คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : การ์ดเชิญ
ศิตาลืมตาตื่นขึ้นก่อนรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง เธอพยายามตั้งสติอยู่พักใหญ่เพื่อทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นและตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปชั่วขณะ และเมื่อสายตามองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน เธอก็ตระหนักได้ว่ากำลังนอนอยู่ในห้องสีครีมกว้างขวาง ผนังรอบด้านประดับตกแต่งด้วยลวดลายดิ้นทองหรูหรา เมื่อดูจากขนาดของห้องเพียงห้องเดียวก็พอเดาได้ว่าบ้านหลังนี้น่าจะใหญ่มากเลยทีเดียว
ทว่าท่ามกลางความหรูหรานั้นมีผนังด้านหนึ่งที่แปลกออกไป เพราะมีประตูเรียงกันอยู่สิบสามบาน โดยประตูหกบานทางฝั่งซ้ายและอีกหกบานทางฝั่งขวาทำจากกระจกฝ้า ทว่าประตูบานตรงกลางเพียงบานเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนจะทำจากเหล็กกล้าสีเทา ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกและแข็งกระด้างจนขัดแย้งกับบรรยากาศรอบด้าน
เด็กสาวพยายามทบทวนความทรงจำตัวเองต่อว่า ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้ก็คือ เธอไปที่ท่าเรือแห่งหนึ่งตามการนัดหมายของเกมชิงเงินรางวัลมหาศาล ในจดหมายได้แจ้งว่าจะมีเรือมารับไปยังสถานที่เล่นเกม แต่ระหว่างที่รอนั้น จู่ ๆ สติของเธอก็ดับวูบไป
ไม่สิ... ไม่ใช่แค่นั้น ตอนนั้นเราไม่ได้ไปที่ท่าเรือคนเดียว
ศิตาใจหายวาบ เธอผุดลุกขึ้นแต่ยังมีอาการเวียนศีรษะอยู่ เธอจึงซวนเซลงนอนอีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกได้ว่า ศีรษะของเธอไม่ได้วางบนพื้นแข็ง ๆ ทว่าสัมผัสนั้นกลับมีความอบอุ่นราวกับเป็นร่างกายของใครสักคน
เธอพบว่าตนกำลังนอนอยู่บนตักของเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งนั่นเอง
“ขะ... ขอโทษค่ะ” ศิตาหน้าแดงพลางพยายามลุกหนีอีกครั้ง แม้จะยังรู้สึกมึนศีรษะก็ตามที ในวินาทีถัดมาเธอก็นึกได้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร จึงหันไปมองรอบ ๆ
“ภา เธออยู่ไหน”
“อยู่นี่ค่ะพี่” เสียงเด็กสาวอีกคนซึ่งแฝงความห้าวขานตอบเธอชื่อเยาวภา มีผมค่อนข้างสั้นและใบหน้าน่ารักทว่าคล้ายผู้ชายเล็กน้อย “ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”
“เฮ้อ โล่งอกไปที เธอไม่เป็นอะไรนะ อาการกำเริบหรือเปล่า” ศิตาถามอย่างเป็นห่วง ก่อนจะมองไปรอบตัวอีกครั้ง ข้าวของที่เธอและน้องสาวพกติดตัวมาด้วยยังอยู่ครบดี รวมถึงยาพ่นขยายหลอดลมของเยาวภาด้วย
นอกจากเธอแล้วยังมีคนอื่นอีกราวสิบคนอยู่ในห้องนี้ บ้างก็ดูเหมือนจะรู้สึกตัวตื่นนานแล้ว บ้างก็งัวเงียคล้ายเพิ่งจะได้สติเช่นเดียวกับศิตา ท่าทางของทุกคนบ่งบอกว่ากำลังสับสนว่าที่นี่คือที่ไหน
ในตอนนั้นเองที่เธอหันไปสบตากับเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นอีกครั้ง เธอเขินจนต้องหลบสายตา ขณะที่อีกฝ่ายเริ่มทักก่อนอย่างมีมารยาท “ฉันชื่อภูผา ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ฉะ... ฉันชื่อศิตา” ศิตาตอบ ใจของเธอเต้นแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ และ...
“!?”
ท่ามกลางอารมณ์ตื่นเต้นจนใจสั่นอยู่นั้นเอง เด็กสาวสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตน เธอรู้สึกขนลุกจึงหันไปมอง และพบเด็กหนุ่มร่างเล็กกำลังถือแท็บเล็ตในมือขณะจ้องมองมาที่เธอด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยคลางแคลงใจ และอาจจะถึงขั้นระแวงเลยทีเดียว
เด็กเนิร์ดคนนั้นมองเราทำไมกัน แล้วสายตาแบบนั้น...
