ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจรักภูธร

    ลำดับตอนที่ #40 : ความเข้าใจ (ผิดมาก)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 727
      5
      26 ธ.ค. 59

                    แม้ว่าปราณต์จะนึกเป็นห่วงท่าทีของน้องสาวที่ไม่ใคร่จะสดใสร่าเริงเหมือนอย่างเคยแต่ภารกิจของเขาก็สำคัญเช่นกัน หลังจากที่ส่งปราณปรียาเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้วเขาจึงต้องปล่อยน้องสาวไว้เพียงลำพัง ปราณปรียานอนแหมบบนที่นอนโดยไม่คิดอยากจะลุกเดินไปไหนจนกระทั่งได้ยินเสียงเครื่องรถดังใกล้เข้ามาและเธอแน่ใจว่าเป็นเสียงของเจ้าเข้มอย่างแน่นอน

                    “เดี๋ยวยุพาหาเองดีกว่าค่ะ จำได้ว่าวางไว้ตอนที่จะเข้าห้องน้ำ” เสียงพยาบาลสาวดังขึ้นมาก่อนแม้จะเป็นการพูดคุยกันธรรมดาแต่คนที่นอนเงี่ยหูฟังกลับได้ยินชัดเจนเต็มสองหู

                    “ก็ดีเหมือนกัน ตอนนั้นพี่ไม่ได้สังเกตด้วยสิ” ผู้กองภวินท์บอกขณะที่มีเสียงไขประตูห้องตามมา ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเข้าไปในห้องแล้วเพราะปราณปรียาแทบจะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันบ้าง

         ความอยากรู้พาให้หญิงสาวย่องลงมาจากชั้นบนเธอคิดว่าบางทีถ้าแอบไปที่ประตูหลังอาจจะได้ยินชัดขึ้น แต่แล้วปราณปรียาก็ต้องหยุดความคิดอันไม่สมควรของตนเองลงและได้แต่ยืนนิ่งมองประตูอยู่อย่างนั้น เมื่อตระหนักได้ว่าเธอไม่ควรนำตัวเองเข้าไปก่อความวุ่นวายหรือสร้างความไม่สบายใจให้กับคนทั้งสองได้ชื่อว่าเคยรักกันมาก่อน

         “หยุดบ้าได้แล้วยายกระต่าย เธอก็แค่คนที่ผ่านมาเท่านั้น” ปราณปรียาพ่นลมหายใจก่อนคอตกเดินขึ้นชั้นบนไปตามเดิม และทันได้เห็นยุพาซ้อนท้ายเจ้าเข้มออกไปกับเจ้าของของมันอย่างรวดเร็วแต่ช่างเป็นภาพที่เนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึกของหญิงสาว น้ำตาเจ้ากรรมพลันไหลมาเป็นสายอย่างห้ามไม่อยู่ขณะที่เธอยังคงยืนแน่นิ่งอยู่ที่ขอบหน้าต่างห้องนอนอีกเป็นเวลานาน

     

         ปราณปรียารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อความมืดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณและเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น หญิงสาวหัวใจกระตุกด้วยความดีใจแต่แล้วก็ต้องตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติกลับมา นี่เธอยังกล้าคิดอีกหรือว่าคนที่มาหาเป็นผู้กองภวินท์แล้วถ้าเป็นเขาจริงๆ เธอจะต้องทำหน้าอย่างไรและเขาจะทำหน้าอย่างไรหรือพูดอะไรกับเธอบ้าง ความคิดมากมายสับสนอยู่ภายในหัวจนกระทั่งเธอหยุดอยู่ที่หน้าประตู สูดหายใจเข้าเต็มที่ก่อนเปิดมันออก

         “พี่เขต !

