คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2: นัดหมาย
“สวัสดีครับ ผมชื่อธีระ” เด็กหนุ่มร่างสูงมาดสุภาพบุรุษเผลอเอามือลูบจมูกโด่งเป็นสันด้วยความประหม่าขณะกำลังให้สัมภาษณ์
“ครับ ความใฝ่ฝันของคุณคืออะไรครับ” เอรันถามแบบไม่ใส่ใจนักขณะนึกทบทวนประวัติของคนผู้นี้ และพบว่าเขาเป็นที่นิยมชมชอบของคนมากมายในทุกสังคมที่เขาไปปรากฏตัวหรือมีส่วนร่วม มีเพื่อนฝูงและคนรู้จักมากมาย ฐานะทางบ้านก็ค่อนไปทางดี เรียกได้ว่าเป็นคนที่แทบจะไร้ที่ติใด ๆ
ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่น้อยคนจะรู้ แต่เอรันก็สามารถล่วงรู้ได้ถึงความผิดใหญ่หลวงของคนคนนี้
“ความใฝ่ฝันของผมคือ” ธีระกลืนน้ำลายก่อนพูด “อยากให้สังคมนี้เป็นสังคมที่คิดดี ประพฤติดี และดีไปถึงข้างในจิตใจ ถ้าทุกคนทำได้ตามนี้ ปัญหาอื่น ๆ ก็จะหายไปเองครับ”
เอรันเงยหน้าขึ้นก่อนเบิกตากว้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับตกใจจนอ้าปากค้าง เขายิ้มมุมปากก่อนหัวเราะในลำคอ และพูดพึมพำกับตนเองโดยยังไม่ได้เปิดไมโครโฟนว่า “คุณนี่ก็ร้ายไม่ใช่เล่น ไม่แพ้คุณภูผาเลยนะครับเนี่ย”
“สวัสดีครับ ผมชื่ออนัญ” เด็กหนุ่มใบหน้าตกกระท่าทางอวดดีพูดราวกับรอเวลานี้มานานแล้ว คงเพราะเขาคิดว่าการสัมภาษณ์ครั้งนี้อาจมีการให้คะแนนซึ่งนำไปสู่การตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ เขาจึงตั้งใจเต็มที่และน่าจะซักซ้อมบทพูดที่จะตอบคำถามสัมภาษณ์อย่างละเอียดรอบคอบหลายครั้งแล้ว ซึ่งเมื่อมองจากสายตาของเอรัน ความตั้งใจนั้นมากเกินไปจนดูเสแสร้งที่สุดในบรรดาผู้เล่นคนอื่น เพราะเขาแสดงละครไม่เก่งและไร้ชั้นเชิงในการพูด
เสียเหลือเกิน
“ความใฝ่ฝันของผมคือ การต้องการให้โลกนี้มีสันติภาพ เพราะปัจจุบันโลกเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี...”
ทันทีที่อนัญพูดถึงความฝันที่ปั้นแต่งขึ้น เอรันก็รีบหมุนปุ่มเพื่อหรี่เสียงพูดของอนัญลงทันที เขาถอนหายใจก่อนจะบ่นว่า “แค่ประโยคแรกที่พูดก็ขัดกับตัวตนของคุณแล้วล่ะครับ คุณอนัญ”
“สวัสดีครับ ผมชื่อโพคิณ” เด็กหนุ่มที่ดูไม่มีจุดเด่นอะไรมากนัก พฤติกรรมและลักษณะนิสัยของเขานั้นมีส่วนที่คล้ายกิ้งก่ามากพอสมควร นั่นก็คือการไม่มีตัวตนชัดเจนแต่กลับพยายามกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมหรือกลุ่มคนต่าง ๆ ราวกับเป็นคนที่โหยหาการเข้าสังคมและต้องการให้ทุกคนมาสนใจตลอดเวลา
