ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #39 : ความเข้าใจ (ผิด)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 690
      3
      19 ธ.ค. 59

                    หมวดศรุตยืนเหม่อมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ จากท่าน้ำของวัดซึ่งเขาแวะเวียนมาหามารดาเป็นประจำหากไม่ติดขัดราชการ ส่วนเสี่ยนำชัยนั้นเขามิได้ละเลยเสียทีเดียวยังคงโทรศัพท์ติดต่อสอบถามจากคนงานเก่าแก่อยู่เป็นประจำ พลันหูของเขาก็แว่วได้ยินคล้ายเสียงคนเดินคุยกันใกล้เข้ามาซึ่งเขาคงจะไม่สนใจนักหากเสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยเหลือเกิน และก็เป็นจริงดังที่เขาคิดไว้เมื่อพิมพ์ชนกเดินเคียงข้างมากับบุรุษวัยกลางคนหน้าตาดีคนหนึ่ง และมีสตรีอีกสองนางเดินขนาบข้างมาพร้อมๆ กัน พวกเขากำลังเดินตรงมาทางที่ชายหนุ่มยืนอยู่พอดี

                    “นึกแล้วเชียวว่าคุณต้องอยู่ที่นี่” พิมพ์ชนกทักขึ้นก่อนที่ผู้หมวดหนุ่มจะทันได้นึกคำพูดออก ทำให้เขาได้แต่ยืนยิ้มเจื่อน มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที

                    “อ้อ  นี่คุณแม่ฉันค่ะ ส่วนนี่น้าธิดา” พิมพ์ชนกรีบแนะนำบุคคลที่พามาด้วยก่อนคล้องแขนของผู้ชายที่ยืนข้างๆ กับเธอ

                    “คนนี้คุณพ่อฉันเองค่ะ”

                    หมวดศรุตคิ้วกระตุกโดยไม่รู้ตัวและความโล่งใจได้กลับมาสู่เขาในทันทีที่หญิงสาวพูดจบ ก่อนเขาจะรีบยกมือไหว้ทุกคนเป็นพัลวันจนพิมพ์ชนกนึกขำกับท่าทางที่ดูไม่เหมือนหมวดศรุตคนเดิมเอาเสียเลย

                    หลังจากที่แนะนำตัวและพูดคุยถามไถ่กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่ชีรูปหนึ่งได้มารับตัวภารดีเดินแยกไปอีกทางหนึ่งซึ่งนางก็ตามไปด้วยท่าทีสงบ อภิวัฒน์และธิดามองตามด้วยความซาบซึ้งใจที่คนเคยใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนและไม่เคยฟังใครอย่างภารดีจะมีวันที่หันหน้าเข้าหาวัดได้ พิมพ์ชนกเองถึงกับน้ำตาคลอเลยทีเดียวหมวดศรุตบีบหลังมือเธอเบาๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาพร้อมจะอยู่ข้างเธอเสมอถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะยังไม่ทราบเรื่องราวแน่ชัดก็ตาม

                    “พ่อกับน้าธิดาเห็นทีจะต้องกลับกันเสียทีแล้วหละ ทางนู้นก็มีงานให้ทำอีกมาก ธิดาเองก็ลางานหลายวันไม่ได้เด็กๆ ใกล้จะสอบกันแล้ว หนูแน่ใจแล้วหรือที่จะขายบ้านหลังนั้น” อภิวัฒน์เอ่ยขึ้น

                    “ค่ะ คุณแม่เองท่านก็ต้องการอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อท่านตัดสินใจจะอยู่ที่นี่พิมพ์เองก็จะได้อยู่คอยดูแลท่านด้วย อีกอย่างบ้านหลังนั้นอาจจะทำให้คุณแม่รู้สึกแย่มากกว่าก็ได้ พิมพ์อาจจะซื้อบ้านไว้ที่นี่สักหลัง”

