ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #32 : One Shot || What Sucks About Life (Spideypool)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 618
      30
      21 พ.ค. 62

    Title : What Sucks About Life

    Author : Fengmii

    Pairing : Spideypool

    Genre : One Shot

    Notes : อะไรคือการเจอกันครั้งแรกบนดาดฟ้า สั่งให้เขานั่งเฝ้าแล้วยิงหัวตัวเองเอาสนุกฟะ?

     

     



     

    What Sucks About Life

     

     






    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง





     




           ปีเตอร์ พาร์คเกอร์เชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนรักที่สุดคือชีวิตตนเอง

           คงไม่มีใครอยากจะฆ่าตัวตายถ้าไม่จิตตกหรือไม่มีเหตุผลดีๆหรอก ใช่ไหมล่ะ?

     

           แต่คนตรงหน้าเขากลับทำให้เขาตะลึงพรึงเพริดด้วยเอาปืนมาจ่อเล่นใต้คาง แถมยังผิวปากอย่างอารมณ์ดีด้วย

     

           ...เป็นบ้าเหรอ(วะ)?

     

           เขาอุตส่าห์ออกมาเดินเล่นบนดาดฟ้าตึกแถวบ้านตอนเที่ยงคืนเพื่อหาไอเดียไปทำเรียงความพราะคิดว่าคงจะไม่มีไอ้บ้าที่ไหนมาดูดกัญชาอยู่บนนี้แน่ๆ

     

           แล้วร่างในชุดสีแดง-ดำที่ใส่หน้ากากสีเดียวกันนี่คือ?

     

           เด็กหนุ่มตัดสินใจกระแอมออกมาเบาๆ

     

           เสียงผิวปากหยุดไปเมื่อคนนั้นหันมาและว่าเสียงอารมณ์ดี

           “อ้าว ไง”

     

           อ้าว ไง?

     

           เราไปรู้จักกันตอนไหนไม่ทราบ?!!

     

           “อ่า...ผมรู้จักคุณรึเปล่าฮะ?” ด้วยความที่เขามีมารยาท ปีเตอร์(แน่นอนว่าอยู่ในชุดสไปเดอร์แมน)จึงถามออกไป

     

           “อืม...” อีกฝ่ายเคาะคางด้วยปลายกระบอกปืนสีดำ ทำให้เขาเกร็งตัวเล็กน้อยเพราะความหวาดเสียว

     

           “รู้สึกจะไม่นะ”

     

           “รู้อะไรมั้ย ช่างมันเถอะ นาย...” อาวุธสีดำด้านๆแต่อานุภาพเหลือร้ายชี้มาทางเขา

           “มานี่ซิ”

     

           ปีเตอร์ที่กำลังงงขยับเข้าไปตามคำสั่ง

     

           “นั่งข้างๆฉันนี่”

     

           เขาทำตาม

     

           “นายช่วยเฝ้าฉันทีนะ ระหว่างที่ฉันฟื้นตัว”

     

           “ฟื้นตัว? ฟื้นตัวอะไ-” ก่อนที่สไปเดอร์แมนจะพูดจบ คู่สนทนาก็หันปืนเข้าใต้คางแล้วเหนี่ยวไก

     

           ปัง!

     

           เด็กหนุ่มหลุดเสียงร้องด้วยความตกใจออกมาเมื่อร่างในชุดแดงเอนล้มลงบนตักของเขา เลือดอุ่นๆไหลออกมาเปรอะเปื้อนต้นขาขณะที่เขาพยายามเขย่าตัวอีกฝ่าย

     

           “คุณฮะ เฮ้ คุณ”

     

           “ยังไม่ต้องรีบดีใจหรอกน่า ยังไม่ตาย” เขาตอบเสียงเบาๆ

           ไม่จริงน่า สมองเป็นส่วนสำคัญที่สุดของร่างกายมนุษย์ สมองพังทุกอย่างจบ

     

           แล้วทำไม...นายนี่ถึงยังพูดได้?

     

           “คุณ...เป็นอะไรกันแน่?”

     

           “โอ้” เขาไอแห้งๆ

           “เดดพูล ยินดีที่ได้รู้จักนะ อ่า...” มือที่ถูกปกปิดด้วยถุงมือหนังสีดำยกขึ้นมา

     

           “สไปเดอร์แมน เพื่อนบ้านผู้แสนดี” ปีเตอร์จับมันและเขย่าสองสามที

           “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันฮะ”

     

           “แล้วแผลที่สมองคุณ...”

