ตอนที่ 13 : 12
12
“คุณหมอกคะ...คุณหมอก”
เรียวคิ้วที่ขมวดและสีหน้าบ่งบอกได้ถึงความขุ่นของอารมณ์ทำให้คนเอ่ยเรียกชื่อเกรงใจอยู่ไม่น้อย หมอกละสายตาจากหนังสือที่ก่อนหน้านี้ใช้มันเพื่อหาความสงบให้ตัวเอง แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มเงยหน้ามองหญิงสูงวัยที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเกือบทุกสิ่งภายในบ้าน เธอยืนอยู่ตรงริมขอบสระตรงหน้าของเขาที่อยู่ตรงมุมนั่งเล่น
“คุณแบมแบมตัวร้อนจี๋เลยค่ะ สงสะ...”
ไวกว่าคำพูดที่จะต่อให้ประโยคนั้นจบหนังสือที่ชอบนักหนาก็ถูกคว่ำลงไป ร่างโปร่งลุกขึ้นกะทันหันจนคนแก่ตกใจ กว่าจะตั้งสติได้อีกทีก็ตอนที่เจ้าของร่างนั้นเดินไปเกือบจะถึงประตูเข้าบ้านอยู่แล้ว
“ขอผ้าเช็ดตัวแล้วก็น้ำ...พวกอุปกรณ์ที่ใช้เช็ดตัว”
“เดี๋ยวป้าเช็ดให้หนูแบมเองก็ได้นะคะ”
“ผมจะทำเอง”
หมอกพูดเบาๆพลางบอกเจ้าของใบหน้าที่หลับตาพริ้ม ถึงจะกำลังหลับตาแต่สีหน้าของแบมแบมดูไม่ดีเอาซะเลย แถมยังรู้สึกว่าดวงตาบวมๆทั้งสองข้างนั้นมันคงผ่านการร้องไห้มาเป็นเวลานาน
“แล้ววันนี้เค้าได้ทานข้าวทานยาหรือยัง”
“ป้าเห็นแค่ตอนที่คุณม่านยกขึ้นมาค่ะ แต่ตอนที่ขึ้นมาเก็บมันก็ดูไม่ลดลงเลย แถมคุณม่านก็ออกจากบ้านไปตั้งแต่หัวค่ำแล้วค่ะ ป้าเอะใจเห็นหนูแบมปิดห้องเงียบไม่ยอมออกมาเลยก็เลยขึ้นมาดูนี่แหละค่ะ”
“ผมขอยากับอาหารที่เค้าควรจะกิน เอาแบบที่กินง่ายๆ”
แม่บ้านรีบรับคำสั่งเมื่อได้ยินแบบนั้นก่อนจะรีบไปจัดแจงสิ่งของที่ต้องใช้ ไม่นานป้านวลกลับมาพร้อมกับอุปกรณ์เช็ดตัวก่อนจะขอตัวลงไปจัดแจงอาหารสำหรับคนไม่สบาย
“เธอ...”
เมื่อความเงียบมาแทนเขาเอ่ยเรียกชื่อของเด็กที่กำลังอยู่ในความดูแล แบมแบมยังคงสีหน้าไม่สู้ดี เม็ดเหงื่อเริ่มผุดอยู่ตามขมับเพราะหมอกปิดแอร์ไปได้สักครู่หนึ่งแล้ว
“อือ...”
เรียวปากที่แห้งผาดเริ่มเผยอออกเมื่อแบมแบมเริ่มมีการตอบรับ
“หมอกเหรอ...”
“อืม...”
ถึงจะตอบสั้นๆแต่น้ำเสียงนั้นก็ดูนุ่มนวลกว่าครั้งสุดท้ายที่พูดกัน
“หมอก...เค้า”
“ไม่ต้องพูดอะไรตอนนี้หรอก”
“ฮึกหมอก...เค้า”
“เป็นอะไร...หืม?”