เมื่อเธอหันไปสบตาเขา อีกฝ่ายก็หลุบตาลงจ้องมองแท็บเล็ตในมือตัวเอง
“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่เกมที่มีเงินรางวัลร้อยล้านเป็นเดิมพัน นับว่าโชคยังดีที่พวกคุณทั้งสิบสองคนมาร่วมเกมอย่างพร้อมหน้า หากขาดใครสักคนไปผมคงยกเลิกเกมนี้เป็นแน่ แต่พวกคุณก็ไม่มีใครที่ทำให้ผมผิดหวัง ขอโทษด้วยนะครับที่ผมต้องใช้วิธีรุนแรงในการพาพวกคุณมาที่นี่ เพราะผมไม่อยากให้ใครรู้ทางมาบ้านผมเท่าไหร่หรอก”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากลำโพง ฟังดูคล้ายเสียงเด็กหนุ่มที่อายุไม่น่าต่างจากศิตา เยาวภา และภูผามากนัก ทุกคนในห้องพากันจ้องมองไปที่ลำโพงบนเพดานด้วยสายตาเป็นประกาย ทำให้ศิตารู้ได้ทันทีว่าทุกคนต้องการเงินรางวัลเหมือนกันหมด แปลว่าพวกเขาและพวกเธอเหล่านี้ก็คือผู้ร่วมเล่นเกม และเป็นคู่แข่งกันนั่นเอง
“เงินรางวัลที่พวกเราจะได้มัน ไม่ใช่เงินผิดกฎหมายแน่นะ คิดยังไงมันก็แปลก อยู่ดี ๆ จะมีเกมใจดีมอบเงินหลักร้อยล้านโผล่มาได้ยังไงไม่ใช่เกมดังด้วยซ้ำ แล้วพวกนายจะได้ประโยชน์หรือผลกำไรอะไรจากเกมนี้ล่ะ อย่าบอกนะว่านายแค่ใจบุญอยากจัดเกมแจกเงิน” ชายหนุ่มหน้าตาดีราวกับนายแบบถามขึ้นด้วยความสงสัย ซึ่งเป็นคำถามที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ ต่างก็คาใจมาตั้งแต่ได้รับจดหมาย
“เงินไม่ผิดกฎหมายแน่นอนครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ อย่างที่คุณสงสัยแหละครับว่า จะมีเกมไหนใจดีแล้วก็ใจบุญขนาดให้เงินเป็นร้อยล้าน คำตอบก็ง่าย ๆ เพราะเราไม่ได้ใจดี และก็ไม่ได้ใจบุญด้วย อันที่จริงคงต้องขอเรียนให้ทราบตรงนี้เลยว่า เกมของเราตรงข้ามกับคำพวกนั้นอย่างสุดขั้ว และเกมนี้ก็ไม่ได้เล่นได้ง่าย ๆ เพราะไม่อย่างนั้นก็คงไม่คุ้มกับเงินร้อยล้านที่เราจะแจกให้ผู้ชนะ” เสียงนั้นพูดกลั้วหัวเราะ “อีกอย่าง ผมรู้ดีว่าพวกคุณคาใจและสงสัย แต่สุดท้ายพวกคุณก็ยอมมากัน คงเป็นเพราะเช็คเงินสดหนึ่งแสนที่ผมส่งให้สินะครับ”
“ฉันมาเพราะอยากรู้ว่าเกมนี้มันจะยากสักแค่ไหน แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกันแหละว่าอาจมีกับดักอะไรสักอย่าง” หญิงสาวท่าทางเย่อหยิ่งเย็นชาคนหนึ่งพูด ก่อนจะเม้มปากที่ทาลิปสติกสีแดงสดเข้าหากันและคลี่
ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ผมรู้ว่าคุณมาเพราะอยากเอาชนะ ผมถึงได้เชิญคุณมายังไงล่ะครับ เพราะคุณคงไม่มีทางปฏิเสธเกมนี้ได้ ยิ่งยากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งอยากเล่น” เสียงปริศนาตอบกลับไป
“พอได้แล้ว ใครจะอยากเล่นเกมเพราะอยากเอาชนะหรือเพราะสงสัยอะไรก็ช่าง แต่ฉันเล่นเกมเพราะอยากได้เงิน ต่อให้เป็นเงินผิดกฎหมายก็ไม่สน” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น ท่าทางเขาก้าวร้าวที่สุดในกลุ่ม มีแววตาคมปลาบพร้อมจะเอาเรื่องผู้อื่นได้ตลอดเวลา ท่าทางเหมือนนักเลง
“รีบเริ่มเกมเลยดีกว่า บอกมาว่ากติกาคืออะไร”