                    “ก็ดีแล้วหละลูก อย่างน้อยตอนนี้ทุกอย่างมันก็กำลังเป็นไปในทางที่ดีเรื่องเก่าที่แล้วมาแล้วก็อย่าเก็บเอามาคิดให้มันบั่นทอนจิตใจอีกเลย หนูควรจะใช้ชีวิตอย่างคนหนุ่มสาวคนอื่นบ้าง พ่ออยากเห็นลูกสาวของพ่อเป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดีอีกครั้งนะ” อภิวัฒน์เอื้อมมือไปโอบลูกสาวที่บัดนี้ไม่ใช่เด็กสาวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว พิมพ์ชนกเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเองและเชื่อมั่นในตัวเองสูง ดังนั้นสิ่งที่เขาเป็นห่วงคือความมั่นใจนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำลายความสุขในชีวิตของพิมพ์ชนกเสียเอง เฉกเช่นเดียวกับภารดีที่เพิ่งสำนึกได้ว่านางไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากคนที่รักและจริงใจอย่างคนในครอบครัว ทั้งที่ตลอดชีวิตนางไขว่คว้าหาความสุขจอมปลอมและเฝ้าหลอกตัวเองไปวันๆ ว่าสิ่งนั้นคือความสุขที่แท้จริงและไม่จำเป็นต้องร้องของ้องอนเอากับใคร

     

                    “คุณโอเคไหม” หมวดศรุตเอ่ยขึ้นหลังจากที่เฝ้ามองพิมพ์ชนกนั่งทอดสายตาไปกับธรรมชาติรอบตัวริมฝั่งน้ำซึ่งมีม้านั่งเรียงรายเป็นระยะ หญิงสาวหันกลับมามองสบตากับเขาก่อนยิ้มน้อยๆ

                    “คุณหละ”

                    “ผม..อะไร” เขาทำหน้าไม่เข้าใจ

                    “คุณเป็นอะไร หลายวันมานี้ฉันเห็นคุณทำท่าทางแปลกๆ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

                    “เปล๊า !” หมวดศรุตเลิกคิ้วทำเสียงสูงก่อนหันหน้าหนีไปอีกทาง เรื่องอะไรเขาต้องบอกว่าตัวเองหลงเข้าใจผิดเรื่องพิมพ์ชนกแอบนิยมคนสูงวัยแต่ที่ไหนได้ผู้ชายคนนั้นกลับเป็นพ่อของเธอ คิดแล้วก็น่าอายตัวเองเสียจริง

                    “ขอโทษทีฉันลืมไปว่าไม่ใช่ธุระที่คุณจะต้องบอกให้ฉันรู้” หญิงสาวยืดตัวตรงลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางไม่พอใจแม้จะพยายามข่มความรู้สึกนั้นไว้แล้วก็ตาม

                    “มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า” เขารีบบอกและลุกขึ้นบ้าง

                    “ผมหิวแล้วหละไปหาอะไรกินกันเถอะ” เขาชวนกินข้าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่วนคนที่ยังอารมณ์ขุ่นอยู่หาได้มีความคิดคล้อยตามด้วย

                    “เชิญคุณตามสบายเลยค่ะ ฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกัน” พิมพ์ชนกบอกเสียงเย็น

                    “ถ้าคุณกลับผมก็กลับด้วย”

                    “เอ๊ะ ! คุณนี่ยังไง เมื่อกี๊ยังบอกว่าหิวข้าวอยู่เลย”

                    “ก็คุณไม่ไปด้วยผมกินคนเดียวจะไปมีความหมายอะไรหละ” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้จนคุณหมอสาวต้องถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อตั้งหลักแต่ไม่วายเชิดหน้าเถียงกลับ

                    “ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยไม่ทราบ” พิมพ์ชนกเพิ่งตระหนักได้ว่าเธอพลาดอย่างแรงเมื่อโดนวงแขนแข็งแรงของหมวดศรุตรวบเอวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เธอรีบยกสองมือยันหน้าอกของเขาเอาไว้แต่กระนั้นระยะห่างระหว่างใบหน้าของทั้งสองก็เกือบไม่ถึงคืบดีด้วยซ้ำ

                    “เรา..” หมวดศรุตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขัดแต่สายตาที่ส่งมาหาคนในอ้อมแขนกลับสื่อความหมายได้มากกว่าแม้กระทั่งผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองอย่างพิมพ์ชนกก็ไม่อาจต้านทานได้จึงต้องแกล้งเบนสายตาไปอีกทาง

                    “คะ” หญิงสาวแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองเพราะดูเหมือนว่าเสียงหัวใจของเธอจะเต้นดังกว่าจนน่ากลัวว่าผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าเธอจะได้ยินมันด้วยเช่นกัน

                    “เรา..มาลองคบกันดูไหม” เขาเค้นคำพูดออกมาได้ในที่สุด

                    “ลองเหรอ” พิมพ์ชนกทำเสียงไม่แน่ใจ

                    “ไม่..คือ..เอ่อ..ผมหมายถึงเป็นแฟนกัน กินข้าวด้วยกัน โทรหากันก่อนนอน เอ่อ..ไปเที่ยวด้วยกันบ้างถ้าว่าง..หรือไม่ก็..” หมวดศรุตกลายเป็นคนพูดติดอ่างแต่รัวเร็วราวกับสมองของเขาขาดการเรียบเรียงถ้อยคำ

                    “ก็ได้..”