“ความใฝ่ฝันของผมคือ การได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่ มีสระน้ำอยู่หลังบ้าน” โพคิณพูดพลางเหลือบตาขึ้นด้านบน นั่นไม่ใช่พฤติกรรมที่เข้าข่ายว่ากำลังนึกเรื่องโกหกอยู่แต่อย่างใด แต่ราวกับว่าเขากำลังเพ้อฝันอยู่ต่างหาก นอกจากนี้ การที่เขาเอาแต่พูดเรื่องความฝันของตนเองนั้นก็พอจะอนุมานได้ว่า เขาไม่ใช่คนชอบสร้างภาพเหมือนคนอื่นที่เอาแต่พูดเรื่องห่างไกลตนเองไปเป็นเรื่องของสังคมส่วนรวมแทนอย่างไรก็ดี หากมองในมุมกลับกัน มันก็สามารถตีความได้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจคนรอบข้างแม้ยามอยู่ในกลุ่มเพื่อน เขาอาจจะพยายามพูดแต่เรื่องของตนเองเพื่อจะได้หลุดพ้นจากการเป็นเพียงกิ้งก่าในสายตาของเพื่อน ๆ และมีสีสันเป็นของตัวเองได้บ้างเสียที
โพคิณพล่ามฝันของตัวเองไปอีกราวห้านาที ก่อนจะถามอย่างสงสัย “ว่าแต่... ถ้าชนะเกมนี้ จะได้เงินรางวัลหลายล้านจริงเหรอ”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออารยา” หญิงสาวรูปร่างหน้าตาคล้ายนางแบบพูด เธอนั่งประสานนิ้วมือทั้งสิบเข้าด้วยกันแล้ววางมือลงบนเข่า ซึ่งบ่งบอกว่าเธอกำลังประหม่าแต่พยายามสงบอารมณ์ “ความใฝ่ฝันของฉันคือ... ไม่รู้สิคะ ฉันไม่ใช่คนที่มีความฝันอะไรสูงส่งยิ่งใหญ่มากมาย ฉันไม่ใช่คนดีเลิศพอจะฝันถึงโลกที่สวยงาม สังคมที่ดีงาม เพราะตัวฉันเองยังทำตัวเองให้เหมาะสมกับโลกแบบนั้นไม่ได้เลย ฉันเคยทำผิดพลาดไปตั้งหลายครั้ง และด้วยอาชีพของฉันทำให้ฉันต้องปั้น
หน้ามั่นใจสวมใส่เสื้อผ้าแปลก ๆ เพื่อถ่ายแบบมากมาย ไม่มีโอกาสได้ปลดปล่อยจิตใจตัวเองสักเท่าไหร่ ...ขอโทษค่ะ ตอบนอกเรื่องไปเสียเยอะ”
เอรันตอบกลับอย่างนุ่มนวล “ไม่เป็นไรครับ ลองยกตัวอย่างความปรารถนาอะไรสักอย่างที่คุณต้องการตอนนี้มาแทนความใฝ่ฝันของคุณแล้วกันครับ จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ได้”
อารยาเอียงคอเล็กน้อย สีหน้าของเธอจมอยู่กับความทุกข์ ก่อนจะตอบว่า “ฉันอยากหลุดพ้นจากสิ่งที่ฉันยังจมปลักอยู่ในใจของตัวเอง ไม่อยากมีความทุกข์ค่ะ”
เด็กหนุ่มปริศนาเอามือลูบคางตนเอง ก่อนจะพูดผ่านไมโครโฟนว่า “ขอบคุณครับ ความปรารถนาของคุณน่าจะเข้ากับคำถามต่อไปซึ่งเป็นคำถามสุดท้ายพอดี...”
