คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : ความเข้าใจ (ผิดมาก)
แม้ว่าปราณต์จะนึกเป็นห่วงท่าทีของน้องสาวที่ไม่ใคร่จะสดใสร่าเริงเหมือนอย่างเคยแต่ภารกิจของเขาก็สำคัญเช่นกัน
หลังจากที่ส่งปราณปรียาเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้วเขาจึงต้องปล่อยน้องสาวไว้เพียงลำพัง
ปราณปรียานอนแหมบบนที่นอนโดยไม่คิดอยากจะลุกเดินไปไหนจนกระทั่งได้ยินเสียงเครื่องรถดังใกล้เข้ามาและเธอแน่ใจว่าเป็นเสียงของเจ้าเข้มอย่างแน่นอน
“เดี๋ยวยุพาหาเองดีกว่าค่ะ จำได้ว่าวางไว้ตอนที่จะเข้าห้องน้ำ”
เสียงพยาบาลสาวดังขึ้นมาก่อนแม้จะเป็นการพูดคุยกันธรรมดาแต่คนที่นอนเงี่ยหูฟังกลับได้ยินชัดเจนเต็มสองหู
“ก็ดีเหมือนกัน
ตอนนั้นพี่ไม่ได้สังเกตด้วยสิ” ผู้กองภวินท์บอกขณะที่มีเสียงไขประตูห้องตามมา
ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเข้าไปในห้องแล้วเพราะปราณปรียาแทบจะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันบ้าง
ความอยากรู้พาให้หญิงสาวย่องลงมาจากชั้นบนเธอคิดว่าบางทีถ้าแอบไปที่ประตูหลังอาจจะได้ยินชัดขึ้น
แต่แล้วปราณปรียาก็ต้องหยุดความคิดอันไม่สมควรของตนเองลงและได้แต่ยืนนิ่งมองประตูอยู่อย่างนั้น
เมื่อตระหนักได้ว่าเธอไม่ควรนำตัวเองเข้าไปก่อความวุ่นวายหรือสร้างความไม่สบายใจให้กับคนทั้งสองได้ชื่อว่าเคยรักกันมาก่อน
“หยุดบ้าได้แล้วยายกระต่าย
เธอก็แค่คนที่ผ่านมาเท่านั้น” ปราณปรียาพ่นลมหายใจก่อนคอตกเดินขึ้นชั้นบนไปตามเดิม
และทันได้เห็นยุพาซ้อนท้ายเจ้าเข้มออกไปกับเจ้าของของมันอย่างรวดเร็วแต่ช่างเป็นภาพที่เนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึกของหญิงสาว
น้ำตาเจ้ากรรมพลันไหลมาเป็นสายอย่างห้ามไม่อยู่ขณะที่เธอยังคงยืนแน่นิ่งอยู่ที่ขอบหน้าต่างห้องนอนอีกเป็นเวลานาน
ปราณปรียารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อความมืดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณและเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
หญิงสาวหัวใจกระตุกด้วยความดีใจแต่แล้วก็ต้องตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติกลับมา
นี่เธอยังกล้าคิดอีกหรือว่าคนที่มาหาเป็นผู้กองภวินท์แล้วถ้าเป็นเขาจริงๆ
เธอจะต้องทำหน้าอย่างไรและเขาจะทำหน้าอย่างไรหรือพูดอะไรกับเธอบ้าง
ความคิดมากมายสับสนอยู่ภายในหัวจนกระทั่งเธอหยุดอยู่ที่หน้าประตู
สูดหายใจเข้าเต็มที่ก่อนเปิดมันออก
“พี่เขต !”