                    “ห๊า ! คุณว่าไงนะ” เขาอุทานอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

                    พิมพ์ชนกอาศัยจังหวะที่เขากำลังงุนงงหมุนตัวออกจากการเกาะกุมของคนตัวสูงอย่างง่ายดาย

                    “ฉันหิวข้าวแล้วรีบไปกันเถอะค่ะ” พูดเสร็จก็เดินตัวปลิวไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้หมวดศรุตยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่พักหนึ่งกว่าที่เขาจะตั้งสติได้และรีบกระโดดตัวลอยตามหลังแพทย์หญิงพิมพ์ชนกไปในทันที

     

                    ยุพาเก็บอุปกรณ์ของเธอกลับเข้ากระเป๋าพยาบาลขนาดกะทัดรัดอย่างคล่องแคล่วก่อนเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้กับคนป่วยของเธอ

                    “ที่จริงยุพาไม่น่าต้องลำบากมาทำแผลให้พี่ถึงนี่เลย โรงพยาบาลอยู่ใกล้แค่นี้เอง” ผู้กองภวินท์เปรยขึ้นขณะสวมเสื้อแบบมีกระดุมผ่าหน้ากลับเข้าที่ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ จนพยาบาลสาวต้องรีบปรี่เข้ามาช่วย

                    “ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรหรอกค่ะ พี่วินเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลไม่ดูแลกันตอนนี้จะให้ดูตอนไหนกันคะ”

                    ผู้กองหนุ่มทำสีหน้าลำบากใจก่อนเอ่ยถามหลังจากที่หญิงสาวติดกระดุมเสื้อของเขาเรียบร้อยแล้ว

                    “แล้วยุพาจะกลับมาอยู่บ้านเลยหรือเปล่า พี่ได้ยินว่าไปอยู่ทางใต้มาหลายปี” เขาเลี่ยงคำถามที่อยากรู้จริงๆ เอาไว้ด้วยกลัวว่าจะทำให้อีกคนต้องสะเทือนใจ รอยยิ้มของพยาบาลสาวมีแววหม่นเศร้าลงจากเดิม

                    “ไม่รู้สิคะ อาจจะแค่มาพักหรือไม่ก็อยู่เลย...พี่วินคงได้ยินเรื่องพี่ยุทธแล้วใช่ไหมคะ” ไม่มีรอยยิ้มหลงเหลืออยู่บนใบหน้าหวานนั้นอีกแล้วในตอนนี้ ภวินท์พยักหน้าแทนคำตอบ ยุพานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเริ่มพูดอีกครั้ง

                    “พี่ยุทธมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่แม้กระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิต” หญิงสาวพูดพร้อมกับรอยยิ้มขื่น เธอและยงยุทธเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันมาก เนื่องจากพวกเขาต้องตกอยู่ในสถานะเด็กกำพร้าด้วยอุบัติเหตุที่เป็นตัวพรากบุพการีทั้งสองไปพร้อมกันซึ่งในตอนนั้นยุพากำลังจะจบชั้นมัธยมปลายส่วนยงยุทธเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นเดียวกันกับผู้กองภวินท์

                    “ไอ้ยุทธเป็นคนจริงจังแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องความรักชาติต้องมาก่อนอย่างอื่นเสมอ ยุพาเองก็เหมือนกันมิใช่หรือน้อยนักน้อยหนาที่คนรุ่นใหม่อยากจะเริ่มชีวิตราชการในพื้นที่ทุรกันดารและเสี่ยงภัยอย่างนั้นได้”

