คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #252 : Extra Log 248: มหาเทพราหู
Extra
Log 248: มหาเทพราหู
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว….
เรื่องเล่าได้เริ่มต้นประโยคของมันเช่นนั้น
พยายามบอกว่ามันเกิดขึ้นในอดีตกาลอันไกลโพ้น
ทว่า
มันไม่ได้ไกลขนาดนั้น เรื่องเล่าดั่งเทพนิยายนั่น
เรื่องราวที่บอกว่า
อสุรากับเทวะทำสงครามกันเพื่อแย่งชิง อมฤต
เรื่องราวนั้นตั้งอยู่ที่อีกฟากของถนนตรงหน้าเขานี่เอง
“…”
อิงศรทอดสายตามองไปยังร้านกาแฟที่มีเรื่องเล่านั้น
ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเดินไปข้างหน้า
ร้านกาแฟอีคริปส์
คือจุดสตาร์ทที่ว่า
มีนาเพิ่งจะได้สติหลังจากเมษาเข้าไปปลุกหล่อนที่นอนฟุบอยู่บนสนามหญ้า
เมษาพูด
“เป็นอะไรรึเปล่า”
มีนายังไม่ตอบทันที
หล่อนส่ายหัวเหมือนจะสลัดความง่วงมึนออกไป แล้วถึงสังเกตเห็นพวกเขา
“คุณอิงศร...ทุกคน”
หล่อนทำหน้างุนงง
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ
แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหนกัน”
ได้ยินดังนั้นอิงศรก็หันมาพูดกับเธอ
“ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนทำให้พวกเรามาอยู่ที่นี่กันหรอกเหรอ”
แต่มีนาส่ายหน้า
“ไม่นะคะฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรเลย”
“ก็ในสายที่เธอโทรกลับมาคุยกับฉันนั่นไงที่ถามว่าวันนี้คือวันอะไร”
“แต่ฉันยังไม่ได้โทรกลับเลยนะคะพอวางสายจากคุณอิงศรแล้วฉันก็...”
มีนาหยุดชะงักไป
หล่อนทำหน้าเหมือนนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร
อิงศรเร่งถาม
“ก็ อะไร?”
“ฉัน…จำได้ว่าพอวางสายเสร็จก็เปิดเมล์ไปดาวน์โหลดแอพตามที่คุณอิงศรบอกพอกดปุ่มตอบบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วก็จำอะไรไมได้อีกเลยค่ะ
รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่กับทุกคนแล้ว”
ถ้าอย่างนั้นสายที่ต่อกลับมาแล้วถามเขาว่า
วันนี้คือวันอะไร ก็คงเป็นตัวการที่พาพวกเขามารวมกันที่นี่
หากคิดอย่างนั้นสมมติฐานก็จะลงตัวทันที
สาเหตุว่าทำไมพวกเขาถึงมารวมกันอยู่ตรงนี้
ตรงที่ร้านกาแฟอีคริปส์ตั้งอยู่
อิงศรพูด
“ฉันรู้ตัวคนร้ายแล้วไปกันเถอะ”
แล้วออกเดินนำทุกคนข้ามถนนไปยังร้านที่อยู่ฟากตรงข้าม
อิงศรผลักประตูร้านเข้าไป กระดิ่งส่งเสียงดัง กรุ๊งกริ๊ง
พวกเขาเข้าไปข้างในร้านจนครบทุกคน ทำให้ร้านดูแน่นขนัดขึ้นมา
กลิ่นกาแฟคั่วหอมฟุ้งไปทั้งร้าน
กลิ่นหอมชวนให้เคลิ้มจนเกิดความรู้สึกหิวกระหายและตื่นตัวขึ้นมา