         “ครับ ทำหน้าตกใจยังกับเห็นผีแหนะ คุณป้าบอกว่าน้องต่ายเพิ่งกลับมาพี่เลยแวะมาดูหน่อย” สารวัตรหนุ่มแจ้งพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

         “ค่ะ” ปราณปรียายิ้มพร้อมกับความรู้สึกเสียใจและโล่งอกประดังเข้ามาพร้อมกัน

         “ท่าทางคงนอนเพิ่งตื่นใช่ไหม พี่กำลังหาเพื่อนทานข้าวเย็นพอดีเลย” ชายหนุ่มเอ่ยปากชวนเมื่อสังเกตเห็นตาบวมคล้ำของหญิงสาวแต่เขาเลี่ยงประโยคที่สงสัยเป็นคำชวนแทน

         “ขอเวลาสามนาทีแล้วกันค่ะ” ปราณปรียาตอบโดยไม่คิดก่อนรีบวิ่งกลับไปจัดการหน้าตาของเธอให้เรียบร้อย สารวัตรหนุ่มยิ้มตามอย่างนึกเอ็นดู แต่ก็นั่นแหละหน้าที่ของเขาคงมีเพียงอย่างเดียวคือรักปราณปรียาแต่ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องไปมากกว่านั้น

     

         การได้ออกไปทานข้าวนอกบ้านช่วยให้ปราณปรียาลืมความเศร้าหมองในหัวใจลงได้บ้างเพราะท่าทีที่สารวัตรอาเขตแสดงออกต่อเธอดูผ่อนคลายกว่าที่ผ่านมา ปราณปรียารู้สึกไว้ใจเขาอย่างบอกไม่ถูกหรืออาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจอย่างทุกครั้ง เขาปฏิบัติกับเธอราวกับดูแลน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นนั่นคือสิ่งที่หญิงสาวรับรู้ได้ ต่างจากสารวัตรหนุ่มที่เขาพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกภายในใจเอาไว้โดยการแสดงออกกับหญิงสาวราวกับเขาเป็นเพื่อนหรือพี่ชายของเธอ

         สองหนุ่มสาวกลับมาถึงห้องพักราวสองทุ่มได้ สารวัตรอาเขตล่ำลาปราณปรียาสองสามคำหลังจากทำหน้าที่เปิดประตูรถให้หญิงสาวก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องเพื่อพักผ่อน ปราณปรียายืนพิงหลังกับประตูขณะที่กวาดสายตาไปรอบห้องอย่างไร้จุดหมาย ก่อนหยุดนิ่งที่โต๊ะตัวเล็กข้างโซฟาเมื่อเธอมองเห็นถุงโจ๊กวางอยู่บนนั้น หญิงสาวหลับตาก่อนสะบัดหัวไปมาและเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าบนโต๊ะตัวนั้นมีเพียงความว่างเปล่า ปราณปรียาได้แต่สะท้านในอก เวลาเพียงหนึ่งเดือนที่เธอไม่ได้ติดต่อและไม่ได้รับการติดต่อจากผู้กองภวินท์ทำให้เธอได้ตรึกตรองถึงเรื่องราวระหว่างเธอและเขาที่เกิดขึ้นมากมายแม้ว่าทั้งสองจะรู้จักกันเพียงไม่นาน แล้วเหตุใดเธอถึงได้รู้สึกผูกพันและลึกซึ้งกับเขาได้มากถึงเพียงนี้ แต่เมื่อคิดในทางกลับกันหากคำบอกเล่าของนายแม่เป็นจริงผู้หญิงที่คบหากันมานานกับผู้กองหนุ่มอย่างยุพาเล่าคงยากที่จะตัดใจมากกว่าเธอหลายเท่านัก ปราณปรียาปาดน้ำตาที่ไหลซึมอย่างไร้เหตุผลกลไกด้วยว่าเธอยืนแน่นิ่งซึมซับความเจ็บปวดอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงสะอื้นราวกับมันไหลล้นออกมาจากข้างในจิตใจของเธอเอง หญิงสาวบอกกับตัวเองได้เพียงว่าเธอเจ็บปวดเหลือเกินในขณะที่ต้องพยายามแสดงออกในทางตรงกันข้าม

