ตอนที่ 12 : 11
11
[BamBam’s Part]
“หมอกอยากไปไหนเหรอ?...”
ผมหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆหลังจากที่หมอกเป็นคนเรียกแท็กซี่จนพาผมขึ้นรถมาแต่ก็ยังไม่บอกว่าจะไปที่ไหน
“ไปห้างA”
หมอกไม่ได้บอกผมแต่บอกกับคนขับรถที่อยู่ข้างหน้าแทน ผมไม่กล้าถามอะไรต่อคิดว่าหมอกจะนิ่งไปแต่ไม่นานหมอกก็พิงศีรษะลงมาที่ไหล่
“ถ้าบอกให้เขาขับรถไปเรื่อยๆคงไม่ได้ใช่ไหม”
หมอกพูดทั้งๆที่สายตามองไปยังนอกกระจกอีกฝั่งแต่ไม่นานก็หลับตาลง หลังจากนั้นไม่นานผมก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสจากมือที่อยู่ใกล้ๆ
“เราไม่รู้หรอกว่าที่นี่มีอะไรให้ไปบ้าง ที่จำได้ก็มีแค่นี้” หมอกพูดทั้งที่ยังหลับตาและพิงไหล่ผมอยู่ มือของเราก็ยังจับกันไว้
“อื้อ...ไม่เป็นไร หมอกไปไหนเค้าก็ไปด้วยได้อยู่แล้ว”
“จริงเหรอ...ไปได้ทุกที่จริงๆเหรอ”
“อื้ม...”
“อย่ารับปากไปเรื่อยสิ ถ้าทำไม่ได้จริงๆเธอจะเป็นคนผิดสัญญานะ”
*
“หมอก ใกล้ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวเค้าไปซื้อน้ำกับขนมเอาไว้กินก่อนนะ”
ผมบอกหมอกที่นั่งอยู่ข้างๆ เรามานั่งรออยู่ที่หน้าโรงหนังกันได้สักพักหนึ่งแล้วหลังจากที่ตัดสินใจเลือกที่จะดูหนังกันเป็นอันดับแรก แต่พอผมลุกขึ้นหมอกก็ลุกขึ้นตาม
“หมอกรออยู่นี่ก็ได้ จะเอาอะไรมั้ยเดี๋ยวเค้าซื้อมาให้”
“ไปซื้อด้วยกันนี่แหละ”
หมอกเดินตามผมมาอย่างเงียบๆ รอผมสั่งน้ำแล้วก็ขนมที่คิดว่าหมอกน่าจะชอบเผื่อไปด้วยเพราะหมอกบอกว่าไม่เอาอะไร
“เสร็จแล้ว หมอกกินก่อนมั้ย?”
ผมยื่นแก้วน้ำอัดลมแก้วใหญ่ไปทางหมอก หมอกมองมันอยู่ไม่นานก็ก้มลงมาดูดน้ำจากหลอด
“กินน้ำพวกนี้มากๆไม่ดีนะ”
หมอกพูดหลังจากที่ตัวเองเพิ่งดูดน้ำอัดลมเข้าไป
“งื้อ...ก็นานๆกินทีไง ว่าเค้าแต่หมอกก็กินก่อนเค้าอีก”
“ก็ถ้าเราไม่กินเธอก็จะกินเยอะ”
“ดุเค้าอีกแล้ว...”
ผมแกล้งทำหน้างอใส่หมอกแต่หมอกก็ยังคงหน้านิ่ง หลังจากนั้นแก้วน้ำที่ผมถือรวมไปถึงป๊อปคอร์นถังใหญ่ก็ถูกหยิบไปเพื่อเปลี่ยนมือคนถือ
“ไม่เป็นไร เค้าถือเอง”
“ถือได้...เราเต็มใจ”
ถึงจะเป็นคำพูดสั้นๆแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมา คงจะเป็นเพราะหมอกใส่ใจอะไรเล็กๆน้อยๆ สำหรับคนที่ดูนิ่งๆเย็นชาไปหมดกับทุกคน แค่ถูกปฏิบัติแบบนี้มันก็รู้สึกพิเศษ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หมอกข้างๆกายผมจะเปลี่ยนอุณหภูมิไปอีก
เราพากันเข้ามาโรงหนังดูหนังกันอยู่เงียบๆ เป็นโชคดีที่โซนที่เรานั่งไม่มีคนอยู่รอบๆเลย แรกๆหมอกก็ดูเหมือนจะสนใจแต่หน้าจอและผมคิดว่าหมอกคงอยู่ในโลกส่วนตัวแล้วแต่ไม่นานก็รับรู้ได้ถึงความอุ่นของมือที่ค่อยๆกอบกุมผมไว้ ผมค่อยๆหันไปมองเจ้าของมือที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ก็เป็นผมคนเดียวที่หันไปมองเพราะสายตาของหมอกก็ยังคงโฟกัสอยู่ที่หน้าจอใหญ่ๆ
ครืดดดดดดดด~~
ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะแรงสั่นจากเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง มันอยู่ใกล้ๆกับตำแหน่งมือที่กำลังกุมอยู่เช่นกันและคิดว่าหมอกก็คงจะรู้ แต่หมอกก็ยังคงให้ความสนใจไปที่หน้าจอต่อ ในความรู้สึกของผมตอนนั้นผมคิดอยู่แค่คนเดียวว่าเป็นใครที่จะโทรเข้ามาตอนนี้ หนังที่ฉายอยู่บนจอไม่สามารถดึงดูดผมได้อีกต่อไป ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะดึงมือตัวเองออกมาเพื่อรับโทรศัพท์หรือปล่อยมันไว้อย่างนั้น...