“สวัสดีครับ ผมชื่อโอจิน”
เอรันจ้องมองสีหน้าที่ตอบคำถามแบบทีเล่นทีจริงของโอจิน เด็กหนุ่มคนนี้คืออัจฉริยะคอมพิวเตอร์ และเป็นคนที่กล้าหาญมากกว่าเด็กเนิร์ดทั่วไปพอสมควร อันที่จริงถ้าจะพูดว่าชอบท้าทายสังคมตามประสาวัยรุ่นทั่วไปน่าจะเหมาะกว่า แต่ก็มีนิสัยเสียอย่างหนึ่งคือเป็นคนที่ชอบรู้มากแล้วเก็บเงียบไม่ให้ใครรู้ จะได้แอบใช้คนอื่นเป็นหนูทดลองได้ อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่คนที่ชอบหลอกใช้คนอื่นโดยสันดาน แค่เป็นคน
ที่ไม่มีกาลเทศะหรือรู้ถูกผิด จึงทำไปตามที่ตนเองคิดว่าสนุกหรืออยากรู้อยากลองก็เท่านั้น
“ความใฝ่ฝันของผมคือ การได้ลองใช้คอมพิวเตอร์เปลี่ยนโลกครับ ...ผมได้ผ่านเหตุการณ์หนึ่งซึ่งทำให้ผมตระหนักว่า ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ของผมสามารถทำเรื่องดี ๆ ได้มากพอกับที่สามารถทำเรื่อง
ร้าย ๆ มันอยู่ที่ว่าผมจะเลือกไปทางไหน ผมเคยสับสนหลายครั้งและเคยเลือกทางผิดไปบ้าง ผมลองมองย้อนดูว่า จริง ๆ แล้วที่ผมสนใจด้านคอมพิวเตอร์ เพราะผมมีความสุขที่ได้ลองทำมัน ลองพัฒนาแอพลิเคชันต่าง ๆ และดูว่าคนที่ใช้มันจะชอบหรือไม่ ผมคิดว่าต่อไปนี้ผมจะเริ่มต้นจากจุดนั้น ทำแอพลิเคชันด้วยความสุขและความสนุก และหวังให้คนที่ใช้มันจะได้สิ่งดี ๆ กลับไปครับ”
รอยยิ้มของเด็กเนิร์ดนั้นยากที่จะใช้ตัดสินได้ว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องโกหกหรือพูดด้วยความจริงใจ คงมีเพียงเจ้าตัว… และเอรันเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นอย่างไรกันแน่
หลังจากที่การสัมภาษณ์ทุกคนจบสิ้น เอรันก็นั่งทบทวนอะไรต่าง ๆ อยู่พักหนึ่งก่อนลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วพึมพำว่า “ครบสิบสองคนแล้ว...ได้เวลาเริ่มเกมแล้วสินะ”
เขาหยิบอุปกรณ์ขนาดเล็กลักษณะคล้ายโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วพิมพ์ข้อความบางอย่างลงบนหน้าจออย่างใจเย็น
“การสัมภาษณ์จบสิ้นลงแล้ว ขอให้ทุกคนออกจากห้องสัมภาษณ์ แล้วเปิดประตูเหล็กบานตรงกลางห้องได้เลยครับ ผมจะพาทุกท่านไปยังห้องอาหารเอง”
ทันทีที่เอรันพูดจบ ทุกคนก็เดินออกมาจากห้องสัมภาษณ์ ธีระมองหน้าศิตาพักหนึ่งแล้วยิ้มด้วยท่าทางสุขุมเรียบร้อยราวกับจะทักทาย ทำให้เยาวภาอดแซวไม่ได้ “ดูเหมือนคุณธีระจะเป็นคนดีนะคะพี่ แบบนี้สเปกพี่เลยล่ะสิ หนูรู้น่า”
“เดี๋ยวเถอะ !” ศิตาใช้ศอกกระทุ้งน้องสาวตนเอง ขณะที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ เริ่มจับกลุ่มคุยกันอีกครั้ง
“ที่แท้นายก็เป็นผู้เล่นเกมอีกคนนี่เอง มิน่าฉันถึงเห็นนายป้วนเปี้ยนแถวท่าเรือ” กรีฑาพูดกับโพคิณ
“ฉันต่างหากที่ต้องพูดประโยคนั้น ฉันเห็นนายหงุดหงิดจนเตะข้าวของไปทั่ว ยังอดคิดไม่ได้เลยว่า นายคงรอเข้าร่วมเกมนี้มานานแล้วเพราะฉันก็หงุดหงิดที่รอนานเหมือนกัน” โพคิณตอบ
