ตอนที่ 12 : ARCII : กระเรียนไร้ใจ-3-
บทที่3
จ้าวอวี้ถูกส่งตัวไปเป็นลูกศิษย์ของแม่ทัพกวาน แม่ทัพวัยกลางคนที่มีฝีมือมากที่สุดในแคว้นต้าหยางโดยการฝากฝังขององค์ชายรอง จากที่สังเกตดูเหมือนว่าแม่ทัพกวานผู้นี้จะอยู่ฝ่ายที่สนับสนุนให้หลี่เฉียงขึ้นเป็นรัชทายาทคนต่อไป
“เว่ยเอ๋อร์”ในขณะที่จ้าวอวี้กำลังฝึกซ้อมเพลงดาบอยู่นั้น เสียงทุ้มที่เขาได้ยินทุกวันก็ดังขึ้น
“คาราวะองค์ชายรอง”
“เป็นกันเองเถิดเว่ยเอ๋อร์”หลี่เฉียงเดินเข้ามาประชิด ในขณะที่จ้าวอวี้ก้าวถอยหลังออกมาอย่างแนบเนียน บนใบหน้าเนียนยังคงประดับด้วยรอยยิ้มและไฝเสน่ห์เม็ดเล็กใต้ริมฝีปาก
“องค์ชายรอง พระองค์มาที่นี่อีกแล้ว กระหม่อมบอกว่าอย่ามา เหตุใดพระองค์ไม่ฟังคำขอร้องของกระหม่อมบ้าง”นั่นน่ะสิ ทำไมไม่ฟังบ้าง ไม่ได้อย่างมีพระสวามีตอนอายุ15แบบนี้นะ ไม่สิ อายุเท่าไหร่ก็ไม่อยากมีทั้งนั้นแหละ
“แค่ให้เจ้ามาอยู่ที่นี่ก็เกินพอแล้ว เหตุใดเจ้าจึงชอบผลักไสข้านัก”คำพูดตัดพ้อสวนทางกับมือไม้ที่เข้ามาโอบเอวของเขา การกระทำประเจิดประเจ้อเช่นนี้ นับว่าหลี่เฉียงเป็นคนหน้าไม่อายคนหนึ่ง ถึงแม้รอบกายจะเป็นป่าไผ่ที่ไร้ผู้คนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทหารคนไหนเดินผ่านมา ครั้นจะสะบัดทิ้งก็ไม่ใช้นิสัยของหลินเว่ย
“กระหม่อมแค่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม”
“เหมาะสมหรือไม่นั้น ข้าจะเป็นคนตัดสินเอง เว่ยเอ๋อร์ขอให้ข้ามองเจ้าให้นานอีกนิดเถิด อีกไม่นานข้าจะต้องทำบางสิ่ง ที่อาจไม่มีแม้เวลาจะได้มาเยี่ยมเยียนเจ้า”
“พระองค์กำลังจะทำอะไร”
“อีกไม่นานจะมีการเลือกตำแหน่งองค์ไท่จื่อ ข้าคงนิ่งนอนไม่ได้ ยิ่งพี่ใหญ่รู้ว่าข้ามีเจ้า เจ้ายิ่งไม่ปลอดภัย ข้าจะต้องทำให้ทุกอย่างให้จบ เพื่อปกป้องเจ้า”ว่าจบร่างสูงก็ก้มลงมา กดจมูกโด่งลงบนแก้มของจ้าวอวี้ คนถูกลวนลามเบิกตาโพลง “ถึงตอนนั้นข้าคงคิดถึงเจ้ามาก”
“องค์ชายรอง อย่าทำเช่นนี้ เดี๋ยวมีคนมาเห็น”ไม่อายฟ้าอายดินก็ช่วยอายเสี่ยวหลันของเขาด้วย ดูสิ เจ้าก้อนอ้วนนั่นเปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้ว
“ข้าจะกลับมา...จะต้องเป็นไท่จื่อที่เพียบพร้อม ถึงวันนั้นข้าจะให้เจ้ามาเป็นไท่จื่อเฟยของข้า”
“ไม่ได้นะพะย่ะค่ะ”จะให้เขาไปแย่งตำแหน่งที่ควรเป็นของนางร้ายรึไง เดี๋ยวเขาก็โดนแม่นั่นเฉ่งหรอก “พระองค์ก็รู้ แม้ว่าบุรุษจะแต่งในตำแหน่งใดให้ไท่จื่อก็ไม่มีปัญหา ยกเว้นตำแหน่งไท่จื่อเฟย ต้องมีผู้คนมากมายไม่ยอมรับ ที่ว่าที่พระแม่ของแผ่นดินเป็นบุรุษ”
“ข้าไม่สน”
“แค่พระองค์และกระหม่อมรู้ว่าพวกเรารู้สึกอย่างไรต่อกัน แค่นั้นกระหม่อมก็พอใจแล้ว”จ้าวอวี้เสียงหวานพร้อมกับแต้มยิ้มบางๆที่มุมปาก