“ครับ ทำหน้าตกใจยังกับเห็นผีแหนะ
คุณป้าบอกว่าน้องต่ายเพิ่งกลับมาพี่เลยแวะมาดูหน่อย”
สารวัตรหนุ่มแจ้งพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“ค่ะ” ปราณปรียายิ้มพร้อมกับความรู้สึกเสียใจและโล่งอกประดังเข้ามาพร้อมกัน
“ท่าทางคงนอนเพิ่งตื่นใช่ไหม
พี่กำลังหาเพื่อนทานข้าวเย็นพอดีเลย” ชายหนุ่มเอ่ยปากชวนเมื่อสังเกตเห็นตาบวมคล้ำของหญิงสาวแต่เขาเลี่ยงประโยคที่สงสัยเป็นคำชวนแทน
“ขอเวลาสามนาทีแล้วกันค่ะ” ปราณปรียาตอบโดยไม่คิดก่อนรีบวิ่งกลับไปจัดการหน้าตาของเธอให้เรียบร้อย
สารวัตรหนุ่มยิ้มตามอย่างนึกเอ็นดู
แต่ก็นั่นแหละหน้าที่ของเขาคงมีเพียงอย่างเดียวคือรักปราณปรียาแต่ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องไปมากกว่านั้น
การได้ออกไปทานข้าวนอกบ้านช่วยให้ปราณปรียาลืมความเศร้าหมองในหัวใจลงได้บ้างเพราะท่าทีที่สารวัตรอาเขตแสดงออกต่อเธอดูผ่อนคลายกว่าที่ผ่านมา
ปราณปรียารู้สึกไว้ใจเขาอย่างบอกไม่ถูกหรืออาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจอย่างทุกครั้ง
เขาปฏิบัติกับเธอราวกับดูแลน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นนั่นคือสิ่งที่หญิงสาวรับรู้ได้
ต่างจากสารวัตรหนุ่มที่เขาพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกภายในใจเอาไว้โดยการแสดงออกกับหญิงสาวราวกับเขาเป็นเพื่อนหรือพี่ชายของเธอ
สองหนุ่มสาวกลับมาถึงห้องพักราวสองทุ่มได้
สารวัตรอาเขตล่ำลาปราณปรียาสองสามคำหลังจากทำหน้าที่เปิดประตูรถให้หญิงสาวก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องเพื่อพักผ่อน
ปราณปรียายืนพิงหลังกับประตูขณะที่กวาดสายตาไปรอบห้องอย่างไร้จุดหมาย
ก่อนหยุดนิ่งที่โต๊ะตัวเล็กข้างโซฟาเมื่อเธอมองเห็นถุงโจ๊กวางอยู่บนนั้น
หญิงสาวหลับตาก่อนสะบัดหัวไปมาและเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าบนโต๊ะตัวนั้นมีเพียงความว่างเปล่า
ปราณปรียาได้แต่สะท้านในอก
เวลาเพียงหนึ่งเดือนที่เธอไม่ได้ติดต่อและไม่ได้รับการติดต่อจากผู้กองภวินท์ทำให้เธอได้ตรึกตรองถึงเรื่องราวระหว่างเธอและเขาที่เกิดขึ้นมากมายแม้ว่าทั้งสองจะรู้จักกันเพียงไม่นาน
แล้วเหตุใดเธอถึงได้รู้สึกผูกพันและลึกซึ้งกับเขาได้มากถึงเพียงนี้
แต่เมื่อคิดในทางกลับกันหากคำบอกเล่าของนายแม่เป็นจริงผู้หญิงที่คบหากันมานานกับผู้กองหนุ่มอย่างยุพาเล่าคงยากที่จะตัดใจมากกว่าเธอหลายเท่านัก
ปราณปรียาปาดน้ำตาที่ไหลซึมอย่างไร้เหตุผลกลไกด้วยว่าเธอยืนแน่นิ่งซึมซับความเจ็บปวดอย่างเงียบเชียบ
ไม่มีเสียงสะอื้นราวกับมันไหลล้นออกมาจากข้างในจิตใจของเธอเอง
หญิงสาวบอกกับตัวเองได้เพียงว่าเธอเจ็บปวดเหลือเกินในขณะที่ต้องพยายามแสดงออกในทางตรงกันข้าม
สองเท้าของเธอค่อยๆ
ก้าวตรงไปที่ประตูหลังก่อนเปิดสวิทต์ไฟหลังบ้านและค่อยๆ ผลักบานประตูให้เปิดออก
น่าแปลกที่สวนหลังบ้านสะอาดเรียบร้อยราวกับได้รับการตกแต่งอยู่เป็นประจำ
หญิงสาวนั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวสีขาวและปราณปรียาเองเพิ่งสังเกตว่าห้องของเธอสะอาดเอี่ยมเหมือนเพิ่งมีใครมาปัดกวาดเช็ดถูให้
หากไม่เป็นการเข้าข้างตัวเองเธอคงนึกว่าเป็นผู้กองภวินท์ที่คอยเอาใจใส่ในเรื่องนี้แต่เขาจะเสียเวลาทำแบบนี้อีกทำไมกัน
ถ้าหากไม่ใช่เขาก็คงเป็นฝีมือเพื่อนบ้านสาวของเธอเป็นแน่ น่าแปลกที่ตั้งแต่กลับมาเธอยังไม่ได้พบหน้าดาวประกายหรือจ่าสมยศเลยแต่รายหลังคงจะทำงานเสียมากกว่า
เมื่อมองเข้าไปในครัวมีเพียงแสงไฟส่องสว่างแต่ไร้เงาเจ้าของห้อง
ขณะที่ปราณปรียาลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปถามไถ่เพื่อนบ้านสาวเธอก็ต้องตกใจเพราะแรงกระชากจากด้านหลัง
“ว้าย !”