แต่นรินทร์กลับแสดงอาการระสับระส่าย
อิงศรถาม
“นรินทร์ เป็นอะไรรึเปล่าลุกลี้ลุกลนน่าดูเลยนะนายน่ะ”
“ไม่รู้สิพอได้กลิ่นกาแฟของที่นี่แล้วมันรู้สึกคุ้นๆ
ขึ้นมาน่ะเหมือนกับจะนึกเรื่องไม่ดีอะไรออกมาได้ด้วย”
นับเวลาตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในร้านแล้วเริ่มสนทนากันก็น่าจะเกือบสิบวินาทีเข้าไปแล้ว
ถึงอย่างนั้นแล้วกลับยังไม่มีใครออกมาต้อนรับ
ไม่ว่าจะในฐานะลูกค้าหรือแขกที่ถูกเชื้อเชิญมาที่นี่ก็ตาม
“สิบเอ็ดท่านสินะครับ”
จู่ๆ
ก็มีเสียงดังออกมาจากครัวด้านหลังเคาน์เตอร์
ชายผิวเข้มผมยาวหยิกหลังผ้ากันเปื้อนสีเขียวติดโลโก้ร้านเดินหอบถาดวางถ้วยกาแกสิบเอ็ดถ้วยด้วยกันออกมาวางตรงเคาน์เตอร์
“อีคริปส์เบรนด์ครับ
รีบทานก่อนจะเย็นดีกว่า”
อิงศรพูดตอบโต้คำพูดนั้น
“ยังมีเวลาให้คุยกันอีกเยอะไม่ใช่รึไง
ฟาวเดชั่นอี”
เขาพูดแล้วคอยดูปฏิกิริยาจากเจ้าของร้าน
แต่เจ้าตัวกลับนิ่งเฉยแล้วกลายเป็นว่ากลุ่มของพวกเขาเองที่เป็นคนตอบสนองกับคำพูดนั้น
นรินทร์ที่อยู่ด้านหลังถามเขาว่า
“เดี๋ยวสิ
อิงศรนี่หมายความว่ายังไงน่ะ”
เมื่อคิดจะตอบคำถามของนรินทร์
อิงศรก็เริ่มนึกขึ้นมาด้วย ว่าที่มาของอาร์คาน่านั้นเริ่มขึ้นเมื่อไหร่
มันเริ่มจากเมล์ตัวจับเวลาความตายที่ซีลอร์ดส่งมา
แต่ก่อนหน้านั้นล่ะ…
ก่อนหน้าที่ซีลอร์ดจะเริ่มส่งเมล์มามันเกิดอะไรขึ้น
ทำไมจู่ๆ ถึงเริ่มส่งเมล์มา ทันทีที่มาถึงที่นี่เขาก็คิดว่าคำตอบมันแสดงออกมาแล้ว
อิงศรพูด
“ทำไมโลกใบนี้ถึงได้วนอยู่ในวันที่หนึ่งพฤศจิกายน
ฉันน่ะคิดเรื่องนั้นมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
ทำไมถึงต้องเป็นวันนี้น่ะเหรอเพราะว่าวันนี้คือวันที่แผนการของเจ้านั่นเริ่มต้นขึ้นมาน่ะสิ”
เขาชี้ไปยังเจ้าของร้านที่ยังคงนิ่งเงียบ
แต่แล้ว…
“คุณอิงศรจะบอกว่าเจ้าของร้านคือหัวหน้าขอบฟาวเดชั่นอีสินะคะ”
มีนาก็กล่าวขัดขึ้นมา
อิงศรพูด
“อา กลุ่มเงินทุนลับที่ออกทุนสนับสนุนการสร้างองค์กรปีศาจอารย-สนธยากับให้การสนับสนุนเมตไตรย
ฟาวเดชั่นอี นั่นแหละ”
“ถึงจะบังเอิญมีตัว E กันทั้งร้านกาแฟกับองค์กรที่ว่านั่นก็เถอะค่ะแต่นั่นมันไม่สรุปมัดมือชกไปหน่อยหรือคะ”
อิงศรเมินคำพูดของมีนาแล้วจ้องเขม็งไปยังถ้วยกาแฟสิบเอ็ดถ้วยที่วางเรียงกันอยู่ในถาดบนเคาน์เตอร์
สิบเอ็ดถ้วยเป็นจำนวนที่ไม่น่าจะเตรียมได้ในทันทีหากไม่รู้ล่วงหน้า
อิงศรพูด
“แกรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าพวกฉันจะมาไม่สิแกนั่นแหละที่พาพวกเรามาที่นี่”
และแล้ว...
