คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #38 : แผนร้ายของนายแม่
หมวดศรุตเดินลากเท้าอย่างเหนื่อยล้าเพื่อกลับไปพักผ่อนยังห้องของเขาหลังจากที่เข้ารายงานสรุปผลการจับกุมเมื่อวันก่อนก็เป็นอันหมดหน้าที่ในส่วนของเขาแล้ว
ถือเป็นโชคดีของดาบเรืองที่กำนันสุริยาไม่ได้ซัดทอดมาถึงจึงมีโอกาสได้แก้ตัวซึ่งดาบเรืองคงไม่กล้าทำผิดอีกเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
ชายหนุ่มต้องหยุดชะงักเมื่อมีใครบางคนยืนขวางหน้าอยู่
“เมื่อเช้าไม่เห็นคุณที่ร้านน้ำเต้าหู
ฉันก็เลยแวะเอาโจ๊กมาให้ค่ะ” พิมพ์ชนกยื่นถุงส่งให้ หมวดศรุตมองด้วยสายตาหม่นหมอง
“คุณออกเวรแล้วเหรอครับ”
เขารับถุงมาและถามกลับ
“เปล่าค่ะ
วันนี้มีเวรเช้าเพิ่งแวะไปดูผู้กองมาอาการดีขึ้นมากแล้วคงเพราะได้พยาบาลดีอีกสองสามวันก็กลับบ้านได้
แต่ฉันว่าท่าทางคุณดูไม่ดีเลยนะไปตรวจร่างกายหน่อยดีไหม”
“ผมมีไข้นิดหน่อยเท่านั้นเอง
ไม่ต้องไปตรวจอย่างที่คุณว่าหรอก แล้วก็ขอบคุณสำหรับโจ๊กนี่ด้วย”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะที่จริงฉันกะว่าจะเอาไปให้น้องกระต่าย
แต่พอดีว่าเธอทานข้าวเช้าแล้วมันก็เลยตกมาถึงคุณนี่ไง” พิมพ์ชนกโกหกคำโตโดยไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายมีอาการเช่นไร
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณอยู่ดี”
เขาฝืนยิ้มก่อนขอตัวกลับไปพักผ่อนอย่างที่ตั้งใจแต่แรก
พิมพ์ชนกรู้สึกแปลกใจกับท่าทีเหินห่างของหมวดศรุตเหลือเกิน
และเธอเองไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับท่าทางเฉยชาของเขาด้วย
ผู้กองภวินท์หยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านเป็นรอบที่สามพร้อมกับเฝ้ามองนาฬิกาข้างฝาห้องซึ่งดูเหมือนว่าวันนี้มันจะเดินช้ากว่าที่ควรจะเป็น
‘เช้านี้มีงานด่วน
ตอนเที่ยงจะแวะมาหานะคะ’ นั่นคือข้อความที่เขาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งตอนนี้
เสียงเคาะประตูช่วยดึงความสนใจของเขาได้มากทีเดียว
“ยาก่อนอาหารค่ะ”
พยาบาลวัยกลางคนส่งยิ้มให้ก่อนเข้ามาช่วยปรับเตียงให้ผู้กองหนุ่มสามารถนั่งในท่าที่เหมาะสมและช่วยประคองอีกทีเพราะเขายังขยับตัวมากไม่ได้
ขณะที่เขาทานยาเรียบร้อยผู้กำกับจักรวาลก็โผล่หน้าเข้ามาพอดี
“เป็นไงเรา
ดูท่าจะหายดีแล้วมั้ง”
ผู้กองภวินท์ได้แต่อมยิ้มแทนคำตอบ
“อ้าว
เข้ามาได้แล้วสาวๆ”
สิ้นคำผู้กำกับชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วมุ่นนี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่เขามีคนแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนมากมายทั้งที่เขาไม่ได้ส่งข่าวให้ใครทราบด้วยซ้ำ
และแต่ละคนที่มาก็สร้างความแปลกใจให้เขาอย่างที่สุด
แม่อวนเดินนำเข้ามาเป็นคนแรกตามมาด้วยคุณนวลอนงค์
ดาวประกายและคนสุดท้ายเป็นคนที่ทำให้เขาต้องครางออกมาอย่างนึกไม่ถึง
“แม่...”