แต่เหมือนจะลังเลนานเกินไปจนในที่สุดสัญญาณมันก็ขาดหาย เหมือนจะเงียบไปได้ไม่เท่าไหร่โทรศัพท์มันก็สั่นขึ้นมาอีก คราวนี้หมอกหันมามาหา ใบหน้าคมก้มต่ำมองลงมายังมือของตัวเองที่กำลังกุมมือผมไว้
“เดี๋ยวเค้าขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
สุดท้ายผมก็แพ้ความเป็นห่วงม่าน ผมรู้ว่ายังไงคนที่โทรมาก็ต้องเป็นม่าน แล้วก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ม่านจะไปในที่ๆผมไม่อยากให้ไปหรือเปล่า ผมไม่ได้มีความลับอะไรที่อยากจะปิดหมอกหรอกแต่ที่ขอไปเข้าห้องน้ำก็เพราะถ้ารับโทรศัพท์ในโรงหนังมันก็จะเสียมารยาท หลังจากที่ผมพูดจบหมอกก็ค่อยๆปล่อยมือก่อนจะหันหน้ากลับไปที่จอหนังต่อ
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงมันก็ยังสั่นตลอดเวลาจนกระทั่งพอออกจากโรงหนังได้ผมก็รีบกดรับ
“ฮัลโหลม่าน…”
“อยู่ไหน? แล้วทำอะไร...ทำไมเพิ่งรับ?”
ม่านต้องกำลังโกรธผมแน่ๆฟังจากน้ำเสียงตอนนี้
“หมูอยู่ในโรงหนัง...ก็เลยรับไม่ได้”
ที่จริงผมควรไม่พอใจม่านใช่ไหมที่ทิ้งเราสองคนไว้ที่ร้านแบบนั้น แล้วตอนนี้ม่านจะมาโกรธอะไร ผมถือสายเดินคุยจนไปจนถึงห้องน้ำก็เลยเข้าไปคุยในห้องน้ำเพราะข้างนอกเสียงมันค่อนข้างดัง
“แล้วม่านล่ะอยู่ไหน”
“หมูไม่ต้องสนใจหรอก งั้นก็ดูหนังต่อไปแล้วกัน จะทำอะไรก็ทำไปตอนนี้ไม่มีม่านขัดไม่ดีเหรอ”
“ม่านเดี๋ยว...”
ไม่ทันได้พูดจบม่านก็ตัดสายทิ้งไป ผมถอนหายใจออกมารอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน นั่งมองมือถือที่ดับไปแล้วในมืออยู่แบบนั้นร่วมนาที แต่พอนึกได้ว่ามีอีกคนที่รออยู่ก็รีบลุกขึ้นก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำออกไป แต่พอเปิดออกมากลับต้องชะงัก
“หมอก...”
ผมเรียกชื่อคนที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ตรงข้ามกับประตูห้องน้ำที่เพิ่งเปิดออก
“หมอกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?...”
แทนที่ผมจะได้ก้าวเดินออกไปแต่ปลายเท้ามันกลับต้องถดไปข้างหลังเมื่อร่างที่สูงกว่าก้าวเท้าเข้ามา พอเข้ามาได้หมอกก็ปิดประตูแล้วล็อคทันที
“ม...หมอก...”
ผมได้แต่เรียกชื่อและแหงนหน้ามองหมอก สีหน้าเรียบนิ่งสนิทนั้นกลับมาอีกแล้ว ผมคงจะทำให้หมอกไม่พอใจ
“ไม่ชอบ...”
“หมอกเป็นอะไร...”
