ตอนที่ 14 : ARCII : กระเรียนไร้ใจ-5-
บทที่5
ในตอนนี้สงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว ตัวตนของหลินเว่ยกลายเป็นบุคคลที่เสียชีวิตในสงคราม ไม่สามารถนำกลับมาได้แม้แต่ร่างไร้ลมหายใจ การสูญเสียคนรักครั้งยิ่งใหญ่ทำให้องค์ไท่จื่อปิดตำหนักและไม่ออกว่าราชการหลายสัปดาห์ สร้างความกังวลให้แก่ฮ่องเต้ ฮองเฮา และเหล่าขุนนาง
ทุกคนต่างหวังเพิ่งไท่จื่อเฟยที่แต่งเข้าตำหนักไท่จื่อเมื่อไม่นานมานี้ แต่เหมือนนางจะทำได้ไม่ดีนัก ด้วยความที่ไม่เคยได้ปรนนิบัติรับใช้ไท่จื่อเลยสักครั้ง จึงทำให้จ้าวจินฮวาเก็บงำความริษยาคนรักของไท่จื่อมาตลอด ยิ่งมีวงในกล่าวกันว่าคนรักคนนั้นขององค์ไท่จื่อจะแต่งเข้ามารับตำแหน่งพระชายารอง นั่นยิ่งทำให้นางเคียดแค้น พอได้รู้ว่ามันตายลงในสงคราม มีหรือที่นางจะไม่ดีใจ
“ถวายพระพรองค์ไท่จื่อเพคะ”จ้าวจินฮวายอบกายลง ก่อนจะเดินตรงเข้ามาใกล้พระสวามีของตน
“เจ้าเข้ามามีอะไร”เสียงทุ้มนั่นยังคงเย็นชามิต่างจากครั้งแรกที่พบกัน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็เป็นคนที่นางรักจนหมดหัวใจ
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระองค์ไม่เสวยมาหลายชั่วยาม หม่อมฉันจึงนำสำรับมาให้และมาคอยปรนนิบัติพระองค์เพคะ”นางเอ่ยเสียงหวาน ช้อนตามองชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานอย่างออดอ้อน
“ออกไป”
“แต่ว่าพระองค์จะไม่รับ...”
“บอกให้ออกไปไม่ได้ยินรึไง”หลี่เฉียงเอ่ยตวาดจนร่างของจ้าวจินฮวาสะดุ้งเฮือก ก่อนที่ความน้อยใจและริษยาจะถาโถมจนกลบสิ้นซึ่งสตินึกคิดของตน
“ใช่สิ หม่อมฉันไม่ใช่คนรักของพระองค์นี่เพคะ ขนาดมันตายไป หายใจเข้าออกพระองค์ก็ยังมีแต่มัน ตายไปก็ดี บุรุษแบบนั้นไม่มีทางเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายารองที่พระองค์วางไว้ให้มันหรอกเพคะ หม่อมฉันอยากจะรู้จริงๆว่ามันทำอะไรที่ทำให้พระองค์ทรงรักแล้วก็หลงมันขนาดนี้”
“...”