“ใจเย็นก่อนสิครับ อีกสิบห้านาทีผมจะบอกกติกาให้ฟังระหว่างนี้ผมให้เวลาพวกคุณทำความรู้จักผู้เล่นคนอื่น ๆ กันไปก่อน” เด็กหนุ่มปริศนาพูดทิ้งท้ายก่อนจะเงียบหายไป ไม่ว่าใครจะเรียกเขา เขาก็ไม่ตอบกลับอีก
ผู้เล่นเกมคนอื่นต่างจ้องมองกันอย่างหวาดระแวง ก่อนที่ชายหนุ่มผู้มีท่าทางคล้ายนายแบบจะเดินมาหาหญิงสาวซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนร่วมอาชีพ “หึหึ ว่าแล้วเชียวว่าเธอไม่น่าจะมาเดินถ่ายแบบแถวท่าเรือ อารยา ที่แท้ตอนนั้นเธอคงเพ้อฝันถึงเงินหลายล้านอยู่สินะ”
อารยาตอบอย่างไม่แยแส “เธอเห็นฉันที่ท่าเรือด้วยเหรอ พีตา แต่ขอโทษนะที่ตอนนั้นฉันไม่สนใจมองเธอเลยสักนิด”
เด็กหนุ่มมาดสุภาพบุรุษคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกพีตาว่า “เอาแต่ว่าคนอื่น คุณเองก็ยืนทำหน้าละโมบอยู่แถวท่าเรือเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”
“ใครถามนายวะ ฉันคุยกับอารยาต่างหาก” พีตาแขวะและหันมาหาอารยา เธอไม่ตอบโต้เขา แต่จ้องมองไปยังหญิงสาวที่มีท่าทางเย็นชาและทาลิปสติกสีแดงสดแทน “ไม่ใช่แค่พวกเราหรอกมั้งที่ตอนนั้นทำหน้าละโมบโลภมากอยู่แถวท่าเรือ”
หญิงสาวปากแดงคนนั้นไม่ตอบอะไร เธอกำลังจับตามองคนอื่นในห้อง สักพักก็อุทานเหมือนพูดกับตนเองว่า “หมอนี่ที่เดินอยู่แถวท่าเรือ...”
เด็กหนุ่มท่าทางอวดดีคนหนึ่งรู้สึกตัวว่าถูกหญิงสาวปากแดงมองอยู่จึงอุทานเช่นกันและพูดว่า “อ้อ! คุณคือนิตยา ดีไซเนอร์ชื่อดังใช่ไหมผมชอบเสื้อผ้าที่คุณออกแบบมากเลย ผมชื่ออนัญครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ขอถ่ายรูปคู่ด้วยได้ไหมครับ จะได้แชร์ลงเฟซบุ๊กอวดเพื่อน อ้าว... ไม่มีสัญญาณเน็ตแฮะ”
“พวกคุณรู้จักกันด้วยเหรอ” เด็กเนิร์ดเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างการสนทนาของทุกคู่อย่างกระหายใคร่รู้ พร้อมทั้งแนะนำตัว “ผมชื่อโอจินนะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน”
“ฉันรู้จักนิตยาแล้วก็พีตาน่ะ” อารยาตอบ
“ฉันรู้จักแต่อารยา แต่ไม่รู้จักเจ๊คนนี้ แล้วก็ไม่รู้จักหมอนี่ด้วย” สองคนสุดท้ายที่พีตาพูดถึงนั้น หมายถึงนิตยาและเด็กหนุ่มมาดสุภาพบุรุษ
“พูดอย่างกับว่าผมอยากรู้จักคุณอย่างนั้นแหละ และผมก็ไม่อยากรู้ชื่อคุณด้วย” เด็กหนุ่มสุภาพบุรุษตอบพีตากลับไป ก่อนจะหันมาพูดกับพวกโอจินและศิตา “ผมชื่อธีระครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“มีบางคนที่รู้จักกันมาก่อนสินะ” โอจินพูดพลางเอียงคอสงสัย “ตามหลักความน่าจะเป็นแล้ว ...มันแปลก ๆ แฮะ ทำไมบางคนมีความเชื่อมโยง แต่บางคนก็ไม่รู้จักกันเลย เจ้าของเกมนี้ใช้หลักการอะไรคัดเลือกผู้เล่นกันแน่นะ”
ภูผาได้ยินที่โอจินพูดก็นึกสงสัยเช่นกัน ตามปกติแล้ว หากจะเลือกผู้เล่นที่รู้จักกันก็น่าจะเลือกให้รู้จักกันทั้งหมด หรือถ้าจะเลือกคนแปลกหน้าก็ควรจะเลือกผู้เล่นที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนทั้งหมด แต่ตอนนี้กลับมีบางคนที่รู้จักกันมาก่อน บางคนไม่เคยรู้จักกันเลยและบางคนที่ดูเหมือนจะรู้จักผู้เล่นบางคนแค่ฝ่ายเดียวโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้จักตนมาก่อน ช่างเป็นการรวมตัวผู้เล่นที่แปลกประหลาดเกินไป
