ตอนที่ 43 : {OS} bear in mind [70%]
ผ่านไปไม่กี่ปี ‘บ้าน’ ของเราก็เปลี่ยนไปหลายอย่าง
แบคฮยอนรู้สึกตื่นตากับร้านรวงหรือกระทั่งแบรนด์ใหม่ ๆ ที่เปิดอยู่ตามข้างทาง พอจะรู้หรอกว่าบ้านเราตั้งอยู่ในเขตกลางเมือง แถบนี้มีแต่มหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มันจะคึกคัก และเต็มไปด้วยร้านอาหารกับร้านเสื้อผ้า หรือกระทั่งนักท่องเที่ยว
“เลี้ยวซอยข้างหน้าครับ”
เขาเอ่ยบอกกับแท็กซี่.. เวลาประมาณเที่ยงคืน ผู้คนแถบนี้ยังพลุกพล่าน แบคฮยอนจ่ายค่าแท็กซี่ผ่านบัตรโดยสารที่เพิ่งซื้อใหม่ตรงสนามบิน เขาหอบเอากระเป๋าเสื้อผ้าลงจากรถอย่างทุลักทุเล แม้บ้านของเขาจะต้องเดินขึ้นเนินมาอีกหน่อย แต่ก็ยังได้ยินเสียงร้องเพลงเปิดหมวกดังมาให้ได้ยิน เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้.. แต่ดูเหมือนพักนี้จะมากกว่าเดิม
นึกไปถึงแชทที่น้องสาวส่งคลิปเสียงมาฟ้องว่าได้ยินคนร้องเพลงแบบนี้ทุกวันจนบางคืนก็นอนไม่หลับ แบคฮยอนยิ้มน้อย ๆ เขาไม่ได้บอกคนที่บ้านสักคนว่าจะกลับมาวันนี้ บอกไปแค่ว่าช่วงนี้เท่านั้น ป่านนี้ก็คงหลับกันหมดแล้วตามลักษณะนิสัยที่ไม่ได้ชอบนอนหลังเที่ยงคืนกันอยู่เป็นทุนเดิม
เพราะจำที่ซ่อนกุญแจได้ จึงล้วงมือเข้าไปใต้กระถางต้นไม้เก่า ๆ ซึ่งยังอยู่ที่เดิม เขายิ้มเมื่อคว้าเอากุญแจออกมาได้สำเร็จ ก่อนจะไขประตูแล้วหอบกระเป๋าเดินทางเข้ามาในบ้าน
หากก็คิดผิดไปถนัด.. เรื่องที่ว่าคนที่บ้านน่าจะนอนกันหมดแล้ว
แววตาตระหนกของใครคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาทำให้เขาเผลอเบิกตากว้าง มันเองก็คงคิดว่าเป็นโจร แต่สุดท้ายแล้วเมื่อมองเห็นว่าเป็นใคร ใบหน้านั้นก็พยายามตีกลับให้นิ่งกว่าเดิม แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนสนใจ
“อ้าว.. กลับมาเมื่อไหร่”
เขาคลายสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อได้ยินมันถาม เดินไปถอดรองเท้าไว้ตรงชั้นวาง ขณะเดียวกันก็พูดตอบไปด้วย “เพิ่งลงเครื่องเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว.. มึงยังไม่นอนอีกเหรอ”
“ไม่ได้บอกพ่อกับแม่ไว้เหรอว่าจะกลับมา”
มันไม่ตอบคำถาม แต่กลับถามกลับมา
“เออ.. ก็บอกไปว่าจะกลับช่วงนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะกลับวันไหน” เขากางกระเป๋าเดินทางตรงห้องนั่งเล่น คว้าเอารองเท้าออกมาจัดตรงชั้น
ซ่อนความอึดอัดเกิดที่ขึ้นในใจเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน ด้วยการพยายามไม่หันไปมอง.. ที่จริงความอึดอัดที่มีก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เห็นหน้ามัน
“พ่อกับแม่นอนแล้วเหรอ เยริล่ะ”
“อืม.. พ่อกับแม่นอนแล้ว เยริไปค้างบ้านเพื่อน”
ความเงียบก่อตัว หลงเหลือเพียงเสียงจากโทรทัศน์เท่านั้นที่ยังดังให้ได้ยิน ไม่นานเขาก็สัมผัสได้ว่ามันลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินตรงไปยังกระเป๋าเดินทางอีกใบของเขา “ยกไปไว้ที่ห้องให้นะ”
แบคฮยอนพยักหน้าโดยไม่ได้หันกลับไปมอง แต่พอมันเดินไปไกลอีกหน่อย เขาก็เผลอมองตามแผ่นหลังของมันไป
พี่ชายของเขาตัวใหญ่ขึ้นมาก และดูเหมือนมันจะสูงขึ้นอีกหลายเซนติเมตร.. นับจากวันที่ไม่ได้เจอกัน