“ขนาดหม่อมฉันที่เป็นไท่จื่อเฟยยังไม่เคยแม้สักครั้งที่จะได้ปรนนิบัติพระองค์แม้แต่ในวันเข้าห้องหอ หรือว่ามันปรนนิบัติพระองค์บนเตียงจนพระองค์หลงมันขนาดนี้กัน”
เพล้ง
ถ้วยชากระเบื้องเคลือบลอยผ่านใบหน้าของจ้าวจินฮวาไปนิดเดียว หญิงสาวนิ่งไป ก่อนที่เสียงแตกกระจายของถ้วยใบนั้นจะทำให้สติของนางกลับมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
“เจ้าไม่สิทธิ์มาเอ่ยว่าร้ายคนรักของข้า อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก ว่านกงกง เข้ามานำตัวไท่จื่อเฟยออกไป สั่งกักบริเวณนางสองเดือนจนกว่านางจะสงบสติอารมณ์ลงได้”หลี่เฉียงตะโกน ใบหน้าของเขาบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ จ้าวจินฮวาทรุดตัวลงกับพื้นร่ำไห้เอ่ยขอโทษไม่ขาดปาก แต่ผู้เป็นสวามีก็หาได้สนใจ จนว่านกงกงขันทีประจำตัวขององค์ไท่จื่อต้องลากตัวออกไป
“ลำบากชะมัดต้องมาทำตามบทแบบนี้”หวังเฉิงชุนสบถ เขาเสยผมของตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาคงคิดผิดจริงๆที่เลือกแฝงตัวในตัวละครหลัก โดยปกติเขาจะเลือกแฝงไปในตัวละครที่สามารถเป่าหูตัวละครเอกได้ เพราะตัวละครเอกเมื่อoocจะมีผลให้โลกปั่นป่วน และนั่นจะทำให้ระบบแม่ทางฝั่นนั้นส่งเจ้าหน้าที่มา เขาก็แค่ตามหาว่ามีเจ้าหน้าที่คนไหนใช่คนรักของเขารึเปล่า ถ้าไม่...ก็แค่ใช้ให้ตัวเอกทำลายมันลง
แต่ตอนนี้เขาดันเป็นตัวเอกเสียเอง จะให้เขาปั่นป่วนเองก็คงไม่ใช่เรื่อง มันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้นสำหรับการทำลายโลกใบนี้...ก็แค่ค่อยๆฆ่าตัวละครเอกทั้งหมดจนเหลือแค่เขาเท่านั้นก็เพียงพอที่โลกจะล่มสลาย
...หรือบางทีหากโชคดีกว่านั้น เมื่อฆ่า1คนโลกจะเสียสมดุลมากขึ้นเรื่อยๆ ระบบแม่อาจจะส่งเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถมาเป็นกำลังเสริมเจ้าหน้าที่คนปัจจุบัน
...และเขามั่นใจว่าคนรักของตนมีความสามารถ
“เริ่มจากพระรองของเรื่องก่อนก็แล้วกัน”
ข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายห้าหลี่หมินสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนในเมืองหลวงมาก ใครต่อใครต่างรู้ดีว่าองค์ชายห้าผู้นี้เป็นที่รักของประชาชนทุกคน ไม่แปลกหากจะเดินไปบ้านไหนก็มีผู้คนร่ำไห้ไม่ขาดสาย
ส่วนคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดกลับนั่งเคี้ยวเสี่ยวหลงเปาจนแก้มตุ่ย จ้าวอวี้ไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเลย เพราะช่วงแรกหลังสงครามจบเขาจะต้องไม่ปรากฏตัวให้ผู้คนพบเห็นจึงเอาแต่เก็บตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมเก่าๆแห่งหนึ่ง
“โฮสต์ครับแย่แล้ว”เสี่ยวหลันบินรี่ไปมารอบหัวของเขา จ้าวอวี้ส่ายตามองพอเห็นว่าไม่มีคนจึงเอ่ยตอบเสี่ยวหลัน
