ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #38 : แผนร้ายของนายแม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 736
      4
      7 ธ.ค. 59

    ว๊าก..............งานยุ่งมากมาย ขออภัยจริงๆ ค่า





                    หมวดศรุตเดินลากเท้าอย่างเหนื่อยล้าเพื่อกลับไปพักผ่อนยังห้องของเขาหลังจากที่เข้ารายงานสรุปผลการจับกุมเมื่อวันก่อนก็เป็นอันหมดหน้าที่ในส่วนของเขาแล้ว ถือเป็นโชคดีของดาบเรืองที่กำนันสุริยาไม่ได้ซัดทอดมาถึงจึงมีโอกาสได้แก้ตัวซึ่งดาบเรืองคงไม่กล้าทำผิดอีกเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ชายหนุ่มต้องหยุดชะงักเมื่อมีใครบางคนยืนขวางหน้าอยู่

                    “เมื่อเช้าไม่เห็นคุณที่ร้านน้ำเต้าหู ฉันก็เลยแวะเอาโจ๊กมาให้ค่ะ” พิมพ์ชนกยื่นถุงส่งให้ หมวดศรุตมองด้วยสายตาหม่นหมอง

                    “คุณออกเวรแล้วเหรอครับ” เขารับถุงมาและถามกลับ

                    “เปล่าค่ะ วันนี้มีเวรเช้าเพิ่งแวะไปดูผู้กองมาอาการดีขึ้นมากแล้วคงเพราะได้พยาบาลดีอีกสองสามวันก็กลับบ้านได้ แต่ฉันว่าท่าทางคุณดูไม่ดีเลยนะไปตรวจร่างกายหน่อยดีไหม”

                    “ผมมีไข้นิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปตรวจอย่างที่คุณว่าหรอก แล้วก็ขอบคุณสำหรับโจ๊กนี่ด้วย”

                    “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะที่จริงฉันกะว่าจะเอาไปให้น้องกระต่าย แต่พอดีว่าเธอทานข้าวเช้าแล้วมันก็เลยตกมาถึงคุณนี่ไง” พิมพ์ชนกโกหกคำโตโดยไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายมีอาการเช่นไร

                    “ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณอยู่ดี” เขาฝืนยิ้มก่อนขอตัวกลับไปพักผ่อนอย่างที่ตั้งใจแต่แรก พิมพ์ชนกรู้สึกแปลกใจกับท่าทีเหินห่างของหมวดศรุตเหลือเกิน และเธอเองไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับท่าทางเฉยชาของเขาด้วย

     

                    ผู้กองภวินท์หยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านเป็นรอบที่สามพร้อมกับเฝ้ามองนาฬิกาข้างฝาห้องซึ่งดูเหมือนว่าวันนี้มันจะเดินช้ากว่าที่ควรจะเป็น

                    เช้านี้มีงานด่วน ตอนเที่ยงจะแวะมาหานะคะนั่นคือข้อความที่เขาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งตอนนี้ เสียงเคาะประตูช่วยดึงความสนใจของเขาได้มากทีเดียว

                    “ยาก่อนอาหารค่ะ” พยาบาลวัยกลางคนส่งยิ้มให้ก่อนเข้ามาช่วยปรับเตียงให้ผู้กองหนุ่มสามารถนั่งในท่าที่เหมาะสมและช่วยประคองอีกทีเพราะเขายังขยับตัวมากไม่ได้ ขณะที่เขาทานยาเรียบร้อยผู้กำกับจักรวาลก็โผล่หน้าเข้ามาพอดี

                    “เป็นไงเรา ดูท่าจะหายดีแล้วมั้ง”

                    ผู้กองภวินท์ได้แต่อมยิ้มแทนคำตอบ

                    “อ้าว เข้ามาได้แล้วสาวๆ” สิ้นคำผู้กำกับชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วมุ่นนี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่เขามีคนแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนมากมายทั้งที่เขาไม่ได้ส่งข่าวให้ใครทราบด้วยซ้ำ และแต่ละคนที่มาก็สร้างความแปลกใจให้เขาอย่างที่สุด

                    แม่อวนเดินนำเข้ามาเป็นคนแรกตามมาด้วยคุณนวลอนงค์ ดาวประกายและคนสุดท้ายเป็นคนที่ทำให้เขาต้องครางออกมาอย่างนึกไม่ถึง

                    “แม่...”