เขาไม่เคยรู้ความเป็นไปของมันเลย จะมีก็แค่รูปที่เยริน้องสาวของเราเป็นคนแอบถ่ายมันมาให้ดู แม้จะรู้ก็เถอะว่าผมสีเงินแบบวัยรุ่นของมันถูกย้อมกลับเป็นสีดำแล้วนับตั้งแต่วันที่มันตั้งใจจะเลิกเล่นดนตรีตามร้านแล้วสมัครงานให้ตรงสายตามที่เรียนจบมา แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะดูแปลกตาเมื่อต้องกลับมาพบกันอีกครั้ง
ชานยอลไม่มีโซเชียล ไม่มีช่องทางไหนให้เขาได้เห็นความเป็นไป นอกจากทางแชทที่มันไม่เคยแม้แต่จะทักมาไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ
เขารู้.. และเขาก็ไม่ได้คาดหวัง ระหว่างเราไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างพี่น้องที่กอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุขหรือปรึกษากันได้ทุกเรื่องอย่างบ้านอื่น ๆ อยู่แล้ว
แบคฮยอนละความคิด เขาหันกลับไปสนใจรองเท้าอีกครั้ง เขามีรองเท้าเยอะขึ้นเพราะไปอยู่ที่นั่นมานาน คราวนี้พอต้องย้ายกลับมาอยู่ที่เกาหลีจริงจัง เขาคิดว่าคงไม่ต้องซื้อรองเท้าไปอีกสักห้าหกปีก็ยังพอมีใส่
เพียงครู่หนึ่งพี่ชายของเขาก็เดินลงมาจากชั้นบน
“ให้ปลุกพ่อกับแม่ไหม”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็เจอกูเอง” เขารีบบอก ไม่อยากรบกวนเวลานอนของบุพการี อีกอย่างก็ไม่อยากรบกวนมันด้วย
ชานยอลไปนั่งที่โซฟาอีกครั้ง เสียงโทรทัศน์ยังคงดังให้ได้ยิน แบคฮยอนกลับมาที่กระเป๋าเดินทางของตัวเอง รูดซิปปิด เตรียมแบกขึ้นไปชั้นบน
“ห้องเดิมนะ”
จู่ ๆ มันก็พูดขึ้นมา แม้สายตาของมันจะยังมองไปที่โทรทัศน์ก็ตาม
“อือ.. แล้วมึงไม่ไปนอนเหรอ” เขาถามขณะมองร่างสูงที่นั่งอย่างสบาย ๆ อยู่ที่เดิม
“ยังไม่ง่วง”
พอได้ยินแบบนั้นเขาก็ตอบรับในลำคอนิดหน่อย ละสายตาออกมาจากมันเมื่อไม่เห็นว่ามันหันมาให้ความสนใจอะไรอีก แล้วเขาก็แบกกระเป๋าเดินทางขึ้นมาที่ชั้นบน ประตูห้องนอนห้องเดิมที่มีรูปสติ๊กเกอร์หน้าเจ้าหมาสนู้ปปี้แปะอยู่ทำให้เขาอุ่นใจเมื่อได้มอง
แบคฮยอนยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้ามาในพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง ซึ่งไม่มีอะไรเลยที่เปลี่ยนไป เพราะเขาเฝ้าบอกแม่ทุกวันว่าให้ช่วยดูแลมันให้หน่อย
เขากลับมา ‘บ้าน’ อีกครั้งหนึ่งแล้ว
แม้คนร่วมบ้านคนแรกที่ได้เจอ.. จะทำท่าทีเหมือนไม่ยินดียินร้ายกับการกลับมาของเขาเลยก็ตาม
ตามที่คาดเอาไว้.. ตื่นเช้ามาพ่อกับแม่ก็มาต้อนรับเขาโดยการเคาะประตูห้องนอน พอเขาเปิดออกไปในสภาพที่เพิ่งตื่นเต็มที่ ก็ถูกแม่คว้าตัวเข้าไปกอด หอมซ้ายหอมขวาไปหลายฟอด
“แก้มแบคฮยอนช้ำหมดแล้วม๊า” เขาพูด หัวเราะน้อย ๆ เมื่อถูกแม่บิดจมูก พ่อเองก็ยืนขำอยู่ข้าง ๆ
“ก็คิดถึงนี่นา ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีแล้วนะไอ้เด็กดื้อ” แม่ว่า ก่อนจะคว้าแขนของเขาให้เดินลงไปข้างล่างด้วยกัน
“เดี๋ยว ๆ.. แบคฮยอนยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
“ไม่ต้องอาบแล้ว กินข้าวก่อนดีกว่า” พูดจบก็ลากเขาเดินลงบันได โดยมีพ่อเดินตาม “รู้ไหม เมื่อเช้าพี่ชายแกเขาบอกม๊าว่าน้องกลับมาแล้ว ม๊าก็นึกว่าเยริ ที่ไหนได้กลายเป็นแบคฮยอน ม๊ากับป๊าเกือบจะเป็นลมแน่ะ”
“เพราะดีใจเหรอม๊า”
“เปล่า เพราะเสียใจ จะมีหมูมากินข้าวที่บ้านเพิ่มอีกตัว เปลืองแย่ล่ะทีนี้”
แบคฮยอนโวยวายก่อนที่พ่อกับแม่จะหัวเราะลั่น.. นี่แหละนะ คนชอบแกล้งลูกก็เป็นแบบนี้ พ่อกับแม่เขาเป็นคนอารมณ์ดีแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ไม่เคยเห็นเครียดเลยสักครั้ง