เจ้าของร้านก็พูดตอบเป็นครั้งแรก
“ก่อนหน้านี้ตอนที่มากันแค่ห้าก็จั่วซองอาคานาร์ไปด้วยนี่ทำไมถึงได้รู้ตัวช้านักล่ะ”
โดยที่ชี้ไปยังพวกพ้องที่อยู่ข้างหลังอิงศรหนึ่งในนั้นซึ่งโดนเพ่งเล็งคือมีนา
มีนาพูด
“เดี๋ยวสิเรื่องนั้นมัน”
แล้วหล่อน
ไม่สิอีกสามคนก็ด้วย เมษา กวินทร์ นรินทร์
ทั้งสี่คนนั้นหยิบเอาของบางอย่างออกมาจากคลังเก็บของส่วนตัว
เป็นไพ่อาคานาร์...แต่เป็นของทำเลียนแบบ
ทว่าลวดลายที่บ่งบอกว่าแต่ละใบเป็นอาคานาร์อะไรกลับตรงกับอาคานาร์ที่เขาได้รับเพราะเชื่อมสายสัมพันธ์กับคนๆ
นั้น เจ้าของร้านบอกว่าห้าคนแต่ที่นี่มีแค่สี่คนที่มีไพ่อาคานาร์ปลอม
อิงศรเบ้หน้าถามทั้งสี่คนนั้น
“พวกนายไปได้ของพวกนั้นมาตอนไหนกันน่ะ แล้วยังมีใครอีกคนที่มีมันด้วย”
กวินทร์เป็นคนตอบแทนสามคนที่กำลังอ้ำอึ้ง
“ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่ศรโดดการตรวจสภาพเดม่อนแอพน่ะครับพวกเรากับโดโรธีมาที่ร้านนี้พอสั่งเครื่องดื่มแล้วก็มีซองจับรางวัลที่มีไพ่พวกนี้แถมมาให้”
งั้นอีกคนที่ได้ไพ่อาคานาร์ปลอมไปก็เป็น
โดโกบาร์ สินะ
แต่เจ้าของร้านก็พูดขัด
“อุตส่าห์เก็บของที่ฉันมอบให้ไปซะด้วยเป็นเด็กดีกันจังนะ...แล้วยังไงต่อล่ะ”
ทันทีที่ถูกจ้องมองโดยสายตาอันเยือกเย็นของเจ้าของร้าน
อิงศรก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
อีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาแน่เพราะไม่อย่างนั้นคงส่งแรงกดดันขนาดทำให้เขารู้สึกตัวมาไม่ได้
พวกพ้องคนอื่นๆ ก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันนั้นแล้วพากันเปลี่ยนสีหน้า
ทุกคนระวังตัวกันมากขึ้น
เจ้าของร้านพูดต่อ
“ตกลงแล้วเธอกับพวกพ้องมาที่นี่ทำไม
ไม่ลองบอกเรื่องนั้นดูก่อนล่ะแล้วฉันจะได้ประเมินคะแนนของรอบโบนัสนี้ให้น่ะ”
อีกฝ่ายพูดว่า ‘รอบโบนัส’ นั่นหมายถึงโลกที่วนลูปไม่รู้จบอยู่ในวันที่ 1 พฤศจิกายนหรือเปล่า
อิงศรพูด
“ฉันคิดมาซักพักแล้วล่ะว่าแอดมินิสเทรเตอร์ที่เราจัดการไปน่ะคล้ายกับอะไรบางอย่าง
ถ้าลูนาริสคือพระจันทร์ โซลาริสคือพระอาทิตย์ งั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีคนที่สามอยู่ แล้วมันก็มีอยู่ไม่ใช่เหรอ
ที่ร้านนี้น่ะ”
อิงศรชี้ไปยังผนังร้านซึ่งติดโปสเตอร์รูปตำนานกวนเกษียรสมุทรที่เจ้าของร้านเคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งก่อนที่เขามาที่ร้านนี้