“เฮ้ มือถือใครต่ออินเทอร์เน็ตได้บ้าง” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างลนลาน เขามีรูปร่างผอมดูอ่อนแอ ดวงตาหรี่เล็ก และคิ้วที่ตกลู่บ่งบอกถึงความขี้ขลาด
“ต่อไม่ได้” อนัญพูด “โทรออกก็ไม่ได้ด้วย แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ โทรออกได้ไหม”
ภูผาสังเกตว่าการที่อนัญพยายามง่วนอยู่กับโทรศัพท์เพื่อตรวจดูว่าเปิดอินเทอร์เน็ตได้ถูกต้องหรือไม่ พยายามโทรออกเพื่อเช็กว่าค่าอินเทอร์เน็ตหรือค่าโทรของตนหมดหรือเปล่า ไปจนถึงการถอดซิมโทรศัพท์มือถือออกแล้วใส่ใหม่พร้อมบอกให้คนอื่นลองเช็กโทรศัพท์ของตนด้วยนั้น บ่งบอกได้ว่าเด็กหนุ่มหน้าตกกระคนนี้เป็นคนละเอียดรอบคอบมากทีเดียว
โอจินเช็กอินเทอร์เน็ตในแท็บเล็ตของตนก่อนถอนหายใจ “สงสัยจะเป็นฝีมือของผู้จัดเกมแหง ๆ เฮ้อ ฉันคงต้องลงแดงตายแน่ ๆ ถ้าขาดอินเทอร์เน็ตเกินหนึ่งวัน”
เสียงประกาศผ่านลำโพงอีกครั้ง “พวกคุณคงเห็นว่า ในห้องนี้มีประตูทั้งหมดสิบสามบาน บานตรงกลางที่เป็นประตูเหล็กคือประตูไปยังห้องอาหารซึ่งล็อกอยู่ ส่วนอีกสิบสองห้องที่เป็นประตูกระจกฝ้าคือห้องสัมภาษณ์ ขอให้ทุกคนแยกย้ายเข้าห้องแต่ละห้องพร้อมกันครับ แล้วผมจะไล่สัมภาษณ์เรียงคน ระหว่างที่ผมสัมภาษณ์คนอื่นอยู่ ห้ามทุกคนออกจากห้องเด็ดขาดแม้จะสัมภาษณ์เสร็จแล้วก็ตาม ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับแพ้ เพราะผมไม่อยากให้มีผู้เล่นคนใดแอบฟังตอนคนอื่นกำลังถูกสัมภาษณ์ แน่นอนว่าคำตอบที่พวกคุณตอบผมจะถูกปิดเป็นความลับ ดังนั้นตอบคำถามทุกข้อของผมตามจริงได้เลยครับ ไม่ต้องกลัวคนอื่นจะรู้ ยิ่งคุณตอบคำถามได้ซื่อสัตย์มากเท่าไหร่ ผมก็จะปลาบปลื้มคุณมากขึ้นเท่านั้น”
เมี้ยว...
เสียงแมวร้องแทรกดังผ่านลำโพงออกมา “คุณหญิงของผมคงเบื่อและขี้เกียจจะรอพวกเราคุยกันแล้วดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญทุกท่านแยกย้ายกันเข้าห้องได้เลยครับ เลือกห้องได้ตามใจชอบเลย”
เนื่องจากทั้งสิบสองคนต่างก็อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วว่าตกลงเกมนี้คืออะไรกันแน่ และเชื่อมั่นว่าทันทีที่สัมภาษณ์เสร็จ ผู้จัดเกมน่าจะอธิบายกฎของเกมให้ฟังอย่างแน่นอน ทุกคนจึงแยกย้ายกันเข้าห้องสัมภาษณ์โดยไม่ปริปากบ่นอะไร
“สวัสดีครับ ผมชื่อภูผาครับ”
เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักประหนึ่งดารา รูปร่างปานกลาง ไม่ผอมหรืออ้วนไป ดูเป็นคนไม่มีพิษภัย ใจดี ผิวขาว ใส่เสื้อกันหนาวคล้ายเสื้อกีฬาเบสบอลแบบไม่มีฮู้ด เขาเดินเข้ามาในห้องสัมภาษณ์พลางยกมือไหว้อย่างนอบน้อม และยิ้มแย้มอย่างร่าเริงใส่กล้องวิดีโอที่ตั้งอยู่กลางห้อง ก่อนที่เขาจะลากเก้าอี้ออกจากใต้โต๊ะเหล็กตัวหนึ่งและนั่งลงอย่างสุภาพ