อ้อ.. จะเครียดให้เห็นก็ครั้งนึงตอนที่พี่ชายของเขาไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทที่คลับแล้วต้องเข้าโรงพัก พ่อกับแม่ดูเครียด แต่ไม่ถึงกับร้องไห้หรอก ตอนนั้นกลับกลายเป็นแบคฮยอนเสียเองที่ร้องไห้ เพราะเห็นว่าหน้ามันช้ำเป็นรอยสีม่วง ๆ เขียว ๆ เต็มไปหมด
หลังจากนั้นชานยอลก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“อ่ะ ม๊าตักข้าวให้” พูดจบก็ยื่นถ้วยใส่ข้าวอัดแน่นมาวางไว้ตรงหน้า แล้วก็ยื่นช้อนให้ด้วยเสร็จสรรพ “กินเยอะ ๆ นะหมูอ้วน ตอนนี้แบคฮยอนดูผอมไปเยอะเลยรู้ไหม”
“แน่สิม๊า ก็แบคฮยอนตรอมใจนี่” เขาพูดติดตลก ใช้ตะเกียบคีบทงคัตสึใส่ถ้วยข้าวตรงหน้าแล้วเอาช้อนตักทั้งสองอย่างเข้าปาก
“ตรอมใจอะไรวะไอ้เปี๊ยก เป็นคนทิ้งเขาเองแท้ ๆ ไม่ใช่เหรอ” ประโยคนี้พ่อของเขาเป็นคนพูด แบคฮยอนจึงหัวเราะน้อย ๆ
“ไม่ได้ทิ้งสักหน่อย” ว่าอย่างนั้นก่อนจะกลืนข้าวลงคอ “เราตกลงกันทั้งคู่แล้วว่าจะเอาแบบนี้ แบคฮยอนไม่ได้ทิ้งเขานะ”
“จ้า.. เอาเถอะพ่อคุณ” ม๊าพูดอย่างนั้น แล้วก็เอ่ยถามออกมาอีกคำ “ว่าแต่เขาจะกลับมาทำเรื่องหย่าตอนไหน”
คำว่าหย่าค่อนข้างสะกิดหัวใจดวงน้อยเพราะความผูกพันยังคงมีเยื่อใยบาง ๆ กั้น แต่ทว่าไม่ได้แน่นแฟ้น หรือความจริงแล้วแบคฮยอนเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ได้แน่นแฟ้นอะไรมาตั้งแต่ต้น
เพียงแต่เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะกลายเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งงาน แล้วต้องหย่ากับภรรยาเพราะทุกอย่างในชีวิตของเราไม่เข้ากันมากจนเกินไป หรือเรียกได้ว่าความรักนั้นไม่มี จนกระทั่งเราสองคนต่างมองไม่เห็นอะไรที่จะยื้อกันและกันไว้อีก
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจขอหย่าขาด.. ไม่มีกระทั่งคำว่าเพื่อนที่มอบให้ เพราะฝ่ายหญิงเองก็ไม่ได้ต้องการมัน
ตัดสินใจกลับบ้าน.. เป็นลูกนกปีกหักซึ่งกลับมาหาที่พักพิงอีกครั้ง
“เดือนหน้าเขาจะมาแล้วก็จะกลับไปอีก” แบคฮยอนพูด ความจริงเราแยกกันอยู่มาได้สักพักแล้ว แต่ด้วยกิจการธุรกิจที่เปิดร่วมกันกับเธอยังคาราคาซังที่ต่างประเทศ ทำให้เขายังไม่ได้กลับมาทำอะไรให้มันชัดเจน “เขามีแฟนใหม่แล้วด้วยแหละ อีกเดี๋ยวก็คงจะแต่งงานกัน”
ได้ยินม๊าถอนหายใจ ก่อนจะลูบศีรษะของเขาเบา ๆ
“แล้วเราไม่เสียใจหรือไง หือ”
เมื่อได้ยินคำถาม แบคฮยอนก็กลับมาทบทวนกับตัวเองอยู่ไม่กี่วินาที แล้วก็พบว่าคำตอบที่ได้นั้นคือ ไม่เลย
น่าแปลก.. แต่ไม่สักนิดที่เขาจะรู้สึกเสียใจ
“เรื่องมันผ่านมานานแล้ว.. แบคฮยอนลืมไปหมดแล้ว”
แบคฮยอนตอบกลับไปแค่นั้นพร้อมกับรอยยิ้ม คนที่บ้านไม่ได้ว่าอะไรอีกนอกจากส่งยิ้มให้แล้วมองเขากินข้าวอย่างมีความสุข
ความจริงแล้วก็เป็นเขาเองที่ตัดสินใจโบยบินออกจากบ้านหลังนี้ เพียงเพราะว่าต้องการหนีหน้าใครบางคน.. ทั้งที่ไม่ได้เกลียด แต่มันก็อึดอัดถ้าหากจะต้องเจอกันทุกวัน เขาในตอนนั้นเป็นแค่วัยรุ่นที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังก่อนจะทำอะไร ไม่ได้นึกถึงผลที่จะตามมา คิดเพียงแค่ว่าถ้าหากไปแล้วทุกอย่างก็คงดีขึ้น
แต่สุดท้ายแล้วคนที่หนีไปก็ต้องกลับมา
กลับมาเพื่อยอมรับความจริง หลังจากที่หนีไปนานแสนนาน
พี่ชายของเขากลับมาจากทำงานเวลาหกโมงเย็นของทุกวัน จะมีแค่บางวันเท่านั้นที่ชานยอลจะกลับดึกกว่าปกติเล็กน้อย