                    แม่อวนนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงส่วนคนอื่นๆ นั่งตามอัธยาศัยที่โซฟาตัวยาวไม่ไกลกันนัก ดาวประกายจัดแจงนำขนมนมเนยผลไม้ของเยี่ยมไปจัดใส่จานอีกฝั่งหนึ่งของห้อง

                    “ถ้าแม่อรไม่แวะมา ย่าก็คงไม่รู้ว่าหลานชายคนเดียวเที่ยวมานอนหยอดน้ำเกลืออยู่ที่นี่” แม่อวนเหน็บหลานชายตัวดีเข้าให้

                    “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากนี่ครับ” เขาตอบพร้อมกับไอสองสามครั้งจนต้องใช้มือกดแผลไม่ให้กระเทือน

                    “เบาๆ ตาวิน เจ็บแผลแย่” คุณนวลอนงค์รีบปรี่มาที่ข้างเตียงอีกคนด้วยความเป็นห่วงหลานชาย ส่วนนางอรทัยแม้จะเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่าคนอื่นแต่ก็ยังรักษาท่าทีโดยการนั่งเงียบๆ เช่นเดิม

                    “แผลแค่นี้ไกลหัวใจน่าคุณ เจ้าวินมันหนังเหนียวตายยากหลายครั้งหลายคราวหนักกว่าครั้งนี้ยังรอดมาได้เลยนับประสาอะไรกับแค่กระสุนเฉี่ยวไตไปนิดเดียว” ผู้กำกับยังพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยไม่หยุดเพราะอดไม่ได้ที่จะต้องสั่งสอนหลานชายเสียบ้าง เมื่อเหตุการณ์เช่นที่เกิดกับผู้กองภวินท์นี้มิใช่ครั้งแรกที่เขามักจะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ผู้กองหนุ่มได้แต่ทำหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่รับรู้

                    “นึกว่าตัวเองเป็นคนเหล็กหรือยังไงนะ” นางอรทัยเสริมขึ้นอีกคน

                    “นี่เรามาเยี่ยมตาวินนะคะ อย่าเพิ่งมาพูดอะไรกันตอนนี้เลยค่ะ” คุณนวลอนงค์ปรามสองพี่น้องที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หลังจากนั้นทั้งสองก็เงียบไปปล่อยให้แม่อวนและนวลอนงค์เป็นผู้ซักถามอาการจากคนป่วยแทน

                    เวลาประมาณเที่ยงเกือบสิบนาทีห้องพิเศษแห่งนี้ก็ต้องรับแขกเพิ่มขึ้นมาอีกจนห้องที่เล็กอยู่แล้วดูเล็กลงถนัดตา เมื่อปราณปรียา สายสมร และสารวัตรอาเขตซึ่งรายหลังมาโดยมิได้นัดหมายก้าวเข้ามาในห้อง ปราณปรียาเองไม่นึกว่าครอบครัวของผู้กองหนุ่มจะทราบข่าวเพราะเขาเองก็เคยบอกว่าไม่อยากให้ใครต้องเป็นห่วง แต่พอเห็นทุกคนมากันพร้อมหน้าเธอกลับรู้สึกผิดที่ไม่ได้แจ้งให้ใครทราบโดยเฉพาะสายตาที่มองมาอย่างตำหนิของนายแม่แห่งไร่ภูธร

                    “สวัสดีค่ะ หมอนได้ยินว่าผู้กองถูกยิงแต่เพิ่งจะมีโอกาสได้มาเยี่ยมวันนี้เองไม่นึกว่าจะประจวบเหมาะพอดีกันอย่างนี้”