“มันยากมากเลยเหรอ?...”
“....”
“เวลาที่อยู่กับเราแล้วคิดถึงแค่เราน่ะ...”
“...”
“ยากมากใช่มั้ย?”
ผมพลาดอีกแล้ว...ผมคงห่วงม่านเกินไปจนลืมคิดถึงความรู้สึกของคนที่อยู่ใกล้ๆ
“ขอโทษ...ถ้ามันทำให้เธออึดอัด”
“…”
“กลับบ้านกันก็ได้”
ผมไม่รู้จริงๆว่าควรจะพูดหรือไม่ควรพูดอะไรออกไป ไม่ได้อยากจะทำให้หมอกรู้สึกแบบนั้น และนี่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรก ผมกลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปมันจะยิ่งทำให้เราห่างกันออกไปอีก ผมกลัวว่าในที่สุดหมอกจะเย็นชาจนหายไป
เรานั่งแท็กซี่กลับมาด้วยกันเงียบๆ ปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้นสักนิด แต่หมอกก็ยังเป็นหมอกที่ผมยังเข้าไปไม่ถึงอยู่ดีๆ ถึงแม้ที่ผ่านมามันจะทำให้ผมรู้สึกว่าผมได้ก้าวเข้าไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะตัวหมอกเองหรือตัวผมที่เป็นคนผลักเราให้ออกจากกัน
เย็นวันนั้นผมไม่ได้ออกไปจากห้องตั้งแต่ที่กลับมาถึงบ้าน แม้แต่ข้าวเย็นก็ไม่ได้ลงไปกิน ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรโทรไปหาม่านดีไหมเพราะมันก็เริ่มดึกแล้ว ส่วนหมอกเองก็คงจะอยู่ในห้องของตัวเองแบบที่ผมเป็น ไม่รู้ว่าป่านนี้หมอกกำลังคิดอะไรอยู่...
ผมฟุ้งซ่านอยู่กับตัวเองจนตอนนี้มันดึกแล้วจริงๆ แล้วก็ทนกับความหิวไม่ไหว ก็เลยออกมาจากห้องเพื่อจะหานมอุ่นๆกิน ผมอุ่นนมไว้สองแก้วเพราะคิดว่าจะเอาขึ้นไปเผื่อใครสักคน ไม่รู้ว่าหมอกเองจะกินข้าวเย็นไปหรือยัง แต่พอได้ยินเสียงรถผมก็รีบวางแก้วที่อยู่ในมือลงก่อนจะวิ่งออกไป
แต่พอวิ่งออกไปถึงหน้าประตูก็เห็นม่านอยู่กับคนที่ทำให้ผมแทบไปไม่เป็น ผมอึ้งนิดหน่อยที่เห็นม่านกำลังถูกประคองโดยพี่ฌอห์ณ และดูเหมือนว่าม่านกำลังเมาด้วย
ทำไมพี่ฌอห์ณอยู่กับม่านได้ล่ะ...
ผมเก็บความสงสัยของตัวเองไว้ก่อนจะรวมความกล้าเดินไปตรงที่ม่านแล้วก็พี่ฌอห์ณกำลังเดินเข้ามา
“ดึกป่านนี้ยังมาเสนอหน้าอะไรอีก”
“ผมมาดูม่านครับ”
“แล้วไม่เห็นหรือไงว่าม่านเค้าอยากอยู่กับใคร”
พี่ฌอห์ณพูดเหมือนกับว่าม่านอยากอยู่กับพี่ฌอห์ณ
“หมูเหรอ...อึก...ยัยหมู”
[End BamBam’s Part]
ร่างสูงที่ถูกประคองดูเหมือนจะไม่มีสตินักเอ่ยเรียกหาชื่อที่คุ้นเคยเมื่อได้ยินเสียง ม่านค่อยๆลืมตาขึ้นหลังจากที่อีกคนช่วยประคองมาตั้งแต่ที่รถ
“ปล่อยดิวะ...”