เขารู้เพราะสังเกต.. หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านได้ราวสองสัปดาห์ เขาก็รับรู้ทุกความเป็นไปของคนในบ้าน รู้ว่าเยริต้องกลับบ้านค่ำเพราะกำลังเรียนพิเศษเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย รู้ว่าพ่อจะเข้าไปทำงานแค่วันธรรมดา รู้ว่าแม่จะออกไปตลาดทุกเช้าตอนหกโมง
แต่อย่างหนึ่งที่ไม่รู้.. เขาไม่รู้ว่าชานยอลไปไหนในวันที่อีกฝ่ายกลับบ้านดึก
วันนี้ก็เป็นอีกวัน กลายเป็นแบคฮยอนเองที่นั่งอยู่ตรงหน้าจอทีวี ไฟในบ้านปิดมืด เขาให้ความสนใจกับรายการเพลงตรงหน้าเพราะรู้สึกนอนไม่หลับ ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ตามด้วยร่างพี่ชายของเขาที่เดินเข้ามาเพร้อมกับเสื้อเชิตแบบชุดทำงานที่ไม่เรียบร้อยนัก
ชานยอลมีท่าทีตกใจที่เห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้ แต่ครู่หนึ่งมันก็คลายสีหน้าลง
“ยังไม่นอนอีกเหรอ” ถามราวกับขอไปที.. ซึ่งเขาก็ชินเสียแล้ว
แบคฮยอนส่ายหัวตอบกลับไปตอนที่มันมองมาอีกรอบหนึ่ง “แล้วนี่..”
“......”
“มึงไปไหนมา ทำไมกลับดึก”
เขาไม่รู้ว่ามันเป็นการสมควรไหมที่จะถามเรื่องนี้ ชานยอลจะหาว่าเขาละลาบละล้วงหรือเปล่า เขาเดาใจพี่ชายไม่ออกเลย ไม่รู้ว่ามันเป็นคนแบบไหนมาตั้งนานแล้ว
คำพูด.. หรือกระทั่งสรรพนามแทนตัวที่พูดไป มันดูเหมือนว่าเขาจะสนิทกับพี่ชาย หากแท้ที่จริงแล้วมันก็แค่บางสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองสนิทกับมันแค่นั้นเอง
“ไปกินข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน”
ชานยอลตอบเรียบ ๆ ซึ่งแบคฮยอนก็พยักหน้าว่าเข้าใจ เขาเห็นพี่ชายเดินเข้าไปในครัว แต่ไม่ได้หันไปมองว่ามันทำอะไร ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงมันเดินออกมา ทำท่าว่าจะเดินขึ้นบันไดไป แต่มันก็หยุดขาเอาไว้แล้วหันมาพูดกับเขา
“เมื่อคืนได้คุยโทรศัพท์หรือเปล่า”
แบคฮยอนหันไปมอง เขาขมวดคิ้วน้อย ๆ “เปล่านี่.. ทำไมเหรอ”
อีกฝ่ายเงียบไป เขาไม่เห็นว่าชานยอลกำลังทำสีหน้ายังไง เพราะบรรยากาศแวดล้อมมันมืดเกินกว่าที่คนสายตาสั้นแบบเขาจะสังเกตเห็น “เมื่อคืนได้ยินเสียงเหมือนคุยโทรศัพท์”
“......”
“ดึกแล้ว ถ้าจะคุยก็เบาเสียงหน่อยแล้วกัน”
พูดจบก็เดินขึ้นห้องไปพักผ่อน.. เหลือทิ้งไว้แค่น้องชายอย่างเขาซึ่งนั่งอยู่ที่เดิม
แบคฮยอนไม่รู้ว่าชานยอลไปได้ยินจากไหนว่าเขาคุยโทรศัพท์ แต่ก็เป็นความจริงที่ห้องของเราอยู่ติดกัน ถ้าพูดเสียงดังสักหน่อยผนังซึ่งกั้นเอาไว้ก็บางพอที่จะทำให้เสียงของเราแทรกผ่านไป แม้ว่าถ้าไม่ได้เอาหูแนบกับผนังหรือยืนใกล้ผนังมากจะจับใจความไม่ได้ก็ตามว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร
ร่างเล็กเลิกให้ความสนใจเรื่องนั้น เขาดูโทรทัศน์ต่ออีกพักหนึ่ง พอเริ่มรู้สึกว่าสายตาเริ่มล้าและอาการง่วงกำลังคืบคลาน เขาจึงปิดมันจนชั้นล่างมืดเกือบสนิท ยังดีที่มีแสงไฟจากห้องครัวทำให้พอมองเห็นทาง
เขาเดินขึ้นมาที่ห้อง.. แต่ไม่ได้เดินเข้าห้องไปเสียทีเดียว
มันเป็นอย่างนี้เกือบจะทุกครั้งที่เขาจะต้องมองไปยังบานประตูห้องข้าง ๆ ตรงกลางของบานประตูเป็นรอยเหมือนสติ๊กเกอร์ที่ถูกลอกออกไป เขายังจำได้ว่ามันเป็นสติ๊กเกอร์รูปมิกกี้เมาส์
ที่จำได้ เพราะเขาเป็นคนแปะเองกับมือ
ทว่าคนที่แกะมันออก คือเจ้าของห้อง..