“ตำนานที่เกี่ยวกับพระอาทิตย์กับพระจันทร์แล้วก็อย่างที่สามฉันรู้จักจากที่นี่...ราหู”
แปะ
แปะ แปะ เสียงปรบมือดังขึ้น เจ้าของร้านส่งยิ้มให้ด้วยใบหน้าสำราญบานใจขณะที่ปรบมือแล้วกระโดดโหนตัวข้ามเคาน์เตอร์ออกมาเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยที่ไม่มีสิ่งใดมากีดขวางอีก
ในสถานการณ์อย่างนี้รวมกับการปรบมือก่อนหน้านี้มีสิทธิ์ที่อิงศรจะสั่งให้ทุกคนโจมตีเข้าไปพร้อมกัน
ทั้งที่รู้แบบนั้นแต่อีกฝ่ายก็ยังข้ามมาหาพวกเขาเสียเอง
เจ้านั่นคิดว่ารับมือได้
สามารถฆ่าพวกเขาทั้งสิบเอ็ดคนตรงนี้ได้ก่อนจะถูกฆ่า
อิงศรพูด
“แกไม่ใช่มนุษย์สินะ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
คำตอบของคำถามน่ะง่ายมาก
เพราะไม่มีมนุษย์ที่ไหนกระโดดพาตัวเองเข้าหาภัยอันตรายหรอก
ถ้าอย่างนั้นพวกเขาทั้งสิบเอ็ดคนตรงนี้ก็ไม่เป็นอันตรายกับหมอนั่น
สรุปก็คือมั่นใจว่าแข็งแกร่งกว่าพวกเขา
แบบนั้นไม่มีทางเป็นมนุษย์ได้แน่
ตัวตนของอีกฝ่ายจะต้องเป็นอะไรซักอย่างที่แข็งแกร่งเอามากๆ
มากเสียจนชักเชิดพวกเขาให้เดินไปตามเกมฆ่าล้างพระเจ้าจนกระทั่งสร้างโลกวนลูปไม่รู้จบนี้ขึ้นมาขังพวกเขาไว้
แฟรนเซียมเคยบอกว่าฟาวเดชั่นอีไม่ใช่องค์กรแต่เป็นตัวบุคคล
แล้วเจ้านั่นก็ไม่ใช่มนุษย์ แถมยังมอบอาคานาร์ให้อีก มีความเป็นไปได้ว่าหัวหน้าของฟาวเดชั่นอี
จะเป็น แอดมินิสเทรเตอร์
ตอนที่คิดจะตอบสมมติฐานออกไป...
เจ้าของร้านก็กลับเป็นฝ่ายพูดเสียเอง
“ทำไมวันนั้นเธอถึงมาที่นี่ มาที่ร้านนี้พร้อมกับกวินทร์ที่มีฟันเฟือง
ทำไมถึงได้รับเมล์จากออร์ฟิอูคูมันนาร์หลังจากนั้น เธอกำลังคิดว่ามันเป็นเพราะฉันสินะ
ถ้าอย่างนั้นก็คิดถูกแล้ว ทั้งหมดนั่นน่ะเป็นไปตามบทที่วางเอาไว้”
‘เป็นไปตามบท’ พูดเหมือนกับที่กฤษณะเคยพูด ‘บท’ ที่ว่านั้นหมายถึงแผนการของฟาวเดชั่นอี อย่างนั้นรึเปล่า บทที่กำหนดให้พวกเขาเดินทางมาจนถึงวันนี้
ทันใดนั้น ร่างกายของเจ้าของร้านเริ่มมีหมอกลงมาปกคลุมจนกระทั่งจมหายเข้าไปในหมอก
สายหมอกไหลไปทั่วทั้งร้าน ทัศนวิสัยทึบมัวขึ้นทุกขณะ
“วันนี้คือวันอะไรคะ”
แล้วเจ้าของร้านก็เดินออกมาจากม่านหมอก
แต่ด้วยร่างกายของมีนารวมถึงเสียงพูดก็ยังเป็นเสียงของมีนาด้วย
มีนาตัวจริงเขยิบตัวเข้ามาชิดอิงศร
หล่อนเกาะที่ไหล่ของเด็กหนุ่ม เบ้หน้าแล้วพูด
“นั่นมันตัวฉัน...”