ม่านสะบัดตัวจนมือของฌอห์ณหลุดออก ถึงแม้จะไม่ได้สติแต่เรี่ยวแรงยังเหลือจนฌอห์ณหน้าเสีย
“หึ...หมู มาก็ดีแล้ว”
พอลืมตาขึ้นมาเห็นก็รีบคว้าข้อมือเล็กทันที ร่างสูงที่ถึงจะเดินไม่ตรงนักแต่ก็พยายามพาร่างของอีกคนให้เดินขึ้นบันไดตามไปด้วย ทิ้งให้คนที่เป็นฝ่ายประคองมาแต่ทีแรกยืนมองอย่างหัวเสีย
“ม...ม่าน ทำไมเมาขนาดนี้ล่ะ”
แบมแบมถามคนที่ตัวเองคิดว่าเมาเต็มที่แล้วเมื่อพากันมาถึงห้อง ไม่ใช่ว่าม่านจะพายัยหมูกลับมาด้วยความสามารถของตัวเองทั้งหมดแต่เป็นยัยหมูเองที่ยินยอมตามมา ม่านปิดประตูและล็อคอย่างแน่นหนาทันที ไม่ได้สนใจคำถามของแบมแบมเลยสักนิด จับเจ้าของมือลากไปตามทางเดินจนถึงเป้าหมายนั่นคือเตียงนอน ไม่นานร่างเล็กก็ถูกผลักลงไปตามด้วยอีกร่างที่โถมเข้าหาไม่ห่าง ล็อคมือเล็กทั้งสองตรึงไว้กับเตียงผืนกว้าง จมูกโด่งกดลงที่แก้มนิ่มจนเจ้าของต้องเบือนหน้าหนี
ไม่รู้ว่าม่านจะจำได้บ้างหรือเปล่าว่ายัยหมูของเขานั้นไม่ชอบอยู่กับคนที่มีอาการมึนเมา จะเรียกว่าหวาดกลัวเลยก็ว่าได้
“ม...ม่าน จะทำอะไร หมูกลัว...”
“กลัวเหรอ...หึ...ม่านจะไม่ทำแรงก็แล้วกัน”
“ไม่เอานะม่าน...ไม่เอานะ...”
แบมแบมขอร้องด้วยเสียงสั่นเพราะรู้ว่าม่านคิดจะทำอะไร ลำพังม่านในโหมดปกติก็ไม่อยากจะให้เกิดเรื่องอย่างว่าขึ้นอยู่แล้ว แบมแบมได้แต่คิดภาพในหัวที่น่ากลัวไปต่างๆนานา
แต่ถึงจะห้ามก็ดูเหมือนว่าคำพูดต่างๆมันไม่ได้ซึมซับเข้าหัวของอีกคนเลย ปลายจมูกเริ่มเคลื่อนไปยังตำแหน่งต่างๆของเนื้อผิว ยิ่งได้สัมผัสความนุ่มและความหอมของผิวที่เพิ่งผ่านการทำความสะอาดมามันก็ยิ่งเร่งให้อารมณ์ของคนกระทำแผ่ซ่าน ปกติแบมแบมเป็นต้องคล้อยตามแต่นาทีนี้มันไม่ใช่...มันมีแต่ความหวาดระแวง
ก๊อกๆๆ
“ฮึก...”
มีแต่แบมแบมที่สะดุ้งเพราะเสียงเคาะที่ดังมาจากประตู
“ม่าน...ปล่อยก่อนฮึก...มีคนมา”
จริงๆมันเป็นโอกาสดีที่จะหลุดพ้นจากการถูกเอาเปรียบในตอนนี้ แต่ทว่า...
“มาก็ดี...แม่งจะได้รู้ไงว่าหมูเป็นของใคร...”
“ป...ปล่อยเถอะนะ”
“ร้องดังๆสิ...ฮึก...ร้องออกไปให้มันได้ยิน มันจะได้รู้ว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่”
แบมแบมส่ายหน้าพร้อมไปด้วยน้ำตาที่กลั้นไม่ไหว ปากอิ่มจากที่เคยเอ่ยขอร้องก็รีบขบเม้มเข้าหากัน เพราะถ้าคนที่มาเคาะเกิดเป็นคนในความคิด...แบมแบมคงรับไม่ได้เหมือนกันที่เขาจะต้องมารับรู้หรือเห็นอะไรแบบนี้
อีกด้านหนึ่ง...
หมอกไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าข้างในห้องมีอะไรเกิดขึ้น รู้แค่ว่าตอนนี้มันดึกมาแล้วและก็จำได้ขึ้นใจว่าแบมแบมไม่กล้านอนคนเดียว
มือหนายังคงพยายามเคาะประตูอยู่เป็นระยะ แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้
แบมแบมคงไม่อยากให้ใครเข้าไปกวนใจตอนนี้...โดยเฉพาะเขา
“ไม่ต้องเคาะให้เสียเวลาหรอก”
ร่างสูงค่อยๆหันไปตามต้นเสียง พอหันไปก็เห็นใบหน้าที่ไม่เคยอยู่ในสายตา ญาติห่างๆที่มาขออาศัยอยู่ถ้าไม่มีอะไรจำเป็นก็ไม่เคยคิดจะเสียเวลาให้ความสนใจ ฌอห์ณส่งรอยยิ้มที่หมอกรู้สึกว่าไม่มีความจริงใจเลยสักนิดมาให้ก่อนจะมายืนใกล้ๆ
“ผมรู้นะว่าพี่หมอกคิดยังไง แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่หมอกกับพี่ม่านต้องมาทะเลาะกันเพราะคนโลเลแบบนั้น”
“พูดอะไร?...”