แบคฮยอนหลุบตามองต่ำพลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย เขาพาร่างของตัวเองเข้าไปในห้องนอน เพราะว่าก่อนหน้านี้อาบน้ำแล้วจึงไม่จำเป็นต้องอาบอีกรอบให้เสียเวลา ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง คว้าผ้านวมนุ่ม ๆ และหอมกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มแบบที่ตัวเองชอบมาคลุมกายเพิ่มความอบอุ่น
กลางดึกคืนนั้น แบคฮยอนนอนอย่างไม่เป็นสุข
เขารู้สึกเพียงว่าอากาศโดยรอบมันร้อน และตัวเองก็กำลังฝันร้ายจนเกิดอาการสะดุ้ง มันไม่ใช่อาการสะดุ้งรุนแรง หากก็หลายครั้งทั้งที่สมองยังประมวลผลไม่ทันและยังไม่ตื่นดี
เป็นบ่อยเสียจนรู้สึกเช่นกันว่าฝันคราวนี้มันช่างทำร้ายเขาจริง ๆ เพราะเขารู้สึกทรมานเกินไป หากขณะเดียวกันก็ไม่สามารถตื่นได้ และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
ทว่า.. ในขณะที่กำลังต่อสู้กับส่วนหนึ่งของจิตใจที่รู้สึกทรมานพร้อมกันกับเสียงของตัวเองที่ดังก้องอยู่ในหัว ตอนนั้นเองที่แบคฮยอนรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากใครสักคนที่สอดตัวกอดเข้ามาจากทางด้านหลัง
ใครคนนั้นนอนซ้อนกายของเขาเอาไว้ ใช้แขนของตัวเองตระกองกอดแบคฮยอน พร้อมกับสัมผัสหนัก ๆ สักอย่างหนึ่งบนศีรษะและความอุ่นวาบขณะหนึ่ง
มันอุ่นไปทั้งตัว.. อบอุ่นจนทำให้ฝันร้ายของเขาหายไป แทนที่ด้วยความอุ่นใจที่โอบล้อม
แบคฮยอนสงบลง เขาไม่ได้ยินเสียงโวยวายหรือกรีดร้องของตัวเองในหัวอีก
‘พี่อยู่นี่.. ไม่ต้องกลัว’
หลังจากนั้นเขาก็หลับ
.. หลับไปในอ้อมแขนของใครบางคน
50%
แบคฮยอนไม่อยากคิดอะไรแบบนี้ แต่การที่เขาฝันถึงไออุ่นของใครบางคนเกือบทุกคืน น่าจะเป็นผลมาจากการที่เขาต้องเจอหน้าชานยอลทุกวัน
ตอนแรกเขาคิดว่ามันอาจจะเป็นความจริง.. เรื่องที่ว่าพี่ชายของเขาอาจจะเข้ามาปลอบให้เขาพ้นจากฝันร้าย แต่เมื่อลืมตาตื่นตอนเช้าครั้งใด เขาก็ไม่เคยพบคนที่นอนอยู่เคียงข้างกันหรือแม้กระทั่งไออุ่นให้พอรู้ว่ามีใครขึ้นมานอนบนเตียงเดียวกันเลยสักครั้ง
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็แค่คิดเข้าข้างตัวเองเท่านั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้
“ป๊ากับม๊าแล้วก็เยริจะไปบ้านลุงคังโฮที่ต่างจังหวัด แบคฮยอนอยากไปด้วยกันไหม”
เช้าวันหนึ่ง แบคฮยอนที่กำลังรดน้ำต้นไม้ในตอนเช้าหันกลับไปมองแม่ที่กำลังจะออกไปจ่ายตลาดเหมือนอย่างเช่นทุกวัน ลุงคังโฮเป็นพี่ชายของแม่ พักนี้แกป่วยออด ๆ แอด ๆ แม่ก็เลยต้องเทียวไปเทียวมาอยู่บ่อยครั้ง
“คราวนี้จะไปนานเหรอม๊า”
“อือ.. ก็น่าจะเป็นอาทิตย์ เพราะเยริหยุดยาวพอดี ส่วนป๊าเราก็ลางานที่บริษัทได้” แม่อธิบาย “แกเองก็ว่างนี่นา จะไม่ไปด้วยกันเหรอ”
“แล้ว.. ชานยอล”
“รายนั้นมีงานประจำ แทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย” แม่ยิ้มน้อย ๆ มือหนึ่งคว้าเอาตะกร้าที่วางอยู่ไม่ไกลนักมาคล้องแขน “ตัดสินใจแล้วกัน แล้วยังไงก็ค่อยมาบอกม๊า”
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายนัก แบคฮยอนก็รู้คำตอบของตัวเอง ทันทีที่ม๊ากลับมาบ้านเขาจึงตัดสินใจบอกว่า ‘ไม่ไป’
ดังนั้นเมื่อวันที่ทั้งสามคนจะต้องออกเดินทางมาถึง.. แบคฮยอนกับพี่ชายผู้ที่วันนี้หยุดงานเพราะเป็นวันอาทิตย์จึงช่วยกันแบกกระเป๋าเดินทางพร้อมกับของฝากจุกจิกที่แม่จะเอาไปฝากญาติ ๆ ขึ้นมาไว้บนรถครอบครัวให้ ใช้เวลาไม่นานทั้งสามคนก็พร้อมออกเดินทาง