     

           “อ๋อ” เดดพูลทำเสียงอ้อ

           “ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยไว้เดี๋ยวมันก็หายเอง เนี่ย แผลเริ่มสมานแล้ว”

     

           พิลึกจริง

     

           “ว่าแต่นายเป็นไงมาไงอ่ะ?” เขาถาม

     

           “เอ่อ แล้วทำไมคุณถึงต้องยิงหัวตัวเองเล่นด้วยล่ะฮะ?”

     

           คู่สนทนาหัวเราะ

           “เออ นายต่อปากต่อคำเป็นด้วย ดีว่ะ ฉันชอบ”

     

           “คำตอบง่ายๆ ฉันเบื่อไง”

     

           “ฮะ?”

     

           “ก็มันเบื่อ” ชายหนุ่มบนตักของเขาควักมีดสั้นจากที่ไหนไม่รู้ออกมาโยนเล่น

           “เบื่อชีวิต”

     

           “ทำไมต้องเบื่อชีวิตด้วยล่ะฮะ?” คิ้วใต้หน้ากากของปีเตอร์ขมวดเข้าหากัน ลมเย็นๆไล้ไปตามใบหน้าแต่ไม่ทำให้ผิวเขาชาเนื่องจากเนื้อผ้าอย่างดีอันเป็นผลงานของโทนี่ สตาร์ค

     

           “แหม นายคิดดูนะสไปดี้” เดดพูลเอียงหัว สอดมือเข้าไปหนุนท้ายทอยข้างหนึ่งแล้วยกมือขึ้นมานับนิ้ว

     

           “เริ่มแรกเลย นายเกิดมาในครอบครัวบัดซบ ลุงข่มขืน ต่อมานายกลายเป็นทหารรับจ้าง เงินน้อยนิดเสียจนแทบจะไม่พอใช้ แล้วนายก็เจอมะเร็งระดับสี่ นายไปเข้าโครงการรักษาผู้ป่วยของบริษัทเอกชน โดนมันฉีดเซรุ่มบ้าบออะไรก็ไม่รู้ใส่ตัวนายแล้วทำให้นายเสียโฉม นายเศร้ามากจนอยากตายแต่ก็พบว่าต่อให้นายจะระเบิดตัวเองจนไม่เหลือชิ้นดี อวัยวะนายก็งอกขึ้นใหม่ได้...ถ้าเป็นนาย นายจะเบื่อชีวิตที่ไม่มีวันจบป่ะ? ฉันคนนึงล่ะที่เบื่อ”

     

           ปีเตอร์นิ่วหน้า

           “ผม...ผมแค่โดนแมงมุมกัด”

     

           “อ้อ” ชายหนุ่มชุดแดงพยักหน้า

           “ก็ดีไป”

     

           ทั้งสองนิ่งไป ปล่อยให้ความเงียบแทรกซึมลงระหว่างพวกเขา

     

           “ชีวิตไม่มีทางจะมีแต่ด้านที่โหดร้ายหรอกนะฮะ” ปีเตอร์พูด ดวงตาสีน้ำตาลใต้หน้ากากส่วนสีขาวทอดมองไปที่เมืองควีนส์ในยามค่ำคืน แสงไฟสีเหลืองเรืองอยู่ตามถนน กระจกส่วนใหญ่ตามอาคารกลายเป็นสีดำและสะท้อนแสงที่ตกกระทบ บางบานยังคงเรืองสว่างเนื่องจากผู้เป็นเจ้าของเปิดไฟไว้อยู่

     

           “นายยังเด็กอยู่ จะไปรู้อะไร” เดดพูลงึมงำและขยับหัว(เน้นว่าหัวที่อยู่บนตักของเขา)ให้สบายขึ้น

     

           เด็กหนุ่มอยากโวย

           ตักเขาไม่ใช่หมอนนะโว้ย!!