ปราณปรียาอุทานเสียงหลงก่อนถูกจับหมุนตัวให้หันหน้าไปเผชิญกับผู้บุกรุก
“ขี้ตกใจจริงนะ”
ผู้กองภวินท์ทำหน้าขรึมและน้ำเสียงของเขาเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง และอาการอย่างนั้นกระตุ้นอารมณ์คุกรุ่นของปราณปรียาด้วยเช่นกัน
“เป็นเฉพาะกับบางคนเท่านั้นค่ะ โดยเฉพาะคนพาล”
หญิงสาวเชิดหน้าตอบอย่างไม่ลดละ
ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนท่าเป็นรวบเอวของเธอไว้ในวงแขนอย่างแน่นหนาราวกับต้องการลงโทษคนอวดดี
มีอย่างที่ไหนเขาคิดถึงเธอแทบตายแต่เจ้าตัวกลับมีเวลาไปทานข้าวกับสารวัตรเสียนี่แทนที่จะเป็นเขา
“ฮึ เรียกแฟนตัวเองว่าคนพาล
แต่ไปกินข้าวสวีทหวานกับผู้ชายคนอื่น นี่แหละน้าที่เขาว่า สามวันจากนารีเป็นอื่น”
คำพูดของเขาช่างเสียดสีได้แสบสันต์เหลือเกินอีกทั้งแววตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยคำกล่าวหา
“ก็คงดีกว่าบางคนที่ชอบโกหกหลอกลวงไม่จริงใจ”
ปราณปรียาใช้สองมือดันหน้าอกของชายหนุ่มออกห่างแต่ความพยายามของเธอดูจะไร้ผล
“บอกผมทีว่าเกิดอะไรขึ้น
คุณไม่เหมือนปราณปรียาคนเดิมที่ผมรู้จักเลย”
เขาก้มหน้าเข้ามาจนชิดความโกรธหึงหวงเริ่มจะจางหายไปเมื่อได้กลิ่นหอมของแม่กระต่ายน้อยที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในกรงแขนแข็งแรงของเขา
“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้แหละ” ปราณปรียาโพล่งออกมาเสียงดังอย่างอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อผู้กองภวินท์ทำราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการกระทำแบบเหยียบเรือสองแคม
“ดื้อเหรอ ฮึ ทำผิดแล้วแกล้งโวยวายกลบเกลื่อนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน
ไม่น่ารักเลย”
“ก็ไม่ได้ให้มารักนี่นา
แล้วก็ไม่ต้องมาใกล้ฉันอีกเลยนะ”
ปราณปรียาพยายามกลั้นก้อนสะอื้นให้ไหลลงคออย่างยากลำบาก
เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เขาได้เห็นพร้อมกับทุบตีหยิกข่วนและผลักไสเขาเต็มแรงจนเขาต้องเป็นฝ่ายยอมปล่อยและถอยห่างจากเธอเสียเอง
“โอเค เอาอย่างนั้นก็ได้”
ชายหนุ่มชักไม่นึกอยากแกล้งปราณปรียาอีกเมื่อสังเกตถึงความฉุนเฉียวซึ่งเหมือนมีความในใจแอบซ่อนอยู่และตอนนี้เขายังไม่เข้าใจในท่าทางของเธอ
“ผมไปหลอกอะไรคุณตอนไหนกัน”
เขาถามกลับพร้อมจ้องหญิงสาวเขม็งแต่ปราณปรียากลับถอยห่างออกมาตั้งหลักสองสามก้าว
และเธอนึกอยากจะสอยผู้ชายตรงหน้าด้วยกำปั้นน้อยๆ นี้ดูสักครั้ง
“ก็..ทุกตอนนั่นแหละ
ทุกเรื่องด้วย แต่เสียใจด้วยนะที่คุณหลอกฉันไม่สำเร็จเพราะว่าความลับมันไม่มีในโลก”
ปราณปรียาสาดวาทะใส่เขาด้วยอารมณ์โกรธและผิดหวัง
ผู้กองภวินท์ถึงกับยกมือขึ้นเสยผมครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ปราณปรียากล่าวหาเขาอยู่
“ผมไม่รู้ว่าคุณไปได้ยินใครพูดอะไรเกี่ยวกับผมมาอีก
แต่เราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่หรือว่าคุณจะให้โอกาสผมได้อธิบายเสียก่อน”
เขาทำหน้าเหนื่อยใจกับความงอแงไร้เหตุผลของหญิงสาวตรงหน้า
“คงไม่ต้องให้คุณอธิบายหรอกค่ะ
เพราะคนที่บอกฉันเป็นคนที่...”