“ดูแลฟืนไฟ ปิดประตูบ้านแล้วล็อคทุกครั้งด้วยนะ” แม่ยังคงรอบคอบ สั่งเหมือนลูกชายยังเป็นเด็ก ๆ ทั้งที่อีกคนเหยียบสามสิบ ส่วนอีกคนก็ใกล้ ๆ กัน “ชานยอลดูแลน้องด้วยนะลูก อย่ากินแต่อาหารสำเร็จรูปเยอะเกินไปล่ะ”
พี่ชายของเขาไม่ได้ตอบอะไรนอกจากรอยยิ้ม ไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออกไป แล้วเราสองพี่น้องก็กลับมาใช้ชีวิตด้วยกันในบ้านหลังเดิม
แบคฮยอนไม่ได้สังเกตเห็นอะไรใหม่.. ทุกอย่างเป็นเหมือนอย่างตอนที่สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวยังอยู่ เราต่างคนต่างก็ทำธุระของตัวเอง แบคฮยอนนั่งที่หน้าจอโทรทัศน์ ส่วนชานยอลก็อยู่ในห้องส่วนตัว ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ชายทำอะไร
กระทั่งช่วงเย็นของวันนั้นที่ชานยอลยอมพาตัวเองลงมาข้างล่าง บริเวณห้องนั่งเล่นที่แบคฮยอนนั่งอยู่
“จะกินอะไร”
นั่นเป็นคำถามจากพี่ชาย แบคฮยอนเงยหน้าจากหนังสือที่เพิ่งจะซื้อมาอ่านได้ไม่นาน เขาคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบออกไป
“สั่งอะไรมากินไหม จะได้ไม่ต้องลำบากมึงทำ”
เพราะรู้ดีว่าฝีมือการทำกับข้าวของตัวเองห่วยแตกแค่ไหน.. ชานยอลทำกับข้าวเก่งตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนนี้เขาก็ได้พี่ชายเป็นคนเตรียมอาหารเช้าให้ กับบางทีเวลาหิวกลางดึกชานยอลก็ยอมลุกจากเตียงมาทำให้ บ่นว่าเขาจะต้องอ้วนเป็นหมูแน่ในอนาคต แต่แบคฮยอนไม่ได้สนใจคำพูดนั้น คิดเพียงแต่ว่า ถ้าอ้วนเป็นหมูแล้วได้กินฝีมือของพี่ตลอดไป เขาก็ยอม
แต่เรื่องมันก็นานมาแล้ว
“อืม ถ้าอย่างนั้นจะกินอะไร”
สุดท้ายจึงจบด้วยไก่ทอดจากร้านชื่อดัง ชานยอลเป็นคนออกไปจ่ายเงินแล้วหิ้วถุงสีดำเข้ามา จัดแจงแกะกล่องแล้วจัดใส่จานวางบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ให้ เพราะแบคฮยอนบอกเองว่าอยากจะนั่งกินตรงนี้มากกว่าไปนั่งกินที่โต๊ะอาหาร
เราลงจากโซฟามานั่งที่พื้น ตาก็จ้องมองโทรทัศน์ มือก็หยิบชิ้นไก่ทอดเข้าปาก เป็นอีกครั้งที่ความเงียบเข้าโอบล้อมระหว่างเรา
กระทั่งพี่ชายของเขาเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน
“จะไปสมัครงานวันไหน”
แบคฮยอนเงียบไปนิดหน่อยเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ก็.. อีกสองสามวัน” แล้วเขาก็เอ่ยตอบ “อยากไปทำงานแล้วเหมือนกัน กูอยู่บ้านก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย นอกจากกวาดบ้านกับถูบ้านแล้วก็เอาผ้าไปปั่นในเครื่องซักผ้า”
แบคฮยอนพยายามพูดเป็นประโยคยาว ๆ พร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ ไปด้วยเพื่อให้บรรยากาศมันดีขึ้น แต่ทว่าพี่ชายของเขาคงไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
“พอได้งานจะออกไปอยู่ข้างนอกใช่ไหม”
คำถามนี้ทำเอาคนฟังผู้ซึ่งอ่อนไหวอยู่เป็นทุนเดิมรู้สึกเจ็บแปลบ
“มึงอยากให้กูออกไปอยู่ข้างนอกเหรอ”
เขาถามทีเล่นทีจริง และพยายามไม่ใช้น้ำเสียงที่จริงจังมากเกินไป เขาคาดหวังว่าชานยอลจะยิ้มแล้วปฏิเสธคำถามนั้น บอกเขากลับมาหน่อยว่าไม่ได้คิดอยากจะไล่น้องชายคนนี้ออกไปอยู่ข้างนอกเหมือนอย่างที่แบคฮยอนกำลังเข้าใจ
แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบอะไรจากปากของคนเป็นพี่กลับมา แบคฮยอนจึงยิ้มน้อย ๆ ทั้งที่หัวใจของเขาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย
“มึงจะไล่กูไปถึงไหนวะ” คำถามนั้นแสนปร่า หากน้ำเสียงยังคงแสร้งทำเป็นร่าเริง “ห้าปีที่แล้วมึงก็ไล่กู ตอนนี้มึงก็ยังจะไล่กูอีกเหรอ ตอนนี้ที่กู..”