                    “เราสองคนพี่น้องไม่มีใครให้ต้องห่วงอีกแล้วนี่คะ ตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่เสียไปเราก็มีกันอยู่แค่สองคน ดังนั้นพี่ยุทธอยู่ไหนยุพาก็ต้องอยู่ด้วย” ยุพากลืนก้อนแข็งๆ ลงคออยากยากเย็นเมื่อความเป็นจริงในวันนี้เธอไม่มีพี่ชายอยู่เคียงข้างอีกแล้ว หลังจากจัดการพิธีศพของพี่ชายเป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอจึงขอย้ายกลับมาที่โรงพยาบาลในตัวอำเภอซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตน แม้ว่าอุดมการณ์และไฟในการทำงานยังคงไม่มอดไหม้ตามผู้เป็นพี่ชายไปก็ตาม แต่เวลานี้เธอยังรู้สึกสับสนกับเรื่องราวในชีวิตของตนเองเหลือเกิน

                    “พี่ยินดีให้ความช่วยเหลือเสมอถ้ายุพาต้องการ การทำงานอยู่ในพื้นที่ปกติก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำประโยชน์ได้เท่ากับพื้นที่เสี่ยงภัยหรอกนะ สังคมทุกวันนี้ไม่ว่าที่ไหนก็หาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินได้ยากยิ่ง”

                    พยาบาลสาวยิ้มตอบขอบคุณเธอใช้ชีวิตอยู่มาได้ด้วยตนเองจนไม่เคยนึกว่าชีวิตนี้จำเป็นจะต้องพึ่งพาคนอื่นจนกระทั่งวันที่พี่ชายจากเธอไปแม้จะเป็นการจากไปในแบบที่พวกเธอได้เคยพูดคุยและเตรียมตัวเตรียมใจกันมาตลอดเวลาที่ทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างชายแดนภาคใต้ก็ตาม แต่หากเลือกได้คงไม่มีใครอยากจะสูญเสียคนที่ตนรักไปเป็นแน่และมันเป็นการสูญเสียที่ดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้นลงได้เลย และมันเกิดขึ้นได้ทุกวันทั้งที่เป็นข่าวทางหน้าจอโทรทัศน์หรือที่ไม่มีการนำเสนอข่าวก็มีอีกมากโข

                    “ขอบคุณพี่วินมากค่ะที่เป็นห่วง ตอนนี้พี่ยุทธไม่อยู่แล้วยุพาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ใจหนึ่งก็อยากกลับไปทำงานที่เดิมอยากทำตามความตั้งใจของพี่ยุทธให้ถึงที่สุด อีกใจก็แอบท้อเหมือนกันกับความพยายามที่ทำมาทั้งหมดแต่ผลที่ได้ตอบแทนคือความสูญเสียมันเคว้งคว้างบอกไม่ถูกเลยค่ะ ฮึ  น่าอายจังเลยนะคะที่คิดแบบนั้น”

                    “ทุกคนมีสิทธิ์คิดได้ทั้งนั้นแหละไม่ผิดหรอก แต่สุดท้ายแล้วหากเรายึดมั่นในอุดมการณ์และหน้าที่ความรับผิดชอบความเสียสละในวิชาชีพของเรา สิ่งนี้แหละที่จะทำให้เรามีแรงฮึดสู้ได้เสมอพี่เชื่ออย่างนั้นนะ” ผู้กองหนุ่มให้กำลังใจหญิงสาวผู้เปรียบเหมือนน้องของเขาเอง และเขายินดีจะทำหน้าที่พี่ชายแทนเพื่อนรักอย่างยงยุทธให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

                    ยุพากลับมายิ้มสู้อีกครั้งเมื่อได้ฟังถ้อยคำของผู้กองหนุ่มพร้อมกับมองตอบเขาด้วยแววตาที่สื่อความหมายลึกซึ้งหากผู้กองภวินท์จะสังเกตมันสักนิด

                    “อย่างนี้ใช่ไหมคะที่เขาเรียกว่าคุยกันถูกคอ พอได้คุยกับพี่วินแล้วทำให้ยุพารู้สึกเหมือนว่าพี่ยุทธยังไม่ได้จากไปไหน เฮ้อ บางทียุพาคงเกิดผิดที่เองพอกลับมาอยู่บ้านตัวเองแท้ๆ กลับยังนึกถึงผู้คนที่จากมาแม้แต่กับข้าวกับปลายังเหมือนไม่ชินเลยด้วยซ้ำ” ผู้กองภวินท์พลอยยิ้มขำไปกับคำพูดของเธอด้วย จังหวะนั้นเองนางอรทัยทันได้เห็นรอยยิ้มของสองหนุ่มสาวพอดีซึ่งนางเองก็นึกเอ็นดูพยาบาลสาวเป็นทุนเดิมแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