เอรัน เด็กหนุ่มปริศนาผู้จัดเกมกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ในห้องส่งสัญญาณที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย เขาจ้องมองภาพภูผาในห้องสัมภาษณ์ที่ถูกถ่ายผ่านกล้องวงจรปิด จากที่เขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับภูผามา สาเหตุที่ผู้เล่นคนนี้มักยิ้มแย้มเสมอเวลาพูดคุยกับใครแม้แต่คนแปลกหน้า ก็เพราะเคยทำงานพิเศษด้านการบริการลูกค้ามาก่อน แต่เพื่อนร่วมงานหลายคนก็ให้ข้อมูลว่า ยามเขาอยู่คนเดียวหรือใช้ความคิด เขาจะไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย ตาจะหรี่ลงขณะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างทำให้คนอื่นอ่านความคิดเขาไม่ได้ และตาจะเบิกกว้างขึ้นกว่าปกติเวลาคิดแผนบางอย่างออก
ในข้อมูลส่วนที่เป็นความสามารถพิเศษ ซึ่งเอรันเป็นคนลงทุนไปเก็บข้อมูลเองนั้น บ่งบอกว่า ภูผาเคยมีความคิดที่จะไปเข้าร่วมเป็นนักแสดงแต่ก็ไม่ยอมไปเพราะเหตุผลบางอย่าง ทั้งที่เขาสามารถแสดงอารมณ์ออก
มาได้อย่างสมจริงยิ่งกว่าเล่นละคร จะแกล้งโมโหหรือเศร้าก็ทำได้ค่อนข้างแนบเนียน แต่ในยามเคร่งเครียด สีหน้าของเขาจะไร้อารมณ์และเย็นชาจนน่ากลัวว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เป็นคนที่ใบหน้าแสดงอารมณ์ได้ทุกอย่างยกเว้นอารมณ์ที่แท้จริงของเขาในตอนนั้น
ทำไมถึงไม่ไปเล่นละครล่ะ หรือว่าการเป็นนักแสดงจะทำให้คนอื่นรู้หมดว่าเล่นละครเก่งแล้วจะแสร้งเล่นละครหลอกคนอื่นไม่ได้อย่างนั้นหรือ
เด็กหนุ่มปริศนาส่ายหน้า ไม่สิ น่าจะเป็นเพราะสิ่งที่เขาเคยทำมากกว่า ...สิ่งที่ทำให้เราคัดเลือกเขามาเล่นเกมนี้
“ความใฝ่ฝันของคุณคืออะไรครับ” เอรันกดปุ่มให้ไมโครโฟนทำงาน เสียงของเขาถูกถ่ายทอดผ่านห้องส่งสัญญาณไปยังห้องสัมภาษณ์ผ่านทางลำโพง
“ความใฝ่ฝันของผมคือ อยากให้ทุกคนบนโลกนี้มีการพูดจาและการกระทำที่ดีครับ หลายคนบอกว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูดจา แต่ผมคิดว่าไม่เสมอไปนะครับ การที่คนเรามองข้ามการพูดจาให้ดีทำให้เราเผลอใช้คำพูดทำร้ายคนอื่นไปโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า ไม่ใช่ทุกคนนะครับที่จะสามารถรับฟังคำพูดตรง ๆ หรือคำด่าทอของคนอื่นได้เสมอไป ผมยอมรับว่าหากต้องเลือกระหว่างการกระทำ กับคำพูด การกระทำคงสำคัญกว่า แต่ถ้าเป็นไปได้ ได้โปรดให้ความสำคัญกับคำพูดมากขึ้นอีกสักนิดเถอะครับ”
เอรันที่นั่งฟังคำพูดของภูผาอย่างตั้งใจถึงกับเผลอแสดงสีหน้าตกใจออกมา ทั้งที่เขาไม่ค่อยทำเช่นนี้บ่อยนัก
“คุณนี่มันโกหกหน้าตายจริง ๆ ครับ”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อนิตยา”
หญิงสาวหน้าตาดีทักทายอย่างกระฉับกระเฉง เอรันมองภาพเธอที่ถูกถ่ายจากกล้องวงจรปิด พลางนึกทบทวนประวัติข้อมูลของเธอ
นิตยาเป็นดีไซเนอร์ที่มีพรสวรรค์ คนรอบข้างติฉินนินทาว่าเป็นผู้หญิงเห็นแก่ตัว เพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่า เลยพยายามทำตัวหยิ่งเพื่อขัดแข้งขัดขาคนรอบข้าง แต่เธอก็ยังได้รางวัลการออกแบบเสื้อผ้า
มากมาย และทุกครั้งที่เธอชนะการประกวด เธอก็จะพูดจาข่มเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นมากขึ้น