“มีอะไรเสี่ยวหลัน”
“ระบบไม่พบสัญญาณชีพของพระรองแล้ว พอลองสืบดูพบว่าองค์ชายห้าหลี่หมินถูกลอบวางยาพิษสิ้นพระชนม์ไปแล้วครับโฮสต์”จ้าวอวี้ปล่อยตะเกียบในมือลงจนมันกลิ้งหลุนๆตกพื้น
“พระรอง? ตายแล้ว? เป็นไปได้ยังไง”
“จากที่เฝ้าสังเกตเขาไม่ได้มีอาการของตัวละครที่oocเลยครับโฮสต์”
“อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของเจ้าบัคนั่น ทำไมคราวนี้ถึงเปลี่ยนมาฆ่าล่ะ”
“อาจจะเลือกวิธีทำลายสมดุลโลกครับโฮสต์”คำสันนิษฐานของเสี่ยวหลันทำให้จ้าวอวี้นิ่งไป
“ถ้าเป็นอย่างนั้น...”จ้าวอวี้นิ่งไป ก่อนที่ริมฝีปากบางซึ่งแต้มไฝเสน่ห์ใต้ปากล่างจะยกยิ้มขึ้น “หมากกระดานอาจจะเป็นของเรา”
...อย่าลืมสิ ว่าความจริงแล้วจ้าวอวี้เป็นเจ้าหน้าที่ปรับสมดุลโลกนะ
---------------------50%----------------
จ้าวอวี้ต้องหาทางสอดส่องและคอยปรับสมดุลโลกไปในตัว นั่นทำให้เขาคิดได้ว่าจะต้องทำอะไร เขาจะต้องแฝงตัวไปเป็นบ่าวคนสนิทของหลิวหยางให้ได้ หนึ่งคือเขาจะได้ติดตามเนื้อเรื่องได้อย่างใกล้ชิดและมีโอกาสได้เข้าใกล้ตัวเอกทุกตัวมากยิ่งขึ้น สองคือถ้าบัคตัวนั้นคิดเปลี่ยนสมดุลโลกขึ้นมาจริงๆ หลิวหยางที่เป็นตัวเอกในการดำเนินเนื้อเรื่องย่อมเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้โลกใบนี้ล่มสลาย
"เสี่ยวหลัน เปิดหน้าร้านค้าด้วยครับ"ในเวลาที่จ้าวอวี้มีความสุขหรือนึกแผนการออกเขาจะสุภาพขึ้นอีก1ระดับ นั่นทำให้ระบบน้อยยิ้มกริ่ม นานมากแล้วที่โฮสต์ของมันไม่ได้อารมณ์ดีขนาดนี้ ปกติจะมีระบบแม่ที่มากวนใจ แต่ตั้งแต่ตอนเข้าโลกนี้มาระบบแม่ก็ไม่ได้รบกวนอะไรอีกเลย
...นับว่าเป็นเรื่องดี
"อืม เอาหน้ากากหนังมนุษย์แบบไหนดีนะ"จ้าวอวี้เอานิ้วจิ้มแก้ม คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะจิ้มเลือกมาอันหนึ่ง
"เอาอันนี้แล้วกัน ดูธรรมดาดี"ค้าขายเสร็จสิ้น จ้าวอวี้ก็เอาหน้ากากหนังมนุษย์มาสวมป้องกันใครก็ตามที่เคยเห็นใบหน้าของหลินเว่ย
นอกจากนี้จ้าวอวี้ยังเลือกซื้อยารักษาบาดแผลเอาไว้ เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดม่านการแสดงฉากใหญ่
"เสี่ยวหลัน ไปสืบมาให้หน่อยสิว่าวันนี้หลิวหยางจะเดินทางไปที่ไหน"จ้าวอวี้สั่ง ระบบน้อยบินออกจากหน้าต่างไป ในระหว่างนั้นจ้าวอวี้ก็แต่งตัวให้ซอมซ่อมากที่สุด
"กลับมาแล้วครับโฮสต์"เสี่ยวหลันหายไปได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็กลับมา
"ทำไมเร็วจังล่ะ"
"ระบบแอบไปได้ยินนายเอกของเรื่องกำลังหนีเที่ยวพอดีเลยครับ วันนี้นายเอกวางแผนจะแอบออกไปตลาดกลางคืนครับ"
อ่า หลิวหยางก็สมกับมาตราฐานนายเอกจริงๆ ฉลาด ดื้อรั้น มีความรู้ สดใสร่าเริงและอยู่ในตระกูลที่ช่วยส่งเสริมฐานะได้
"ก็ดี งั้นเราไปดักหน้าพวกเขากันเถอะ