                    “เย็นมากแล้วอยู่ทานข้าวด้วยกันเสียเลยนะหนูยุพา อุตส่าห์มาดูแลตาวินตั้งหลายวันยังไม่ได้เลี้ยงข้าวตอบแทนสักมื้อ”

                    “ขอบคุณค่ะคุณป้า อย่าถือเป็นเรื่องที่ต้องเกรงใจกันเลยค่ะถ้ามีอะไรที่ยุพาพอช่วยได้หละก็ขอให้บอกได้เลย”

                    “เอ ไม่ทราบว่ามีใครเห็นโทรศัพท์ของผมบ้างหรือเปล่าครับ ดูเหมือนว่าผมจะลืมไปเลยตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล” ชายหนุ่มเพิ่งนึกออกว่าเขาขาดการติดต่อกับแม่กระต่ายน้อยมาหลายวันแล้ว

                    “ลองถามคุณย่าดูสิเผื่อท่านจะเห็น ตอนนี้ไปทานข้าวกันก่อนดีกว่านะ” นางอรทัยบอกพร้อมกับเดินนำหน้าออกไปก่อนปล่อยให้พยาบาลสาวเป็นผู้พยุงผู้กองหนุ่มตามหลังมา

     

                    เกือบสองสัปดาห์กับการฝึกอบรมในสถาบันเฉพาะซึ่งเป็นของกรมจัดขึ้นเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากรในหน่วยงาน รองรับข้าราชการที่จะเข้ามารับการอบรมในแต่ละรุ่นไม่ได้ขาด การได้เพิ่มเติมความรู้และกิจกรรมเสริมทำให้ปราณปรียาเพลิดเพลินไม่น้อย แต่ในช่วงเวลาพักในใจของเธอกลับกระหวัดนึกถึงใครคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ป่านนี้อาการบาดเจ็บของเขาคงหายดีแล้วกระมังและเธอยังนึกต่อว่าเขาจะมีอาการอย่างเช่นที่เธอเป็นอยู่นี้บ้างหรือไม่ ถ้าหากเขาจะนึกถึงเธอบ้างแล้วทำไมถึงได้เงียบหายไปเลยเช่นนี้เล่า เห็นทีคำพูดของนายแม่แห่งไร่ภูธรคงจะเป็นจริง เวลานี้ผู้กองภวินท์อาจจะค้นพบความจริงของหัวใจแล้วก็เป็นได้ ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้วว่าเขาต้องเลือกคนที่สำคัญกับเขาที่สุดและคนคนนั้นคงไม่ใช่เธออย่างแน่นอน

    พอนึกมาถึงตรงนี้ปราณปรียากลับรู้สึกหดหู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แทบไม่อยากจะลุกจากเตียงไปไหนเลยด้วยซ้ำ

                    สัปดาห์สุดท้ายของการฝึกอบรมปราณปรียาจึงใช้วันหยุดที่ได้รับกลับมานอนค้างที่บ้าน พอนางดวงฤทัยทราบว่าบุตรสาวจะมาค้างด้วยก็รีบส่งคนขับรถไปรับถึงที่โดยไม่ฟังคำคัดคานของปราณปรียาแม้แต่น้อย

                    “กินเยอะๆ ยายหนูของโปรดทั้งนั้นเลย พอยายพวงรู้ว่าเราจะมาเห็นเกณฑ์คนมาออกันอยู่เต็มครัวเชียว" นางดวงฤทัยยกความดีให้กับแม่นมที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ คุณหนูของนาง คุณประธานผู้เป็นบิดาได้แต่ส่งยิ้มอย่างรู้ความหมายกันกับบุตรชายคนโตอย่างปราณต์ เรื่องพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจต้องยกให้นางดวงฤทัยกับแม่นมคนสนิทอย่างยายพวง ยิ่งกับปราณปรียาแล้วยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมกันเลยทีเดียว

                    “แล้วจะกลับไปทำงานวันไหนหละยายหนู” คุณประธานเอ่ยถามขึ้นบ้างเมื่อทุกคนย้ายมานั่งที่ห้องนั่งเล่นหลังจากที่ก่อนหน้านั้นปล่อยให้ศรีภรรยาเป็นผู้ผูกขาดการสนทนาบนโต๊ะแต่เพียงผู้เดียว

                    “อีกหนึ่งอาทิตย์ค่ะ ป่านนี้ที่ห้องแถวคงรกน่าดู”