     

           “ก็...” สไปเดอร์แมนถอนหายใจยาวและเหยียดแขนออกค้ำร่างที่เอนลงไปด้านหลังไว้

     

           “ยังไงคนเราก็ต้องมีเรื่องดีอย่างน้อยเรื่องหนึ่งในชีวิต เรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องความรัก...หรือแม้แต่เรื่องที่เรายังคงมีชีวิตอยู่ ใครที่บอกว่าตัวเองมีแต่เรื่องร้ายๆ ถ้าไม่โชคร้ายมากก็คงทัศนคติแย่มากจนมองไม่เห็นอะไรดีเลย”

     

           คนที่หนุนตักเขาอยู่หัวเราะ

     

           “เฉียบมากสไปดี้”

     

           เขาโคลงหัวเบาๆ

           “ขอบคุณฮะ”

     

           “นายกลับบ้านไปนอนได้แล้ว” คู่สนทนาว่าต่อ

           “เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ”

     

           “คุณรู้ได้ไง?”

     

           “ก็เสียงนายมันเด็กซะขนาดนี้” เดดพูลดึงร่างของตนเองขึ้นจากพื้น เด็กหนุ่มลุกตาม

           “นายคงไม่ได้บังเอิญถูกตัดไอ้จ้อนออกทำให้เสียงนายใสแบบวงนักร้องประสานเสียงชายล้วนในยุคกลางหรอกมั้ง”

     

           เขาตัวสูง สูงกว่าปีเตอร์มาก

     

           “รู้มั้ย นายเป็นคนแรกเลยนะที่ฉันเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง”

     

           สไปเดอร์แมนกะพริบตาปริบๆ

           “ผมควรจะดีใจ...ใช่มั้ยฮะ?”

     

           ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะหึๆ

     

           “เออสิวะ”

     

           ขาในชุดสีแดงก้าวไปที่ขอบดาดฟ้า

     

           “ถ้าเราได้เจอกันอีก” เขาหันมาหาปีเตอร์

           “ฉันรู้จักร้านอาหารอิตาเลี่ยนเด็ดๆราคาย่อมเยาว์ เดี๋ยวจะพาไป”

     

           ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกาย

     

           “แล้วผมจะรอนะฮะ”

     

           เจ้าของดาบคู่ที่ไขว้อยู่บนหลังสูดหายใจลึกๆก่อนจะกล่าวออกมาในที่สุด ลมเย็นพัดผ่านขณะที่ทั้งคู่ประจันหน้ากันในระยะห่าง

     

           “ดีใจที่ได้เจอนายนะสไปดี้”

     

           เขายิ้ม

     

           “เช่นกันฮะเดดพูล”

     

           เนื้อผ้าสีแดงตรงปากของเดดพูลขยับ และเด็กหนุ่มคิดว่าเขากำลังยิ้ม

     

           ร่างสมส่วนในชุดแดง-น้ำเงินมองลงไปด้านล่าง ยิงใยและกระโดดลงไป

    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ decorative line

    หนึ่งเดือนต่อมา...

     

           ตะวันสาดแสงสีส้มตรงขอบฟ้า ปีเตอร์ยืนมองเงียบๆและก้าวไปที่ริมขอบชั้นบนสุดของตึก

     

           ตึกเดิมกับที่เขาเคยเจอกับเดดพูล

     

           เด็กหนุ่มถอดหน้ากากออก ปล่อยผมสีน้ำตาลหนาสั้นแต่ยุ่งเล็กน้อยให้เป็นอิสระจากการแนบอยู่กับหัวเขา ดวงตาทอดไปเหนือตึกรามบ้านช่องทั้งหลาย

     

           เขาไม่ได้เจออีกฝ่ายมานาน

     

           ชายประหลาดคนนั้นจะลืมเขาไปรึยังนะ?

     

           เขานั่งลงและห้อยขาลงไปเตะอากาศเล่น ปล่อยให้เวลาไหลเอื่อยไป

     

           ก็เขาปิดเทอมแล้วนี่ จะรีบร้อนทำไม

     

           ก่อนที่แสงสุดท้ายจะหายลับไปจากผืนฟ้า เสียงฝีเท้าอีกคู่ที่ย่างเข้ามาใกล้ก็ทำให้เขาหันหัวไปทางนั้น

     

           ร่างสูงที่ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากสีแดง-ดำอันคุ้นเคยเดินมาหา มือทั้งสองข้างถืออะไรบางอย่างที่เป็นทรงกระบอกไว้ในมือ เขาผิวปากอย่างอารมณ์ดี