เพล้ง ! เสียงของตกกระแทกพื้นดังมาจากห้องข้างๆ
เรียกความสนใจของคนทั้งสองให้หันไปเกือบจะพร้อมกัน
“พี่ดาว !”
ปราณปรียาโพล่งออกมาพร้อมกับกระโจนไปที่ประตูหลังบ้านทันที แต่มันถูกล็อคจากด้านใน
“คุณหลบไปก่อน”
ผู้กองภวินท์กระชากลูกบิดประตูทีเดียวก็สามารถเปิดประตูออกอย่างง่ายดาย
เมื่อเข้าไปข้างในก็พบว่าดาวประกายนั่งพิงฝาห้องพร้อมกับน้ำที่เจิ่งนองไหลออกมาเต็มพื้นบริเวณที่เธอนั่งอยู่
สีหน้าคนท้องเหยเกบ่งบอกถึงความเจ็บปวด
“น้องต่ายพี่จะคลอดแล้วค่ะ
พี่ปวดท้องเหลือเกิน” ดาวประกายระล่ำระลักบอก
สองหนุ่มสาวมองหน้ากันเลิ่กลักอยู่พักหนึ่งด้วยไม่รู้จะจัดการเช่นไร
ก่อนที่ผู้กองภวินท์จะหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเขาออกมากดเบอร์โทรไปที่ไหนสักแห่งก่อนวางสายและกดโทรหาใครอีกคนที่เขาจะสามารถพึ่งพาได้ในยามนี้
“คุณย่าหรือครับคือ...” เขาเดินออกไปคุยโทรศัพท์บริเวณหน้าบ้าน
ปราณปรียารีบเข้าไปพยุงดาวประกายลุกขึ้นเพื่อไปนั่งพักบริเวณโซฟารับแขกในสภาพที่ชุดคลุมเปื้อนเปรอะไปด้วยถุงน้ำปัสสาวะที่แตกออกมาก่อนเป็นสัญญาณว่าคนท้องได้เวลาคลอดแล้ว
“ปวดท้องมากไหมคะพี่ดาว”
หญิงสาวบีบมือสาวรุ่นพี่เพื่อหวังช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวด
ในขณะที่ดาวประกายเริ่มร้องครางเป็นระยะตามจังหวะการบีบตัวของมดลูก
ซึ่งเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ ดาวประกายทำได้เพียงพยักหน้าพร้อมหายใจหอบเหนื่อย
“ดาวเตรียมข้าวของไว้หรือยัง”
ผู้กองภวินท์กลับเข้ามาในห้องพร้อมคำถามอย่างเป็นงานเป็นการเมื่อได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสอย่างแม่อวนมาแล้ว
“อยู่บนห้องค่ะในกระเป๋าสีฟ้า”
คนท้องกลั้นใจตอบ
“เดี๋ยวต่ายไปหยิบให้เองค่ะ”
ปราณปรียารีบอาสาโดยไม่รอคำอนุญาตจากใครเธอก็วิ่งตัวปลิวขึ้นชั้นบนไปอย่างรวดเร็ว
“พี่เรียกรถพยาบาลแล้วดาวอดทนหน่อยนะ
จ่าสมยศนี่ใช้ไม่ได้เลยเมียจะคลอดลูกยังไม่รู้จักเตรียมตัววางแผนก่อน”
“อย่าโทษพี่สมยศเลยค่ะ จริงๆ
กำหนดคลอดมันอีกหนึ่งอาทิตย์แต่สงสัยเจ้าตัวเล็กอยากรีบออกมาดูโลกก่อน”
ดาวประกายพยายามข่มความเจ็บปวดขณะที่อธิบายความจริง และโชคดีที่เธอเตรียมเอกสารและอุปกรณ์ทุกอย่างใส่กระเป๋าไว้พร้อมแล้วเนื่องจากเคยได้ยินหลายคนบอกว่ากำหนดคลอดอาจคลาดเคลื่อนได้บางคนก็ช้าบางคนก็เร็วออย่างเช่นเธอที่อยู่ในข่ายมาเร็วก่อนกำหนด
ขณะที่ปราณปรียาหิ้วกระเป๋าสีฟ้าใบใหญ่ลงบันไดมาอย่างทุลักทุเลเสียงรถพยาบาลก็วิ่งมาจอดที่หน้าห้องพักพอดี