                    “เราก็กลับกันเถอะตาวินจะได้ทานข้าว อ้อ หนูกระต่ายยายฝากซุปไก่ด้วยนะให้ตาวินทานเยอะๆ จะได้แข็งแรง” แม่อวนถางทางไว้รอท่าและไม่ได้ขอความเห็นจากใคร แม้ว่าสีหน้าของนางอรทัยจะไม่ใคร่เห็นด้วยนักก็ตาม ปราณปรียาได้แต่ขานรับในลำคอพร้อมกับทำหน้าปั้นยาก

                    “แม่อรจะกลับเลยหรือเปล่าพี่จะได้ไปส่ง หรือจะอยู่รอดูอาการเจ้าวินก่อนจะได้ให้เจ้าอรุณเอาเสื้อผ้ามาส่งให้” ท่านผู้กำกับหันไปถามน้องสาวที่ยังคงนั่งนิ่ง

                    “อรจะค้างกับแม่อวนค่ะคุยกันไว้เมื่อเช้านี้ ไม่ได้เจอกันเสียหลายปีมีเรื่องต้องคุยกันเยอะแยะเลย”

                    “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้พยาบาลส่วนตัวรับช่วงต่อแล้วกันนะ” ผู้กำกับไม่วายเอ่ยแซวเพราะรู้เรื่องราวของหลานชายดี คราวนี้คนป่วยมีหน้ายิ้มแย้มขึ้นมาบ้าง ไม่นานคนที่มาก่อนก็ทะยอยกันกลับคงเหลือแต่ผู้มาใหม่สามคน สองสาวแยกกันไปจัดสำรับอาหารสำหรับคนเยี่ยมเพราะวางแผนว่าจะซื้อมาทานที่นี่เป็นการประหยัดเวลา สารวัตรอาเขตจึงได้โอกาสเข้ามาคุยกับผู้กองภวินท์เป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น

                    “ขอบใจนะผู้กอง ที่อุตส่าห์บังกระสุนแทนผม” แม้เขาจะพูดอย่างเก้อเขินแต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงใจและเป็นคำพูดที่สารวัตรหนุ่มเตรียมเอาไว้แล้ว

                    “มันเป็นหน้าที่ครับ ถึงแม้ว่าเป็นคนอื่นผมก็ต้องทำแบบนั้นอยู่ดี”

                    “คุณนี่บ้ากว่าที่ผมคิดซะอีก”

                    “ผมถือว่าเป็นคำชมนะครับ” ผู้กองภวินท์ยิ้มกวน สารวัตรอาเขตได้แต่หัวเราะตามมุขตลกของคนป่วย ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเริ่มมองเห็นอีกด้านหนึ่งของผู้กองหนุ่มซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ในแง่ร้าย บางทีถ้าไม่มีเรื่องหัวใจมาเกี่ยวข้องทั้งสองอาจจะเข้ากันได้ดีในด้านของการทำงานก็เป็นได้

                    “อะฮึ่ม ! แต่หัวใจกับหน้าที่มันคนละเรื่องกันนะผู้กอง” สารวัตรอาเขตทำหน้าท้าทายแต่ไม่ใคร่จะจริงจังนักถึงกระนั้นคนป่วยยังนึกอยากหายซะเดี๋ยวนั้นเลย

     

                    นางอรทัยยืนมองรูปถ่ายที่ถูกอัดกรอบและวางเรียงรายอยู่ภายในตู้กระจก ในหลายภาพนั้นส่วนใหญ่จะเป็นรูปวิวัฒนาการของผู้กองภวินท์ตั้งแต่ครั้งยังเล็ก ไล่เรียงมากระทั่งจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย ซึ่งปัจจุบันเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากในรูปเท่าใดนัก อีกภาพข้างกันเป็นภาพครอบครัวเมื่อครั้งที่ยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันพ่อแม่ลูกและแม่อวน นางอรทัยได้แต่ทอดถอนหายใจกับความหลัง

                    “นอนไม่หลับหรือแม่อร” แม่อวนถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ยืนเหม่อมองภาพถ่ายที่นางย้ายมาไว้ในห้องของผู้กองภวินท์จากเดิมที่เคยอยู่ในห้องรับแขก แม้ว่าเจ้าของห้องแทบจะไม่ได้มาค้างที่นี่เลยก็ตาม

