ตอนที่ 13 : ARCII : กระเรียนไร้ใจ-4-
บทที่4
ผ่านมาราว1ปี เนื้อเรื่องทุกอย่างยังคงปกติ ตัวละครทุกตัวดำเนินเรื่องไปตามบทบาท จ้าวอวี้ยังคงกวัดแกว่งดาบอยู่ในสนามรบ ทุกๆวันร่างของเขาอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน สงครามที่ยืดเยื้อไม่มีทีท่าว่าจะจบลง
“ทางนั้นเป็นยังไงบ้างเสี่ยวหลัน”จ้าวอวี้ชะโงกหน้าไปที่แม่น้ำ ภาพสะท้อนของน้ำคือเจ้าระบบตัวกลม การติดต่อนี้เป็นเสี่ยวหลันที่มีพัฒนาการขึ้นมา มันช่วยย่นระยะที่เสี่ยวหลันจะต้องบินไปกลับระหว่างเมืองหลวงและชายแดนได้
“ยังคงปกติครับโฮสต์ ตอนนี้ฮ่องเต้มีราชโองการมอบสมรสพระราชทานให้แก่ไท่จื่อและจ้าวจินฮวนางร้ายของเรื่องแล้วครับ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้วางแผนเอาไว้ว่าหลังจากสงครามจบจะสละราชบัลลังก์ให้แก่ไท่จื่อเพื่อเปลี่ยนรัชสมัย”
“ทำไมทางนั้นยังไม่เคลื่อนไหว เป้าหมายของมันไม่ใช่การทำให้ตัวละครoocงั้นหรือ”
“หรือว่ามันจะมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้นครับ”
“อาจจะเป็นไปได้ว่าขอแค่โลกใบนี้ล่มสลาย นั่นอาจจะเป็นเป้าหมายของมันก็ได้ แต่ที่เลือกใช้วิธีoocเพราะจะได้ไม่ต้องลงมือทำอะไรแค่นั่งบนภูดูเสือกัดกัน”
“ทางเราต้องทำอะไรพิเศษไหมครับ”
“นั่นควรเป็นคำถามของผมที่ไว้ใช้ถามระบบประจำตัวนะเสี่ยวหลัน เอาเป็นว่าอีกสักพักจะต้องเป็นทีของเราบ้าง”จ้าวอวี้เสียงแข็ง “เสี่ยวหลันก็พยายามเข้าล่ะ”เขาจะอยากจะรู้จริงๆว่ามีเจ้าหน้าที่คนไหนต้องมานั่งให้กำลังระบบตัวเองแบบนี้บ้าง
ภาพสะท้อนบนผิวน้ำกลับมาเป็นใบหน้าของเขาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาคล้ายจะหยาบกร้านขึ้นมาก แต่ทว่าก็ไม่ได้ปกปิดเสน่ห์เย้ายวนที่เป็นของหลินเว่ย จ้าวอวี้หยันตัวยืนขึ้นก่อนที่มือบางจะปลดสายรัดเอวออกจากตัว ชุดคลุมกายผืนบางของเขาร่วงลงไปกองที่สองเท้าเปลือยเปล่า
จ้าวอวี้ค่อยๆหย่อนตัวลงไปในน้ำ ยกมือขึ้นมากวักน้ำจนไหลลู่ผ่านไหปลาร้า ดวงตาสีดำขลับชมจันทร์กลมโตอย่างสุนทรีย์ หากมีสุราสักจอกอยู่ในมือคงดีไม่น้อย
จ๋อม
เสียงของบางอย่างกระทบลงบนผิวน้ำทำให้จ้าวอวี้เบิกตาโพลงหันขวับไปมองทางตนเสียง หมู่เมฆาก้อนใหญ่เข้ามาบดบังดวงจันทร์ทำให้แสงสีนวลไม่อาจสาดส่องออกมาได้
“ใครน่ะ!”จ้าวอวี้ตะโกน ดวงตาของเขาเห็นเพียงเงาของคนร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้
“สวัสดีคุณเจ้าหน้าที่กระต่ายน้อย ยินดีที่ได้รู้จัก เกือบ2ปีบนโลกใบนี้สนุกไหมล่ะ”น้ำเสียงแบบนี้ สรรพนามที่ใช้เรียกแบบนี้ จ้าวอวี้กำหนัดแน่นพลางเม้มริมฝีปาก นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่เมฆาใหญ่ได้ลอยผ่านไป บริเวณนี้เริ่มมีแสงอีกครั้ง แสงจันทร์สีนวลสาดส่องกระทบร่างตรงข้ามของเขา
...กายเนื้อของเจ้าบัคนั่น ไม่ผิด! มันทำเหมือนโลกที่แล้วไม่มีผิด!
