ตอนที่ 14 : 13
13
เป็นอีกวันที่หมอกไม่ได้อึมครึมนัก สีหน้าที่ดูมีชีวิตชีวานั้นบ่งบอกได้ว่าค่อนข้างอารมณ์ดีแบมแบมสัมผัสได้ระหว่างที่ทั้งคู่ต่างใช้เวลาร่วมกัน สองฝีเท้าก้าวไปตามทางเดินในสวนสาธารณะ อากาศช่วงเย็นก็ดูเหมือนจะเป็นใจรวมไปถึงสีท้องฟ้าที่ยังไม่มืดหม่นลง ลมที่เย็นสบายกับต้นไม้ที่ไหวเอนคงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวนั้นมีแต่ความเพลินใจ หมอกยกกล้องที่คล้องคอขึ้นมาถ่ายภาพตรงหน้าที่มีแบมแบมเป็นองค์ประกอบหลัก เสียงชัตเตอร์ทำให้เด็กที่กำลังเหม่อลอยรู้ตัวว่ากำลังถูกมองผ่านกล้อง
“ถ่ายหน้าอ้วนๆของเค้าไม่เบื่ออีกเหรอ”
แบมแบมถามแก้เขินพลางยกมือขึ้นมากอบกุมแก้มทั้งสองข้าง แม้ว่าช่วงนี้จะผอมลงแต่เนื้อส่วนนี้มันก็ยังไม่ลด
“เธอน่าจะรู้ดีกว่าใคร ว่าถ้าเราเบื่ออะไรแล้วจะไม่สนใจมันอีกเลย”
นั่นสินะ....แบมแบมเองต่างหากที่ไม่คู่ควรเลยสักนิดที่คนอย่างหมอกจะต้องมาสนใจหรือพยายามเข้าใจในความรู้สึก ที่คิดแบบนี้ไม่ใช่เพราะอยากผลักไสหมอกออกไป เพียงแต่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะคู่ควรเลยสักนิด
“เค้าขอบคุณหมอกมากนะ”
“ขอบคุณเราทำไม”
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย แล้วก็ขอโทษที่...”
“ไม่ฟังได้ไหม...
เราไม่อยากฟังอะไรแบบนี้”
มันทั้งห่างเหิน แล้วก็เหมือนว่าเธอกำลังจะทิ้งเราไปยังไงไม่รู้
ขอเราหลอกตัวเองนานๆหน่อยไม่ได้เลยเหรอ...
หมอกไม่ได้พูดแบบที่คิดออกไปหมดหรอก จะพลอยทำให้บรรยากาศดีๆของวันมันเสียไปหมดเปล่าๆ
“เค้าไม่รู้ว่าทำไมหมอกถึงไม่ชอบฟัง
เค้าก็แค่อยากบอกเพราะเค้ารู้สึกดี แค่อยากแบ่งความรู้สึกให้หมอกได้รับรู้บ้าง อยากให้หมอกรับรู้จริงๆนะ…
แต่ถ้าเค้าพูดมากเกินไปจนหมอกรำคาญ…”
“หยุดเลย”
“...”