                    “ทำไมไม่มาค้างที่บ้านเราเสียเลยหละ ให้คนขับรถไปรับไปส่งก็ได้” นางดวงฤทัยเสนอความคิดเห็น

                    “ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนเช้าต้องตื่นแต่ตีห้ามาออกกำลังกาย ส่วนตอนเย็นก็มีกิจกรรมกลุ่มกว่าจะเลิกก็ดึกดื่น เทียวไปเทียวมาลำบากแย่เลยค่ะ”

                    “ตายแล้วอะไรจะเข้มงวดกันขนาดนั้น อย่างนี้ไม่เหนื่อยแย่เหรอลูก”

                    “เหนื่อยแต่ก็สนุกค่ะ” ปราณปรียายิ้มให้นางดวงฤทัยอย่างร่าเริงเหมือนอย่างเคย แต่ปราณต์กลับรู้สึกแปลกกับท่าทีของน้องสาวเพียงแต่เขานึกไม่ออกว่าความแปลกนี้คืออะไรกันแน่

     

                    ปราณปรียานั่งเหม่อมองสองข้างทางตั้งแต่ขึ้นนั่งประจำที่บนรถยนต์คันหรูข้างกันกับคุณชายจอมเนี้ยบเพื่อเดินทางกลับไปเริ่มงานตามปกติหลังจากเสร็จสิ้นหลักสูตรการฝึกอบรม ส่วนปราณต์มัวแต่ให้ความสนใจกับแบบแปลนรีสอร์ทแห่งใหม่ซึ่งเขาทุ่มเทกับมันมากแม้จะไม่ได้หวังผลทางธุรกิจเหมือนเช่นโครงการอื่นแต่เป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่งของเขามากกว่า เป็นนานกว่าปราณต์จะสังเกตถึงความผิดปกติของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าน้องสาวเพราะเมื่อนั่งรถทางไกลถ้าปราณปรียาไม่คุยจ้อก็เป็นอันหลับตลอดทาง

                     “พี่โต้งว่าอะไรนะคะ” ปราณปรียาหันมาทำหน้าเหรอหรา จึงได้รับรอยยิ้มเอ็นดูจากพี่ชายพร้อมกับมือเรียวยาวยื่นมาขยี้ผมน้องสาวเบาๆ

                    “มีอะไรในใจหรือเปล่าพี่เห็นเราแปลกๆ ตั้งแต่กลับบ้านคราวก่อนแล้ว”

                    “เรื่องงานนิดหน่อยค่ะ”

                    “เดี๋ยวนี้หัดเป็นเด็กโกหกเหรอเรา ฮึ” ปราณต์แกล้งเอ็ดไม่จริงจังนัก

                    “เปล่าสักหน่อย” ปราณปรียาทำแก้มป่องแล้วหันหน้าเข้าหากระจกรถเหมือนเดิม สักพักปราณต์ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ เขาได้แต่ชำเลืองมองก่อนเอนหลังกับเบาะและหลับตาลง

                    “ถ้าอยากเล่าเมื่อไหร่ค่อยบอกพี่ละกันนะ”  

                    มีเพียงความเงียบจากน้องสาวตอบกลับมา แต่ปราณต์รู้ดีว่าปราณปรียาสามารถจัดการกับความทุกข์ใจได้ด้วยตนเองแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เพียงแต่นางดวงฤทัยมักมองเห็นว่าเธอเป็นเด็กสาวที่บอบบางและต้องได้รับการปกป้องจากสิ่งรอบข้างที่อาจมีผลกระทบในด้านไม่ดีกับน้องสาวของเขามาโดยตลอด

                    ปราณปรียารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งหลังจากที่เผลอหลับไปนานสองนาน พอหันมองนอกกระจกจึงเห็นว่าพวกเธอเข้าสู่อาณาเขตจุดหมายปลายทางแล้ว รถยนต์ชะลอความเร็วเพื่อติดไฟแดงบริเวณสี่แยกกลางเมือง

                    “น้ำลายหกเลอะเสื้อพี่หมดเลย คงต้องแวะเปลี่ยนที่ปั๊มข้างหน้าแล้วหละ” ปราณต์ตำหนิน้องสาวพร้อมสั่งคนขับรถกลายๆ ด้วย ปราณปรียาสำรวจร่องรอยที่เธอสร้างไว้บนเสื้อเชิ้ตสีขาวบริเวณลาดไหล่ของปราณต์พร้อมกับทำหน้ายอมรับผิดก่อนรีบใช้หลังมือปาดเช็ดไปทั่วใบหน้าของตนเอง ด้วยกิริยาท่าทางแบบนั้นปราณต์จึงไม่สามารถโกรธได้ลงคอ