         สองเท้าของเธอค่อยๆ ก้าวตรงไปที่ประตูหลังก่อนเปิดสวิทต์ไฟหลังบ้านและค่อยๆ ผลักบานประตูให้เปิดออก น่าแปลกที่สวนหลังบ้านสะอาดเรียบร้อยราวกับได้รับการตกแต่งอยู่เป็นประจำ หญิงสาวนั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวสีขาวและปราณปรียาเองเพิ่งสังเกตว่าห้องของเธอสะอาดเอี่ยมเหมือนเพิ่งมีใครมาปัดกวาดเช็ดถูให้ หากไม่เป็นการเข้าข้างตัวเองเธอคงนึกว่าเป็นผู้กองภวินท์ที่คอยเอาใจใส่ในเรื่องนี้แต่เขาจะเสียเวลาทำแบบนี้อีกทำไมกัน ถ้าหากไม่ใช่เขาก็คงเป็นฝีมือเพื่อนบ้านสาวของเธอเป็นแน่ น่าแปลกที่ตั้งแต่กลับมาเธอยังไม่ได้พบหน้าดาวประกายหรือจ่าสมยศเลยแต่รายหลังคงจะทำงานเสียมากกว่า เมื่อมองเข้าไปในครัวมีเพียงแสงไฟส่องสว่างแต่ไร้เงาเจ้าของห้อง ขณะที่ปราณปรียาลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปถามไถ่เพื่อนบ้านสาวเธอก็ต้องตกใจเพราะแรงกระชากจากด้านหลัง

         “ว้าย !” ปราณปรียาอุทานเสียงหลงก่อนถูกจับหมุนตัวให้หันหน้าไปเผชิญกับผู้บุกรุก

         “ขี้ตกใจจริงนะ” ผู้กองภวินท์ทำหน้าขรึมและน้ำเสียงของเขาเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง และอาการอย่างนั้นกระตุ้นอารมณ์คุกรุ่นของปราณปรียาด้วยเช่นกัน

         “เป็นเฉพาะกับบางคนเท่านั้นค่ะ โดยเฉพาะคนพาล” หญิงสาวเชิดหน้าตอบอย่างไม่ลดละ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนท่าเป็นรวบเอวของเธอไว้ในวงแขนอย่างแน่นหนาราวกับต้องการลงโทษคนอวดดี มีอย่างที่ไหนเขาคิดถึงเธอแทบตายแต่เจ้าตัวกลับมีเวลาไปทานข้าวกับสารวัตรเสียนี่แทนที่จะเป็นเขา

         “ฮึ เรียกแฟนตัวเองว่าคนพาล แต่ไปกินข้าวสวีทหวานกับผู้ชายคนอื่น นี่แหละน้าที่เขาว่า สามวันจากนารีเป็นอื่น” คำพูดของเขาช่างเสียดสีได้แสบสันต์เหลือเกินอีกทั้งแววตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยคำกล่าวหา

         “ก็คงดีกว่าบางคนที่ชอบโกหกหลอกลวงไม่จริงใจ” ปราณปรียาใช้สองมือดันหน้าอกของชายหนุ่มออกห่างแต่ความพยายามของเธอดูจะไร้ผล

         “บอกผมทีว่าเกิดอะไรขึ้น คุณไม่เหมือนปราณปรียาคนเดิมที่ผมรู้จักเลย” เขาก้มหน้าเข้ามาจนชิดความโกรธหึงหวงเริ่มจะจางหายไปเมื่อได้กลิ่นหอมของแม่กระต่ายน้อยที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในกรงแขนแข็งแรงของเขา

         “ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้แหละ” ปราณปรียาโพล่งออกมาเสียงดังอย่างอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อผู้กองภวินท์ทำราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการกระทำแบบเหยียบเรือสองแคม