เจ้าของคำถามส่งมือไปยังหน้าผากที่ร้อนเพราะไข้ ตอนนี้เขาคงต้องอ่อนโยนกับคนป่วย คงต้องยอมทิ้งความรู้สึกตอนที่มองหน้ากันครั้งล่าสุดไปก่อน
“ขอโทษ...ฮึก...ขอโทษนะ” คนป่วยที่ตัวร้อนทำไมไม่ยอมนอนเฉยๆ หมอกได้แต่คิดในใจในขณะที่ร่างกายของแบมแบมเริ่มเคลื่อนไหว มือที่เล็กกว่าดึงชายเสื้อของคนที่กำลังพร่ำคำขอโทษราวกับว่าตัวเองไปทำความผิดอะไรมาร้ายแรง ใบหน้าที่อุ่นร้อนซุกลงไปยังหน้าท้องของอีกคน แบมแบมไม่อยากให้หมอกเห็นตาบวมๆของตัวเอง ไม่อยากให้หมอกได้เห็นคนที่ไร้ค่า ไม่อยากให้หมอกเห็นว่าแบมแบมมันก็แค่คนที่ไม่ได้เรื่อง แม้แต่ตอนที่อยู่กับหมอกยังทำให้หมอกเห็นตัวเองอยู่ในสภาพที่ดีๆไม่ได้
“ขอโทษนะ...จนถึงตอนนี้ตอนที่อยู่กับหมอกอีกก็ยังทำให้หมอกยิ้มไม่ได้เลย”
“พูดอะไร...เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว” เขาแพ้แล้ว...แพ้ให้กับแบมแบมอีกและคงจะมีครั้งต่อๆไปแบบนับไม่ถ้วน เหตุการณ์เมื่อคืนตอนที่เขายืนอยู่หน้าห้องมันกำลังถูกกลืนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เขาลูบไปตามกลุ่มผมนุ่มของคนที่ตัวร้อน ไม่อยากจะจินตนาการใบหน้าของแบมแบมตอนนี้เลย ดวงตามันคงจะบวมและแดงกร่ำแถมยังชุ่มน้ำมากกว่าที่เห็นในตอนแรก
คนป่วยหมดฤทธิ์ไปแล้ว หลังจากนั้นไม่ได้พูดอะไรกันต่อตั้งแต่ที่แม้บ้านยกโจ๊กร้อนๆขึ้นมารวมไปถึงยาลดไข้ หมอกรู้ดีว่าแบมแบมคงไม่อยากให้ใครมาเห็นตนในสภาพแบบนี้ ป้านนวลทำหน้าที่แค่ขึ้นมาส่งสิ่งที่ต้องการจากนั้นก็ถูกสั่งให้ออกไปและห้ามใครมารบกวนจนกว่าเขาจะออกปาก
“เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น เธอตื่นมาอีกทีก็จะเป็นเช้าวันใหม่”
“หมอกไม่ไปไหนนะ...”
“อืม...จะอยู่ตรงนี้นั่นแหละ”
มือเล็กถูกกระชับเบาๆพอให้แบมแบมได้รู้สึกว่าหมอกกำลังย้ำคำพูดด้วยการกระทำ
“เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”
“หมอกอย่าหายไปนะ...”
“เดี๋ยวจะอยู่ด้วยจนเบื่อหน้าไปเลย”
*
ถ้าเช้าแล้ว...ทุกอย่างมันจะดีขึ้น
เปลือกตาค่อยๆเปิดขึ้นในที่สุดเมื่อเช้าวันใหม่เข้ามาถึง จิตใต้สำนึกแรกยังคงมีแต่คำพูดที่ได้ยินก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไป ดวงตากลมที่ไม่เหลือความชุ่มของน้ำตาแล้วเคลื่อนมองไปยังเจ้าของลมหายใจที่สม่ำเสมอ แบมแบมสัมผัสได้ถึงความอุ่นของลมหายใจรวมไปถึงมือที่ยังคงจับไว้ไม่ปล่อย
ถ้าหมอกมาติดไข้ไปด้วยอีกคนแบมแบมคงเห็นแก่ตัวมากที่เรียกร้องเข้าหาอีกคนอยู่แบบนี้ แต่เมื่อคืนก็ยอมรับว่าทำทุกอย่างไปตามจิตใต้สำนึกจนลืมนึกไปว่าคนข้างๆจะได้รับผลกระทบอะไรบ้างจากตน
แบมแบมจะทำให้หมอกรู้สึกดีบ้างได้ไหมแบบที่หมอกก็ทำให้ตนโดยไม่มีเงื่อนไข คนที่ตื่นก่อนได้แต่มองใบหน้านิ่งที่ดวงตายังคงปิดสนิท แบมแบมชอบมองเวลาที่หมอกได้หลับอย่างเต็มที่ แม้แต่จะขยับเขยื้อนร่างกายนิดหน่อยก็ไม่อยากจะทำ แต่ไม่นานนักดวงตาอีกคู่ก็ค่อยๆเปิดขึ้น แม้แต่สีหน้าแรกของหมอกที่ตื่นขึ้นมาแบมแบมยังจับหาความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ได้
“หมอก...