“ก็ไม่น่าแปลก” เอรันคิดว่าผู้หญิงคนนี้แสดงลักษณะนิสัยออกมาอย่างชัดเจนจนนึกแปลกใจว่า ด้วยความที่เธอไม่ใช่คนที่เสแสร้งว่าเป็นคนดีใสซื่อ ในเมื่อทุกคนรู้ว่าเธอมีนิสัยอย่างไร แล้วทำไมถึงยังนินทาเธอ หากรู้ว่าเธอเป็นคนอันตราย แค่อย่าเข้าไปใกล้และคอยเตือนคนอื่น ๆ ด้วยก็พอ ไม่รู้ทำไมมนุษย์ถึงได้ชอบนินทาคนอื่นกันนัก
เด็กหนุ่มปริศนาลูบคางแมวซึ่งกำลังยืดแข้งยืดขาอย่างสบายอารมณ์อยู่ในอ้อมกอดของเขา เขาคิดในใจว่า คนอย่างนิตยาน่าจะทำตัวเย่อหยิ่งเพื่อปิดบังปมด้อยบางอย่างในใจ และการที่เธอชอบหาทางขัดแข้งขัดขาคนอื่นนั้น นอกจากเพราะความริษยาแล้วคงต้องมีความขี้ขลาดที่ไม่กล้าสู้กับคนอื่นตรง ๆ แฝงอยู่ด้วย
เอรันถามผ่านไมโครโฟนว่า “ความใฝ่ฝันของคุณคืออะไรครับ”
“ความใฝ่ฝันของฉันคือ การใช้เสื้อผ้าที่สวยงามในการยกระดับจิตใจคนค่ะ” นิตยาตอบพลางเอามือทาบอก “เคยมีคำพังเพยว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ดิฉันไม่อยากทำเสื้อผ้าสวยหรูที่ทำให้คนสวมใส่ติดในคำว่า ‘แบรนด์’ แล้วไปโอ้อวดข่มทับว่าฉันมีปัญญาใส่ชุดแพงกว่าคนอื่น ฉันอยากออกแบบเสื้อผ้าที่ทุกคนสวมใส่แล้วสวย ดูดี ภาคภูมิใจในชุดของตนเองโดยไม่เย่อหยิ่ง จะทำให้จิตใจของคนสวมใส่สูงส่งขึ้นอย่าง
แน่นอน”
ทันทีที่นิตยาพูดจบ เธอก็ถามขึ้นอย่างมั่นใจว่า “มีคำถามอะไรอีกไหมคะ”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา ไม่ใช่เพราะผู้ฟังที่อยู่ในห้องส่งสัญญาณกำลังนิ่งเงียบ แต่เพราะอีกฝ่ายกำลังปิดไมโครโฟนต่างหาก เอรันกลั้นขำไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมาดังลั่น เพราะกลัวว่าหญิงสาวจะได้ยินเสียงหัวเราะ เขาจึงปิดระบบการออกอากาศชั่วคราวแล้วนั่งกุมท้องหัวเราะ
“เยี่ยมจริง ๆ คนหยิ่งอย่างคุณพยายามเชิญชวนให้คนอื่นใส่เสื้อผ้าของคุณโดยไม่รู้สึกหยิ่ง แบบนี้มันยิ่งกว่าตลกร้ายอีกนะครับเนี่ย ว่าไหมครับ คุณผู้หญิง” เขาพูดพลางลูบศีรษะแมวดำในอ้อมกอด
สถิตย์ค่อย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เขาเอามือลูบศีรษะหลายครั้งด้วยความประหม่า ก่อนจะยกมือไหว้ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ให้กับกล้องวิดีโอ
“สวัสดีครับ ผมชื่อสถิต”
เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปร่างใกล้เคียงกับภูผา ผิวขาวซีดกว่าเล็กน้อยแต่งกายด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์สีซีดเชยๆ ขนาดเสื้อและกางเกงใหญ่กว่าร่างตัวเองจนดูหลวม ใบหน้าตกกระพอประมาณ ดวงตามักหลุบลงต่ำ คิ้วตกบ่งบอกถึงความใจเสาะ มักชอบเอามือสองข้างจับไหล่ราวกับจะโอบกอดตัวเองยามประหม่า เวลาคนอื่นต้องการถกเถียงหรือประชุมอะไรกัน สถิตมักกลายเป็นคนนอกวงที่ถึงแม้จะมีเรื่องอยากพูดแต่ก็ไม่กล้าพูด หรือพูดเสียงค่อยจนคนอื่นไม่ได้ฟังเขาอยู่เสมอ
เมื่อถูกเอรันถามถึงความฝัน สถิตยิ้ม เขาแสดงท่าทีหวาดกลัวและตื่นเต้นปะปนกัน ก่อนพูดซื่อ ๆ “ผมเองก็มีความฝันที่อยากบอกคนอื่นๆ มากเลย นั่นคือ... เอ่อ...”