หลิวหยางแอบออกมาจากจวนสกุลหลิวอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าหวานผุดรอยยิ้มกว้างออกมาจนเห็นฟัน เขาเดินเที่ยวตลาดด้วยความสนุกสนาน ละลายเงินตำลึงมากมายไปกับของใช้และของกินที่เข้าตา รอบกายของเขาไม่มีบ่าวคอยติดตาม ของกินของใช้เหล่านั้นหลิวหยางจึงต้องเป็นคนหอบมันกลับจวนด้วยตนเอง
ในขณะที่คนตัวเล็กกำลังเอาถังหูลู่ไม้สุดท้ายยัดเข้าปาก เขาก็ชนกับชายคนหนึ่งในสภาพมอมแมมลงไปนอนกองกับพื้น ใบหน้าเล็กหันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่เห็นผู้ใด ก็คงจะเป็นเช่นนั้นเพราะนี่คือเส้นทางกลับจวนของเขาที่ค่อนข้างเปลี่ยว
“ช...ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย”ชายที่ลงไปนอนกองกับพื้นเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา มือกุมบาดแผลที่หน้าท้อง โลหิตสีแดงฉานเริ่มไหลเจิ่งนองพื้น หลิวหยางหน้าเครียดเขารีบโยนถังหูลู่และข้าวของมากมายในมือลง
ร่างบางพลิกกสำรวจร่างกายของชายปริศนา ก่อนจะเลื่อนมาสนใจกับบาดแผลขนาดใหญ่
“ท่านเป็นใคร”
“ข้าไม่รู้ ข้าถูกตีที่หัว ได้โปรดเถิดนายน้อย ได้โปรดช่วยข้าด้วย”ใบหน้าของชายคนนั้นซีดเซียว ความสงสารเข้ามาเกาะกุมใจของหลิวหยาง เลือดของผู้รักการช่วยเหลือและการเป็นว่าที่แพทย์ในอนาคตทำให้หลิวหยางไม่คิดลังเลที่จะหามชายคนนั้นกลับจวน
“ข้าจะช่วยท่าน ท่านจะต้องไม่เป็นอะไร”
จ้าวอวี้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตัวเขาอยู่ในห้องๆหนึ่งที่ค่อนข้างหรูหรา เขาค่อยๆยันกายขึ้นนั่งก่อนที่ดวงตาสีดำจะเลื่อนมามองผ้าสีขาวที่พันอยู่ตรงหน้าท้องของตน
“อ่า นายเอกก็สมกับเป็นนายเอกจริงๆ”เรื่องความฉลาดหรือความรอบรู้ทางด้านการแพทย์จ้าวอวี้ขอยอมรับ แต่เรื่องไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆนี่ค่อนข้างเป็นข้อเสียของนายเอกทุกคน แต่ว่าก็ว่าเถอะ เพราะข้อเสียนี่ไม่ใช่รึไงที่ทำให้หลิวหยางขึ้นไปเป็นถึงมารดาของแผ่นดินในอนาคต
จ้าวอวี้คิดเช่นนั้นก่อนจะไหวไหล่ ช่างเถอะ เรื่องของหลิวหยางจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ตอนนี้เขามีสิ่งที่ต้องให้ความสนใจมากกว่า นั่นก็คือเจ้าบัคตัวแสบ ที่ป่านนี้ไม่รู้ไปสิงอยู่ที่ใครกันแน่ คราวนี้จ้าวอวี้จะต้องเปลี่ยนเป้าหมายจากการตามฆ่าอีกฝ่ายเป็นการจับตามอง เพราะได้เรียนรู้มาแล้วว่าต่อให้จ้วงแทงอีกฝ่ายสักกี่ร้อยแผล ยังไงเขาก็ไม่มีทางกำจัดเจ้าบัคนนั่นได้
เขาจึงตัดสินใจอยู่ท่ามกลางตัวละครเอกที่ใช้ดำเนินเรื่อง...คิดว่าสักวันเขาจะต้องรู้แน่ว่าเจ้าบัคร้ายแฝงตัวอยู่ที่ใคร และเขาจะต้องหาทางทุกวิถีทางเพื่อปลดล็อครหัสที่ถูกตั้งเอาไว้