“คุณโผล่มาที่นี่ได้ยังไง หึ คิดว่าซ่อนไปจนจบโลกนี้เสียอีก คุณบัคขี้ขลาด”จ้าวอวี้แสยะยิ้ม สายตาของเขาเหยียดหยามคนตรงข้าม
“โอ้ พูดแบบนี้หมายความว่าเราเคยเจอกันมาก่อนสินะ เจ้าหน้าที่จากโลกไหนล่ะ พอดีศัตรูของฉันเยอะเสียด้วย”
“จะโลกไหนก็ไม่สำคัญ โผล่หัวมาทำไมล่ะ ผมยังไม่ได้เล่นซ่อนแอบกับคุณเลยนะ”
“ปกติก็ไม่ทำแบบนี้หรอก แต่เธอพิเศษไงล่ะ”จ้าวอวี้ชะงักไปกับประโยคนั้น มันคุ้นหูเขามากจนหวนนึกไปถึงครั้งที่เจอเจ้าบัคนนั่น
ไอ้บัคเวร ได้ข่าวว่าโลกก่อนก็พูดแบบนี้กับเขาไม่ใช่รึไง ไอ้ชุดข้อมูลจอมลวงโลก
ขนาดตอนนี้ยังจำไม่ได้ว่าเขาคือใคร นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่บัคเวรนี่ออกมาปรากฏตัวให้เจ้าหน้าที่เห็น แล้วทำไมเจ้าหน้าที่คนอื่นถึงเอาแต่บอกว่าไม่เจอตัวบัคเลยจนกระทั่งโลกล่มสลาย
ตอนนี้เขารู้สึกสงสัยพวกเดียวกันมากกว่าไอ้ชุดข้อมูลตรงหน้าอีก
“เอาล่ะ ถ้าหากว่าพวกเราเคยเจอกันแล้ว ฉันก็จะไม่ถามคำถามเดิมที่เคยถามไปแล้ว นั่นแปลว่าเธอคงไม่ใช่เขา”ดวงตาของบัควูบไหวชั่วขณะ ก่อนที่เจ้านั่นจะเหยียดยิ้มเย้ยหยันออกมา “งั้นก็หมายความว่าโลกใบนี้ไร้ความหมายสำหรับฉันแล้ว ขอทำลายมันแล้วกันนะ หึ”ว่าจบอีกฝ่ายก็หายไป
จ้าวอวี้ไม่ทันได้รั้งตัวเอาไว้ เขายังคงมึนงง ในหัวไม่สามารถเรียบเรียงเรื่องต่างๆได้
“คำถามอะไรวะ”เขาเกาหัวอย่างสงสัย ดูเหมือนเจ้าบัคนั่นจะจับลักษณะพิเศษของเจ้าหน้าที่บางคนขึ้นมา และจะปรากฏตัวให้เจ้าหน้าที่คนนั้นเห็นพร้อมกับถามคำถามบางอย่าง แต่ตอนที่จ้าวอวี้เจอบัคนั่นครั้งแรก เขาตกใจมากเสียจนเรื่องบางอย่างตกหล่นไป
และใช่ เขาจำไม่ได้ว่าบัคอันตรายคนนั้นเคยถามอะไรกับเขา
“โธ่เว้ย ผมไม่ปล่อยให้คุณทำลายโลกนี้แน่”จ้าวอวี้กัดฟันกรอด ทุบกำปั้นลงบนน้ำที่ไหลเอื่อย จนมันสาดกระเซ็นเป็นหยดเล็กหยดน้อย