ที่ถามไม่ใช่เพราะไม่รู้ความหมาย แต่มันไม่ใช่เรื่องของคนตรงหน้าเลยสักนิด
“ผมรู้ว่าพี่เข้าใจ เด็กคนนั้นน่ะอยู่ลับหลังพี่ก็จูงมืออีกคนเข้าห้องด้วยกัน เข้าไปมีความสุขกันแบบที่กำลังทำอยู่ตอนนี้”
“...”
“ผมไม่อยากให้พี่โดนปั่นหัวนะ ที่ผมพูดเพราะผมหวังดีจริงๆ” ฌอห์ณส่งสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงพลางส่งมือเข้าไปจับอีกมือระหว่างที่พูด
“และผมรู้ว่าผมพูดไปพี่คงจะไม่ชอบผม แต่ผมทนเห็นพี่โดนเด็กคนนั้นปั่นหัวไม่ไหวแล้ว”
“พูดจบหรือยัง?”
มีแต่น้ำเสียงและแววตาอันเฉยชาเท่านั้นที่หมอกมอบให้ฌอห์ณ ตาคู่เดิมที่เคยมองสีหน้าด้วยความเปล่าเหล่าหรุบต่ำมองมือที่ถือวิสาสะขึ้นมาแตะมือของตนเป็นสัญญาณให้ฌอห์ณต้องค่อยๆปล่อยมือออก
“พี่คงเกลียดผมแล้วจริงๆนั่นแหละ...
แต่สำหรับผม...ผมห่วงพี่จริงๆนะ...”
“ถ้าพี่ไม่มีใคร ผมอยากให้พี่คิดถึงผมบ้าง”
รอยยิ้มแฝงความเจียมตัวถูกถ่ายทอดพร้อมกับใบหน้าที่ก้มต่ำลง ฌอห์ณพูดแค่นั้นก่อนจะหันหลังและค่อยๆเดินออกไปจากบริเวณ มีแค่หมอกที่มองไปตามแผ่นหลังของร่างเพรียวสูงโปร่ง เขาไม่รู้หรอกว่าที่ฌอห์ณเข้ามาแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไร แต่คำพูดต่างๆที่ฌอห์ณทิ้งไว้ให้มันก็คอยรบกวนทุกโสตประสาท มือหนากำแน่นทำทีจะเคาะลงไปบนบานประตูแต่มันก็หยุดค้างไว้ชั่วขณะก่อนจะค่อยๆลดลงไปพร้อมกับลมหายใจที่ถูกพ่น
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันที่ดีของใครแต่คงไม่ใช่สำหรับแบมแบมนัก ไม่ใช่แค่เช้าวันนี้ แต่รวมไปถึงเมื่อคืนด้วย ม่านลืมตาขึ้นพร้อมกับสติที่กลับมาครบสมบูรณ์ ลืมมันขึ้นมาพร้อมๆกับเจ้าของร่างที่ตัวเองสวมกอด ร่องรอยบวมช้ำบนดวงตานั้นมันตอกย้ำได้ดีว่าเมื่อคืนเขาทำอะไรแย่ๆลงไปอีกแล้ว
“หมู...” ดวงตาใสไร้การเคลื่อนไหวถึงแม้จะยังลืมตาอยู่ แม้แต่ร่างกายก็ไม่ขยับเขยื้อนมันทำให้คนมองรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย
“หมู...โกรธม่านเหรอ”
“…”
“หมู...”
“หมูจะโกรธม่านทำไม”
ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่สีหน้าและแววตามันกำลังบอกว่ายัยหมูของเขายังไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม มันแน่อยู่แล้วกับสิ่งที่ทำไว้ ถ้าเป็นเหมือนปกติก็คงจะแปลกเกินไป
“หมูม่านขะ..”