                    “ค่ะ ไม่ได้มาเสียนานเลยแปลกที่มังคะ” นางอรทัยเลี่ยงตอบไปอีกทาง

                    “ดูตาวินสิเหมือนพ่อไม่มีผิด แต่เรื่องนิสัยออกจะเด็ดเดี่ยวเหมือนแม่อรเสียมากกว่า”

                    “หรือคะ บางทีเขาอาจจะชอบความทันสมัย สะดวกสบายเหมือนภาคภูมิก็ได้ คุณแม่ไม่เห็นเด็กกระต่ายนั่นหรือคะดูท่าจะเป็นลูกคุณหนูหยิบจับอะไรเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตาวินเองก็ทำท่าพออกพอใจจนออกนอกหน้า” นางอรทัยทำน้ำเสียงไม่ใคร่จะชอบใจนัก

                    “พูดยังกับเป็นแม่ผัวใจร้ายเลยนะแม่อร หรือว่าแม่เองก็เคยทำให้เธอรู้สึกอย่างนั้นมาก่อน”

                    “เปล่านะคะ คุณแม่เมตตาอรที่สุดแล้วค่ะ” นางอรทัยรีบปฏิเสธด้วยกลัวแม่อวนจะน้อยใจ

                    “แล้วแม่อรรู้จักนิสัยใจคอหนูกระต่ายดีแล้วหรือถึงได้คิดว่าแกไม่เหมาะกับตาวิน” แม่อวนลองเชิงลูกสะใภ้ว่าจะคิดเห็นเช่นไร

                    “ความแตกต่างยังไงหละคะที่จะทำให้สองคนนั้นไปด้วยกันไม่ได้เมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจริงๆ”

                    “ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่หรอกนะแม่อร ถึงแม้ว่าจะไม่แตกต่างกันก็ใช่ว่าจะอยู่กันตลอดรอดฝั่ง ชีวิตคู่มีหลายองค์ประกอบที่จะเป็นตัวกำหนดว่าคนสองคนจะเดินด้วยกันจนสุดทางไหม แต่ก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับ การปรับตัวเข้าหากันและต้นทุนความรักที่ทั้งสองมีให้กันว่าจะมากพอให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันได้” แม่อวนอธิบายอย่างมีเหตุมีผล

                    “อรกับภาคภูมิก็รักกันมาก รักกันมาเป็นสิบปีนั่นยังไม่มากพอที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้เลย อรไม่อยากเห็นลูกต้องผิดหวังเหมือนอรนี่คะ”

                    “ตาวินเข้มแข็งกว่าที่แม่อรคิดมากนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ย้ายกลับมาที่นี่ทั้งที่รู้ว่าแม่ของเขายังคงเฉยชาด้วย แต่แม่อรรู้ไหมว่าตาวินไม่เคยคิดโกรธหรือโทษใครเลยนอกจากตัวเขาเอง และเขามีความหวังเสมอว่าแม่ของเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เห็นไหมว่าตาวินมีภูมิคุ้มกันที่ดีและแม่เชื่อว่าเขาสามารถรับมือกับทุกเรื่องได้”

    นางอรทัยได้แต่สะท้านในอกกับสิ่งที่แม่อวนบอกซึ่งนางเองไม่เคยมองเห็นความจริงข้อนี้มาก่อน เพราะทิฐิและความทระนงของนางเอง

                    “ความสุขของคนเป็นแม่ก็คือการได้เห็นลูกมีความสุขมิใช่หรือ” แม่อวนกล่าวทิ้งท้ายก่อนกลับไปพักผ่อนยังห้องของตน โดยปล่อยให้นางอรทัยครุ่นคิดต่อไปเพียงลำพัง

     