                    “ดื้อเหรอ ฮึ  ทำผิดแล้วแกล้งโวยวายกลบเกลื่อนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ไม่น่ารักเลย”

                    “ก็ไม่ได้ให้มารักนี่นา แล้วก็ไม่ต้องมาใกล้ฉันอีกเลยนะ” ปราณปรียาพยายามกลั้นก้อนสะอื้นให้ไหลลงคออย่างยากลำบาก เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เขาได้เห็นพร้อมกับทุบตีหยิกข่วนและผลักไสเขาเต็มแรงจนเขาต้องเป็นฝ่ายยอมปล่อยและถอยห่างจากเธอเสียเอง

                    “โอเค เอาอย่างนั้นก็ได้” ชายหนุ่มชักไม่นึกอยากแกล้งปราณปรียาอีกเมื่อสังเกตถึงความฉุนเฉียวซึ่งเหมือนมีความในใจแอบซ่อนอยู่และตอนนี้เขายังไม่เข้าใจในท่าทางของเธอ

                    “ผมไปหลอกอะไรคุณตอนไหนกัน” เขาถามกลับพร้อมจ้องหญิงสาวเขม็งแต่ปราณปรียากลับถอยห่างออกมาตั้งหลักสองสามก้าว และเธอนึกอยากจะสอยผู้ชายตรงหน้าด้วยกำปั้นน้อยๆ นี้ดูสักครั้ง

                    “ก็..ทุกตอนนั่นแหละ ทุกเรื่องด้วย แต่เสียใจด้วยนะที่คุณหลอกฉันไม่สำเร็จเพราะว่าความลับมันไม่มีในโลก” ปราณปรียาสาดวาทะใส่เขาด้วยอารมณ์โกรธและผิดหวัง ผู้กองภวินท์ถึงกับยกมือขึ้นเสยผมครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ปราณปรียากล่าวหาเขาอยู่

                    “ผมไม่รู้ว่าคุณไปได้ยินใครพูดอะไรเกี่ยวกับผมมาอีก แต่เราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่หรือว่าคุณจะให้โอกาสผมได้อธิบายเสียก่อน” เขาทำหน้าเหนื่อยใจกับความงอแงไร้เหตุผลของหญิงสาวตรงหน้า

                    “คงไม่ต้องให้คุณอธิบายหรอกค่ะ เพราะคนที่บอกฉันเป็นคนที่...”

                    เพล้ง ! เสียงของตกกระแทกพื้นดังมาจากห้องข้างๆ เรียกความสนใจของคนทั้งสองให้หันไปเกือบจะพร้อมกัน

                    “พี่ดาว !” ปราณปรียาโพล่งออกมาพร้อมกับกระโจนไปที่ประตูหลังบ้านทันที แต่มันถูกล็อคจากด้านใน

                    “คุณหลบไปก่อน” ผู้กองภวินท์กระชากลูกบิดประตูทีเดียวก็สามารถเปิดประตูออกอย่างง่ายดาย เมื่อเข้าไปข้างในก็พบว่าดาวประกายนั่งพิงฝาห้องพร้อมกับน้ำที่เจิ่งนองไหลออกมาเต็มพื้นบริเวณที่เธอนั่งอยู่ สีหน้าคนท้องเหยเกบ่งบอกถึงความเจ็บปวด

                    “น้องต่ายพี่จะคลอดแล้วค่ะ พี่ปวดท้องเหลือเกิน” ดาวประกายระล่ำระลักบอก สองหนุ่มสาวมองหน้ากันเลิ่กลักอยู่พักหนึ่งด้วยไม่รู้จะจัดการเช่นไร ก่อนที่ผู้กองภวินท์จะหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเขาออกมากดเบอร์โทรไปที่ไหนสักแห่งก่อนวางสายและกดโทรหาใครอีกคนที่เขาจะสามารถพึ่งพาได้ในยามนี้