“ถ้าพูดคำนี้อีก จะถือว่าเธอไม่เคยรู้จักเราเลยสักนิด”
คนถูกสั่งได้แต่ค่อยๆก้มหน้าลง คิดว่าสิ่งที่จะพยายามสื่อมันคงกลายเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายความรู้สึกของคนตรงหน้าอีกแล้ว แต่ทว่าตากลมกลับค่อยๆช้อนขึ้นมองอีกใบหน้าหนึ่งเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสเบาๆอยู่บนศีรษะ
“ขอโทษที่ตอนแรกพูดเอาแต่ใจ”
“…”
“คิดถึงแต่ตัวเองมากไปจนลืมคิดถึงความรู้สึกเธอเลย”
มือของหมอกกำลังลูบเบาๆอย่างอ่อนโยน การกระทำแค่นี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้แบมแบมเข้าใจทั้งหมดที่หมอกเป็น
หมอกเองก็ไม่ได้ตั้งใจ บางอย่างเราคงรับรู้ในส่วนของแค่คำพูดอย่างเดียวไม่ได้
เราทั้งคู่ก็ต่างอ่อนไหว เพราะทุกสิ่งรอบตัวตอนนี้มันช่างละเอียดอ่อนเหลือเกิน แต่ก็เหมือนจะมีแค่หมอกที่จะช่วยเยียวยาได้ แบมแบมเองก็อยากจะเป็นแบมแบมที่เยียวยาหมอกได้แบบที่หมอกกำลังเป็นให้แบมแบม
“หมอกไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเองหรอก
หมอกดีกับเค้าที่สุดเลย”
ดีที่สุดเลยเหรอ...จะพยายามเชื่อแล้วกัน...เด็กน้อย
หมอกใช้เวลาหลังจากนั้นในสวนสาธารณะด้วยการเอนศีรษะพักพิงบนไหล่นุ่มๆของคนข้างๆ ไม่น่าเชื่อว่าการงีบแค่เพียงไม่กี่นาทีจะทำให้เขาหลับสนิทมากกว่าหลายคืนที่พยายามหลับอยู่บนเตียงด้วยซ้ำ
เข้าช่วงหัวค่ำแล้วสองมือกุมกันอยู่บนรถที่มืดไปทั้งคันมันคือรถตู้โดยสารที่กำลังวิ่งไปตามทางที่ออกนอกใจกลางเมือง ไม่ได้มีโอกาสทำอะไรแบบนี้นักหรอก แต่บางทีการขึ้นรถแบบนี้มันกลับรู้สึกได้ถึงความอิสระมากกว่าการขับรถออกมาเองเสียอีก แถมถ้าเอารถมาเองก็คงไม่ได้จับมือกันอยู่แบบนี้
“เธอ...”
หมอกเรียกพร้อมกับสะกิดเจ้าของเปลือกตาที่ปิดสนิทเบาๆเมื่อรถจอดลงสุดสาย
“เธอ...ถึงแล้ว”
สองคนพากันลงจากรถตู้โดยสาร แบมแบมยังคงอยู่ในสภาพที่งัวเงียส่วนหมอกเองก็กำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ เป็นครั้งแรกที่พากันนั่งรถมาเองแถมยังกะทันหัน เพราะความที่ยังไม่อยากกลับบ้าน แบมแบมเองก็ไม่คิดว่าการที่หมอกชวนมาเที่ยวจะเป็นการมาเที่ยวที่จริงจังแบบนี้ แต่ถึงจะทำแบบนี้เป็นครั้งแรกก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเลย คงเป็นเพราะมีหมอกอยู่ด้วย
ไม่กี่นาทีต่อมาแท็กซี่ก็จอดลงที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง มันเป็นที่พักที่ค้นหาจากแอพพลิเคชั่นที่ไว้สำหรับจองที่พัก อันที่จริงไม่จำเป็นต้องมาหาที่พักแบบนี้ก็ได้ในเมื่อบ้านพักที่เป็นเจ้าของมันก็มีแต่แบมแบมก็เลือกที่จะให้หมอกเป็นคนตัดสินใจ บางทีหมอกเองก็คงอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ
.
.
.
‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณา.../ตื๊ดๆๆ..’
เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะย้ำคิดย้ำทำมันอยู่ทำไมในเมื่อกดโทรไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งปลายสายก็ยังคงเป็นแบบเดิม ม่านถอนหายใจไปพร้อมกับความรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เขารู้ดีว่ายัยหมูออกไปกับใคร แต่เวลานี้ก็ควรจะกลับมากันได้แล้วไม่ใช่เหรอ จะโมโหจะโกรธใครก็คงทำได้แค่โทษตัวเองเท่านั้นถึงแม้จะเกลียดความรู้สึกแบบนี้แค่ไหน ปลายนิ้วตัดสินใจเลื่อนลงมาหาอีกหนึ่งรายชื่อ ถ้าไม่จำเป็นเขาไม่อยากจะโทรไปเลยสักนิด เพราะรู้สึกเหมือนจะต้องเจ็บล่วงหน้าและจะต้องรับรู้สักอย่างที่บั่นทอน
“หมูอยู่กับมึงใช่ไหม?”
ม่านถามออกไปทันทีที่ปลายสายตอบรับ
“อืม...”