                    อาการของผู้กองภวินท์เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับและเมื่อได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลเขาก็ถูกผู้อาวุโสบังคับกลายๆ ให้มาพักอยู่ด้วยกันที่บ้านโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธเลยด้วยซ้ำ ส่วนปราณปรียาเองก็แทบจะไม่มีเวลาได้แวะเวียนมาหาชายหนุ่มเลยเนื่องด้วยความจำเป็นเรื่องงานซึ่งอีกไม่กี่วันเธอต้องเดินทางไปอบรมที่กรุงเทพฯ จึงต้องเคลียร์งานให้เสร็จ แต่ก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีในการได้กลับไปเยี่ยมบ้านอีกครั้ง อย่างไรก็ตามก่อนออกเดินทางปราณปรียาคิดได้ว่าเธอควรจะต้องแวะไปบอกกล่าวแก่ผู้กองภวินท์ให้รู้เสียก่อน

                    “ตาวินเพิ่งจะนอนพักไปเมื่อครู่นี้เอง” นั่นคือคำตอบจากนางดวงฤทัยเมื่อปราณปรียาแวะเวียนไปในเย็นวันก่อนเดินทาง

                    “ค่ะ แล้วแผลของผู้กองดีขึ้นหรือยังคะ” ปราณปรียาทำหน้าเสียดาย

                    “ก็ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้วหละ ได้หนูยุพาเทียวมาล้างแผลให้ทั้งเช้าทั้งเย็นแถมยังหอบหิ้วของบำรุงร่างกายมาด้วยไม่หายคราวนี้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร” นางดวงฤทัยพูดด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ แต่แอบชำเลืองมองปฏิกิริยาของหญิงสาวตรงหน้าซึ่งผลก็ไม่ต่างจากที่นางคาดไว้

                    “อ๋อ..ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวลากลับเลยแล้วกันนะคะ” ปราณปรียายกมือไหว้

          “ถ้าไม่เป็นการรบกวน ฉันขอคุยด้วยสักครู่ได้ไหม” นางอรทัยรีบเอ่ยถามพร้อมกับชี้ชวนปราณปรียาไปที่ศาลาหกเหลี่ยม หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจนักกับท่าทีของนายแม่เธออดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

    “หนูรู้สึกยังไงกับตาวิน” นายแม่ยิงคำถามทันทีที่หญิงสาวนั่งลงเรียบร้อยแล้ว และด้วยคำถามตรงไปตรงมาทำให้ปราณปรียาถึงกับใบ้กิน

    “ว่ายังไงหละ” น้ำเสียงคนพูดมีแววคาดคั้นอยู่ในที ปราณปรียาทำหน้าราวกับจะกลั้นใจตายเสียตรงนั้นให้ได้ เธอจะกล้าตอบความรู้สึกออกไปได้อย่างไรในเมื่อแม้แต่ผู้กองภวินท์เองก็ยังไม่เคยเอ่ยปากบอกความรู้สึกของเขากับเธอสักครั้ง แม้ว่าตอนนี้ปราณปรียาเองจะรู้จักหัวใจของเธอดีแล้วก็ตาม

    “เอ่อ..ผู้กองเป็นคนดีทีเดียวค่ะ” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบ นางอรทัยจ้องมองกิริยาของคนตรงหน้าเขม็งและคำตอบของหญิงสาวชี้ให้เห็นว่าได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี

    “ตาวินเป็นอย่างนี้เสมอ เขามักเป็นห่วงและหวังดีกับทุกคนจนบางทีก็ไม่ได้ห่วงตัวเองด้วยซ้ำ ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละที่เจ็บตัวหลายครั้งหลายคราวก็เพราะมัวแต่เป็นห่วงคนอื่น”

    “ค่ะ” ปราณปรียาพยักหน้าเห็นด้วย

    “ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นเขาสนิทกับผู้หญิงคนไหนนอกจากหนูยุพา สองคนนั้นรู้จักกันมานานหลายปีความสัมพันธ์ของพวกเขาใครๆ ก็ดูออกว่าไม่ธรรมดาเลย แต่เพราะหน้าที่การงานทำให้ทั้งสองต้องไกลกันพอได้เห็นพวกเขาวันนี้แล้วฉันก็อดนึกไม่ได้ว่าเวลาไม่ใช่อุปสรรคสำหรับพวกเขาเลย” นางอรทัยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยคล้ายกำลังเล่าเรื่องลมฟ้าอากาศ ปราณปรียาได้แต่นั่งนิ่งราวกับคนไม่หายใจด้วยซ้ำ