สงครามใกล้จะจบลงแล้ว ได้เวลาที่จ้าวอวี้จะต้องกลายเป็นบุคคลที่เสียชีวิตในสงคราม เขาเรียกตัวเสี่ยวหลันมา ก่อนจะสั่งให้เจ้าอ้วนเปิดร้านค้าขึ้นมา เขาซื้อยาฟื้นฟูกำลังและรักษาอาการบาดเจ็บเตรียมเอาไว้ ในวันนี้เขาจะเอาตัวไปรับคมดาบศัตรูแทนแม่ทัพกวาน
“ท่านอาจารย์หลบไป!”จ้าวอวี้วิ่งเข้าไปผลักร่างของแม่ทัพกวานออกจากปลายของคมดาบ และเป็นเขาเองที่ต้องรับความเจ็บปวดนั้น
“หลินเว่ย!”แม่ทัพกวานตะโกนก้อง ชายวัยกลางคนสังหารศัตรูที่แทงจ้าวอวี้ก่อนจะอุ้มร่างของศิษย์ฝ่าไปยังต้นไม้ใกล้ๆโดยมีทหารอีก2คนคอยตวัดดาบกรุยทาง
“อึก”จ้าวอวี้กระอักเลือดออกมา ใบหน้าของเขาขาวซีดและอิดโรย
“เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไรนะ เจ้าศิษย์โง่ เจ้าจะมารับคมดาบแทนข้าทำไม”แม่ทัพกวานมีสีหน้าเคร่งเครียด เหตุการณ์ที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด มันได้เกิดขึ้นแล้ว
“สงครามจะขาดแม่ทัพใหญ่ได้อย่างไรกัน อึก”เขาเอ่ยแม้ว่าบาดแผลตรงกลางอกของเขาจะมีเลือดไหลไม่หยุด “ท่านคือกำลังใจและกำลังสำคัญที่จะทำให้แคว้นของเราอปราชัย ไม่มีข้ากองทัพย่อมอยู่ได้ แต่ไม่มีท่านกองทัพอยู่ไม่ได้”
“หลินเว่ย เจ้าอดทนหน่อยเถิด ทหารกำลังไปตามหมอมา อดทนเพื่อตัวเจ้าเอง เพื่อข้า เพื่อองค์ไท่จื่อที่รอเจ้าอยู่”
“ท่านอาจารย์ ศิษย์บุญน้อยนัก ข้ารู้ดีว่าตอนนี้ร่างกายของข้าไม่ไหวแล้ว ท่านอาจารย์...องค์ไท่จื่อ...ข้าขอฝากพระองค์ด้วย”จ้าวอวี้เอ่ยประโยคนั้นจบ ดวงตาของจ้าวอวี้หลับลง ชีพจรเต้นอ่อนลงเรื่อยๆจนแทบหาไม่เจอ
“ท่านแม่ทัพขอรับ! ทัพของเราเริ่มจะต้านไม่ไหวแล้ว”แม่ทัพกวานกำหมัดแน่น ร่างของชายวัยกลางคนที่คุกเข่าอยู่ทำในสิ่งที่เหล่าทหารแทบไม่เชื่อสายตา แม่ทัพกวานผู้ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในแคว้นกำลังคำนับร่างของศิษย์ตัวเองจนหน้าผากกระทบพื้นดิ้น
“ข้าขอสัญญา พระชายา!”