“แล้วอยู่ไหนกัน ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ”
“ทีมึงหายไปมึงยังไม่บอกใครเลย”
“มึงอย่าเพิ่งกวนตีนไอ้เหี้ยหมอก”
“กูไม่ได้กวนตีน” หมอกไม่ได้กำลังทำในสิ่งที่ถูกยัดเยียดให้จริงๆ เขาคิดว่าเขาใจเย็นที่สุดแล้ว
“มึงไม่ต้องห่วงเขาหรอก
กูไม่ได้แย่ขนาดที่จะดูแลใครไม่ได้...
ต่อให้ดูแลไม่ดีพอแต่อย่างน้อยไม่ทำให้เจ็บแบบที่มึงทำไว้”
*
“หมอก...ไปอาบน้ำได้แล้ว”
แบมแบมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่มีชีวิตชีวากว่าตอนเข้าไป แต่แย่หน่อยที่ต้องใส่เสื้อผ้าชุดเดิม หมอกเพิ่งวางโทรศัพท์ลงพอดี ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะถอดเสื้อออกอย่างลืมตัวจนลืมว่ายังมีอีกสายตายืนจับจ้องอยู่ แบมแบมเบือนหน้าหนีร่างที่เปลือยท่อนบนจนหมอกก็เพิ่งสัมผัสได้ว่าคงทำให้แบมแบมเขินหมอกเลยแกล้งทำทีจับผ้าขนหนูที่คนตัวเล็กใช้เช็ดผมอยู่คลุมปิดหน้าไว้ก่อนที่ตัวเองจะเดินยิ้มหายไปในห้องน้ำ
หมอกออกมาอีกทีก็พบว่ามีมื้อค่ำรออยู่แล้ว มันเป็นอาหารตามสั่งทั่วไปที่แบมแบมโทรไปสั่งจากทางรีสอร์ท จะว่าไปอาหารตามสั่งธรรมดามื้อนี้กลับทำให้หมอกเจริญอาหารกว่าที่เคยๆ สองคนพากันออกมานั่งกินมื้อค่ำกันนอกระเบียง ลมที่พัดกำลังดีทำให้มื้อนี้ไม่น่าเบื่อแถมยังมีเสียงของคลื่นที่กระทบฝั่งอยู่ใกล้ๆ ที่จริงมันทำให้แบมแบมคิดถึงตอนที่อยู่บ้านพัก คืนที่มีทั้งหมอกกับม่านและแบมแบมที่หลับไปก่อน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีอะไรแบบนี้อีกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ที่มีหมอกอยู่ด้วยมันก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ส่วนม่านก็คงอยู่ที่ไหนสักแห่งที่แบมแบมคงไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะม่านก็คงไม่ได้อยากให้รู้เหมือนกัน
“หมอก...ไฟตรงนั้นสวยมากเลย”
แบมแบมจูงมือเจ้าของชื่อที่เพิ่งเรียก ร่างบางวิ่งโต้ลมไปตามผืนทรายละเอียดเพียงเพราะว่าต้นมะพร้าวตรงนั้นมีไฟสวยๆประดับอยู่มากมายแถมยังมีเปลให้นั่งเล่นอีกด้วย ดูเหมือนว่าหมอกก็คงจะชอบอะไรแบบนี้เหมือนกัน เขานั่งลงไปบนเปลที่ขึงอยู่ระหว่างต้นมะพร้าวสองต้นที่มีไฟประดับก่อนจะคว้าเอวบางให้นั่งลงมาตาม แบมแบมไม่ได้ขัดขืนวงแขนที่กำลังสวมกอดตัวเองเอาไว้แถมไหล่แคบๆยังถูกใช้เป็นที่วางใบหน้าของคนด้านหลังอีกด้วย
“เราชอบตอนนี้...
เธอล่ะชอบหรือเปล่า”
หมายถึงทั้งบรรยากาศแล้วก็คน...
“ชอบสิ...เค้าชอบทะเลที่สุดเลย
แล้วก็รู้ด้วยว่าหมอกก็ชอบทะเลเหมือนกัน”
“อืม...รู้ใจเราดีนี่”
แต่แบมแบมตอบคำถามและเดาใจเขาถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว
“ไม่ใช่แค่ทะเลหรอกนะที่ชอบ...”
“…”
“…ชอบเธอด้วย...”
