจ้าคิดบ้าอะไรอยู่”

     

           น้ำตานกฟีนิกซ์เป็นสิ่งหายาก ใครได้ยินก็ต้องหูผึ่งและตาลุกวาวด้วยความปรารถนาในสมรรถภาพการสมานแผลอันเยี่ยมยอดของมัน แถมยังมีราคาสูงลิ่วในตลาดยาหายาก หากอยากได้ราคาที่ถูกลงมาหน่อยก็ต้องไปหาเอาที่ตลาดมืดในทวีปมิดการ์ด

           ธอร์ไม่ได้คิดจะเหยียดชาวมิดการ์ดหรอกนะ แต่พวกนี้จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินไม่ว่าวิธีการจะสกปรกโสมมมากเพียงใดก็ตาม นั่นคือเหตุผลหลักที่เขาไม่ค่อยชอบไปที่นั่นและมักจะบ่ายเบี่ยงพระบิดาเสมอหากมีเทียบเชิญไปงานเลี้ยงหรืองานอะไรก็ตามในนั้น...ยกเว้นมันจะจำเป็นจริงๆ

     

           “ของแพงแบบนี้เจ้าไปหามาจากไหนกัน?” เจ้าชายแห่งแอสการ์ดกอดอก กดคิ้วเข้าหากัน

     

           “บุตรชายของหมอหลวงที่ทำกิจการร้านยาเล็กๆไม่มีทางแม้แต่จะซื้อน้ำตานกนั่นเพียงหยดเดียวได้หรอก”

     

           “ก็ไม่ได้ไง” เฟนดรัลถอนหายใจ ยกมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงขอยอมแพ้

     

           “เรื่องค่าใช้จ่าย ข้ารับเหรียญทองมาจากซิฟแล้วไปตระเวนหาซื้อมันมาจากในตลาดยาหายากแถวไนดาเวลเลียร์”

     

           “แล้วเจ้ารู้มั้ยว่าพวกชาวบ้านจ้องจะขโมยมันอยู่ทุกเวลา?” สหายร่างใหญ่ลุกขึ้น

           “ซิฟไปคนเดียว ไม่มีใครอยู่ข้างกายนางเลยนอกจากเจ้าม้าโง่นาร์นั่น พวกเราทุกคนรู้ดีว่านางมีฝีมือพอปกป้องตนเองได้ แต่ถ้าพวกมันยกพวกมากันหลายคนล่ะ? ถ้า...ถ้า...”

     

           “สหาย...” มือใหญ่ของธอร์แตะลงบนบ่ากว้างแล้วกดเขาลงบนเก้าอี้ดังเดิม

     

           ชายหนุ่มร่างผอมเม้มปากและส่ายหน้าเบาๆ

           “ข้าไม่รู้จริงๆว่านางจะหอบมันเข้าป่าโยธัน ข้าคิดแค่ว่านางคงจะเอาไปทดลองที่ไหนนอกเมืองเท่านั้น...ถ้านางบอกแผนข้าคงไม่จัดการทั้งหมดนี่ให้นางหรอก”

     

           ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อนมองธอร์

     

           “แต่สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนรู้จากการเป็นเพื่อนซิฟมาหลายปีคือนางรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ข้าไม่คิดว่านางไม่ได้ทบทวนเรื่องบ้าๆทั้งหมดนี่น้อยกว่าห้าครั้งหรอก...ข้าเชื่อใจนาง”

     

           เจ้าชายผมทองหรุบตาลง พ่นลมหายใจ

           “...ข้าก็เชื่อใจนาง”

     

           “แต่ข้าไม่อยากจะเสียซิฟที่เป็นสหายกันมาตั้งแต่ยังเยาว์ไปทั้งๆที่มันยังพอมีทางเข้าไปช่วยนาง ข้าไม่อาจมองตาราชาหรือราชินีได้อีกแน่หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง”

     

           โวลแสตกก์และเฟนดรัลสบตากัน ก่อนจะหันมามองเขาอย่างพร้อมเพรียง

     

           “...เจ้าไปเถิด”

     

           ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่พยักหน้า ทั้งสามก็ยิ้มบางๆให้กัน

     

           “โชคดี ธอร์”

     

           “โชคดีเฟนดรัล แล้วเจอกันโวลสแตกก์”

     

           เขากระดกเหล้าเข้าปากจนหมดแก้ว หันไปมองสหายแล้วพยักหน้าเบาๆให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหายลับไปตรงประตู

     

     









    TALK WITH FM

    เปิดฟิคใม่ก่อนจะลงตัวอย่าง BT ซีซั่นสามมมม

    ตอนนี้เป็นแค่บทแรก นางเอกเราจะยังไม่โผล่นาจ๊ะ แต่รับรองว่าเดี๋ยววได้มีฉากตกหลุมรักแน่ๆ 5555

    อังคารนี้ไรท์เปิดเทอมแล้วเด้อ คงจะหาเวลามาอัพให้ได้ยากขึ้นเต็มที

    //ไม่โกรธน้าาาาา

    ฟิคนี้เป็นฟิคแนวเทพนิยาย มังกร เจ้าชาย เจ้าหญิง ชอบไม่ชอบติชมตามสบายเลยนะรีดเดอร์

    เจอกันตอนหน้าเน้อออ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

         
    Z y c l o n
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×