“.......”
“ตอนที่กูไม่เหลือใครแล้วแบบนี้ ก็ยังจะไล่กูอีกใช่ไหม”
แบคฮยอนไม่รู้ว่าพี่ชายของเขาจะได้ยินเสียงที่เจ็บปวดซึ่งถูกซ่อนเอาไว้ในน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรนี่ไหม หากตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่าไก่ทอดที่วางอยู่ไม่อร่อยอีกต่อไปแล้ว รายการทีวีก็ไม่สนุกอีกต่อไปแล้วเช่นกัน เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน เดินผ่านหน้าชานยอลแล้วพาตัวเองขึ้นมาบนห้อง
แบคฮยอนไม่อยากรู้อะไรอีกแล้ว ไม่อยากฟังแม้กระทั่งคำตอบของพี่ เพราะเขายังอ่อนแอเกินกว่าจะได้ยินคำพูดทำร้ายจิตใจซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง
คำว่า ‘ออกไป’ ที่เคยได้ยินคราวนั้น มันยังกระเด้งกระดอนอยู่ในหัว เหมือนกับว่าจะไม่เลือนหายไปไหน
ถ้าต้องได้ยินมันอีกครั้ง แบคฮยอนคิดว่าเขาคงรับมันไม่ไหว
นึกย้อนกลับไป.. ตั้งแต่จำความได้ เขาก็มีพี่ชายเป็นเพื่อนเล่นมาโดยตลอด
ตอนเรียนประถมต้น เขาก็มีพี่ชายที่อยู่ประถมปลายและกำลังจะขึ้นชั้นมัธยมมาคอยที่หน้าตึกเรียน เพื่อน ๆ ออกจะตื่นใจที่เขามีพี่ชายตัวสูงขนาดนี้ แต่แบคฮยอนไม่รู้หรอก เขาก็แค่เคยชินที่จะต้องเดินไปจับมือพี่ทุกครั้ง พี่ชานยอลพาเขาออกไปหาอะไรกินที่หน้าโรงเรียน ก่อนที่เราจะเข้ามาในโรงเรียนเพื่อรอให้แม่มารับ
ตอนนั้นพี่ชานยอลก็คือ ‘พี่ชานยอล’ ที่ใจดีที่สุด
พอขึ้นมัธยม.. เขาก็ได้เรียนโรงเรียนเดียวกันกับพี่ชาย แบคฮยอนไม่เคยอยู่ร่วมโรงเรียนกับชานยอลตอนที่ชานยอลอยู่มัธยมต้น ดังนั้นพอเข้าไปก็เห็นพี่ชายในคราบรุ่นพี่มัธยมปลาย พี่ชานยอลเล่นทั้งกีฬา เล่นทั้งดนตรี เป็นขวัญใจของสาว ๆ ในโรงเรียน
และเป็นขวัญใจของแบคฮยอนด้วย
“ชานยอล.. แบคฮยอนอยากกินหมูย่างร้านข้างโรงเรียน”
“ทำไมไม่เรียกว่าพี่ชานยอล” ฝ่ายนั้นดุอย่างไม่จริงจังนัก แบคฮยอนเห็นชานยอลที่อยู่ในชุดกีฬาบาสเกตบอลก้มลงคว้ากระเป๋าใส่เสื้อผ้าของตัวเองมาสะพาย แล้วยื่นมือมาคว้ามือของเขาเอาไว้ “อยากกินแล้วโทรบอกม๊าหรือยัง”
“ยังเลย ก็มาถามชานยอลก่อนว่าจะกินไหม” แบคฮยอนกระชับมือพี่ชายแน่น หัวใจดวงน้อยสั่นไหวทุกครั้งที่ได้ลอบมองเสี้ยวหน้าของพี่
เขารู้ว่ามันผิด.. ไม่ใช่เรื่องดีที่จะ ‘หลงรัก’ พี่ชายของตัวเอง
มันเป็นบาปชนิดหนึ่งซึ่งไม่สามารถเลี่ยงได้ แต่ถึงแม้จะพยายามบังคับตัวเองอย่างถึงที่สุดว่าให้เลิกคิด เคยถึงขั้นหลบหน้า แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักอย่างเดียว
นับวันความอบอุ่นของชานยอลยิ่งหลอมละลายเขา
คำว่า ‘พี่’ จากปากของน้องเริ่มเลือนหาย เพราะแบคฮยอนไม่อยากให้สรรพนามนั้นแก่พี่ชานยอลอีกแล้ว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดว่าเขาก็แค่อยากเรียก นิสัยตามใจน้องที่มีมาแต่ทุนเดิมจึงปล่อยเลยตามเลย
ถ้าพี่ชานยอลรู้ พี่ชานยอลจะเกลียดเขาไหม
“ถ้าอย่างนั้นก็โทรศัพท์ไปบอกม๊าก่อน”