                   

                    ผู้กองภวินท์พร้อมกับเจ้าเข้มแวะหากาแฟทานที่ปั๊มน้ำมันซึ่งเป็นปั๊มที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอนี้ก็ว่าได้เพราะเป็นปั๊มที่เรียกได้ว่ามีสาขามากที่สุดในประเทศไทย เขาเพิ่งเสร็จจากธุระของตัวเองหลังจากที่ตามหาโทรศัพท์เป็นเวลานานแต่สุดท้ายเขาต้องตัดใจซื้อเครื่องใหม่เมื่อแน่ใจว่าคงไม่มีทางหาเจอ และเหตุที่ชายหนุ่มเพิ่งจะมีเวลาจัดการเรื่องนี้เนื่องจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาคอยเป็นธุระช่วยเหลือยุพาทั้งเรื่องที่พักอาศัยรวมไปถึงการจัดการทรัพย์สินมรดกซึ่งในตอนแรกดูเหมือนจะไม่จบง่ายๆ เมื่อทางญาติพี่น้องของยุพาไม่ต้องการให้เธอและพี่ชายเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อีกทั้งหญิงสาวอยู่ในฐานะคนหัวเดียวกระเทียมลีบเขาจึงต้องทำหน้าที่แทนยงยุทธเพื่อนรักให้ถึงที่สุดและต้องอาศัยบารมีผู้หลักผู้ใหญ่อย่างแม่อวนช่วยออกหน้าอีกแรงในที่สุดยุพาจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมาหนึ่งแปลงซึ่งเป็นส่วนที่บิดาของเธอต้องได้รับอยู่แล้ว

                    “อ้าว ! พี่วินมีธุระแถวนี้หรือคะ” หญิงสาวในเครื่องแบบสีขาวทักขึ้นขณะที่ผู้กองหนุ่มกำลังจะสั่งเครื่องดื่ม ทั้งสองจึงได้ที่นั่งรอตรงระเบียงด้านหน้าร้านซึ่งเหลืออยู่ที่เดียวพอดี

                    “นี่ยุพากำลังจะเข้าเวรหรือเปล่า” เขาถามขณะเหลือบตาดูนาฬิกาที่ข้อมือของตนซึ่งเป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น

                    “ค่ะ เลยต้องมาหาเครื่องดื่มชูกำลังสักหน่อย”

                    “สั่งเค้กด้วยไหมจะได้อยู่ท้องเดี๋ยวมื้อนี้พี่เป็นเจ้ามือเอง” ผู้กองภวินท์เสนอด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเพราะหลายเรื่องที่หญิงสาวต้องแบกรับทำให้เธอดูซูบลงไปมาก

                    “ถ้าอย่างนั้นยุพาไม่เกรงใจนะคะ แต่ว่าพี่วินต้องกินเป็นเพื่อนด้วย ยุพาไม่อยากอ้วนคนเดียวค่ะ” พยาบาลสาวพูดติดตลกพร้อมรอยยิ้มที่สดใสและดวงตาเป็นประกาย

                    “ก็ได้” ชายหนุ่มตอบออกไปทั้งที่ไม่แน่ใจนักเพราะเขากับขนมหวานสไตล์ฝรั่งมังค่าไม่ใคร่จะถูกกันนัก

     

                    “ไม่ลงจริงๆ เหรอเรา ไม่เมื่อยก้นบ้างหรือไง” ปราณต์เอ่ยกับน้องสาวก่อนที่เขาจะลงจากรถเพื่อเปลี่ยนเสื้ออย่างที่บอกแต่แรกและจัดการธุระส่วนตัวหลังจากนั่งรถเป็นระยะทางไกลแม้ว่าคมเพชรจะบึ่งมาด้วยความเร็วไม่น้อย

                    “ม่าย พี่โต้งไปเถอะ”

                    “ถ้าอยากได้อะไรก็บอกเพชรแล้วกันนะ” เขาขี้เกียจเซ้าซี้ต่อจึงตัดบทไปที่เลขาส่วนตัวซึ่งเป็นทั้งพนักงานขับรถด้วย