“เว่ยเอ๋อร์ของข้าช่างมักน้อยยิ่งนัก เอาเถอะ ถึงวันนั้นข้าจะกลับมาถามเจ้าอีกครั้ง”
“พะย่ะค่ะ”เหอะ ใครจะโง่อยู่รอวันนั้นกัน
“ข้าคงต้องไปแล้ว หลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอกันอีก ดูแลตัวเองนะเว่ยเอ๋อร์”
“พะย่ะค่ะ พระองค์เองก็รักษาพระพลานามัยด้วยนะพะย่ะค่ะ”...จะไปตายที่ไหนก็ไปเถอะ
จ้าวอวี้มองแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปจนลับสายตา รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าจางหายไป ในสมองครุ่นคิดแผนการบางอย่าง
ในขณะเดียวกันคนที่จากไป บนใบหน้าหล่อเหลาคมคายก็ไร้รอยยิ้มเช่นกัน บรรยากาศรอบข้างเริ่มเย็นเยียบเหมือนที่ยามปกติเป็น
“เป็นลูกกระต่ายที่การแสดงดีเยี่ยมจริงๆ”พวกเขาต่างแสร้งทำเหมือนว่ารักกัน ทั้งๆที่ต่างคนก็ต่างมีแผนของตัวเอง
เขาเองก็อยากรู้เช่นกัน ว่าหมากเบี้ยตัวไหน ที่จะทำให้พวกเขาคว้าชัยได้ก่อนกัน
ยามนี้อยู่ในช่วงปลายเหมันต์ หิมะเริ่มหยุดตก แสงอาทิตย์อุ่นเริ่มเข้ามาแทนที่ ใบไม้และบุปผาที่ร่วงหล่นเริ่มผลิดอกออกใบบ่งบอกว่าวสันตฤดูกำลังมาถึง นั่นอาจหมายถึงข่าวดีที่กำลังมาเยือนในไม่ช้านี้
ตั้งแต่วันที่เจอหลี่เฉียงเป็นครั้งสุดท้ายก็ผ่านมาราว5เดือน มีหลายสิ่งเปลี่ยนไป องค์ชายรองหลี่เฉียงปราบปรามและริดรอนอำนาจขององค์ชายใหญ่ได้สำเร็จ ในบรรดาองค์ชายไม่มีใครแกร่งกล้าเท่ากับเขาอีกแล้ว ตำแหน่งไท่จื่อก็คงเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
จ้าวอวี้ควรจะได้แสดงความยินดีกับคนรักของตนที่ในอีกไม่กี่เดือนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นไท่จื่อและกลับไปครองรักกับเขาเช่นที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ก็เหมือนระบบแม่จะไม่ใจร้ายแก่กันมากเกินไป ถึงได้ส่งกองทัพจากแคว้นศัตรูมาประชิดชายแดนของเมืองหนึ่งซึ่งห่างไกลจากเมืองหลวงมากนัก
“เจ้าว่าอย่างไรนะหลินเว่ย”แม่ทัพกวานถามด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ ในขณะที่เจ้าอวี้กำลังโค้งตัวนิ่งอยู่ในท่านั้น
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากจะร่วมทัพกับพวกท่าน ได้โปรดให้ข้าเข้าร่วมการศึกครั้งนี้ด้วย”
“ไม่ได้ เจ้าก็รู้ว่าเจ้าสำคัญกับองค์ไท่จื่อแค่ไหน อีกไม่นานพระองค์ก็จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ วันนั้นพระองค์อาจจะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระชายา”แม่ทัพวัยกลางคนยังยืนยันเสียงแข็ง
แม้ว่าตอนนี้ทั้งวรยุทธ์และเพลงดาบของลูกศิษย์เขาจะดีมาก แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นในสงครามกับเด็กหนุ่มตรงหน้า หัวเขาอีกกี่สิบหัวก็คงไม่พอให้องค์ไท่จื่อระบายความเคียดแค้น
“แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ข้าได้มาอยู่ที่นี่ แต่ข้าก็อยากจะเข้าร่วมสงคราม อยากร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องในค่าย อีกทั้งคนจะมององค์ไท่จื่อเช่นไร หากพระองค์แต่งตั้งบุรุษเป็นพระชายาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง สู้ตอนนี้ให้ข้าไปรบยังพอชะลอเรื่องนี้ได้”
“เจ้าไม่ได้รักองค์ไท่จื่ออย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงได้ผลักไสตัวเองออกจากพระองค์เช่นนี้”
“ข้าย่อมรัก แต่เพราะข้ารัก ข้าย่อมไม่อยากให้ผู้ใดมาใช้วาจาทำร้ายคนรักของข้า ท่านอาจารย์ท่านก็รู้ว่าหากชาวบ้านเอาเรื่องนี้ไปนินทา หรือมีโรงงิ้วที่ไหนเอาเรื่องนี้ไปเล่ากล่าว ตัวข้าก็คงสร้างความอับอายให้แก่คนรักแล้ว”
“เฮ้อ เห็นแก่ความเสียสละของเจ้า ข้าจะนำเอาเรื่องนี้ไปบอกแก่ฮองเฮา”
“อาจารย์...ศิษย์จะไม่ลืมบุญคุณของท่าน”จ้าวอวี้ลอบยิ้มในใจ แผนการของเขาสำเร็จไปอีกก้าว
จ้าวอวี้เดินออกมาจากจวนแม่ทัพกวาน เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมชื่อดังของเมืองหลวง เขาเปิดห้องส่วนตัวก่อนจะปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงและอาหาร
“เสี่ยวหลัน นายคิดว่าบัคนั่นจะแฝงตัวอยู่ที่ไหน”จู่ๆจ้าวอวี้ก็ถามขึ้น ดวงตากลมยังคงทอดมองดอกอิงฮวาสีชมพูที่ปลิวไหวตามกระแสลม
“ระบบคิดว่าบางทีเขาอาจจะใช้วิธีเดิมจากโลกที่แล้ว แฝงตัวอยู่ในคนที่บงการตัวละครเอกได้”
“แต่คราวนี้ผมกลับคิดว่าเขาจะไม่ทำแบบนั้นนะ นักมายากลที่เคยแสดงกลพลาด ย่อมไม่อยากแสดงกลนั้นอีก จนกว่าจะแน่ใจว่ามันจะแนบเนียนมากพอที่จะไม่พลาดอีก แล้วยิ่งหลี่เฉียงที่เป็นคนฉลาดและเป็นฮ่องเต้ในอนาคตไม่ใช่คนที่จะถูกคนใกล้ตัวบงการได้
หลิวหยางเองก็เป็นตัวละครที่ฉลาดคงไม่โดนเป่าหูง่ายๆ โดยเฉพาะคนที่เป็นนายเอกหรือนางเอกเนี่ย มักจะมีความดื้อรั้นแบบโง่ๆเป็นพิเศษ ตอนนี้ที่ผมคิดได้สองทาง ทางแรกก็คือเจ้านั่นอาจจะใช้แผนเดิมเหมือนโลกที่แล้วจริงๆและกำลังแฝงตัวอยู่ในตัวละครที่เราไม่สามารถเดาได้ หรือทางที่สองก็คือเจ้านั่นอาจจะแฝงตัวอยู่ที่ตัวละครหลักตัวไหนสักตัว”
“แล้วโฮสต์คิดว่าเขาแฝงตัวอยู่ที่ใครครับ”
“ผมไม่รู้หรอก จนกว่าจะได้เจอทุกตัวละคร อีกอย่างตอนนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามบท และเส้นทางของตัวละครก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ยกเว้นการมีอยู่ของผม เจ้านั่นเองก็เหมือนมีแผนบางอย่างถึงได้ทำตัวสงบเสงี่ยม แทบจะไม่มีตัวละครตัวไหนoocจริงๆเลย”
“ระหว่างที่โฮสต์ไปร่วมสงคราม ระบบจะคอยจับตาดูตัวละครหลักไว้ให้ดีครับ”เสี่ยวหลันยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จ้าวอวี้ยกยิ้มกว้างก่อนที่ฝ่ามือจะขยี้ลงบนขนนุ่มของระบบ เจ้าตัวกลมเผลอครางงุ้งงิ้งคล้ายพอใจ