เมื่อเอรันไม่ตอบ สถิตก็เริ่มหน้าเสีย เขาเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อซ่อนอาการประหม่า พยายามคุมสติ และส่งเสียงถามว่า “เอ่อ...”
มีเสียงตอบกลับมาทางลำโพงว่า “พูดมาเลยครับ”
“ความใฝ่ฝันของผมคือ การที่โลกนี้ทุกคนมีจิตใจเอื้ออารีต่อกันครับ เพราะผมก็ร่างกายไม่แข็งแรง สมัยก่อนก็เคยโดนคนอื่นแกล้งบ่อยๆ ถ้าทุกคนมีความเห็นใจต่อกัน เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นครับ”
ทันทีที่เด็กหนุ่มท่าทางขี้ขลาดพูดจบ เขาก็ส่งเสียงทักด้วยความสงสัย เพราะอีกฝ่ายไม่พูดอะไรตอบกลับมาเลย “ฮัลโหล ฟังผมอยู่หรือเปล่าครับเนี่ย”
เอรันนึกถึงประวัติของสถิต เขาเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่โดนกลั่นแกล้งที่โรงเรียนมาตลอด อย่างไรก็ดี เขากลับใช้เรื่องนั้นเป็นการหล่อหลอมทักษะการเอาชีวิตรอดโดยใช้ไหวพริบและสมองได้ดีมากขึ้น เขาสามารถหลบหนีจากพวกคนที่รังแกเขา หรือวางแผนให้ครูมาเจอตอนคนอื่นกำลังรังแกตนได้โดยเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ ทำให้พวกนักเรียนเกเรโดนทำโทษและพวกก็ไม่ทันรู้ตัวว่าทั้งหมดเป็นแผนของสถิต
เป็นพวกที่ยิ่งขี้ขลาดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งฉลาดมากเท่านั้นสินะ... เด็กหนุ่มปริศนาคิดในใจก่อนจะพูดขึ้นว่า “ผมฟังคุณอยู่ เอาล่ะ คำถามต่อไปครับ”
“สวัสดีครับ ผมชื่อพีตา”
พีตาเป็นชายหนุ่มร่างสูง การแตง่ กายและบคุ ลิกภาพดี แม้หน้าตาจะไม่ถึงกับหล่อเหลามากก็ตาม เขาเหมือนผู้ชายประเภทที่มักจะทำตัวดูดีเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิง แต่ก็ไม่สามารถปกปิดบุคลิกประเภทที่ผู้หญิงมักเรียกกันว่า ‘แบดบอย’ ได้อย่างสนิทนัก แต่นั่นกลับกลายเป็นจุดที่ทำให้สาว ๆ ชอบเขามากขึ้นกว่าเดิม
“ความใฝ่ฝันของผมคือ การได้เป็นนายแบบที่มีชื่อเสียง เพื่อที่จะนำชื่อเสียงนี้ไปทำประโยชน์ให้กับสังคม เช่น อาจจะจัดประมูลเสื้อผ้าที่ผมเคยใส่แล้วเอาเงินที่ประมูลได้ไปบริจาคให้เด็กยากไร้ ซึ่งถ้าผมดังจนมีคนคลั่งไคล้มากแล้ว เรื่องพวกนี้ก็ทำได้ง่ายนิดเดียวครับ”
เอรันทำหน้าเบื่อหน่ายขณะฟังสิ่งที่พีตาพูด เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายหลงตัวเองมากเลยทีเดียว และเรื่องที่ตนเองอยากมีชื่อเสียงเพราะต้องการทำประโยชน์เพื่อสังคมนั่นก็โกหกทั้งเพ ชายหนุ่มคนนี้ก็แค่คนที่อยากดังและทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองภาคภูมิใจมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเอรันไม่ตอบอะไร พีตาก็เริ่มรู้สึกแย่เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่สนใจคำพูดเขา จึงส่งเสียงถาม “เฮ้ ยังมีคนฟังผมอยู่หรือเปล่า”
เด็กหนุ่มปริศนาทำท่าทางเบื่อหน่าย ก่อนจะกดไมโครโฟนแล้วตอบด้วยเสียงยานคาง “ยังฟังอยู่ครับ...”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเยาวภา”
เด็กสาวน่ารักแต่มีบุคลิกท่าทางคล้ายผู้ชายเล็กน้อยยกมือไหว้ต่อหน้ากล้อง
“ความใฝ่ฝันของฉันคือ การที่ทุกคนในโลกมีความเท่าเทียมกันค่ะ ทั้งในด้านสิทธิและด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเพศชาย หญิง หรือเพศอื่น จะอายุมากหรือน้อย จะเชื้อชาติหรือสีผิวใด ก็ไม่ควรมีการกีดกันหรือดูหมิ่นกันค่ะ”