“หมูไม่โกรธม่านหรอก ม่านจะทำอะไรก็ได้
ก็ร่างกายของหมูมันเป็นของม่านไง”
แม้แต่พูดอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่ยอมเงยขึ้นมามองหน้าสักนิด ถ้าเป็นในเวลาปกติเขาคงดีใจอยู่บ้างล่ะมั้งที่ได้ยินแบมแบมพูดประโยคแบบนี้
เขากำลังถูกประชดด้วยความเฉยชาอย่างที่สุดเท่าที่เคยมีมา
แต่แน่นอน....แน่นอนว่าเขาไม่มีสิทธิ์โกรธ คนทำผิดไม่มีสิทธิ์โกรธ
*
“ไปไหนกันหมด”
คำถามแรกเกิดขึ้นหลังจากที่ความเงียบกินเนื้อที่บริเวณรอบๆอยู่หลายนาที แม่บ้านจัดแจงวางทัพพีที่เพิ่งใช้ตักข้าวลงจานกลับไปไว้ในโถก่อนจะตอบคำถามเจ้าของใบหน้าเรียบสนิท
“คุณม่านเพิ่งลงมายกกับข้าวขึ้นไปที่ห้องค่ะ บอกว่าหนูแบมไม่ค่อยสบายลงมาไม่ไหว”
จากที่ว่างเปล่านัยน์ตากลับฉายแววหม่นลงแต่ก็แค่เพียงเสี้ยววิ
“ต้องทำกันขนาดไหนถึงลงมากินข้าวกินปลาไม่ไหว...” ตาคมชำเลืองไปยังเจ้าของเสียงที่โพล่งขึ้นมาคงจะลืมตัวว่ามีเขานั่งอยู่ตรงกันข้าม ฌอห์ณรีบเก็บอาการและเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาดูอ่อนโยนลง
“พูดอะไร...ให้เกียรติคนอื่นบ้าง”
“อ่ะ..อ้าวคุณหมอก...ไม่ทานแล้วเหรอคะ”
ป้านวลเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นหมอกลุกขึ้นจากเก้าอี้กะทันหันพร้อมกับหนังสือพิมพ์ที่เคยอยู่ในมือมันถูกพับก่อนจะวางลงไปบนโต๊ะ แม้ไม่ได้ถึงขั้นกระแทกลงไปแต่คนมองทั้งสองก็ดูออกว่าคนที่วางมันลงกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง หมอกไม่ได้หันกลับมาแม้แต่จะตอบคำถามจากแม่บ้าน นี่คงเป็นความแตกต่างถึงแม้หากสีผมของม่านและหมอกจะเหมือนกัน ทุกคนในบ้านสามารถแยกออกในความแตกต่างระหว่างม่านกับหมอกได้ไม่ยาก
“หมู...กินอะไรหน่อยนะ”
ม่านนั่งลงไปบนขอบเตียงหลังจากที่เพิ่งวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะแถวๆนั้น กลับขึ้นมาที่ห้องยัยหมูของเขาก็ยังนอนนิ่งไม่หือไม่อือ แบมแบมไม่เคยเป็นขนาดนี้ถึงจะเคยโกรธเคยงอนเขามากแค่ไหน แต่ความผิดมันคงเป็นของเขาคนเดียวทั้งหมด รู้ทั้งรู้ว่าแบมแบมไม่ชอบเข้าใกล้คนเมาจนถึงขั้นหวาดกลัว แต่เขาก็เป็นคนที่ยัดเยียดสิ่งนั้นให้กับแบมแบมซะเอง ซึ่งก็ยังไม่เคยหาวิธีรับมือกับอาการแบบนี้มาก่อน จะทำอย่างไรถ้าหากแบมแบมเกลียดเขา เขาทำตัวเองแท้ๆ จากที่ทำให้แบมแบมเอือมระอามาแล้วก่อนหน้าจนในที่สุดแบมแบมคงไม่คิดจะอยากมอง
“ถ้าหมูไม่อยากอยู่ใกล้ๆม่าน ม่านไปให้ก็ได้...”
“...”
“แต่หมูลุกขึ้นมากินอะไรให้ม่านเห็นก่อนได้ไหม...”
ม่านใช้มือลูบไปตามกลุ่มผมนุ่มสีอ่อนของคนที่นอนตะแคงหันหลังให้เขา ตอนแรกคิดว่าแบมแบมคงจะยังไม่ตอบอะไรออกมาแต่ก็ผิดคาด
“หมูไม่ค่อยหิว ม่านวางเอาไว้นั่นแหละ เดี๋ยวหมูกินเอง”
“หมูกินตอนที่มันยังร้อนๆดีกว่านะ ม่านให้ป้านวลทำโจ๊กมาให้”
แววตาใสที่เคยเหม่อลอยโฟกัสมายังคนที่นั่งอยู่เมื่อแบมแบมพลิกขึ้นมานอนหงาย ไม่นานก็ค่อยๆยันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นมาให้คนที่มองได้ใจชื้น
“ถ้าม่านอยากให้หมูกิน หมูก็จะกินเพราะมันเป็นคำสั่งของม่าน”
“หมู...”