นอนต่อก็ได้นะ ยังเช้าอยู่เลย”
“ไม่ง่วงแล้ว
แล้วเธอล่ะ...ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”
“อื้อ เค้าไม่เป็นไรแล้ว”
หมอกเริ่มขยับตัวลุกขึ้นมองเด็กตากลมที่ก็มองเขาอยู่ไม่ต่าง ไม่นานฝ่ามือที่เคยจับไว้ถูกแยกออกจากกัน มันถูกแตะลงไปบนหน้าผากแทน
“ตัวยังอุ่นๆอยู่เลย”
“อื้อ...แต่ก็ดีขึ้นมาก”
“ก็เพราะเมื่อคืนเธอยอมกินข้าวกินยา”
เพราะหมอกอยู่ด้วยต่างหาก...
แบมแบมแย้งขึ้นมา...แต่ก็แค่ในความคิดของตัวเองนั่นแหละ
“ตื่นแล้วก็ต้องกินข้าวกินยาเหมือนเดิม...
จนกว่าจะหายดี”
“เข้าใจแล้ว...”
แบมแบมพยักหน้าหงึกหงักพลางมองตามมือที่กำลังยกอ่างสแตนเลสขึ้นจากโต๊ะข้างๆ
“เมื่อคืนหมอกเช็ดตัวให้เค้าเหรอ...”
ร่างสูงชะงักลงเมื่อได้ฟังคำถาม หมอกหันกลับไปมองเจ้าของร่างที่นอนช้อนตามองตนอยู่
“เดี๋ยวตอนนี้ก็จะเช็ดให้อีก”
“…”
“หรือไม่ชอบ...
จะได้ไปตามคนอื่นมาทำให้”
แบมแบมรีบส่ายหน้าสวนกลับไปทันที
ไม่ใช่ไม่ชอบ...แต่แบบนั้นหมอกก็คงจะเห็นร่องรอยตามเนื้อตามตัวไปหมดแล้ว
“ไม่ใช่นะ...”
“…”
“อะไรที่หมอกทำให้เค้า...ก็ชอบหมด”
“แต่ก็อาจไม่ได้ชอบที่สุด”
“หมอก...”
“ไม่ต้องเถียงอะไรตอนนี้หรอก เดี๋ยวเราเอาน้ำไปเปลี่ยนก่อน จะกลับมาเช็ดตัวให้”
หมอกกลับมาอีกครั้งพร้อมกับอุปกรณ์เช็ดตัวที่เปลี่ยนใหม่เรียบร้อย มันถูกวางลงตรงที่เดิม แบมแบมค่อยๆวางโทรศัพท์ลงบนผ้าที่ห่มตัวเองอยู่เมื่อเห็นสายตาอีกคนส่งมา
“จริงๆเค้าทำเองก็ไหวแล้ว...หมอกไม่ต้องเช็ดให้เค้าแล้วล่ะ”
“เอางั้นเหรอ”
“อื้อ...สบายมาก”
คนฟังที่เฝ้าสังเกตอาการค่อยๆหย่อนสะโพกลงบนขอบเตียง เขารู้หรอกว่าแบมแบมเกรงใจ แต่อาการของแบมแบมก็ดูดีขึ้นกว่าเมื่อคืนจริงๆ
“เราสั่งให้คนทำข้าวให้เธอแล้วก็จัดยา..เดี๋ยวก็คงยกขึ้นมา”
“ขอบคุณหมอกมากนะ”
“ไม่ต้องรีบไล่หรอก เดี๋ยวถ้าแน่ใจว่าหายดีก็จะออกไป”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“เอาโทรศัพท์มานี่”
สิ่งของที่อยู่ในประโยคคำสั่งถูกหยิบขึ้นจากผ้าห่มอีกครั้ง แบมแบมไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยอมส่งให้อย่างว่าง่าย
“เดี๋ยวจะโทรตามมันให้”
ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าแบมแบมกำลังคิดถึงอะไร ห่วงใคร กังวลเรื่องไหน แต่มันคงสะดุดเพราะตอนที่เขากลับเข้ามาเจ้าตัวถึงต้องวางโทรศัพท์ลงไป
“ไม่ต้อง...อย่าโทรไปนะหมอก”
แต่กลับเป็นแบมแบมที่ยั้งมือไม่ให้หมอกกดปลายนิ้วลงไปบนหน้าจอ
“เค้าไม่ได้อยากจะโทรไปหาม่านแล้ว...”