เอรันนึกถึงประวัติของเด็กสาวผู้เป็นน้องของศิตา เธอเป็นนักเรียนหญิงที่เก่งวิชาดาราศาสตร์มากจนแทบจะได้ไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ แต่มีร่างกายอ่อนแอและมีโรคประจำตัวเป็นโรคหืดหอบ อย่างไรก็ดี เธอกลับมีนิสัยห้าวหาญไม่ยอมใคร
เด็กหนุ่มปริศนาพยักหน้าและพึมพำอย่างมีความนัยว่า “นั่นสินะเพราะดูจากชีวิตที่ผ่านมาของคุณแล้ว คุณก็คงจะหวังเรื่องอะไรแบบนี้นี่แหละ”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อศิตา”
เอรันมองศิตาผ่านจอภาพ เขาจำประวัติส่วนตัวของอีกฝ่ายได้ เด็กสาวคนนี้เป็นนักวาดการ์ตูนและออกแบบคาแรกเตอร์น่ารักๆ ให้กับสินค้าและบริษัทต่าง ๆ แม้ตัวการ์ตูนที่เธอวาดจะดูสดใสและมีความสุข ทว่าเธอกลับมีอาการของโรคซึมเศร้าอยู่เล็กน้อย และมักคิดสร้างสรรค์อะไรไม่ออกในยามกังวลหรือเมื่อได้ทานยาจากจิตแพทย์
“ความใฝ่ฝันของฉันคือ อยากให้โลกนี้มีการให้โอกาสและการให้อภัยกันค่ะ” ศิตาพูดอย่างหนักแน่นราวกับกำลังขึ้นปราศรัยในห้องประชุม
“คนเราทุกคนล้วนมีโอกาสทำความผิดได้ทั้งนั้น บางความผิดอาจจะยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเป็นการทำผิดครั้งแรกและเจ้าตัวสำนึกผิดแล้ว ก็อาจแปลว่าเขาแค่เดินทางพลาด เราควรจะให้อภัยคนคนนั้น นอกเสียจากว่าจะมีการทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สองจริง ๆ”
เด็กสาวพูดจากใจจริง อย่างไรก็ดี ความรู้สึกมุ่งมั่นนั้นถูกถ่ายทอดออกมาตรงเกินไปจนไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ฟังคงอดรู้สึกไม่ได้ว่า คนที่เธอบอกว่าเคยทำผิดพลาดไปแต่สำนึกผิดแล้วและสมควรได้รับการให้อภัยจากคนอื่น ก็คือตัวเธอเอง
เอรันได้ฟังก็ส่ายศีรษะให้กับความซื่อตรงของเธอ “เป็นคนตรง ๆ จนน่าเสียดายเลยนะครับ”
“สวัสดี ผมชื่อกรีฑา” เด็กหนุ่มท่าทางก้าวร้าวพูด “โอ๊ย ! จะแนะนำตัวทางการอะไรกันนักกันหนา ฉันอยากได้เงิน ไม่มีความฝันสวยหรูอะไรทั้งนั้นหรอก ไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่น ๆ มันจะโกหกโลกสวยอะไรกันบ้าง แต่ฉันไม่ชอบโกหก คิดอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ นั่นแหละ”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ทำท่าบิดขี้เกียจแล้วขมวดคิ้วมองกล้อง “ไปถามคนอื่นเถอะไป แล้วถ้าคนอื่นโกหกกันเสร็จเมื่อไหร่ค่อยบอกฉัน ฉันจะทนรอ”
“เฮ้อ... เป็นคนรุนแรงจริง ๆ” แม้เอรันจะพูดเหมือนบ่น แต่เขากลับรู้สึกถูกใจหมอนี่เข้าแล้ว เด็กหนุ่มปริศนากดปุ่มไมโครโฟนและพูดว่า “ก่อนที่ผมจะไปขอสัมภาษณ์คนอื่น ผมขอถามอีกคำถามหนึ่งนะครับ”
ระหว่างที่การสัมภาษณ์กำลังดำเนินไป แมวสีตะกั่วที่อยู่นอกห้องสัมภาษณ์ก็เดินวนเวียนไปมา ก่อนจะทิ้งลงนอนแล้วใช้เท้าหน้าทำความสะอาดหู มันยืดตัวพลางอ้าปากกว้างราวกับบิดขี้เกียจ มันรู้ดีว่าหลังจากนี้ไปทุกอย่างจะวุ่นวายและเต็มไปด้วยการนองเลือด และมันจะต้องเหนื่อยมาก ๆ เจ้าแมวน้อยจึงถือโอกาสนี้ผ่อนคลายให้เต็มที่
เพื่อเตรียมพร้อมสู่เกมที่ไม่มีใครรู้ว่า คราวนี้มันจะคร่าชีวิตผู้เล่นไปได้กี่คน...
ความคิดเห็น