แบมแบมกำลังฟังเสียงที่กระซิบอยู่ข้างใบหู เจ้าของคำพูดใกล้ชิดกันจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นร้อนๆจากริมฝีปาก ใบหน้าหวานค่อยๆเอี้ยวตัวไปตามความรู้สึกและไม่นานตาคู่สวยก็ต้องหลับพริ้มเมื่อถูกรอรับโดยเรียวปากของคนด้านหลัง ลำพังประโยคล่าสุดก็ทำแบมแบมไม่เป็นตัวของตัวเองมากเกินพอแล้วแต่รสจูบตอนนี้มันพร้อมจะทำให้แบมแบมอ่อนยวบและถูกกลืนหายไปได้ทุกขณะ ลำคอแกร่งถูกโอบโดยคนที่นั่งอยู่บนตักปล่อยให้รสจูบมันเป็นไปในแบบของมัน
น่าแปลกที่การจูบครั้งนี้ในหัวทั้งสองมันมีแต่เรื่องของเราแค่สองคนจริงๆ อาจจะเพราะสถานที่ที่ไม่เคยมีความทรงจำอื่นๆมาเจือปนและทั้งคู่ก็เลือกแล้วว่าตอนนี้จะทิ้งความรู้สึกอื่นๆออกไป...ทิ้งไปให้มันเหลือแค่เราสองคนเท่านั้น
“ถามหน่อยสิ...
ที่ยอมให้จูบ...เพราะอยากจูบ
หรือเพราะไม่กล้าปฏิเสธ”
สองตาจดจ้องเมื่อริมฝีปากละออกจากกัน ไม่ใช่แค่แบมแบมหรอกที่ยากจะคาดเดาความคิดของหมอก แต่หมอกเองก็แทบจะเดาความคิดคนตรงหน้าไม่ถูก
“เข้าใจแล้ว”
“…”
“ที่ผ่านมาก็คงเป็นเพราะไม่กล้าปฏิเสธใช่ไหม” หมอกเว้นช่องว่างระหว่างประโยคอยู่ชั่วอึดใจ
“แต่เธอไม่ต้องกลัวว่าเราจะโกรธหรอก”
“ไม่ใช่แบบนั้น ที่เงียบไปก็เพราะเค้าอยากถามตัวเองเหมือนกัน…
แล้วจูบเมื่อกี้เค้าก็ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังถูกบังคับหรือคิดว่าต้องทำเพื่อเอาใจใคร”
“อืม..”
ประโยคเดียวก็เปลี่ยนสีหน้าของคนฟังไปได้ มุมปากแอบเผยรอยยิ้มจางๆที่พยายามควบคุมแต่ก็เก็บไว้ไม่ได้มิด มันยังทำให้หมอกสงสัยว่าเพราะอะไรคนๆเดียวถึงได้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเราได้มากมายมหาศาล
และมันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำให้รู้สึกแบบนี้ได้
ดอกไม้ก็ยังคงเป็นดอกไม้ของเขาเหมือนเดิม เขาควรเชื่อแบบนั้น
อีกด้านหนึ่ง
ถ้าหากว่าแยกออกเป็นสองฝั่งจากสามคน มันคงมีใครสักคนที่ต้องโดดเดี่ยว
ไม่ได้โดดเดี่ยวที่สภาพแวดล้อมแต่มันคือความรู้สึก
“มันคงไม่ใช่กูตั้งแต่แรกแล้วล่ะ
ที่ผ่านมากูก็เป็นได้แค่ตัวแทน เขาไม่ได้รักกูมาตั้งแต่แรกแล้ว
มันก็ถูกแล้วที่เขาจะต้องไปกับคนที่รู้สึก กูผิดเองที่ทำให้หมูตัดสินใจอะไรได้ยากขึ้น ถ้าวันนั้นไม่ใช่กูที่ทำแบบนั้น ถ้ากูไม่เริ่ม...หมูคงชัดเจนกับความรู้สึกตัวเองได้มากกว่านี้”
“มึงจะคิดแบบนี้ให้มันบั่นทอนตัวเองทำไมวะม่าน”
“เพราะกูไม่อยากหลอกตัวเองอีกแล้ว หลอกตัวเองว่าเขาก็รักกูเหมือนกับที่รักอีกคน”
“กูไม่รู้จะช่วยมึงยังไง เอางี้...