“…”
“ม่านจะกลับมาหรือไม่กลับมาเค้าก็ไม่สนใจแล้วล่ะ”
“ทำไม?...”
แบมแบมกำลังหลอกเขาหรือหลอกตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับว่าใจมันกลับพองโตเอาเสียดื้อๆ
“หมอก...
ไม่ต้องพูดถึงม่านตอนนี้ได้ไหม...”
แต่ก็ทำให้รู้ว่าไม่ได้ดีใจขนาดนั้นหรอก ถึงแบมแบมจะทำเหมือนไม่อยากได้ยินชื่อของอีกคนแล้ว ที่จริงในใจคงจะคิดถึงม่านที่สุดแล้ว
“ขอโทษ
จะไม่พูดแล้ว...”
*
“เธอ...ถ้าหายดีแล้วไปเที่ยวกันนะ”
นั่นเป็นประโยคที่แบมแบมจำได้ในจิตใต้สำนึกสุดท้ายของค่ำคืนนี้ และหวังว่าเช้าที่ตื่นขึ้นมามันจะสดใสไม่หม่นเกินไปแบบเช้าที่ผ่านมา น้ำเสียงอบอุ่นของหมอกยังลอยก้องอยู่ในความคิด เชื่อว่ามันกล่อมให้แบมแบมฝันดีได้และไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่จะทำให้รู้สึกแย่
“วันนี้ตัวไม่ร้อนแล้วนะ”
เช้านี้หมอกดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พิเศษกว่าหลายวันที่ผ่านมา แบมแบมลืมตาขึ้นมาก็เห็นรอยยิ้มที่กลบเขี้ยวแหลมๆคู่นั้น แม้หมอกจะไม่ได้ยิ้มจนเห็นฟันแต่ก็รู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นกำลังยิ้มให้ ใจของแบมแบมมันเลยรู้สึกชุ่มชื้นตามไปด้วย แบมแบมจะรู้หรือเปล่าว่าสาเหตุของรอยยิ้มที่ปรากฏมันจะเป็นเพราะการที่ไข้ของคนที่นอนอยู่นั้นจางหายไปแล้ว
“หมอกมาหาเค้าแต่เช้าเลยเหรอ”
“อือ...” เสียงทุ้มแผ่วลากยาวอยู่ไม่นานนัก
“ก็เราตื่นเช้า ไม่ได้ขี้เซาเหมือนเธอหรอก”
“หือ...ทำไมมาว่าเค้าได้ล่ะ เค้าอยู่เฉยๆนะเนี่ย...”
“ไม่ได้ว่าเธอ...
ยอมรับว่าตั้งใจมาหาจริงๆ แต่ไม่ได้มาแต่เช้า...”
“หือ?..”
“มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
สงสัยว่าหมอกจะทำให้ไข้แบมแบมกลับอีกรอบ ก็เพราะอุณหภูมิที่หน้ามันกำลังเพิ่มความร้อนฉ่า...
บทหมอกจะพูดตรงๆก็ตรงเสียจนคนฟังไปไม่เป็น
แต่ถามว่าชอบหมอกในโหมดนี้ไหม...