“ตกลงจะไปกินใช่ไหม”
“อือ.. ก็เราอยากกินไม่ใช่เหรอ พี่กินอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
แบคฮยอนอมยิ้ม มองมือของเราที่จับประสานกัน สลับกับมองหน้าคนเป็นพี่ที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร พี่ชานยอลก็เป็นแบบนี้ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกเท่าไหร่ แต่ก็เป็นแบคฮยอนอีกเหมือนเคยที่ได้เห็นมุมต่าง ๆ ของคนเป็นพี่มากกว่าคนอื่น
เราอยู่ด้วยกัน ตัวติดกันจนแบคฮยอนไม่อยากให้ความรู้สึกนี้หายไปไหน
อย่างตอนที่นั่งเล่นเกม.. แบคฮยอนจะถูกพี่ชายจับให้นั่งลงตรงตัก ชานยอลชอบเอาคางมาเกยไหล่แล้วก็กดจอยเกมไปด้วย แบคฮยอนก็กดจอยเล่นเกมเหมือนกัน แต่พอชานยอลทำอย่างนี้ทีไรเขากฺ็แพ้ทุกที เพราะเขินอายเสียจนไม่เป็นอันเล่นเกม หัวใจมัวแต่พะวงอยู่กับลมหายใจอุ่น ๆ ของอีกคนที่รดลงมาตรงข้างแก้ม
แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าพี่ชานยอลก็แค่ทำตามสิ่งที่คุ้นเคย ตอนเด็ก ๆ เขาก็นั่งบนตักของพี่แบบนี้ตอนเล่นเกม มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับเรา
“ทำไมหน้าแดง.. ไม่สบายเหรอ”
ใช่ที่ไหน.. เขาอยากพูดจะแย่ว่าเพราะเขินต่างหากถึงได้เป็นอย่างนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าคงพูดไม่ได้ เพราะพี่ชานยอลคงเห็นว่าเขาเป็นน้องอีกเหมือนเดิม
เดิมทีเรานอนห้องเดียวกัน บนเตียงเดียวกัน ตอนแรกแม่จะแยกเตียงให้เมื่อแบคฮยอนโตขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว แต่เป็นเขาเองที่ไม่ยอม เพราะว่าติดพี่ชายยิ่งกว่าอะไร แบคฮยอนคิดว่าการที่เขาต้องนอนมองหน้าพี่ชายทุกวัน คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเผลอใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. ในตอนที่ชานยอลคว้าตัวของเขาเข้าไปกอด กดจมูกหอมลงมาที่ศีรษะแบบนี้
“หอมว่ะ.. ใช้ยาสระผมยี่ห้อเดียวกันจริงเหรอ”
แล้วก็ซุกหน้าลงกับไหล่ของเขา ชมว่าตัวหอมอีกครั้ง ก่อนที่จะชิงหลับไปก่อน ปล่อยให้น้องชายอย่างเขานอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ภายในอ้อมกอดของอีกคนอย่างนั้น
แบคฮยอนอยากพูด.. อยากถามพี่ว่าเคยรู้สึกแบบเดียวกันบ้างไหม ชานยอลยังทำทุกอย่างเหมือนปกติ จับมือน้องชายคนนี้ที่ตัวเล็กกว่าตัวเอง เวลากินข้าวเลอะก็คอยเช็ดปากให้ รองเท้าเชือกหลุดก็ก้มลงมาผูกให้แบบไม่อายสายตาคนอื่น จนแบคฮยอนยิ่งคิดเข้าข้างตัวเอง
ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่พี่ชานยอลทำอาจจะแค่รู้สึกเอ็นดูน้องชายคนนี้
แต่สุดท้ายเขาก็เป็นแค่น้องชายที่หลงรักพี่ชายอยู่เต็มหัวใจ
70%
บาปไหม มันก็คงต้องบาปสิ
555555555555555555555555
มาทีละนิดเพราะอยากให้ลองเดาเรื่องกันดูค่ะ
#น้ำผึ้งมะนาวCB
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชานรักแบคดูก้รู้ววว