“อา คนที่โทรกลับไปแล้วถามว่าวันนี้คือวันอะไรคะก็คือข้าเอง
ข้านำพวกเจ้าที่ใกล้จะเข้าถึงความจริงมายังที่นี่ตามที่ว่านั่นแหละ”
อิงศรพูด
“วันที่หนึ่งพฤศจิกายนที่แกทำให้ย้อนวนกลับมาอยู่เรื่อยๆ
นี่ก็คือวันเดียวกับที่แกมอบอาคานาร์ให้ฉันด้วยอย่างนั้นสินะ”
พอพูดจบหมอกก็ย้ายเข้ามาปกคลุมร่างของมีนาตัวปลอมแล้วคลายออก
หล่อนคืนร่างกลับเป็นเจ้าของร้านตามเดิม
“ตามนั้นเลย ยังจำครั้งแรกที่เจอกันได้รึเปล่าล่ะตอนที่จับมือเธอไงแล้วหลังจากนั้นก็ปวดหัวใช่ไหมล่ะ
นั่นน่ะไม่ใช่เพราะว่ากาแฟแรงไปหรอกนะแต่พลังแห่งโชคชะตาเริ่มเคลื่อนที่มาตั้งแต่ตอนนั้นต่างหาก
แล้วก็นะ...”
หมอกเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง
เจ้าของร้านกำลังจะเปลี่ยนร่าง
ชายคนใหม่ที่เจ้าของร้านเปลี่ยนตัวมาเป็นคนที่อิงศรไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
เป็นชายมีอายุร่างสูงโปร่ง จากชุดที่สวมใส่ในร่างนี้เป็นชุดของเมตไตรย แถมยังเป็นชุดประจำตำแหน่งระดับสูงเอามากๆ
แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นตำแหน่งไหน
ทว่า
เสียงของเมษาก็ได้ให้คำตอบมา
“ท่านพ่อ!”
นี่คือร่างของ มกร
ธุวดารกะ อย่างนั้นสินะ
มกร พูด
“มกร ธุวดารกะ
น่ะไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้มาตั้งนานแล้ว มกรก็คือข้าเอง ข้าแทรกซึมอยู่ในทุกเรื่องราว
อยู่ในทุกซอกหลืบของประวัติศาสตร์ ข้าก่อตั้งเมตไตรยรวมถึงให้กำเนิด อารย-สนธยา”
แล้วร่างกายก็เปลี่ยนกลับมาเป็นเจ้าของร้านอีกก่อนจะเริ่มเปลี่ยนใหม่
จากที่เปลี่ยนกลับไปกลับมาแล้ว
ดูเหมือนนี่จะเป็นร่างหลักก่อนจะเปลี่ยนเป็นคนอื่น
ร่างใหม่ที่ปรากฏออกมาคราวนี้เป็นตัวเจ้าของร้านเองแต่มีแค่ชุดเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
ชุดกลายเป็นสูทสีดำคล้ายกับที่กฤษณะใส่
เจ้าของร้านพูด
“เป็นอย่างไรบ้างนรินทร์จากตอนนั้นมาได้รู้แล้วรึยังว่าอาคานาร์จากยี่สิบสองรูปแบบทั้งหมดนั้นอันไหนเป็นของเธอกัน”
เจ้านั่นเล็งเป้าไปที่นรินทร์
ที่ตอนนี้ตัวแข็งทื่อไปหมด
นรินทร์พูด
“นายมัน...คนที่หลอกพ่อแอบมาติดตั้งจอกศักดิ์สิทธิ์ที่วัดนี่”
ทันทีที่เห็นร่างนั้น
ความทรงจำในวัยเด็กก็แทบจะกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ ความทรงจำของนรินทร์ที่เคยเจอกับชายตรงหน้าเพียงครั้งเดียว
และจดจำได้ถึงกลิ่นกาแฟอันเด่นชัดที่ลอยโชยออกมาจากตัวชายคนนั้น
มันคือกลิ่นเดียวกับกลิ่นกาแฟภายในร้านแห่งนี้