ชอบที่สุดเลยล่ะ
วันนี้แบมแบมลงมารับอาหารเช้าโดยที่ไม่ต้องให้ใครยกขึ้นไปเสิร์ฟหรือให้ใครคอยป้อนน้ำป้อนยาแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่แบมแบมแต่รวมถึงหมอกและฌอห์ณ
“ไม่รู้ป่านนี้ม่านทำอะไรอยู่เนอะ”
“…”
“นี่แบมแบม...นายรู้หรือเปล่าว่าม่านเค้าไปอยู่ที่ไหนน่ะ ป่านนี้ยังไม่กลับบ้านตั้งหลายวัน”
ฌอห์ณเปิดบทสนทนาแรกบนโต๊ะอาหารในเช้านี้ ตากลมละออกมาจากถ้วยข้าวต้มร้อนๆที่กำลังพยายามเป่าให้เย็นลงก่อนจะมองไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มือเล็กวางช้อนลงก่อนที่จะจัดการใช้ผ้าเช็ดปากเสียก่อน
“แบมก็ไม่รู้ฮะพี่ฌอห์ณ...ม่านไม่ได้บอก”
“อ่าวเหรอ...อืมมม...” ฌอห์ณกลอกตาไปมาราวกับว่ากำลังขบคิดอะไรอยู่ เสียงของฌอห์ณมันทำให้หมอกเองก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาสนใจกับบทสนทนาที่กำลังเป็นประเด็น
“พี่ก็คิดว่านายรู้...ก็เห็นนอนด้วยกันทุกคืนนี่
อ้อ...แต่สองคืนก่อนไม่ได้นอนนี่เนอะ พอม่านไม่อยู่ก็ให้หมอกมานอนเป็นเพื่อนแทน...เป็นแบมแบมนี่ดีจังเลยนะจะนอนกับใครก็ได้”
“เอาเวลาไปสนใจเรื่องตัวเองเถอะ เสียงนายมันทำให้ฉันรู้สึกว่ามื้อเช้ามันไม่อร่อย”
ประโยคล่าสุดถูกสวนขึ้นมากลางคัน เป็นคนที่อดทนข่มใจฟังมันด้วยอารมณ์ที่เริ่มขุ่น...เช้าที่ตื่นมาเจอหน้าแบมแบมมันควรจะเป็นวันเริ่มต้นที่ดีของหมอก แต่มันกลับต้องสะดุดลงกับคำพูดไม่กี่ประโยคของคนที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าสักเท่าไหร่อย่างฌอห์ณ
“ไม่ต้องเก็บมาคิดหรอกนะ”
“หมอกหมายถึงเรื่องอะไรเหรอ”
“ก็เรื่องที่คนอื่นพูด...เรื่องบนโต๊ะอาหารเมื่อเช้า...”
“อ้อ...”
มันก็เรื่องเดียวกับที่แบมแบมกำลังคิดอยู่ แต่แบมแบมกำลังพยายามกลบเกลื่อนมัน
“เค้าไม่ได้คิดอะไรหรอก หมอกไม่ต้องห่วง สบายมาก”
เสียงเล็กเปล่งออกมาในโทนที่คิดว่าสดใสที่สุด แบมแบมยิ้มออกมาให้คนตรงหน้าสบายใจ แบมแบมรู้ดีว่าคนอ่อนโยนอย่างหมอกเองก็คงรู้สึกไม่ดีกับประโยคต่างๆที่เกิดบนโต๊ะอาหารตัวนั้น
“เค้าไม่แคร์หรอกหมอก...”
แบมแบมหย่อนสะโพกลงไปบนขอบสระว่ายน้ำไม่นานเท้าสองข้างก็เริ่มแกว่งไกวไปมาเล่นกับมวลน้ำในสระ ตาคู่สวยช้อนมองขึ้นไปหาร่างสูงโปร่งที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองตน สายตาที่หมอกส่งมาบ่งบอกถึงความไม่เชื่อและเจือความเป็นห่วงจนสามารถรับรู้ได้ แบมแบมจึงต้องยิ้มออกไปอีกครั้ง
“จริงๆนะ...
เค้าไม่แคร์คำพูดใครหรอก
เค้ารู้ว่าเค้าต้องสนใจอะไร...รู้ว่าต้องสนใจใคร”
“เหรอ...”
หมอกก้มหน้าลงมาจนใบหน้าจ่อกับใบหน้าน้อยๆที่มองตนอยู่เช่นกันจนตากลมเบิกโตขึ้นเล็กน้อย เพราะตอนแรกคิดว่าหมอกจะทำอะไรแบบนั้น...
แบบนั้นที่หมายถึงคือคิดว่าจะทำให้ปากของหมอกมันแตะลงมาที่ปากของตัวเอง...แต่ก็โล่งใจที่มันอยู่ห่างพอสมควร เพราะถ้าเกิดใครเดินมาเห็นงานคงจะเข้าแน่ๆ
“เหรออะไรล่ะหมอกก็...”