“ท่านฟื้นแล้วหรือ”หลิวหยางเข้ามาในห้อง มือขาวถือชามยาสมุนไพรที่ส่งกลิ่นฉุน จ้าวอวี้ลุกขึ้นลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น ก่อนจะก้มคำนับ
“นายน้อย บุญคุณของท่านข้าจะมิมีวันลืม ได้โปรดให้ข้าได้คอยติดตามรับใช้ท่านด้วยเถิด”หลิวหยางวางชามยาลงบนโต๊ะไม้ ก่อนจะเดินมาประคองจ้าวอวี้ให้กลับไปนั่งบนตั่งดังเดิม
“ข้าไม่นับเป็นบุญคุณหรอก เรื่องของน้ำใจเช่นนี้ ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่โต”
“นายน้อยช่างมีจิตใจสูงส่งยิ่งนัก”จ้าวอวี้ยิ้มโง่ๆคล้ายเลื่อมใสในคุณงามความดีของอีกฝ่าย
“ว่าแต่ท่านจำได้รึไม่ ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน”คำถามของหลิวหยางทำให้รอยยิ้มของจ้าวอวี้หายไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง
“ข้าพยายามนึกแล้ว แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก”จ้าวอวี้เอ่ยเสียงอ่อน มือบางยกขึ้นมากุมศีรษะ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ระหว่างนี้เจ้าก็พักฟื้นที่นี่ไปก่อน ที่นี่คือจวนสกุลหลิว เจ้าวางใจได้ ที่นี่ไม่มีใครทำร้ายเจ้า”
“นายน้อย ข้าไม่มีที่ไปแล้ว ให้ข้าได้ทำงานรับใช้นายน้อยเถอะนะขอรับ”จ้าวอวี้กุมแขนเล็กของหลิวหยาง ใบหน้าของจ้าวอวี้มีน้ำตาไหลออกมาอย่างคนสิ้นหวัง หลิวหยางเกิดนึกสงสารยิ่งกว่าเดิม มือบางกุมมือของจ้าวอวี้เอาไว้
“งั้นจากนี้ ท่านมาทำงานให้ข้าเถิดนะ”
“ไม่ได้ เจ้าจะเอาคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาอยู่ในจวนของสกุลได้อย่างไรคิดบ้างสิ หลิวหยาง”หลิวจงบิดาของหลิวหยางเอ่ยเสียงเข้ม จ้าวอวี้นั่งตัวลีบอยู่ข้างๆหลิวหยาง เขาไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาได้แต่แสดงท่าทีขลาดกลัว
“ท่านพ่อ! เหตุใดท่านช่างใจร้ายยิ่งนัก คนไม่มีที่ไปทั้งยังความจำเสื่อมท่านให้เขาออกไปเป็นคนเร่ร่อนหรืออย่างไร”หลิวหยางเองก็ตะโกนโต้ตอบไม่แพ้กัน สีหน้าของร่างบางฉายชัดถึงความดื้อรั้นและเอาแต่ใจ
“ที่ข้าต้องเข้มงวดเช่นนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้า”
“ท่านพ่อ ข้าเป็นเพียงบุตรของท่าน ไม่มีทางเป็นเป้าหมายของใครไปได้ และข้าเองก็ไม่มีผลประโยชน์อันใดให้ใครกอบโกย ข้ารู้สึกผูกพันกับเขาคนนี้และมั่นใจว่าพวกเราจะเข้ากันได้ ได้โปรดท่านพ่อเชื่อในสัญชาตญาณของข้าด้วย”
“หลิวหยางเจ้าออกไปก่อนเถอะ”หลิวเฟยพี่ชายของหลิวหยางเอ่ยบอกกับน้องชาย ดวงตาคมองสำรวจชายแปลกหน้าที่น้องชายของตนคิดจะนำเอามาทำเป็นบ่าวรับใช้ ใบหน้านั้นแม้ว่าจะธรรมดาแต่บรรยากาศรอบตัวกลับชวนให้อบอุ่น เขาไม่แปลกใจที่หลิวหยางจะคิดถูกชะตา เพราะชายตรงหน้ามีบรรยากาศสงบคล้ายสายลมอุ่นๆในฤดูคิมหันต์ และอีกอย่างชายคนนี้ก็มีบรรยากาศคล้ายมารดาที่จากไปของพวกเขาเช่นกัน
“แต่ว่าท่านพี่….”