                    “พี่เพชรลงไปทำธุระตามสบายเลยนะคะต่ายไม่อยากได้อะไรหรอกค่ะ” ปราณปรียาหันไปบอกเลขาหนุ่มของพี่ชายด้วยความเกรงใจ

                    “รอเจ้านายกลับมาก่อนแล้วผมค่อยไปดีกว่าครับ” คมเพชรตอบกลับอย่างสุภาพและไม่มีท่าทีเดือดร้อนใดๆ ปราณปรียาได้แต่ย่นจมูกด้วยความหมั่นไส้ความเนี้ยบของเจ้านายกับลูกน้องคู่นี้เสียเหลือเกิน อยากรู้นักว่าถ้าเกิดท้องเสียขึ้นมาเขาจะอดทนรอจนพี่ชายของเธอกลับมาได้หรือไม่ ปราณปรียาแอบยิ้มขำให้กับความคิดของตนก่อนหันมองรถราและผู้คนที่ทยอยกันเข้าออกในบริเวณนั้น

                    พลันสายตาของหญิงสาวก็สะดุดเข้ากับชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังนั่งดื่มกาแฟและดูเหมือนฝ่ายหญิงพยายามคะยั้นคะยอให้ฝ่ายชายกินขนมเค้กที่เธอกำลังจะป้อนเขาอยู่และในที่สุดเขาก็อ้าปากงับมันเข้าไปแม้จะทำหน้าตาเหมือนกินบอระเพ็ดอยู่ก็ตาม

                    “ผู้กอง !” ปราณปรียาหลุดเสียงอุทานออกมาขณะที่ไม่อาจละสายตาจากภาพตรงหน้าได้ราวกับเวลาได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น หากแต่ระบบภายในร่างกายของเธอกลับทำงานอย่างหนักตรงข้ามกับร่างกายที่ชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า

                    ยุพาหัวเราะคิกคักอย่างพอใจที่ได้เห็นสีหน้าพะอืดพะอมของผู้กองภวินท์ และดูเหมือนชายหนุ่มจะหลับตาตอนที่อ้าปากงับเค้กคำนั้นเข้าไปจึงมีครีมติดอยู่ที่มุมปากของเขา

                    “อยู่นิ่งๆ ก่อนค่ะ” พยาบาลสาวบอกก่อนหยิบกระดาษทิชชูเช็ดที่มุมปากของผู้กองหนุ่มอย่างเบามือและภวินท์เพิ่งได้สังเกตถึงความผิดปกติของยุพาจากเลือดฝาดบนใบหน้าของเธอตอนนี้เอง

                    “ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่เช็ดเอง” เขารีบผงะถอยห่างและรีบดึงกระดาษในกล่องมาเช็ดปากอย่างรวดเร็วสะเปะสะปะ ยุพามีแววตาหม่นลงและรีบชักมือกลับ เธอรู้ซึ้งดีเสมอว่าสิ่งที่ผู้กองภวินท์ทำให้เพียงเพราะว่าเธอคือน้องสาวของยงยุทธเท่านั้น และแต่ไหนแต่ไรมาชายหนุ่มก็ไม่เคยแสดงออกกับเธอมากกว่าที่พี่ชายคนหนึ่งพึงปฏิบัติต่อน้องสาวเลย ยุพาลอบถอนหายใจให้กับตนเอง เห็นจะจริงดังคำพูดที่ว่าความรักเป็นเรื่องที่บังคับหรือออกแบบกันไม่ได้

                    ในขณะที่หญิงสาวอีกคนกลับเข้าใจตรงกันข้ามกับพยาบาลสาว เมื่อภาพที่เธอเห็นสอดคล้องกับเรื่องราวที่เธอได้รับฟังมาจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายแม่แห่งไร่ภูธร เรื่องราวดูจะมีเค้าของความเป็นจริงเธอคือคนที่มาทีหลังและผู้กองภวินท์เพียงแค่เหงาและหวั่นไหวตามประสาผู้ชายทั่วไปเท่านั้นเอง ปราณปรียากุมหน้าอกข้างซ้ายแน่นเพื่อบรรเทาความปวดร้าวและวูบโหวง หากไม่เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้าเธออาจคิดว่าตัวเองกำลังป่วยด้วยโรคหัวใจก็เป็นได้

    ########################################

    ขอบคุณทุกท่านที่ยังอุตส่าห์ติดตามกันมานะคะ

    และกราบขออภัยสำหรับความล่าช้าด้วยคร่า....................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×