แม่อวนนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงส่วนคนอื่นๆ
นั่งตามอัธยาศัยที่โซฟาตัวยาวไม่ไกลกันนัก ดาวประกายจัดแจงนำขนมนมเนยผลไม้ของเยี่ยมไปจัดใส่จานอีกฝั่งหนึ่งของห้อง
“ถ้าแม่อรไม่แวะมา
ย่าก็คงไม่รู้ว่าหลานชายคนเดียวเที่ยวมานอนหยอดน้ำเกลืออยู่ที่นี่”
แม่อวนเหน็บหลานชายตัวดีเข้าให้
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากนี่ครับ”
เขาตอบพร้อมกับไอสองสามครั้งจนต้องใช้มือกดแผลไม่ให้กระเทือน
“เบาๆ ตาวิน เจ็บแผลแย่”
คุณนวลอนงค์รีบปรี่มาที่ข้างเตียงอีกคนด้วยความเป็นห่วงหลานชาย
ส่วนนางอรทัยแม้จะเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่าคนอื่นแต่ก็ยังรักษาท่าทีโดยการนั่งเงียบๆ
เช่นเดิม
“แผลแค่นี้ไกลหัวใจน่าคุณ
เจ้าวินมันหนังเหนียวตายยากหลายครั้งหลายคราวหนักกว่าครั้งนี้ยังรอดมาได้เลยนับประสาอะไรกับแค่กระสุนเฉี่ยวไตไปนิดเดียว”
ผู้กำกับยังพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยไม่หยุดเพราะอดไม่ได้ที่จะต้องสั่งสอนหลานชายเสียบ้าง
เมื่อเหตุการณ์เช่นที่เกิดกับผู้กองภวินท์นี้มิใช่ครั้งแรกที่เขามักจะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือคนอื่น
ผู้กองหนุ่มได้แต่ทำหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่รับรู้
“นึกว่าตัวเองเป็นคนเหล็กหรือยังไงนะ”
นางอรทัยเสริมขึ้นอีกคน
“นี่เรามาเยี่ยมตาวินนะคะ
อย่าเพิ่งมาพูดอะไรกันตอนนี้เลยค่ะ”
คุณนวลอนงค์ปรามสองพี่น้องที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
หลังจากนั้นทั้งสองก็เงียบไปปล่อยให้แม่อวนและนวลอนงค์เป็นผู้ซักถามอาการจากคนป่วยแทน
เวลาประมาณเที่ยงเกือบสิบนาทีห้องพิเศษแห่งนี้ก็ต้องรับแขกเพิ่มขึ้นมาอีกจนห้องที่เล็กอยู่แล้วดูเล็กลงถนัดตา
เมื่อปราณปรียา สายสมร
และสารวัตรอาเขตซึ่งรายหลังมาโดยมิได้นัดหมายก้าวเข้ามาในห้อง ปราณปรียาเองไม่นึกว่าครอบครัวของผู้กองหนุ่มจะทราบข่าวเพราะเขาเองก็เคยบอกว่าไม่อยากให้ใครต้องเป็นห่วง
แต่พอเห็นทุกคนมากันพร้อมหน้าเธอกลับรู้สึกผิดที่ไม่ได้แจ้งให้ใครทราบโดยเฉพาะสายตาที่มองมาอย่างตำหนิของนายแม่แห่งไร่ภูธร
“สวัสดีค่ะ หมอนได้ยินว่าผู้กองถูกยิงแต่เพิ่งจะมีโอกาสได้มาเยี่ยมวันนี้เองไม่นึกว่าจะประจวบเหมาะพอดีกันอย่างนี้”
“เราก็กลับกันเถอะตาวินจะได้ทานข้าว
อ้อ หนูกระต่ายยายฝากซุปไก่ด้วยนะให้ตาวินทานเยอะๆ จะได้แข็งแรง”
แม่อวนถางทางไว้รอท่าและไม่ได้ขอความเห็นจากใคร
แม้ว่าสีหน้าของนางอรทัยจะไม่ใคร่เห็นด้วยนักก็ตาม ปราณปรียาได้แต่ขานรับในลำคอพร้อมกับทำหน้าปั้นยาก
“แม่อรจะกลับเลยหรือเปล่าพี่จะได้ไปส่ง
หรือจะอยู่รอดูอาการเจ้าวินก่อนจะได้ให้เจ้าอรุณเอาเสื้อผ้ามาส่งให้”