    “บางทีความเหงาอาจทำให้คนเราหวั่นไหวได้ นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายอยู่แล้วซึ่งไม่เหมือนกับผู้หญิงเราถ้าลองได้ปักใจกับใครแล้วก็ยากจะเปลี่ยนแปลง หนูเห็นแววตาที่หนูยุพามองตาวินไหม ผู้หญิงด้วยกันน่าจะมองกันออกนะ” นางอรทัยจ้องเอาคำตอบจากคู่สนทนา

    “ค่ะ” ปราณปรียากลั้นใจตอบออกไป เธอภาวนาให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์แสนอึดอัดนี่เสียที

    “ฉันอยากให้หนูลองทบทวนดูให้ดีว่าที่ผ่านมาระหว่างหนูกับตาวินมันคืออะไรกันแน่ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละผู้ชายหนะมักหวั่นไหวง่าย หนูเป็นคนฉลาดน่าจะเข้าใจได้ง่ายนะว่าตาวินเขาจะเลือกคนที่ผูกพันกันมานานหรือคนพี่เพิ่งรู้จักกัน ฉันเข้าใจว่าตอนนี้หนูคงกำลังสนุกกับประสบการณ์ทำงานในต่างจังหวัดแต่เชื่อเถอะไม่นานหนูจะรู้สึกเบื่อและอยากกลับไปหาสังคมที่คุ้นเคย คนเรามักจะนึกถึงบ้านเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต หนูเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”

    ปราณปรียาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตัวเองแม้จะนึกคัดค้านคำกล่าวหาของนายแม่อยู่ครามครัน

    “ค่ะ”

    แม้จะเป็นคำตอบสั้นๆ แต่ก็ทำให้นางอรทัยยิ้มอย่างพอใจ ขณะที่ปราณปรียาขยับตัวลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวลาโดยไม่ลืมยกมือไหว้

    “อย่าได้คิดว่าฉันเป็นผู้ใหญ่ที่คอยมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของหนุ่มสาวเลยนะ ฉันไม่อยากให้ใครต้องถลำลึกลงไปมากกว่านี้อีก เพราะเมื่อเวลาที่ต้องพลัดพรากจากกันมาถึงมันมักจะทิ้งบาดแผลไว้กับเราเสมอ หนูยุพาเขาน่าสงสารขาดพ่อขาดแม่แล้วยังมาเสียพี่ชายเพียงคนเดียวไปอีก ตอนนี้คนเดียวที่หวังพึ่งก็คงจะเป็นตาวินนี่หละ เฮ้อ..” นางอรทัยทำสีหน้าเศร้าลงเมื่อกล่าวถึงหญิงสาวอีกคน ปราณปรียาฝืนยิ้มอย่างยากลำบากก่อนจะรวบรวมสติที่เหลืออยู่สั่งงานให้ขาออกก้าวเดินไปตามทิศทางที่ควรจะเป็นโดยอัตโนมัติ

    แม่อวนเงยหน้าจากการทำห่อหมกเมื่อเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ

    “แม่อรแน่ใจว่าทำถูกแล้วหรือ”

    นางอรทัยชะงักกับคำถามของผู้อาวุโส แต่หาได้สะทกสะท้านไม่เพราะนางเชื่อว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปย่อมจะส่งผลดีต่อบุคคลที่นางรัก

    “อรรู้ดีว่าตาวินจะต้องมีความสุขกับสิ่งที่อรทำให้”

    “ความสุขหรือ.. เหมือนที่เขาเคยได้รับจากแม่อรมาตลอดอย่างนั้นใช่ไหม” แม่อวนประชดประชันลูกสะใภ้ก่อนก้มหน้าทำงานของตนต่อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×