                    “คุณย่าหรือครับคือ...”  เขาเดินออกไปคุยโทรศัพท์บริเวณหน้าบ้าน ปราณปรียารีบเข้าไปพยุงดาวประกายลุกขึ้นเพื่อไปนั่งพักบริเวณโซฟารับแขกในสภาพที่ชุดคลุมเปื้อนเปรอะไปด้วยถุงน้ำปัสสาวะที่แตกออกมาก่อนเป็นสัญญาณว่าคนท้องได้เวลาคลอดแล้ว

                    “ปวดท้องมากไหมคะพี่ดาว” หญิงสาวบีบมือสาวรุ่นพี่เพื่อหวังช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวด ในขณะที่ดาวประกายเริ่มร้องครางเป็นระยะตามจังหวะการบีบตัวของมดลูก ซึ่งเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ ดาวประกายทำได้เพียงพยักหน้าพร้อมหายใจหอบเหนื่อย

                    “ดาวเตรียมข้าวของไว้หรือยัง” ผู้กองภวินท์กลับเข้ามาในห้องพร้อมคำถามอย่างเป็นงานเป็นการเมื่อได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสอย่างแม่อวนมาแล้ว

                    “อยู่บนห้องค่ะในกระเป๋าสีฟ้า” คนท้องกลั้นใจตอบ

                    “เดี๋ยวต่ายไปหยิบให้เองค่ะ” ปราณปรียารีบอาสาโดยไม่รอคำอนุญาตจากใครเธอก็วิ่งตัวปลิวขึ้นชั้นบนไปอย่างรวดเร็ว

                    “พี่เรียกรถพยาบาลแล้วดาวอดทนหน่อยนะ จ่าสมยศนี่ใช้ไม่ได้เลยเมียจะคลอดลูกยังไม่รู้จักเตรียมตัววางแผนก่อน”

                    “อย่าโทษพี่สมยศเลยค่ะ จริงๆ กำหนดคลอดมันอีกหนึ่งอาทิตย์แต่สงสัยเจ้าตัวเล็กอยากรีบออกมาดูโลกก่อน” ดาวประกายพยายามข่มความเจ็บปวดขณะที่อธิบายความจริง และโชคดีที่เธอเตรียมเอกสารและอุปกรณ์ทุกอย่างใส่กระเป๋าไว้พร้อมแล้วเนื่องจากเคยได้ยินหลายคนบอกว่ากำหนดคลอดอาจคลาดเคลื่อนได้บางคนก็ช้าบางคนก็เร็วออย่างเช่นเธอที่อยู่ในข่ายมาเร็วก่อนกำหนด

                    ขณะที่ปราณปรียาหิ้วกระเป๋าสีฟ้าใบใหญ่ลงบันไดมาอย่างทุลักทุเลเสียงรถพยาบาลก็วิ่งมาจอดที่หน้าห้องพักพอดี พนักงานและพยาบาลที่มากับรถรีบเคลื่อนย้ายคนท้องอย่างรวดเร็วส่วนผู้กองภวินท์รีบดึงแขนปราณปรียาที่ทำท่าจะกระโจนขึ้นรถไว้ก่อน

                    “เดี๋ยว คุณไปพร้อมผม ขึ้นไปบนนั้นก็เกะกะเขาเปล่าๆ” เขาพูดน้ำเสียงจริงจังและทำหน้าดุ ปราณปรียาหวนนึกถึงวันแรกที่ได้พบกันเพราะเขากำลังทำหน้าแบบวันนั้นไม่มีผิด

                    “ไม่ต้องฉันไปเองได้” ปราณปรียายังไม่ยอมลดละเธอเดินชนไหล่เขาจนตัวเองเซถลาไปพร้อมกับกระเป๋าที่ขนาดเกือบเท่ากับกระสอบ ชายหนุ่มรีบคว้าต้นแขนไว้ทันก่อนที่คนหัวดื้อจะล้มฟาดพื้นและชักสีหน้าไม่พอใจใส่เธอบ้าง