ร่างของจ้าวอวี้ถูกทิ้งไว้อย่างนั้น คงรอให้สงครามจบทหารถึงจะเริ่มมาเก็บศพไพร่พลที่เสียชีวิตลง แม่ทัพกวานกลับไปรบต่อ เสี่ยวหลันรีบเอายาที่เตรียมไว้ป้อนเข้าปากของจ้าวอวี้ ก่อนที่ดวงตาสีดำขลับจะลืมขึ้น
“ชิ เจ็บชะมัดเลย”เขาบ่นพร้อมกับเบะปาก มือคอยลูบๆคลำๆบริเวณที่เคยมีแผลขนาดใหญ่
“การแสดงของโฮสต์ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิมเลยครับ”เสี่ยวหลันเอ่ยอย่างชื่นชม จ้าวอวี้ยกยิ้มไม่ปฏิเสธ เขาอาศัยความวุ่นวายของการรบรา ปลีกตัวเข้ามาในป่า
“โฮสต์จะไปไหนครับ”
“กลับเมืองหลวง”
ปั้ง
เสียงของกำปั้นที่ทุบลงบนโต๊ะ ทำให้ทหารที่รับหน้าที่ส่งสารด้วยม้าเร็วสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ
“โกหก โกหก นี่มันต้องเป็นเรื่องโกหก”หลี่เฉียงขยำจดหมายในกำมือแน่น เขายังคงไม่ยอมรับกับข่าวร้ายของคนรักตน
“องค์ไท่จื่อ ทำใจเสียเถิดมันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์”ฮองเฮาหรือก็คือพระมารดาของหลี่เฉียงเดินเข้ามาปลอบประโลมโอรสของตน หลี่เฉียงกอดพระมารดาของตนแน่นก่อนที่หยาดน้ำตาอุ่นจะไหลออกมา เสียงร้องไห้ปริ่มจะขาดใจทำให้ฮองเฮามีสีพระพักตร์เคร่งเครียด
“ท่านแม่ ข้าอยากอยู่คนเดียว”หลี่เฉียงเอ่ย ดวงตายังคงเลื่อนลอย ฮองเฮาเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ไม่อาจวางใจ แต่พระนางก็ทำอะไรมากไปกว่าการปลอบประโลมไม่ได้อีกแล้ว
“องค์ไท่จื่อ รักษาพระวรกายด้วย”นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาก่อนจะเดินออกจากตำหนักของหลี่เฉียงไป
ชายที่เพิ่งสูญเสียคนรักไปเมื่อครู่มีสีหน้าราบเรียบ ร่างสูงเดินไปนั่งลงบนตั่งขนาดใหญ่ ระบบสีดำของเขาก็บินตามมา
“เจ้าหน้าที่คนนี้คิดจะทำอะไร”บัคตัวร้ายเปรยขึ้นขอความเห็น
“จากความคิดของระบบ ระบบคิดว่าเขาอาจจะทำตัวเหมือนนายท่าน”
“ยังไง”
“หากตัวละครหลินเว่ยกลายเป็นบุคคลที่เสียชีวิตในสงคราม ต่อจากนี้ไปเจ้าหน้าที่คนนั้นจะมีอิสระในการเคลื่อนไหวกำหนดทิศทางของบท ในขณะเดียวกันก็อาจจะคอยจับตานายท่าน”
“นั่นสินะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็นับว่าเป็นคนที่ฉลาดไม่น้อย บางทีเจ้าหน้าที่คนนั้นอาจจะเป็นคนเดียวกับกระต่ายตัวที่แล้ว ชักน่าสนุกขึ้นมาอีกแล้วสิ”
“แต่ถ้าเป็นคนละคน นั่นอาจจะหมายความว่าระบบแม่ของทางฝั่งนั้นอาจจะเลื่อนระดับเจ้าหน้าที่ที่มาจับนายท่านแล้ว”เพราะผ่านและทำลายมาหลายโลก เริ่มจากการที่เป็นบัคกากๆตัวหนึ่ง พัฒนาจนสร้างระบบเลียนแบบเป็นของตัวเองได้ นับว่านายท่านของมันแทบจะเคยเจอเจ้าหน้าที่จากทุกคลาสเลยด้วยซ้ำ ทุกๆโลกที่ถูกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่เริ่มรับมือยากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปนายท่านของมันอาจจะรับไม่ไหว
“เป็นแบบนั้นแหละดีแล้ว เขาคนนั้นเป็นคนฉลาด ยิ่งพวกเราเจอคนฉลาดมากเท่าไหร่ มันก็หมายความว่าเราเข้าใกล้เขามากขึ้นแล้ว”
...เขาออกตามหา ตามหามานานขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่ปรากฏตัวกัน
...หรือว่าเซียวจ้าวอวี้คนนั้น จะจำหวังเฉิงชุนคนนี้ไม่ได้แล้วสินะ
____________________
ง่วงแล้วอ่ะ ว่าจะปั่นให้ทันแต่ก็ข้ามวันอีกตามเคย
ในที่สุดก็ได้เปิดเผยชื่อคุณบัค ซึ่งความจริงก็คิดสดนั่นแหละ555
นิยายเรื่องนี้ลงบ่อยๆช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง ตาจะเป็นหมีแพนด้าแล้วทั้งคนอ่านคนแต่ง
___________________
-----เซียวจ้าวอวี้คนนั้น-----
------หวังเฉิงชุนคนนี้-----
ใครแซ่บกว่ากัน555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เรากลัวระบบแม่จะรีเซ็ทจริงๆนะเนี่ย