แบมแบมไม่ได้สนแม้ว่าม่านกำลังเปิดปากจะพูดอะไร พาร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของตัวเองไปยังโต๊ะที่มีถาดอาหารวางอยู่ มันอยู่อีกมุมของห้องที่มีชุดโซฟาเล็กๆ
“เพราะหมูเป็นของม่าน...แบบที่ม่านบอก หมูเป็นของๆม่าน...หมู...”
“หยุดได้แล้วนะ”
เขามองแววตาที่หม่นอยู่ไม่แพ้กัน ยั้งมือที่จับช้อนในมือที่แบมแบมพยายามตักมันเข้าปากพร้อมกับพูดถ้อยคำเหล่านั้น ไม่รู้จะห้ามมือเล็กที่ตักข้าวเข้าปากทำไมในเมื่อมันเป็นสิ่งที่อยากให้แบมแบมทำ
“พอแล้วหมู...ม่านยอมแล้ว”
ช้อนที่อยู่ในมือถูกวางลงกลับไปในชาม แบมแบมกระพริบตาปริบๆมองลงไปในถ้วยที่มีโจ๊กร้อนๆอยู่ มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจะมองหรือให้ความสนใจจริงๆหรอก แต่ก็ดีกว่าตอนนี้ แบมแบมไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังรู้สึกยังไงกับคนข้างๆ แบมแบมไม่ได้เกลียด ไม่ได้โกรธแบบที่ม่านอาจจะเข้าใจ แค่รู้สึกว่าถูกขโมยความสดใสที่เคยมีมาด้วยกันออกไปจากใจก็เท่านั้น แต่เมื่อคืนแบมแบมก็ได้ผ่านความรู้สึกที่เคยกลัวมาทั้งหมด อาจเป็นเพราะมันเกิดจากคนตรงหน้าล่ะมั้งที่ทำให้แบมแบมยังไม่กลัวจนเสียสติหรือรู้สึกว่าตัวเองกำลังเจ็บเจียนตาย เพราะเป็นม่านไง...ม่านที่ยัยหมูรู้สึกว่าเขาเป็นแทบทุกอย่างในชีวิต เแต่ว่าลึกๆก็รู้สึกผิดที่ม่านไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตที่แบมแบมพึงระลึกว่ามีอยู่เพียงคนเดียว แบมแบมไม่รู้...ไม่รู้ว่าควรจะเดินต่อไปยังไงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ดี
“ม่านขอโทษ...หมูกลับมายิ้มให้ม่าน กลับมาหัวเราะกับม่านได้ไหม”
“หมูก็ไม่รู้เหมือนกัน...หมูเป็นอะไรไม่รู้...”
“หมู...
ไม่ต้องยิ้มให้ม่านก็ได้ ม่านยอมแล้วครับ...ม่านขอโทษ”
เขาดึงร่างบางๆที่อยู่ข้างๆเข้ามากอดด้วยความใจหาย มือก็ลูบไปตามกลุ่มผมและโอบรอบเอว มันรู้สึกเหมือนของรักกำลังหลุดลอยออกไปไกลจากเขาไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่รีบคว้ากลับคืนมามันอาจจะหายไปจากเขาตลอดไปเลยก็ได้ เขาต้องเอากลับคืนมาถึงแม้จะรู้ว่าของสิ่งนั้นอาจไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว เอากลับคืนมาไม่ว่าจะได้อยู่ในสถานะอะไร เขาเริ่มเข้าใจคำพูดของอีกคนที่มีใบหน้าเหมือนกัน ดอกไม้ที่ทั้งคู่พยายามปลูกขึ้นมา...เขานั่นแหละเป็นคนที่กำลังทำให้ดอกไม้ดอกนี้เหี่ยวเฉาลงไปคามือเสียเอง
กลุ่มควันสีขุ่นลอยโขมงไปทั่วบริเวณที่สองริมฝีปากเป็นตัวการพ่นมันออกมา หมอกคีบแท่งนิโคตินออกจากปากก่อนจะวางมือที่ยังคีบมันอยู่พักไว้บนระเบียง สายตามองไปยังคนข้างๆที่ยังจดจ่ออยู่กับกลุ่มควันที่ยังพ่นออกมาไม่หมดจากปาก
ที่จริงมันก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันมากนักหรอก แต่หมอกรู้สึกว่าอีกคนมีอะไรอยากจะพูดออกมามากมายซะเหลือเกิน
“แบมแบมไม่สบายเหรอ..”