ท่านผู้กำกับหันไปถามน้องสาวที่ยังคงนั่งนิ่ง
“อรจะค้างกับแม่อวนค่ะคุยกันไว้เมื่อเช้านี้
ไม่ได้เจอกันเสียหลายปีมีเรื่องต้องคุยกันเยอะแยะเลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้พยาบาลส่วนตัวรับช่วงต่อแล้วกันนะ”
ผู้กำกับไม่วายเอ่ยแซวเพราะรู้เรื่องราวของหลานชายดี
คราวนี้คนป่วยมีหน้ายิ้มแย้มขึ้นมาบ้าง
ไม่นานคนที่มาก่อนก็ทะยอยกันกลับคงเหลือแต่ผู้มาใหม่สามคน
สองสาวแยกกันไปจัดสำรับอาหารสำหรับคนเยี่ยมเพราะวางแผนว่าจะซื้อมาทานที่นี่เป็นการประหยัดเวลา
สารวัตรอาเขตจึงได้โอกาสเข้ามาคุยกับผู้กองภวินท์เป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น
“ขอบใจนะผู้กอง
ที่อุตส่าห์บังกระสุนแทนผม”
แม้เขาจะพูดอย่างเก้อเขินแต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงใจและเป็นคำพูดที่สารวัตรหนุ่มเตรียมเอาไว้แล้ว
“มันเป็นหน้าที่ครับ
ถึงแม้ว่าเป็นคนอื่นผมก็ต้องทำแบบนั้นอยู่ดี”
“คุณนี่บ้ากว่าที่ผมคิดซะอีก”
“ผมถือว่าเป็นคำชมนะครับ”
ผู้กองภวินท์ยิ้มกวน สารวัตรอาเขตได้แต่หัวเราะตามมุขตลกของคนป่วย
ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเริ่มมองเห็นอีกด้านหนึ่งของผู้กองหนุ่มซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ในแง่ร้าย
บางทีถ้าไม่มีเรื่องหัวใจมาเกี่ยวข้องทั้งสองอาจจะเข้ากันได้ดีในด้านของการทำงานก็เป็นได้
“อะฮึ่ม ! แต่หัวใจกับหน้าที่มันคนละเรื่องกันนะผู้กอง”
สารวัตรอาเขตทำหน้าท้าทายแต่ไม่ใคร่จะจริงจังนักถึงกระนั้นคนป่วยยังนึกอยากหายซะเดี๋ยวนั้นเลย
นางอรทัยยืนมองรูปถ่ายที่ถูกอัดกรอบและวางเรียงรายอยู่ภายในตู้กระจก
ในหลายภาพนั้นส่วนใหญ่จะเป็นรูปวิวัฒนาการของผู้กองภวินท์ตั้งแต่ครั้งยังเล็ก
ไล่เรียงมากระทั่งจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย
ซึ่งปัจจุบันเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากในรูปเท่าใดนัก
อีกภาพข้างกันเป็นภาพครอบครัวเมื่อครั้งที่ยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันพ่อแม่ลูกและแม่อวน
นางอรทัยได้แต่ทอดถอนหายใจกับความหลัง
“นอนไม่หลับหรือแม่อร”
แม่อวนถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ยืนเหม่อมองภาพถ่ายที่นางย้ายมาไว้ในห้องของผู้กองภวินท์จากเดิมที่เคยอยู่ในห้องรับแขก
แม้ว่าเจ้าของห้องแทบจะไม่ได้มาค้างที่นี่เลยก็ตาม
“ค่ะ
ไม่ได้มาเสียนานเลยแปลกที่มังคะ” นางอรทัยเลี่ยงตอบไปอีกทาง
“ดูตาวินสิเหมือนพ่อไม่มีผิด แต่เรื่องนิสัยออกจะเด็ดเดี่ยวเหมือนแม่อรเสียมากกว่า”
“หรือคะ
บางทีเขาอาจจะชอบความทันสมัย สะดวกสบายเหมือนภาคภูมิก็ได้