“เหรอก็เหรอเพราะอยากรู้…”
หมอกถามกลับทั้งที่ใบหน้ายังคงก้มลงมาค้างอยู่ที่เดิม มือสองข้างยังคงล้วงกระเป๋ากางเกงขาสั้นอยู่อย่างนั้น
“อยากรู้ว่าคนที่เธอสนใจใช่เราหรือเปล่า”
แบมแบมแอบโกงคำตอบด้วยการหลบสายตา มันยิ่งทำให้หมอกที่รวบรวมความกล้าอยู่นั้นลดความมั่นใจไปโดยปริยาย
ไม่น่าถามอะไรแบบนั้นเลย
เพราะถ้าแบมแบมไม่คิดว่าหลงตัวเองก็คงคิดอีกแบบ...หมอกได้แต่ตอบโต้กับความคิดตัวเองในวินาทีที่ถูกหลบตาจนรู้สึกว่าทนรอไม่ได้แล้ว
“ไม่ต้องตอบหรอก”
ถ้าแบมแบมอยากจะรักษาน้ำใจเขาคำตอบมันก็คงเป็นเขาได้ไม่ยาก
คนที่แบมแบมสนใจน่ะอยู่ในโทรศัพท์ที่แบมแบมหยิบมันขึ้นมาดูแทบจะทุกนาทีที่ว่างต่างหาก
“ไม่อยากรู้แล้ว...
นี่จำที่บอกได้ไหม...
ว่าถ้าหายดีแล้วไปเที่ยวกัน”
*
“กี่โมงแล้ววะ”
เสียงทุ้มแหบพร่าเพราะยังปรับสภาพได้ไม่เข้าที่นักเมื่อยามที่เพิ่งลืมตาตื่นมาในช่วงบ่าย ม่านเห็นเพื่อนสนิทอย่างแจ็คสันกำลังเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับผ้าขนหนูที่ขยี้ผมที่ยังเปียกหมาด ส่วนตัวเองนอนกองอยู่บนโซฟาซึ่งข้างๆเป็นโต๊ะกาแฟมันถูกใช้วางกระป๋องเบียร์และกับแกล้มอยู่เต็มโต๊ะ
“บ่ายสองแล้ว...ห่า”
แจ็คสันมาหยุดท้าวสะโพกพลางเช็ดผมมองเพื่อนที่สภาพแย่กว่าหมาที่แม่เขาเลี้ยงไว้เสียอีก
“ปวดคอว่ะ”
“ก็เสือกไม่ไปนอนดีๆในห้องเอง”
“เออมึง...กูยืมที่ชาร์ตแบตหน่อย”
แจ็คสันส่ายหัวด้วยความเหนื่อยหน่าย คนอย่างไอ้ม่านถ้าสนใจจะแตะโทรศัพท์คงมีอยู่แค่เรื่องเดียว โซฟาอีกฝั่งยุบยวบลงไปเพราะเจ้าของห้องนั่งลงไปยังส่วนเบาะที่ยังเหลือโดยมีม่านนอนอยู่ก่อนจะกดปลายนิ้วลงไปบนรีโมตทีวีเพื่อไม่ให้ภายในห้องมันน่าเบื่อเกินไป เขาหันไปถอนหายใจใส่ร่างพังๆที่หมดสภาพ
“กูถามมึงจริงๆว่ามึงทำใจได้จริงๆเหรอวะ หรือมึงแค่ประชดเขา”
“กูแค่ขอยืมที่ชาร์จแบต ถามเหี้ยไรนักหนา”
ม่านตอบกลับมาในขณะที่หลับตาลงไปอีกครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะนอนหลับแต่อย่างใด
“งั้นกูถามมึงจริงๆครั้งที่สองนะ ช่วยตอบกูจริงๆด้วยแล้วกูจะยอมเสียเวลาไปหยิบสายชาร์จให้มึง” แจ็คสันค่อนข้างซีเรียสกับคำถามนี้ถึงแม้ว่าม่านมันจะทำเป็นไม่สนใจมัวแต่เอามือก่ายหน้าผากอยู่ที่เดิม
“ถามเหี้ยไร...”