พนักงานและพยาบาลที่มากับรถรีบเคลื่อนย้ายคนท้องอย่างรวดเร็วส่วนผู้กองภวินท์รีบดึงแขนปราณปรียาที่ทำท่าจะกระโจนขึ้นรถไว้ก่อน
“เดี๋ยว คุณไปพร้อมผม
ขึ้นไปบนนั้นก็เกะกะเขาเปล่าๆ” เขาพูดน้ำเสียงจริงจังและทำหน้าดุ ปราณปรียาหวนนึกถึงวันแรกที่ได้พบกันเพราะเขากำลังทำหน้าแบบวันนั้นไม่มีผิด
“ไม่ต้องฉันไปเองได้”
ปราณปรียายังไม่ยอมลดละเธอเดินชนไหล่เขาจนตัวเองเซถลาไปพร้อมกับกระเป๋าที่ขนาดเกือบเท่ากับกระสอบ
ชายหนุ่มรีบคว้าต้นแขนไว้ทันก่อนที่คนหัวดื้อจะล้มฟาดพื้นและชักสีหน้าไม่พอใจใส่เธอบ้าง
“อย่าเพิ่งดื้อตอนนี้ได้ไหม
ผมขอหละ”
ปราณปรียาจำต้องเดินกระฟัดกระเฟียดตามเขาไปเมื่อเห็นว่าไม่ใช่เวลาที่ควรจะมาร่ำไรในเมื่อดาวประกายกำลังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา
ขณะที่เดินผ่านไปด้านหน้าของห้องพักสารวัตรอาเขตก็เปิดประตูออกมาพอดี
“น้องต่ายจะหิ้วกระเป๋าไปไหนดึกดื่นขนาดนี้แล้ว”
แม้จะได้ยินสองหนุ่มสาวทะเลาะแบบพ่อแง่แม่งอนกันสักพักแล้วแต่สารวัตรหนุ่มไม่สามารถทนฟังต่อไปได้จึงเดินหลบเข้าห้องไป
แต่เพราะเสียงแตกตื่นเมื่อครู่เขาจึงอดไม่ได้ต้องลงมาดู
“พี่ดาวจะคลอดลูกค่ะ ตอนนี้รถพยาบาลมารับไปแล้วต่ายกับผู้กองจะรีบเอาสัมภาระตามไปทีหลังค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นไปรถพี่ดีกว่าไหม
นี่มันค่ำมืดแล้วนั่งมอเตอร์ไซค์คงไม่ปลอดภัย”
เขาขันอาสาขณะที่ผู้กองภวินท์นั่งบนหลังเจ้าเข้มและมองมาที่เธออย่างรอคำตอบเช่นกัน
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ” ปราณปรียาหันไปตอบรับคำเชิญของสารวัตรอาเขตโดยไม่มองกลับมาที่ผู้กองภวินท์เลยด้วยซ้ำ
เมื่อรถเก๋งคันงามแล่นผ่านหน้าไปความเดือดดาลที่ตอนแรกเขาสามารถควบคุมได้กลับปะทุขึ้นมาอีกครั้งราวกับมีภูเขาไฟเป็นร้อยลูกกำลังระเบิดอยู่ภายในจิตใจของเขา
ผู้กองภวินท์รีบบึ่งรถตามไปด้วยอารมณ์พุ่งพล่านซึ่งเขาไม่เคยมีภาวะเช่นนี้มานานแล้วนับแต่ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เรียกว่าวัยรุ่น
เหตุใดกันปราณปรียาหญิงสาวที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาจนแทบเรียกได้ว่าทุกขณะลมหายใจเข้าออกถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไปแค่เพียงช่วงเวลาเดือนเดียวที่ไม่ได้เจอและขาดการติดต่อกันด้วยความจำเป็นหลายประการ
แต่เขากลับไม่ได้นึกเฉลียวใจว่าเวลาเพียงเท่านั้นจะทำให้คนที่ผูกสมัครรักใคร่ต่อกันแล้วจะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้
แม้ว่าเขาจะเพิ่งรู้จักกับหญิงสาวได้ไม่นานแต่เขากลับมั่นใจว่าต้องมีบางอย่างที่เป็นสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างเขาและเธอเป็นแน่เพราะปราณปรียามิใช่คนที่มีลักษณะอ่อนไหวต่อสิ่งรอบข้างได้ง่ายถึงแม้ว่าภายนอกเธอจะดูคล้ายผู้หญิงบอบบางและเชื่อคนง่าย