“เก่งมากเสี่ยวหลัน”เมื่อคุณทรีตระบบให้เป็นลูกแมว ระบบก็พร้อมจะเป็นลูกแมวตัวน้อยให้คุณ
และแล้วหลังจากใช้เวลาจัดเตรียมกองทัพภายใน1เดือน ทัพหลวงก็พร้อมที่จะไปออกรบ และนั่นเป็นครั้งแรกในรอบ6เดือนที่จ้าวอวี้ได้พบกับหลี่เฉียง
“คาราวะองค์ไท่จื่อ”หลี่เฉียงเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาราบเรียบ ในดวงตาสีน้ำตาลไหม้คู่นั้นคล้ายมีบางอย่างคุกรุ่นอยู่
“หึ ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอเจ้าในสถานการณ์เช่นนี้”
“ขอองค์ไท่จื่อโปรดเห็นใจ นี่เป็นความตั้งใจของกระหม่อม”จ้าวอวี้ทรุดตัวลง “เป็นกระหม่อมที่ผิดต่อพระองค์ ขอพระองค์ทรงลงอาญา”
“ถ้าโทษของเจ้าคือการที่เจ้าไม่ไปไหน เจ้าจะยอมรับมันหรือไม่”สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จ้าวอวี้ขบริมฝีปากแน่น ก่อนที่หยาดน้ำใสจะตกลงบนพื้นดินหยดแล้วหยดเล่า
“...”
“คงไม่สินะ ข้าคงสำคัญน้อยกว่าสงครามพวกนั้นก็ของเจ้า”
“กระหม่อมอยู่ที่นี่รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้พระองค์ กระหม่อมเคยบอกกับพระองค์แล้ว ว่ากระหม่อมไม่อยากเป็นภาระของพระองค์อีก นั่นรวมถึงกระหม่อมไม่อยากเป็นจุดอ่อนของพระองค์ด้วยเช่นกัน”
“ข้าไม่เคยมองเจ้าเป็นภาระ มีแต่เจ้าที่คิดไปเอง”
“เป็นความผิดของกระหม่อม”
“ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะไปสินะ”
“พะย่ะค่ะ”สิ้นคำของจ้าวอวี้ หลี่เฉียงก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปทันที จ้าวอวี้ค่อยๆลุกขึ้นมือบางปาดน้ำตาออกมา ใบหน้าของเขากลับมาเรียบนิ่ง
“เสี่ยวหลัน ต่อไปนี้จับตามองทุกตัวละครที่น่าสงสัย”
...แล้วก็ได้เวลาที่เขาจะต้องทำให้หลินเว่ยกลายเป็นบุคคลที่ตายในสงครามเสียที
เพียงเท่านั้น เขาก็จะได้เฝ้ามองทุกตัวละครจากในที่มืด หึ คราวนี้จะต้องเป็นเจ้าบัคนั่นบ้างที่อยู่ท่ามกลางแสงสว่าง...และคอยให้เขาจับตามอง
______________________
แงง ชอบการแสดงของผัวเมียคู่นี้อ่ะ
ศีลเสมอกันมากจริงๆค่ะ แอบมากระซิบว่าภาคนี้อาจจะจบดี
(ถ้าตอนที่เขียนตอบจบไม่เผลอไปอ่านนิยายดราม่ามานะคะ)
ภาคนี้มีราชาศัพท์ด้วย ถ้าผิดตรงไหนช่วยบอกด้วยนะคะ
คือตอนอ่านนิยายชาวบ้านเขานี่เพลินมาก พอมาแต่งเองนี่เปิดหาราชาศัพท์เป็นว่าเล่น
_______________________
"พระองค์ต้องเข้าใจกระหม่อมด้วย กระหม่อมเพิ่งจะ15 พระองค์จะมาพรากผู้เยาว์ไม่ได้!"
"ที่นี่ไม่กฎหมายแบบนี้"
"เอ๊ะ พระองค์กล้าเถียงเหรอ//เท้าเอว ทำหน้าดุ"
"..."
"ดีมาก เงียบแบบนี้แหละดี อ่ะนี่หมอนของพระองค์ ออกไปจากห้องกระหม่อมได้แล้ว"
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอ๊ะ ฟาดอะไรดีนะ?