เดี๋ยวคืนนี้กูจัดให้เด็ดๆ”
ม่านส่ายหัวพลางยกแก้วในมือขึ้นมากระดก เสียงเพลงที่ดังในคลับไม่ได้ซึมซับเข้าสู่สมองของม่านเลย แจ็คสันรู้ดีว่าเพื่อนตัวเองกำลังอยู่ในภาวะที่ดิ่งขนาดไหน และคนที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ได้ก็มีอยู่แค่คนเดียว
“กูไม่มีอารมณ์ว่ะ ถ้ามึงอยากช่วยกู
ขอกูอยู่เงียบๆแบบนี้แหละ”
เจ้าของคลับค่อยๆพ่นลมหายใจก่อนจะยกมือขึ้นมาตบเบาๆที่ไหล่ของเพื่อนสนิท ถ้าเขาไม่รู้ว่าไอ้ม่านมันรักแบมแบมแค่ไหนแล้วใครจะรู้ หรือแม้แต่แบมแบมเองจะรับรู้ได้เท่าเขาหรือเปล่า
*
“หมอก...
ฝันดีนะ”
“อืม...ฝันดีนะ”
เป็นประโยคที่เขาอยากพูดกับคนตรงหน้าทุกคืน ไม่ใช่เฉพาะในคืนที่ฉกฉวยแย่งมาจากใครบางคน ทำไมแค่การบอกว่าฝันดีจะต้องใจเต้นแรงขนาดนี้ด้วย หมอกยังคงเฝ้ามองเปลือกตาที่ค่อยๆปิดลง เจ้าของใบหน้าที่หันมาทางเขาไม่รู้ว่าจะหลับไปจริงหรือว่าหลับลงไปเพียงแค่ดวงตา เขารอเวลาให้ผ่านไปสักพักจนลมหายใจของคนใกล้ๆเริ่มเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ใบหน้าเริ่มเฉียดเข้าหากันอีกครั้ง บนเตียงผืนนุ่มและแอร์ที่เย็นเฉียบหมอกสอดมือเข้าไปกระชับช่วงเอว ความมืดในห้องทำให้ใจของเขายิ่งเต้นถี่ขึ้น
ที่จริงก็อยู่ตรงกลางระหว่างความรู้สึกที่อยากจะข้ามเส้น
แต่ก็...
ไม่กล้าพอหรอก...
เขาทำได้แค่กอดร่างบางๆเอาไว้และเพียงแค่ทะนุถนอมมันเหมือนที่เคยเป็นมา
“ตื่นได้แล้วคนขี้เซา..”
“...”
“ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
ภาพแรกที่เห็นยังคงพร่ามัว ใบหน้าของแบมแบมกำลังยิ้มแย้ม
แบมแบมตอนนี้ไม่ต่างจากดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในยามเช้า เบ่งบานเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใจของเขายิ้มตาม
‘ที่จริงเธอน่ะสวยกว่าดวงอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นอีก…รู้ตัวบ้างไหม?’
ไม่ได้พูดออกไปแต่ร่างกายกำลังทำตามหัวใจโดยปล่อยให้แบมแบมชักจูงร่างของตัวเองอยู่ เช้าที่ตื่นมามีแบมแบมยิ้มให้มันเป็นเช้าที่สดชื่นกว่าเช้าไหนๆ
“อยากกลับหรือยัง?”
“หมอกอยากกลับแล้วเหรอ”
แบมแบมละสายตาจากดวงตะวันที่โผล่ขึ้นพ้นเส้นแบ่งระหว่างทะเลกับท้องฟ้า พอกันมาก็เห็นว่าหมอกกำลังส่ายหน้า
“เราไม่เคยอยากกลับไปที่นั่น ที่ๆทำให้มันรู้สึกว่าเราไม่เคยได้เป็นตัวเอง”
“หมอก...”
ที่จริงก็คงเป็นเพราะหมอกกดดันนั่นแหละ แบมแบมได้แต่ก้มหน้าและยอมรับฟัง
เพราะแบมแบมเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หมอกลำบากใจ
“ถามหน่อยสิ
ทำไมหมอกถึง...”
“...”
“ไม่อยากกลับไปเรียน”
แบมแบมรับรู้ได้ยินแค่เสียงเกลียวคลื่นในระหว่างที่ทั้งสองคนนั่งกอดเข่าอยู่บนผืนทราย มันคงเป็นคำถามที่หมอกไม่อยากจะตอบ
“ขอโทษนะ...