เจ้าของร้านขยับคางยื่นมาข้างหน้าเล็กน้อยแล้วเอียงคอพูด
“น่ารักซะจริงนะ
พอแสดงความจริงให้เห็นอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นมาทั้งความหวังและความผิดหวังไปพร้อมๆ
กัน ข้าน่ะชอบช่วงเวลาเช่นนั้นเป็นที่สุด
ในยามที่ความหวังและความสิ้นหวังบรรจบกันมันจะกลายเป็นความว่างเปล่า”
นั่นคือเหตุผลที่เอาแต่แปลงร่างไปมาแล้วสร้างความสับสนให้กับกลุ่มของเขางั้นสิ
อิงศรพูด
“เลิกเล่นลิ้นได้แล้ว
แกต้องการอะไรกันแน่ ไม่สิแกเป็นใครกันแน่”
ถึงจะถามออกไปอย่างนั้น
แต่ตอนนี้เขาแน่ใจอยู่เรื่องหนึ่ง
เรื่องที่ว่าเจ้านี่คือผู้บงการที่แท้จริง
คือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เขาเฝ้ามองหามาโดยตลอดแล้วก็ได้เจอ...
“ข้าเป็นใครสินะ”
เจ้าของร้านเปลี่ยนร่างกลับ
“ขอโทษที่แนะนำตัวช้าไปหน่อย
ข้าคือแอดมินิสเทรเตอร์ ผู้ปกครองแสงสว่างและความมืดมิด เทพผู้บงการคราส มหาเทพราหู...”
หมอกขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
ราวกับว่ามันไหลออกมาจากร่างของเจ้าของร้าน ใช้เวลาแค่ชั่วอึดใจเดียว ร้านก็ถูกกลืนหายเข้าไปในสายหมอก
มองไม่เห็นทิวทัศน์รอบตัวอีกแล้วแต่สัมผัสได้ว่าบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
สภาพแวดล้อมรอบตัวบ่งบอกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ข้างในร้านกาแฟอีกแล้ว
“นามของข้าคือ ราหูลาริส
(Rahularis)”
เงาดำทะมึนของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาปรากฏขึ้นท่ากลางหมอกหนา
เงานั้นขยับอวัยวะคล้ายแขนหรืออะไรบางอย่างปัดม่านหมอกออก
เกิดเสียงดัง วู่ม แล้วหมอกบริเวณด้านหน้ากลุ่มของพวกเขาก็ปลิวหายไปตามแรงลมกรรโชกที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวนั้น
สิ่งมีชีวิตนั้นเป็นสัตว์ประหลาดร่างดำทะมึนผิวหนังคล้ายกับหินมีปีกยุ่งเหยิงหลายปีก
มีปีกที่เป็นสีทองเปล่งแสงสว่างอ่อนๆ คล้ายกับหิ่งห้อย
ส่วนขนาดตัวนั้นใหญ่ราวห้าเท่าของร้านกาแฟได้
นั่นทำให้รู้ว่าสถานที่เปลี่ยนไปแล้วอย่างแน่นอน
พวกเขาถูกย้ายมาที่ไหนกันนะ
สายหมอกเริ่มจางลง
ทิวทัศน์เริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นมา
เมื่อมองไปที่ท้องฟ้า
ก็มองเห็นแต่สีดำทะมึน คล้ายกับท้องฟ้ากลายเป็นเวลากลางคืน
สถานที่รอบตัวคือในมหาลัยไม่ผิดแน่
เขาจำรูปร่างของอาคารแต่ละหลังได้ที่นี่คือถนนหน้าร้านกาแฟที่พวกเขาเข้าไป แต่ว่า
ทุกอย่างกลายเป็นซากปรักที่รกร้าง
“ที่นี่มัน….”
ความคิดเห็น