“ให้บ่าวของเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน พี่จะช่วยพูดกับท่านพ่อให้”เมื่อหลิวเฟยเอ่ยเช่นนั้น หลิวหยางจึงยอมถอยออกไป ทิ้งจ้าวอวี้ไว้กับหลิวจงและหลิวเฟย
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร”หลิวจงเป็นคนเปิดประเด็น
“ขออภัยนายท่าน ข้า...บ่าวจำชื่อของตนไม่ได้”
“งั้นรึ แล้วบาดแผลของเจ้า เจ้าจำได้รึไม่ว่าได้มันมาได้อย่างไร”จ้าวอวี้ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ข้าขอเอ่ยกับเจ้าตามตรงว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้า ข้าไม่รู้ว่าการที่บุตรของข้าพบเจอกับเจ้าเป็นเพราะวาสนาจริงๆหรือความตั้งใจ ขอให้เจ้าเข้าใจด้วย งูพิษราชสำนักมากมายย่อมหมายตาจะใช้หลิวหยางเพื่อต่อรองหลายสิ่งกับข้า”
“ได้โปรดนายท่าน บ่าวอยากจะรับใช้นายน้อยด้วยใจจริง บ่าวสำนึกบุญคุณหากครานั้นไม่ได้นายน้อยช่วยเหลือบ่าวคงสิ้นชีพอยู่ข้างถนน”
“เอาเถอะ ท่านพ่อ คิดดูอีกทีใครเล่าจะยอมเสี่ยงเอาชีวิตตนมาแลกเพื่อเข้าหาหยางเอ๋อร์ อีกอย่างตอนนั้นก็เป็นหยางเอ๋อร์ที่แอบหนีออกจากจวน คงเตรียมแผนการใดๆไม่ทันหรอกขอรับ”หลิวเฟยเอ่ยบางช่วยดังที่สัญญาไว้กับน้องชาย ประมุขสกุลหลิวคิดตามก็เผลอคล้อยตามคำพูดของบุตรชายคนโต
“เช่นนั้นก็ได้ จำไว้ว่าเป็นคนสกุลหลิวแล้วอย่าได้คิดมีใจทรยศ”
“ขอรับ บ่าวจะจดจำ”
____________________________
มาแล้ววววว 5ทุ่มเฉียดเที่ยงคืนเช่นเดิม
มีใครจับสังเหตอะไรในหลิวเฟยได้รึเปล่า
นั่นแหละพระเอกล่ะ อิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิอิ
---------------------------------------------
"เอ๊ะ ใครมองข้าอยู่กันนะ"
"อ๋อ ท่านหลิวเฟยนี่เอง"ส่งยิ้มให้หลิวเฟย
//ถ้ำมองตัวจริงกำหมัดแน่นแล้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฮือ ติดเรื่องนี้แล้ว!
ถ้าเรามีเวลาว่างเราจะเอามารีไรท์ใหม่ แต่ถ้ามีตรงไหนงงมากๆหรือไม่เข้าใจบอกเราได้นะคะ เราจะนำไปปรับปรุง