ไม่น่าถามเลย”
“ก็เพราะว่าถ้าเรียนจบ
เราก็จะไม่เหลือความเป็นตัวเองอีกแล้ว”
แต่เป็นครั้งแรกที่หมอกยอมปริปากออกมา แบมแบมไม่ค่อยเข้าใจในคำตอบนัก แต่ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอผ่านออกมาจากแววตาคู่นั้น
“คนที่บ้านนั้นไม่เคยถามว่าเราอยากเป็นอะไร...
แค่เพราะว่าเรียนได้ดีกว่า
.
.
.
คนไม่ตั้งใจเรียนก็แค่เรียนๆไปให้มันจบๆแล้วอยากเป็นอะไรก็ได้แบบนั้นเหรอ
แต่กับเรา...
เราไม่เคยได้เลือกเลยเธอ”
“หมอก...
ไม่เป็นไรนะ
เค้าไม่เคยรู้เลย”
ไม่เคยรู้เลยว่าหมอกจมอยู่กับความกดดันมากเท่านี้ มันอาจจะเป็นเหตุผลที่หมออกคิดว่าตัวเองไม่มีใครแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก เราชินแล้ว
ขอโทษเธอนะที่ทำให้เสียบรรยากาศ”
“หมอก...
ไม่ว่าหมอกจะเลือกอะไรเค้าจะอยู่ข้างๆนะ...
ม..หมายถึงว่าถ้าอยากให้อยู่”
มุมปากยกยิ้มจางๆพลางยื่นมือไปลูบหัวคนข้างๆ ปลายนิ้วเลื่อนลงมาจนถึงพวงแก้มใสๆ
“อย่าเพิ่งพูดอะไร ถ้ายังไม่รู้อนาคต
เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยความนุ่มเนียนไปมาระหว่างเปล่งเสียง เขาอยากจะโน้มตัวเข้าไปจูบอีกสักครั้งแต่ก็คิดว่าอย่าดีกว่า
“แต่ก็ขอบคุณเธอนะที่คิดจะอยู่ข้างๆ”
“…”
“เราไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าเราเป็นคนอ่อนแอ
อยากให้ที่คิดว่าจะอยู่ข้างๆกันเป็นเพราะว่าอยากอยู่กับเราจริงๆ ไม่ใช่เพราะความอ่อนแอของเรา”
“เข้าใจแล้ว
หมอกสบายใจได้เลย”
“อืม...สบายใจมากๆ
แต่อีกเดี๋ยวก็คงต้องพาเธอกลับ
ไม่อยากให้มีคนขาดใจตาย”
แบมแบมรู้ดีว่าสิ่งที่หมอกเพิ่งพูดน่ะหมายถึงอะไรหรือหมายถึงใคร
“ม่านอะเหรอ...
หึ..ป่านนี้กลับบ้านยังเถอะ”
“มันห่วงเธอนะ
แต่คงแสดงออกผิดวิธีไปหน่อย...”
ก็แบบนี้แหละ เรื่องของคนอื่นเรามองได้ทะลุปุโปร่งเลย
แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองมันกลับมืดไปหมด
เธอว่าไหม?...
.
.
.
ตอนนี้เปิดจองอยู่นะคะ แบบฟอร์มสำหรับจอง https://goo.gl/forms/I1boNS19qiHXW2Qp2
#untwins93
? cactus
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ดีใจมากเลยที่ไรท์มาต่อ สงสารหมอกจัง แต่เลือกยากจริง ๆ
หมอกกกกทีมหมอกอ่าาาา แต่มาทรงแล้วพระรองแน่ๆ ,_, ฮือจริงๆก็ชอบม่านนะแต่ถ้าเราเป็นแบมเราเลือกหมอกอ่ะชอบคนอ่อนโยน 5555555
หมอกกกกทีมหมอกอ่าาาา แต่มาทรงแล้วพระรองแน่ๆ ,_, ฮือจริงๆก็ชอบม่านนะแต่ถ้าเราเป็นแบมเราเลือกหมอกอ่ะชอบคนอ่อนโยน 5555555
แต่อิแม่ทีมพี่ม่านนะ