                    “อย่าเพิ่งดื้อตอนนี้ได้ไหม ผมขอหละ”

                    ปราณปรียาจำต้องเดินกระฟัดกระเฟียดตามเขาไปเมื่อเห็นว่าไม่ใช่เวลาที่ควรจะมาร่ำไรในเมื่อดาวประกายกำลังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา ขณะที่เดินผ่านไปด้านหน้าของห้องพักสารวัตรอาเขตก็เปิดประตูออกมาพอดี

                    “น้องต่ายจะหิ้วกระเป๋าไปไหนดึกดื่นขนาดนี้แล้ว” แม้จะได้ยินสองหนุ่มสาวทะเลาะแบบพ่อแง่แม่งอนกันสักพักแล้วแต่สารวัตรหนุ่มไม่สามารถทนฟังต่อไปได้จึงเดินหลบเข้าห้องไป แต่เพราะเสียงแตกตื่นเมื่อครู่เขาจึงอดไม่ได้ต้องลงมาดู

                    “พี่ดาวจะคลอดลูกค่ะ ตอนนี้รถพยาบาลมารับไปแล้วต่ายกับผู้กองจะรีบเอาสัมภาระตามไปทีหลังค่ะ”

                    “ถ้าอย่างนั้นไปรถพี่ดีกว่าไหม นี่มันค่ำมืดแล้วนั่งมอเตอร์ไซค์คงไม่ปลอดภัย” เขาขันอาสาขณะที่ผู้กองภวินท์นั่งบนหลังเจ้าเข้มและมองมาที่เธออย่างรอคำตอบเช่นกัน

                    “ก็ดีเหมือนกันค่ะ” ปราณปรียาหันไปตอบรับคำเชิญของสารวัตรอาเขตโดยไม่มองกลับมาที่ผู้กองภวินท์เลยด้วยซ้ำ เมื่อรถเก๋งคันงามแล่นผ่านหน้าไปความเดือดดาลที่ตอนแรกเขาสามารถควบคุมได้กลับปะทุขึ้นมาอีกครั้งราวกับมีภูเขาไฟเป็นร้อยลูกกำลังระเบิดอยู่ภายในจิตใจของเขา

                    ผู้กองภวินท์รีบบึ่งรถตามไปด้วยอารมณ์พุ่งพล่านซึ่งเขาไม่เคยมีภาวะเช่นนี้มานานแล้วนับแต่ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เรียกว่าวัยรุ่น เหตุใดกันปราณปรียาหญิงสาวที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาจนแทบเรียกได้ว่าทุกขณะลมหายใจเข้าออกถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไปแค่เพียงช่วงเวลาเดือนเดียวที่ไม่ได้เจอและขาดการติดต่อกันด้วยความจำเป็นหลายประการ แต่เขากลับไม่ได้นึกเฉลียวใจว่าเวลาเพียงเท่านั้นจะทำให้คนที่ผูกสมัครรักใคร่ต่อกันแล้วจะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้ แม้ว่าเขาจะเพิ่งรู้จักกับหญิงสาวได้ไม่นานแต่เขากลับมั่นใจว่าต้องมีบางอย่างที่เป็นสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างเขาและเธอเป็นแน่เพราะปราณปรียามิใช่คนที่มีลักษณะอ่อนไหวต่อสิ่งรอบข้างได้ง่ายถึงแม้ว่าภายนอกเธอจะดูคล้ายผู้หญิงบอบบางและเชื่อคนง่าย

                     ในขณะที่สารวัตรอาเขตเองก็สังเกตถึงความผิดปกติของปราณปรียาเช่นกันแต่เขาไม่อยากทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้โดยไม่ถามออกไป เพียงแต่เฝ้าดูอย่างใกล้ชิด