“กูรู้นะเว้ยว่ามึงแม่งตัดใจจากแบมแบมไม่ได้หรอก แต่กูก็ไม่เข้าใจมึงว่ามึงประชดแบบนี้มันไม่ยิ่งเปิดโอกาสให้สองคนนั้นยิ่งอยู่ใกล้กันมากขึ้นเหรอวะ”
“แล้วมึงจะให้กูทำไง...
เขาไม่ได้รักกู...”
“ไม่รักแล้วเขายอมมึงได้ไง?”
ม่านเงียบไปหลังจากเจอประโยคที่ทำให้ต้องฉุกคิด แต่คิดแล้วก็ยังไม่ทำให้รู้สึกต่างไปจากเดิม
“กูมันเหี้ยเองแหละว่ะ...
เจ็บบ้างก็ดี...มึงว่าไหมวะไอ้แจ็ค
แต่เดี๋ยวกูก็ทนไม่ได้ กูคิดถึงเขากูก็คงกลับไปอีก”
คำพูดของม่านไม่ได้ผิดไปจากที่พูดเลย เย็นวันนั้นรถคู่ใจถูกจอดอยู่ที่โรงจอดรถของบ้าน ม่านยัดกุญแจรถใส่กระเป๋ากางเกงหลังจากที่ประตูรถถูกปิดลงพลางก้าวเท้าไปตามทางเดินที่จะขึ้นบ้าน
“อ้าวคุณม่าน...กลับมาแล้วเหรอคะ”
ป้านวลคงจะได้ยินเสียงรถที่จำได้ก็เลยเดินออกมารอรับถึงหน้าประตู ม่านพยักหน้ารับแต่ก็ไม่ได้สนใจแม่บ้านสักเท่าไหร่ ตาคมกวาดมองไปรอบบริเวณเพราะหวังจะได้พบกับบางคน แต่ก็พบว่าตรงนี้ไม่มีใครอีกแล้ว
“ยัยหมูอยู่ห้องเหรอป้า”
“เอ่อ...”
ป้านวลดูหน้าเจื่อนๆและมีท่าทีอึกอักลงจนม่านจับสังเกตได้ เขาไม่รอฟังให้ป้าพูดอะไรต่อ ปลายเท้าก้าวฉับๆไปยังทางขึ้นบันไดกลางห้องโถง
“หนูแบมไม่อยู่หรอกค่ะคุณม่าน...”
น่าเสียดายที่ม่านไม่รอฟัง ป้านวลได้แต่ถอนหายใจหลังจบน้ำเสียงแผ่วๆมองบันไดที่ว่างเปล่าเพราะว่าม่านเดินหายไปแล้ว
“เฮ้อ...คนนึงกลับมา อีกคนดันออกไป”
.
.
.
เขาน่าจะอยู่ฟังป้านวลพูดให้จบก่อนจะได้ไม่ต้องเปิดประตูมาเจอกับห้องที่ว่างเปล่า ม่านทิ้งสะโพกลงเตียงพลางมองไปรอบๆห้อง มองแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันได้อะไรเพราะถึงยังไงยัยหมูก็ไม่อยู่ในนี้ รู้แบบนี้ ถึงแม้โทรศัพท์มันจะชาร์จแบตจนเกือบเต็มแล้วแต่เขาก็ยังไม่กล้าโทรหาจนกระทั่งตอนนี้ ม่านเพียงแค่อยากเปิดมันเพื่อเช็คดูว่ามีใครสนใจและนึกถึงเขาในเวลาที่ห่างจากกันบ้าง
ลมหายใจถูกพ่นออกมาเมื่อรู้ว่าจังหวะและเวลาของเรามันคลาดกัน แต่ถึงยัยหมูอยู่ตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะยังยอมมองหน้าเขาอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า
ก๊อกๆๆ
เสียงดังจากประตูเรียกสติให้คนคิดไกลกลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง ม่านผุดรอยยิ้มเพียงเพราะคิดว่ามันจะเป็นคนที่กำลังคิดถึง ประตูถูกเปิดออกในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ทันทีที่ฝีเท้าเร่งมาจนถึงที่
แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง
ไม่ใช่ยัยหมู...