คุณแม่ไม่เห็นเด็กกระต่ายนั่นหรือคะดูท่าจะเป็นลูกคุณหนูหยิบจับอะไรเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้
ตาวินเองก็ทำท่าพออกพอใจจนออกนอกหน้า” นางอรทัยทำน้ำเสียงไม่ใคร่จะชอบใจนัก
“พูดยังกับเป็นแม่ผัวใจร้ายเลยนะแม่อร
หรือว่าแม่เองก็เคยทำให้เธอรู้สึกอย่างนั้นมาก่อน”
“เปล่านะคะ
คุณแม่เมตตาอรที่สุดแล้วค่ะ” นางอรทัยรีบปฏิเสธด้วยกลัวแม่อวนจะน้อยใจ
“แล้วแม่อรรู้จักนิสัยใจคอหนูกระต่ายดีแล้วหรือถึงได้คิดว่าแกไม่เหมาะกับตาวิน”
แม่อวนลองเชิงลูกสะใภ้ว่าจะคิดเห็นเช่นไร
“ความแตกต่างยังไงหละคะที่จะทำให้สองคนนั้นไปด้วยกันไม่ได้เมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจริงๆ”
“ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่หรอกนะแม่อร
ถึงแม้ว่าจะไม่แตกต่างกันก็ใช่ว่าจะอยู่กันตลอดรอดฝั่ง
ชีวิตคู่มีหลายองค์ประกอบที่จะเป็นตัวกำหนดว่าคนสองคนจะเดินด้วยกันจนสุดทางไหม
แต่ก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับ การปรับตัวเข้าหากันและต้นทุนความรักที่ทั้งสองมีให้กันว่าจะมากพอให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันได้”
แม่อวนอธิบายอย่างมีเหตุมีผล
“อรกับภาคภูมิก็รักกันมาก รักกันมาเป็นสิบปีนั่นยังไม่มากพอที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้เลย
อรไม่อยากเห็นลูกต้องผิดหวังเหมือนอรนี่คะ”
“ตาวินเข้มแข็งกว่าที่แม่อรคิดมากนะ
ไม่อย่างนั้นคงไม่ย้ายกลับมาที่นี่ทั้งที่รู้ว่าแม่ของเขายังคงเฉยชาด้วย
แต่แม่อรรู้ไหมว่าตาวินไม่เคยคิดโกรธหรือโทษใครเลยนอกจากตัวเขาเอง
และเขามีความหวังเสมอว่าแม่ของเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เห็นไหมว่าตาวินมีภูมิคุ้มกันที่ดีและแม่เชื่อว่าเขาสามารถรับมือกับทุกเรื่องได้”
นางอรทัยได้แต่สะท้านในอกกับสิ่งที่แม่อวนบอกซึ่งนางเองไม่เคยมองเห็นความจริงข้อนี้มาก่อน
เพราะทิฐิและความทระนงของนางเอง
“ความสุขของคนเป็นแม่ก็คือการได้เห็นลูกมีความสุขมิใช่หรือ”
แม่อวนกล่าวทิ้งท้ายก่อนกลับไปพักผ่อนยังห้องของตน โดยปล่อยให้นางอรทัยครุ่นคิดต่อไปเพียงลำพัง
อาการของผู้กองภวินท์เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับและเมื่อได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลเขาก็ถูกผู้อาวุโสบังคับกลายๆ
ให้มาพักอยู่ด้วยกันที่บ้านโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธเลยด้วยซ้ำ
ส่วนปราณปรียาเองก็แทบจะไม่มีเวลาได้แวะเวียนมาหาชายหนุ่มเลยเนื่องด้วยความจำเป็นเรื่องงานซึ่งอีกไม่กี่วันเธอต้องเดินทางไปอบรมที่กรุงเทพฯ