     

           เดดพูลไม่ได้ใส่ชุดตัวเก่งของเขา ตรงกันข้าม เขาใส่เพียงเสื้อยืด, กางเกงยีนขายาว และแจ็คเกต

     

           ไวเท่าความคิด เด็กหนุ่มคว้าหน้ากากขึ้นมาบังใบหน้าตนเองลวกๆโดยไม่เสียเวลายัดหัวเข้าไปในนั้น

     

           เขาต้องแย่แน่ๆถ้าอีกคนเห็นหน้าชัดๆ

     

           “โอ้” ชายหนุ่มอุทานเบาๆ

           “โทษที”

     

           “ม-ไม่เป็นไรฮะ” ปีเตอร์งึมงำตอบ ก้มหน้างุดๆพลางขบริมฝีปาก

           “ผมควรจะรู้สึกตัวตั้งแต่คุณกำลังเดินขึ้นมา แต่คงจะใจลอยไปหน่อย”

     

           “อือฮึ” เขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆแล้วยื่นแก้วทรงสูงสีทึบๆใบหนึ่งให้

     

           “เอ้า ไม่รู้ว่านายชอบกินอะไรเลยซื้อฮันนี่เลมอนสมูทตี้มา”

     

           ปีเตอร์ดึงหน้ากากลงมาปิดครึ่งหน้า นิ้วทั้งสิบสัมผัสกับความเรียบของพลาสติกขณะที่ยื่นมือออกไปรับแก้ว

     

           หลับตาลง เขาซึมซับรสชาติของน้ำผลไม้และน้ำแข็งที่ถูกปั่นจนเนียนเข้ากัน

     

           “ปกติผมไม่ใช่แฟนคลับของฮันนี่เลมอน แต่นี่ก็อร่อยใช้ได้เลยนะฮะ”

     

           “ว้ายตายจริง” เดดพูลอุทานด้วยเสียงที่ถูกดัดจนแหลมเล็ก

     

           “พี่ขอโทษจริงๆนะจ๊ะสไปดี้ คือพี่ไม่รู้อ่ะ แล้วอย่างนี้หนูจะร้องไห้มั้ยเนี่ยลูก?”

     

           เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะ แกว่งขาไปมา

           “สยอง”

     

           ชายหนุ่มหัวเราะตามพลางเลิกเนื้อผ้าส่วนที่ปิดใบหน้าครึ่งล่างของตนขึ้นแล้วก้มลงดูดน้ำในแก้ว ผิวของเขาเป็นด่างดวงและเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นราวกับถูกไฟคลอกอย่างไรอย่างนั้น

     

           “เกิดอะไรขึ้นกับผิวของคุณเหรอฮะ?”

     

           “อ๋อ” เขานิ่งไปก่อนจะยกมือขึ้นแตะแก้มของตน

     

           สไปเดอร์แมนรู้สึกผิดขึ้นมาในทันใด

           “เอ่อ ถ้าไม่สะดวกจะเล่า...”

     

           “ไม่เป็นไรหรอกน่า” เขาโบกมือไปมาราวกับมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนัก

     

           “เล่าก็ดี จะได้ระบายมันออกไปบ้าง...อีกอย่าง คุยกับนายแล้วมันสบายใจดี”

     

           ชายหนุ่มในหน้ากากแดงหันมาทางเขาแว้บหนึ่ง ยิ้มน้อยๆก่อนจะหันกลับไปมองขอบฟ้าเมืองควีนส์เหมือนเดิม

     

           ...ยิ้มเขาก็สวยใช้ได้

     

           “อย่างที่นายรู้ ฉันเป็นทหารรับจ้าง” เขาเริ่ม เม้มปากเบาๆ

           “วันหนึ่ง ฉันตรวจร่างกายแล้วพบว่าฉันเป็นมะเร็งที่ตับ, ปอด, ต่อมลูกหมากแล้วก็สมอง”

     

           เด็กหนุ่มพยักหน้าพลางดูดสมูทตี้เย็นเจี๊ยบอีกอึกใหญ่

           “อือฮึ”

     