                    เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาลปรากฏว่าพยาบาลถามหาพ่อของเด็กเพื่อเซ็นต์ยินยอมรับผลการรักษาเนื่องจากคาดว่าดาวประกายต้องทำการผ่าคลอด ผู้กองภวินท์จึงต้องรีบโทรศัพท์ตามตัวจ่าสมยศซึ่งไม่เกินสิบนาทีจ่าสมยศก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทั้งเครื่องแบบด้วยสีหน้าดีใจและประหลาดใจในคราวเดียวกัน ส่วนปราณปรียานั่งรออย่างใจจดใจจ่อที่หน้าห้องคลอดโดยมีสารวัตรอาเขตนั่งอยู่ข้างๆ ไม่นานจ่าสมยศก็ตรงเข้ามาขอกระเป๋าสีฟ้าเพื่อไปดำเนินการทางเอกสารอีกตึกหนึ่ง และอีกเพียงไม่ถึงนาทีดีดาวประกายก็ถูกเข็นใส่เตียงออกมาเพื่อเคลื่อนย้ายไปยังห้องผ่าตัดซึ่งอยู่คนละส่วน อีกทั้งผู้คนที่มาโรงพยาบาลต่างเดินขวักไขว่และพูดคุยกันจอแจไปหมด ผู้กองภวินท์ซึ่งได้ที่นั่งอีกฝั่งอดไม่ได้ที่จะลอบมองมาทางปราณปรียาซึ่งทำหน้าวิตกกังวลคงเพราะเป็นห่วงดาวประกาย และพอหันมองคนที่นั่งข้างเธอก็พบว่าสารวัตรเองกำลังมองมาที่เขาเช่นกันแต่ไร้แววแห่งความยินดี สะใจ หรือท้าทายในแววตาคู่นั้น

                    เวลาล่วงเลยไปเกือบสี่ชั่วโมงยังไม่มีวี่แววว่าดาวประกายจะออกมาจนกระทั่งตอนนี้จ่าสมยศกลับมานั่งข้างกันกับผู้กองภวินท์ บรรรดาญาติคนป่วยเริ่มลดลงเหลือที่นั่งรออย่างบางตามีเสียงพูดคุยเบาๆ ให้ได้ยินแต่ไร้เสียงจากคนทั้งสี่คนที่ต่างก็นั่งเงียบด้วยอารมณ์และความคิดที่ต่างกันออกไป สารวัตรอาเขตขยับตัวเหมือนจะลุกแต่ปราณปรียาฉุดแขนเขาเอาไว้พร้อมส่งแววตาขอร้องให้เขาอยู่ต่อ เขาตบหลังมือเธอเบาๆ พร้อมกับยิ้มอบอุ่น

                    “เดี๋ยวพี่กลับมา”

                    เมื่อคล้อยหลังสารวัตรหนุ่มผู้กองภวินท์ที่คอยท่าอยู่แล้วก็รีบย้ายก้นมานั่งข้างปราณปรียาทันที หญิงสาวทำท่าจะขยับหนีแต่ถูกวงแขนแข็งแรงโอบไหล่ไว้อย่างแน่นหนา เธอหันมาแยกเขี้ยวใส่เขาและทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างไม่พอใจ ส่วนจ่าสมยศแม้จะเห็นถึงความผิดปกติของสองหนุ่มสาวแต่เวลานี้ใจเขาจดจ่ออยู่กับลูกและเมียในห้องผ่าตัดเป็นลำดับแรกจึงเทียวผุดลุกผุดนั่งจนพยาบาลหน้าห้องชักจะเวียนหัว

                    “เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ” ผู้กองหนุ่มกระซิบที่ข้างหูปราณปรียาอดขนลุกและหน้าชากับการกระทำของเขาไม่ได้