“พี่ม่าน”
“มีไรวะไอ้ฌอห์ณ”
บางทีคนตรงหน้าก็อาจจะทำให้ม่านที่อารมณ์กำลังขุ่นๆอยู่แล้วกลับขุ่นเพิ่มขึ้นไปอีก บอกตรงๆแค่เห็นหน้าคนๆนี้เขาก็รู้สึกเซ็งขึ้นมาทันที
ม่านควรจะเอะใจตั้งแต่ที่ประตูห้องถูกเคาะ...ยัยหมูจะเคาะประตูห้องตัวเองทำไม
“ผมก็แค่จะมาบอกเรื่องของแบมแบม แต่ถ้าพี่ไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร”
เจ้าของร่างเพรียวที่ยืนอยู่หน้าประตูทำทีจะเดินออกไปแต่ก็ถูกรั้งไว้ได้ทัน
“เดี๋ยว...”
ฌอห์ณยอมหันหน้ากลับมาแม้เมื่อครู่จะทำทีเดินออกไปแล้ว ริมฝีปากยกรอยยิ้มให้จนคนมองรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
“มึงจะพูดอะไรก็รีบๆพูด”
ม่านทวงถึงสิ่งที่เป็นเหตุผลให้ต้องรั้งข้อมือของคนตรงหน้าไว้ก่อนที่จะสลัดมันออกอย่างไม่ใยดี
“ผมลังเลอยู่นานว่าควรจะบอกพี่ดีไหม บอกแล้วพี่อาจจะรู้สึกแย่กว่าที่เป็น”
ม่านทำทีกลอกดวงตาไปที่เพดาน แขนทั้งสองยกขึ้นมากอดอกก่อนที่สายตาจะกลับไปโฟกัสที่คนตรงหน้า
“แต่พี่ก็ควรจะรู้ว่าคนที่พี่แคร์เขาไม่ได้สนใจความรู้สึกของพี่เลยสักนิด”
“…”
“ทั้งๆที่พี่หายไปก็พากันออกไปเที่ยวตั้งแต่ตอนเที่ยง แม้แต่รถที่บ้านก็ไม่ขับออกไป คงอยากจะนั่งเบียดๆกันบนแท็กซี่แบบที่เคยๆนั่นแหละ”
“มึงจะพูดแค่นี้ใช่ไหม?”
“ผมว่าพี่น่าจะเข้าใจ ที่ผมพูดมันก็อาจจะทำให้พี่เกลียดผม แต่ผมก็ยอมเพราะผมไม่อยากให้พี่สองคนต้องมาผิดใจกันเพราะเด็กคนนั้น ทุกคนในบ้านก็รับรู้และมองออกว่าแบมแบมเป็นคนของพี่ แต่แบมแบมกลับทำเหมือนพี่ไม่มีความหมายเลย ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นพี่เป็นแบบนี้ ที่พี่ต้องหายไปไม่อยู่บ้านมันก็เพราะเด็กคนนั้น”
“มึงพอแล้ว แล้วอีกอย่างมึงไม่ต้องมาแคร์ความรู้สึกกูมากขนาดนั้น”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมยอมให้พี่เกลียด...ผมรู้ดีว่าที่ผ่านมาพี่ก็ไม่ชอบผมอยู่แล้ว
พี่ไม่ใช่คนที่จะเชื่ออะไรใครง่ายๆ แต่พี่ก็ลองคิดเองว่ามันจริงอย่างที่ผมพูดไหม”
“เพ้อเจ้อ”
ม่านพูดเท่านั้นก็ปิดประตูใส่ฌอห์ณทันที เขาไม่แน่ใจนักว่าเด็กคนนี้กำลังเล่นเกมอะไรหรือหวังอะไรจากเขา ที่ผ่านมาฌอห์ณไม่เคยพูดอะไรที่บ่งบอกความรู้สึกมากมายถึงขนาดนี้เลย แต่สิ่งที่ทำให้ม่านคิดหนักไม่ใช่เรื่องของฌอห์ณแต่กลับกลายเป็นเรื่องของคนสองคนที่ถูกกล่าวถึง
ถึงจะรู้สึกแย่กว่าเดิม...แต่รับรองได้ว่าสิ่งที่ฌอห์นพูดมันไม่ได้ทำให้ม่านมองยัยหมูของเขาเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
TBC
Talk ; (คิดถึงมากๆ... :)
#untwins93
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อินมากๆ เลือกไม่ถูกเลย ม่านหรือหมอกดีนะ (แบม บอก -ไม่ต้องเลือก -ไม่ใช่นางเอก 5555)