ในขณะที่สารวัตรอาเขตเองก็สังเกตถึงความผิดปกติของปราณปรียาเช่นกันแต่เขาไม่อยากทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้โดยไม่ถามออกไป
เพียงแต่เฝ้าดูอย่างใกล้ชิด
เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาลปรากฏว่าพยาบาลถามหาพ่อของเด็กเพื่อเซ็นต์ยินยอมรับผลการรักษาเนื่องจากคาดว่าดาวประกายต้องทำการผ่าคลอด
ผู้กองภวินท์จึงต้องรีบโทรศัพท์ตามตัวจ่าสมยศซึ่งไม่เกินสิบนาทีจ่าสมยศก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทั้งเครื่องแบบด้วยสีหน้าดีใจและประหลาดใจในคราวเดียวกัน
ส่วนปราณปรียานั่งรออย่างใจจดใจจ่อที่หน้าห้องคลอดโดยมีสารวัตรอาเขตนั่งอยู่ข้างๆ
ไม่นานจ่าสมยศก็ตรงเข้ามาขอกระเป๋าสีฟ้าเพื่อไปดำเนินการทางเอกสารอีกตึกหนึ่ง
และอีกเพียงไม่ถึงนาทีดีดาวประกายก็ถูกเข็นใส่เตียงออกมาเพื่อเคลื่อนย้ายไปยังห้องผ่าตัดซึ่งอยู่คนละส่วน
อีกทั้งผู้คนที่มาโรงพยาบาลต่างเดินขวักไขว่และพูดคุยกันจอแจไปหมด
ผู้กองภวินท์ซึ่งได้ที่นั่งอีกฝั่งอดไม่ได้ที่จะลอบมองมาทางปราณปรียาซึ่งทำหน้าวิตกกังวลคงเพราะเป็นห่วงดาวประกาย
และพอหันมองคนที่นั่งข้างเธอก็พบว่าสารวัตรเองกำลังมองมาที่เขาเช่นกันแต่ไร้แววแห่งความยินดี
สะใจ หรือท้าทายในแววตาคู่นั้น
เวลาล่วงเลยไปเกือบสี่ชั่วโมงยังไม่มีวี่แววว่าดาวประกายจะออกมาจนกระทั่งตอนนี้จ่าสมยศกลับมานั่งข้างกันกับผู้กองภวินท์
บรรรดาญาติคนป่วยเริ่มลดลงเหลือที่นั่งรออย่างบางตามีเสียงพูดคุยเบาๆ
ให้ได้ยินแต่ไร้เสียงจากคนทั้งสี่คนที่ต่างก็นั่งเงียบด้วยอารมณ์และความคิดที่ต่างกันออกไป
สารวัตรอาเขตขยับตัวเหมือนจะลุกแต่ปราณปรียาฉุดแขนเขาเอาไว้พร้อมส่งแววตาขอร้องให้เขาอยู่ต่อ
เขาตบหลังมือเธอเบาๆ พร้อมกับยิ้มอบอุ่น
“เดี๋ยวพี่กลับมา”
เมื่อคล้อยหลังสารวัตรหนุ่มผู้กองภวินท์ที่คอยท่าอยู่แล้วก็รีบย้ายก้นมานั่งข้างปราณปรียาทันที
หญิงสาวทำท่าจะขยับหนีแต่ถูกวงแขนแข็งแรงโอบไหล่ไว้อย่างแน่นหนา
เธอหันมาแยกเขี้ยวใส่เขาและทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างไม่พอใจ
ส่วนจ่าสมยศแม้จะเห็นถึงความผิดปกติของสองหนุ่มสาวแต่เวลานี้ใจเขาจดจ่ออยู่กับลูกและเมียในห้องผ่าตัดเป็นลำดับแรกจึงเทียวผุดลุกผุดนั่งจนพยาบาลหน้าห้องชักจะเวียนหัว
“เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ”
ผู้กองหนุ่มกระซิบที่ข้างหูปราณปรียาอดขนลุกและหน้าชากับการกระทำของเขาไม่ได้