                    “เราไม่มีอะไรต้องคุยกันต่างหากค่ะ” หญิงสาวกัดฟันตอบโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา เธอโกรธที่เขาทำราวกับเธอเป็นผู้หญิงใจง่ายและหน้าโง่

                    “ก็ดี..ผมก็ไม่อยากคุยแล้วเหมือนกัน...ทำเลยดีกว่า” เขาพูดเสียงเบาแต่การกระทำรวดเร็วกว่านักเมื่อเขาจงใจกดจมูกโด่งเข้ากับแก้มของเธอ ปราณปรียาได้แต่ทำตาโตฟาดฝ่ามือใส่เขาเป็นพัลวันแต่ก็โดนเขารวบมือทั้งสองข้างไว้ได้

                    “เบาหน่อยคุณคนมองกันใหญ่แล้วผมอายเป็นเหมือนกันนะ” เขาทำเป็นมองซ้ายมองขวาปราณปรียาจึงต้องหันมองรอบๆ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า หญิงวัยกลางคนสองคนซึ่งอยู่ห่างออกไปมองมาพร้อมกับหันหน้าซุบซิบกันเสียงระงม พอหันมาทางผู้กองภวินท์ก็เห็นเขายิ้มให้เธออย่างยั่วยวนกวนประสาท

                    “คนที่อายต้องเป็นฉัน นี่คุณจะเอายังไงกันแน่”

                    “คุณนั่นแหละเป็นอะไรกันแน่” ทั้งสองเอาแต่จ้องตากันอย่างไม่ลดละ หญิงสาวถลึงตาใส่ส่วนผู้กองภวินท์ยิ้มมุมปากอย่างหาเรื่องเช่นกัน

                    “มีอะไรกันหรือเปล่า” เสียงของสารวัตรอาเขตราวกับระฆังหมดยก ทั้งคู่ผละออกจากกันโดยอัตโนมัติและต่างหันหน้ากันไปคนละทาง สารวัตรหนุ่มนั่งลงขนาบอีกข้างของหญิงสาวเพียงคนเดียวก่อนแจกจ่ายกาแฟร้อนให้คนละแก้ว

                    “จ่า จิบกาแฟสักหน่อยจะได้สดชื่น” สารวัตรอาเขตเรียกจ่าสมยศให้หันมาเพราะรายนั้นเอาแต่จดจ้องอยู่ที่หน้าห้องตาไม่กระพริบ เขารับกาแฟไปพร้อมกล่าวขอบคุณ จากนั้นต่างคนต่างก็จิบกาแฟกันไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งพยาบาลเข็นรถใส่เด็กออกมาจากห้องทั้งสี่คนจึงกรูไปที่หน้าประตูเกือบจะพร้อมกัน

                    “ใครเป็นพ่อเด็กคะ” พยาบาลเรียกหา จ่าสมยศรีบโผล่หน้าไปทันที

                    “คุณแม่ต้องอยู่ในห้องพักฟื้นก่อนนะคะ ส่วนน้องเดี๋ยวพยาบาลจะอาบน้ำล้างตัวให้แล้วจะพาไปส่งที่เตียงคุณแม่ทีหลังค่ะ”

                    จ่าสมยศแทบจะฟังคำแนะนำของพยาบาลไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำเพราะมัวแต่ปลาบปลื้มดีใจกับสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่อยู่ในเตียงเล็กๆ นั้น ปราณปรียาเองก็อดดีใจกับคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้เช่นกันเธอแอบน้ำตาซึมกับท่าทางอ่อนโยนของจ่าสมยศเวลาที่มองดูลูกตัวน้อยๆ ของเขา นี่กระมังที่จะเป็นโซ่ทองคล้องใจของคนสองคนไว้ด้วยกันเมื่อความรักถูกหล่อหลอมมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขและหัวใจที่ผูกพันต่อกัน

    ************************************************************************************

    จะพยายามมาให้เร็วนะคะ ใกล้จะถึงบทสรุปแล้วค่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×