           “ฉันเจอสาวคนหนึ่ง เธอสวยสะเด็ด ฉันอยากจีบเธอ...แต่เธอไม่มีทางเอาไอ้หนุ่มมะเร็งแดกอย่างฉันแน่ๆ เพื่อนฉันเลยแนะนำให้ไปหาคนที่ชื่อเดอะ รีครูทเตอร์...ซึ่งพาฉันไปหาอาจักซ์ คนของเดอะ เวิร์คชอป องค์กรที่ทำการทดลองยีนของพวกมิวแทนท์ พวกเขาฉีดยีนกลายพันธุ์ใส่ฉันเพื่อจัดการกับมะเร็ง แต่ยีนจะไม่ทำงานนอกจากฉันจะมียีนแบบเดียวกันอยู่ตรงไหนซักแห่งในตัว และต้องพาฉันไปอยู่ในสภาวะที่ตึงเครียดมากๆเพื่อจะให้ฉันหลั่งอะดรีนาลีน กระตุ้นยีนเอ็กซ์”

     

           เขาหันมามองปีเตอร์

     

           “ฉันไปกวนตีนอะไรกับอาจักซ์เล็กน้อย...พอดีเพิ่งรู้ว่าชื่อจริงมันคือฟรานซิส...มันเลยจับฉันขังในแคปซูลแล้วตัดอ็อกซิเจน ผิวฉันเริ่มมีแผลพุพอง ผมฉันร่วง ฉันกลายเป็นอสุรกายน่าเกลียดน่ากลัวที่ตายไม่ได้...”

     

           เสียงของเขาเจือความเศร้าและว้าเหว่จนเด็กหนุ่มแทบจะเอื้อมมือไปตบหลังเขา

     

           “ทั้งหมดเพียงเพราะฉันอยากจีบผู้หญิง”

     

           “คุณไม่ผิดหรอกน่า...” เขาปลอบเบาๆ

           “ใครๆก็อยากมีชีวิตดีๆ มีแฟนดีๆทั้งนั้น”

     

           ชายหนุ่มจ้องเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มและเอื้อมมือมาแตะบ่าเขา ตบเบาๆสองสามที

     

           “ขอบใจสไปดี้น้อย”

     

           “เอาล่ะ ฉันจองที่นั่งวีไอพีร้านอาหารอิตาเลี่ยนไว้แล้ว ไปกันเลยดีมั้ย?” เขายืดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

     

           ปีเตอร์คลี่ยิ้มแป้น ก่อนจะชะงัก

     

           “แต่ว่า...ชุดผม...”

     

           “อ๋อ” เดดพูลห่อปากเป็นรูปตัวโอ เขาถอดเสื้อแจ็คเกตสีดำออกมาแล้วเหวี่ยงมันไปคลุมหัวคู่สนทนา

     

           เด็กหนุ่มผมเข้มอุทานและมองผ้าในมือ

     

           “ใส่ซะสิ ถอดหน้ากากด้วย เราต้องลงไปเดินเล่นกัน” ร่างสูงกอดอก แขนที่โผล่พ้นชายแขนเสื้อยืดของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลน่ากลัว

     

           “ฮะ” เขายืนตามและสอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อแจ็คเกต

     

           ชายหนุ่มหน้ากากแดงมองดูเงียบๆขณะที่สไปเดอร์แมนถอดหน้ากากของเขาออกและเสยผม

     

           “ผมถอดแล้วนะ” ปีเตอร์ว่าพลางมองเขาอย่างคาดคั้น

     

           “อาฮะ” ผู้แก่กว่าพยักหน้าและดึงหน้ากากออกจากหัว

           “นายดูดีกว่าที่คิดนะเนี่ย”

     

           เขามีดวงตาสีน้ำตาล หัวล้านอย่างที่เคยบอกไว้ แผลเต็มตัว

     

           “คิดว่าคงต้องมาแนะนำตัวกันใหม่นะ” เขากระตุกมุมปาก ยื่นมือมาด้านหน้า

           “เว้ด วิลสัน”

     

           เด็กหนุ่มจ้องมือเขาสลับกับดวงตาคู่นั้น ก่อนจะยื่นมือออกไปจับตอบ

     

           “ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ยินดีที่ได้รู้จักฮะ”

     

           “เอาล่ะ พีท” เว้ดยิ้ม

     

           “มาเถอะ เรามีพิซซ่าต้องไปสวาปาม”

     

     

     

     

     





     