เป็นหมอกเองที่เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมา ม่านได้ยินแต่ก็พ่นควันกลุ่มสุดท้ายก่อนจะพักศอกทั้งสองไว้บนขอบระเบียงและมองไปยังเบื้องหน้า เห็นแต่วิวภายในบ้านที่ชั้นล่างเป็นสระว่ายน้ำ ม่านพยักหน้าแทนคำตอบโดยที่ไม่ได้มองหน้าคนถาม
“เหมือนว่ากูจะเริ่มเข้าใจ...แต่กูก็ยังยอมรับไม่ได้”
หมอกตั้งใจฟังถึงแม้จะไม่ได้มองหน้าของแฝดตัวเองเลยก็ตาม เขาเองก็มองไปรอบๆบริเวณสลับไปกับการยกสิ่งที่คีบอยู่ขึ้นมาสูบ
“ไม่ใช่ว่ากูจะเข้าใจทุกอย่างที่มึงพูดออกมานะ”
เป็นหมอกที่ตอบกลับไปเมื่อบุหรี่ที่ถูกคีบกลับมาวางพักบนขอบระเบียงเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าม่านจะสื่อถึงประเด็นไหน เพราะมันมีหลายเรื่องเหลือเกินในหัว
“รู้แบบนี้กูน่าจะปล่อยให้เด็กคนนั้นนั่งร้องไห้อยู่ในห้องเก็บของคนเดียว
กูน่าจะปล่อยให้แบมแบมเดินตามก้นมึงคนเดียวเวลาไปไหนต่อไหน...
มันจะได้ไม่เป็นแบบนี้”
หมอกพอจะเข้าใจแล้วที่ม่านกำลังรู้สึก...เขาตั้งใจฟังอย่างเงียบๆไม่นานก็เริ่มเปิดปากบ้าง
“มันไม่ผิดหรอกที่เราจะช่วยกันปลูกดอกไม้...
มันผิดที่มึงเด็ดดอกไม้ต่างหาก...”
“อืม...ก็คงจะแบบนั้นด้วย”
น้ำเสียงที่ตอบกลับมามันก็ดูผ่อนคลายเหมือนเวลาที่คุยกันปกติแต่คำว่าเด็ดดอกไม้มันก็เสียดแทงใจ...รวมไปถึงเรื่องเมื่อคืนที่เขาซ้ำรอยเข้าไปอีก ความผิดตัวเองมันเท่าภูเขาและคงไม่มีอะไรมาลบให้หายไปได้อีกแล้ว มันคงเป็นตราบาปให้กับแบมแบมไปด้วยเหมือนกัน
“กูแม่ง...ก็เหี้ยจริงๆนั่นแหละ
กูแม่งทำตัวเป็นเจ้าของทั้งๆที่แม่ง...”
“อืม...จะพูดฆ่าตัวเองทำไม”
“ไม่เอาแล้วว่ะ...จริงๆก็ไม่ใช่นิสัยของกูมึงก็รู้ใช่ไหม”
หมอกเลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถามให้คนตรงหน้าที่บางทีก็ไม่ต่างจากเด็กในสายตาเขา เด็กที่ทำอะไรพลาดพลั้งไปแล้วก็ได้แต่เรียกให้เขามาช่วยแก้ไข แต่กับเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เขาควรมารับฟังจริงๆเหรอ เรื่องที่มันทำผิดกับหัวใจของเขาด้วย
“นิสัยมึงก็ต้องทำอะไรตามใจตัวเอง...ก็ถูกแล้ว”
“กูหมายถึงต่อไปนี้คงต้องปล่อย...”
“ทำไม?...”
“กูไม่อยากเสียเขาไป ไม่อยากเสียเด็กคนนั้นไปเลย”
“หึ...มึงก็ยังเหมือนเดิมจริงๆ”
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้ง แต่เป็นความเงียบที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกกดดันแบบที่ผ่านๆมาเท่าไหร่ ที่ว่าม่านยังเหมือนเดิมก็เพราะม่านเป็นคนที่กว่าจะรู้สึกว่าอะไรเป็นอะไรก็ต่อเมื่อทุกอย่างมันกำลังจะพังลงไปต่อหน้าต่อตา และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้มันพังเสียหายลงไปถึงขนาดที่จะกู้คืนได้ไหม
To Be Continued
#untwins93
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

;-;
ชอบหมอกนะ ที่รอจนกว่าแบมจะรู้ตัวว่ารักใคร รู้ว่าม่านก็รักแบมแต่ม่านรีบเกินไปใช้ความสัมพันธ์ทางกายผูกมัด จนตอนนี้มันทำให้เรื่องบานปลาย