จึงต้องเคลียร์งานให้เสร็จ แต่ก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีในการได้กลับไปเยี่ยมบ้านอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามก่อนออกเดินทางปราณปรียาคิดได้ว่าเธอควรจะต้องแวะไปบอกกล่าวแก่ผู้กองภวินท์ให้รู้เสียก่อน
“ตาวินเพิ่งจะนอนพักไปเมื่อครู่นี้เอง”
นั่นคือคำตอบจากนางดวงฤทัยเมื่อปราณปรียาแวะเวียนไปในเย็นวันก่อนเดินทาง
“ค่ะ
แล้วแผลของผู้กองดีขึ้นหรือยังคะ” ปราณปรียาทำหน้าเสียดาย
“ก็ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้วหละ
ได้หนูยุพาเทียวมาล้างแผลให้ทั้งเช้าทั้งเย็นแถมยังหอบหิ้วของบำรุงร่างกายมาด้วยไม่หายคราวนี้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร”
นางดวงฤทัยพูดด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ
แต่แอบชำเลืองมองปฏิกิริยาของหญิงสาวตรงหน้าซึ่งผลก็ไม่ต่างจากที่นางคาดไว้
“อ๋อ..ค่ะ
ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวลากลับเลยแล้วกันนะคะ” ปราณปรียายกมือไหว้
“ถ้าไม่เป็นการรบกวน ฉันขอคุยด้วยสักครู่ได้ไหม” นางอรทัยรีบเอ่ยถามพร้อมกับชี้ชวนปราณปรียาไปที่ศาลาหกเหลี่ยม หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจนักกับท่าทีของนายแม่เธออดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
“หนูรู้สึกยังไงกับตาวิน”
นายแม่ยิงคำถามทันทีที่หญิงสาวนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
และด้วยคำถามตรงไปตรงมาทำให้ปราณปรียาถึงกับใบ้กิน
“ว่ายังไงหละ” น้ำเสียงคนพูดมีแววคาดคั้นอยู่ในที
ปราณปรียาทำหน้าราวกับจะกลั้นใจตายเสียตรงนั้นให้ได้
เธอจะกล้าตอบความรู้สึกออกไปได้อย่างไรในเมื่อแม้แต่ผู้กองภวินท์เองก็ยังไม่เคยเอ่ยปากบอกความรู้สึกของเขากับเธอสักครั้ง
แม้ว่าตอนนี้ปราณปรียาเองจะรู้จักหัวใจของเธอดีแล้วก็ตาม
“เอ่อ..ผู้กองเป็นคนดีทีเดียวค่ะ” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบ
นางอรทัยจ้องมองกิริยาของคนตรงหน้าเขม็งและคำตอบของหญิงสาวชี้ให้เห็นว่าได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
“ตาวินเป็นอย่างนี้เสมอ เขามักเป็นห่วงและหวังดีกับทุกคนจนบางทีก็ไม่ได้ห่วงตัวเองด้วยซ้ำ
ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละที่เจ็บตัวหลายครั้งหลายคราวก็เพราะมัวแต่เป็นห่วงคนอื่น”
“ค่ะ” ปราณปรียาพยักหน้าเห็นด้วย
“ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นเขาสนิทกับผู้หญิงคนไหนนอกจากหนูยุพา
สองคนนั้นรู้จักกันมานานหลายปีความสัมพันธ์ของพวกเขาใครๆ ก็ดูออกว่าไม่ธรรมดาเลย
แต่เพราะหน้าที่การงานทำให้ทั้งสองต้องไกลกันพอได้เห็นพวกเขาวันนี้แล้วฉันก็อดนึกไม่ได้ว่าเวลาไม่ใช่อุปสรรคสำหรับพวกเขาเลย”
นางอรทัยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยคล้ายกำลังเล่าเรื่องลมฟ้าอากาศ
ปราณปรียาได้แต่นั่งนิ่งราวกับคนไม่หายใจด้วยซ้ำ
“บางทีความเหงาอาจทำให้คนเราหวั่นไหวได้
นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายอยู่แล้วซึ่งไม่เหมือนกับผู้หญิงเราถ้าลองได้ปักใจกับใครแล้วก็ยากจะเปลี่ยนแปลง
หนูเห็นแววตาที่หนูยุพามองตาวินไหม ผู้หญิงด้วยกันน่าจะมองกันออกนะ”
นางอรทัยจ้องเอาคำตอบจากคู่สนทนา
“ค่ะ” ปราณปรียากลั้นใจตอบออกไป
เธอภาวนาให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์แสนอึดอัดนี่เสียที
“ฉันอยากให้หนูลองทบทวนดูให้ดีว่าที่ผ่านมาระหว่างหนูกับตาวินมันคืออะไรกันแน่
ก็อย่างที่บอกนั่นแหละผู้ชายหนะมักหวั่นไหวง่าย หนูเป็นคนฉลาดน่าจะเข้าใจได้ง่ายนะว่าตาวินเขาจะเลือกคนที่ผูกพันกันมานานหรือคนพี่เพิ่งรู้จักกัน
ฉันเข้าใจว่าตอนนี้หนูคงกำลังสนุกกับประสบการณ์ทำงานในต่างจังหวัดแต่เชื่อเถอะไม่นานหนูจะรู้สึกเบื่อและอยากกลับไปหาสังคมที่คุ้นเคย
คนเรามักจะนึกถึงบ้านเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต หนูเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”
ปราณปรียาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตัวเองแม้จะนึกคัดค้านคำกล่าวหาของนายแม่อยู่ครามครัน
“ค่ะ”
แม้จะเป็นคำตอบสั้นๆ แต่ก็ทำให้นางอรทัยยิ้มอย่างพอใจ
ขณะที่ปราณปรียาขยับตัวลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวลาโดยไม่ลืมยกมือไหว้
“อย่าได้คิดว่าฉันเป็นผู้ใหญ่ที่คอยมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของหนุ่มสาวเลยนะ
ฉันไม่อยากให้ใครต้องถลำลึกลงไปมากกว่านี้อีก
เพราะเมื่อเวลาที่ต้องพลัดพรากจากกันมาถึงมันมักจะทิ้งบาดแผลไว้กับเราเสมอ
หนูยุพาเขาน่าสงสารขาดพ่อขาดแม่แล้วยังมาเสียพี่ชายเพียงคนเดียวไปอีก
ตอนนี้คนเดียวที่หวังพึ่งก็คงจะเป็นตาวินนี่หละ เฮ้อ..”
นางอรทัยทำสีหน้าเศร้าลงเมื่อกล่าวถึงหญิงสาวอีกคน ปราณปรียาฝืนยิ้มอย่างยากลำบากก่อนจะรวบรวมสติที่เหลืออยู่สั่งงานให้ขาออกก้าวเดินไปตามทิศทางที่ควรจะเป็นโดยอัตโนมัติ
แม่อวนเงยหน้าจากการทำห่อหมกเมื่อเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ
“แม่อรแน่ใจว่าทำถูกแล้วหรือ”
นางอรทัยชะงักกับคำถามของผู้อาวุโส
แต่หาได้สะทกสะท้านไม่เพราะนางเชื่อว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปย่อมจะส่งผลดีต่อบุคคลที่นางรัก
“อรรู้ดีว่าตาวินจะต้องมีความสุขกับสิ่งที่อรทำให้”
“ความสุขหรือ.. เหมือนที่เขาเคยได้รับจากแม่อรมาตลอดอย่างนั้นใช่ไหม”
แม่อวนประชดประชันลูกสะใภ้ก่อนก้มหน้าทำงานของตนต่อ
ความคิดเห็น