    TALK WITH FM

    ไรท์ไม่เคยเขียนสไปดี้พูลมาก่อนเลย ยิ่งฟิคนี่ยิ่งแทบไม่เคยอ่าน มันเลยฟังดูเรียบๆไม่ค่อยมีโมเม้นท์หวานๆเท่าไหร่

    อย่าโกรธเราน้าาาา  พอดีเราไม่ใช่สายเขียนวายอ่ะ ปกติเรานอร์มอล

     

     

     

    [WARNING: GAME OF THRONES SEASON 8 SPOILERS]






     

    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง 

     

     

    ดู Game of Thrones ตอนสุดท้ายมาแล้วค่ะ ที่สงสารสุดเลยคือโดรกอน รักแม่มาก ไรท์จะร้องตามตอนน้องแกรู้ว่าแม่ตายแล้วเผาบัลลังก์ก่อนจะเอาศพแม่บินหนีไป หนูเอ้ย...ไม่มีใครคอยดูแลแล้วหนูจะอยู่ยังไงเนี่ยลูก

    ความจริงก็หน่วงนะตอนที่จอนต้องแทงเมีย แต่แม่มังแกกู่ไม่กลับแล้วอ่ะ ทำไงได้

    ตอนจบนี่เราค่อนข้างโอเคนะ แต่งงนิดนึงว่าไหงแบรนจะเป็นอีกาสามตา แต่พอเขาเสนอมงกุฎมาให้ดันรับซะงั้น ส่วนซานซ่าก็ขออะไรแหม่งๆ บอกว่าจะแยกแดนเหนือ แกไม่คิดเหรอว่าถ้าขออิสระให้แดนเหนือได้ ดอร์นก็จะขอตามบ้าง เพราะจริงๆแล้วทางดอร์นเนี่ย ผนวกเข้าเจ็ดอาณาจักรเพราะการแต่งงานล้วนๆ ขนาดมังกรพี่แกยังทนเหนียวไม่ยอมพ่ายอ่ะคิดดู

    สุดท้าย บักจอนก็ไม่เหลืออะไรเลย เมียก็ตาย ตำแหน่งคิงอินเดอะนอร์ธก็หลุด เลือดทาร์แกเรียนมีก็เหมือนไม่มี ต้องกลับไปที่ผากำแพงอีก...เฮ้อ

    ที่รู้สึกว่าเออ มันโอเคที่สุดของตอนนี้คือช่วงที่ทีเรียนกับสภาเล็กเถียงกันแล้วแบรนยิ้มบางๆอ่ะ คือดีมากกกกก ทำให้รู้สึกว่าแบรนมันดูมีชีวิตชีวาขึ้นอะไรขึ้นจากช่วงแรกๆที่นั่งๆนอนๆหน้าตายไม่ทำอะไรเลย

    อย่างไรก็ตาม

    การทำให้แดเนริสเป็นราชินีบ้าเนี่ยมันฉุกละหุกเกินไป ไม่ค่อยๆหยอดค่อยๆเผย คือถ้าจะแมดเนี่ยคนดูก็เก็ตนะ แต่แค่ได้ยินเสียงระฆังแล้วหลุดเลยเนี่ยมันงงมาก ไรท์นี่พูดไม่ออกเลยตอนที่เจ๊แกเผาคิงส์แลนดิ้งและประชาชนที่แกบอกว่าจะมาปกป้องแบบเป็นนางเอกสวยๆอยู่ดีๆก็เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา

    อยากจะบอกทุกคนว่า ซีซั่นนี้อ่ะถ้าจะตัดเรื่องการไทม์สกิปและพัฒนาการของตัวละครออกไป มันก็ค่อนข้างดีเลยนะ แค่ออกมาไม่ถูกใจทุกคนอย่างที่หนังเกือบทุกเรื่องเจอ แล้วก็ดันมีคนไม่ถูกใจเยอะหน่อยเท่านั้นเอง

    555555






    เอาล่ะ ระบายสปอยเลอร์มาพอแล้ว กลับเข้าสู่จักรวาลมาร์เวลของเราดีก่า

    เดี๋ยวอีกไม่นานไรท์จะปล่อยตัวอย่าง Broken Throne ซีซั่นสามแล้วนะทุกคนนน เย้ยยยย

    เจอกันฟิคหน้าเน้อออ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×