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันต่างหากค่ะ”
หญิงสาวกัดฟันตอบโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา
เธอโกรธที่เขาทำราวกับเธอเป็นผู้หญิงใจง่ายและหน้าโง่
“ก็ดี..ผมก็ไม่อยากคุยแล้วเหมือนกัน...ทำเลยดีกว่า”
เขาพูดเสียงเบาแต่การกระทำรวดเร็วกว่านักเมื่อเขาจงใจกดจมูกโด่งเข้ากับแก้มของเธอ
ปราณปรียาได้แต่ทำตาโตฟาดฝ่ามือใส่เขาเป็นพัลวันแต่ก็โดนเขารวบมือทั้งสองข้างไว้ได้
“เบาหน่อยคุณคนมองกันใหญ่แล้วผมอายเป็นเหมือนกันนะ”
เขาทำเป็นมองซ้ายมองขวาปราณปรียาจึงต้องหันมองรอบๆ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า
หญิงวัยกลางคนสองคนซึ่งอยู่ห่างออกไปมองมาพร้อมกับหันหน้าซุบซิบกันเสียงระงม พอหันมาทางผู้กองภวินท์ก็เห็นเขายิ้มให้เธออย่างยั่วยวนกวนประสาท
“คนที่อายต้องเป็นฉัน
นี่คุณจะเอายังไงกันแน่”
“คุณนั่นแหละเป็นอะไรกันแน่”
ทั้งสองเอาแต่จ้องตากันอย่างไม่ลดละ
หญิงสาวถลึงตาใส่ส่วนผู้กองภวินท์ยิ้มมุมปากอย่างหาเรื่องเช่นกัน
“มีอะไรกันหรือเปล่า” เสียงของสารวัตรอาเขตราวกับระฆังหมดยก
ทั้งคู่ผละออกจากกันโดยอัตโนมัติและต่างหันหน้ากันไปคนละทาง
สารวัตรหนุ่มนั่งลงขนาบอีกข้างของหญิงสาวเพียงคนเดียวก่อนแจกจ่ายกาแฟร้อนให้คนละแก้ว
“จ่า จิบกาแฟสักหน่อยจะได้สดชื่น”
สารวัตรอาเขตเรียกจ่าสมยศให้หันมาเพราะรายนั้นเอาแต่จดจ้องอยู่ที่หน้าห้องตาไม่กระพริบ
เขารับกาแฟไปพร้อมกล่าวขอบคุณ จากนั้นต่างคนต่างก็จิบกาแฟกันไปอย่างเงียบๆ
จนกระทั่งพยาบาลเข็นรถใส่เด็กออกมาจากห้องทั้งสี่คนจึงกรูไปที่หน้าประตูเกือบจะพร้อมกัน
“ใครเป็นพ่อเด็กคะ” พยาบาลเรียกหา
จ่าสมยศรีบโผล่หน้าไปทันที
“คุณแม่ต้องอยู่ในห้องพักฟื้นก่อนนะคะ
ส่วนน้องเดี๋ยวพยาบาลจะอาบน้ำล้างตัวให้แล้วจะพาไปส่งที่เตียงคุณแม่ทีหลังค่ะ”
จ่าสมยศแทบจะฟังคำแนะนำของพยาบาลไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำเพราะมัวแต่ปลาบปลื้มดีใจกับสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่อยู่ในเตียงเล็กๆ
นั้น ปราณปรียาเองก็อดดีใจกับคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้เช่นกันเธอแอบน้ำตาซึมกับท่าทางอ่อนโยนของจ่าสมยศเวลาที่มองดูลูกตัวน้อยๆ
ของเขา นี่กระมังที่จะเป็นโซ่ทองคล้องใจของคนสองคนไว้ด้วยกันเมื่อความรักถูกหล่อหลอมมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขและหัวใจที่ผูกพันต่อกัน
************************************************************************************
จะพยายามมาให้เร็วนะคะ ใกล้จะถึงบทสรุปแล้วค่า
ความคิดเห็น