ในขณะที่ทุกคนเดินไปยังประตูเหล็กกลางห้อง อนัญก็ตัดสินใจถามออกไป “ตอนอยู่แถวท่าเรือนายเดินอยู่ใกล้ร้านขายของชำแล้วซื้อน้ำอัดลมกระป๋องหนึ่งใช่ไหม”
ธีระตกใจ “นี่นายเห็นฉันด้วยเหรอ จำได้ละเอียดจริงนะ”
“แปลว่าที่ฉันเห็นเป็นนายจริง ๆ ด้วย มิน่าล่ะ ฉันก็สงสัยว่า ทำไมต้องให้ฉันไปรอที่สวนสาธารณะที่ไกลจากตัวท่าเรือด้วย ที่แท้คงเป็นเพราะผู้จัดเกมนั่นนัดพวกเราสิบสองคนให้ยืนรอคนละส่วนของท่าเรือ จะได้ไม่เจอกันแล้วคุยทำความรู้จักกันก่อนเริ่มเกม เพราะพวกเราอาจจะรวมตัวกันทำอะไรแปลก ๆ ก็ได้” เด็กหนุ่มหน้าตกกระสันนิษฐาน ภูผาที่ยืนฟังอยู่ก็พยักหน้าเล็กน้อยเพราะคิดตรงกัน
ดีไซเนอร์สาวผู้ทาลิปสติกสีแดงเข้มเดินผ่านอนัญแล้วพูดว่า “ฉันเองก็เห็นเธอก่อนเริ่มเกมเหมือนกัน ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ มองธีระแบบนั้น แปลว่าเธอเองก็สงสัยตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าผู้เล่นเกมนี้คงมีหลายคนสินะ”
อนัญตกใจ “คุณเดินผ่านผมด้วยเหรอ ทำไมผมไม่เห็นคุณเลย”
“เพราะฉันไม่ทำตัวเด่นไง พอฉันเห็นท่าทางเธอก็พอเดาได้แล้วว่าเธอน่าจะเป็นผู้เล่นของเกมนี้ที่กำลังสงสัยว่าธีระจะเป็นผู้เล่นเกมอีกคน ดังนั้นฉันก็แค่ทำตัวเป็นปกติ ไม่เหมือนกำลังรอใครและกำลังแอบมองใครอยู่ด้วย พวกเธอก็เลยไม่ได้สนใจฉันไงล่ะ” นิตยาพูดอย่างดูแคลน ขณะที่อนัญทำท่าตกใจเพราะไม่คาดคิดว่าคนรอบคอบอย่างตนจะมองข้ามนิตยาไปได้
ทุกคนเข้าไปนั่งล้อมวงที่โต๊ะอาหารซึ่งทำจากหินแกรนิตสีดำสนิทและมีเชิงเทียนราว ๆ สามอันวางอยู่กลางโต๊ะพร้อมจานอาหารว่างเปล่าที่หัวโต๊ะมีเก้าอี้ทรงสูงเหมือนกับเก้าอี้สำหรับให้เด็กน้อยนั่งทานอาหารและมีแมวสีตะกั่วนอนขดตัวอยู่บนนั้นอย่างเกียจคร้าน
“อย่าบอกนะว่าไอ้แมวนั่นคือผู้คุมเกม มันจะอธิบายเกมให้เราฟังหรือไง” อนัญประชด
ในวินาทีถัดมา แมวตัวนั้นก็อ้าปากกว้าง “สวัสดีครับ ผมชื่อเอรัน”
โพคิณตกใจ “เฮ้ย ! อย่าบอกนะว่ามันพูดได้จริง ๆ”
“เสียงจากลำโพงที่ตัวแมวน่ะ” โอจินบอก เขานั่งลงตามตำแหน่งของกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะ พร้อมอุปกรณ์คล้ายโทรศัพท์มือถือขนาดใหญ่ซึ่งวางไว้ข้างกัน
“นี่มันอะไรเนี่ย” กรีฑาหยิบอุปกรณ์ประหลาดนั้นขึ้นมาแล้วหันไปถามแมวตัวนั้น
“อุปกรณ์รับสัญญาณน่ะครับ จอเรดาร์จะบอกพิกัดของผมในบ้านหลังนี้ เพราะผมจะพกเครื่องส่งสัญญาณติดตัวเอาไว้ พูดง่าย ๆ ก็คือ เอาไว้ให้ทุกคนหาตำแหน่งของผมในคฤหาสน์หลังนี้ให้พบ”
“แล้วเราจะอยากหาตัวนายให้เจอไปทำไม” ภูผาแกล้งถาม ทั้งที่เขาพอจะคาดเดาคำตอบได้
“ก็เพื่อเงินหลายร้อยล้านยังไงล่ะครับ”
ทุกคนเงียบไปพักหนึ่ง และลอบมองหน้าผู้เล่นคนอื่น ๆ
“กติกาของเกมนี้ง่ายมากครับ” เอรันพูดคล้ายกำลังกลั้นหัวเราะ “แค่ตามหาตัวผมให้พบก็พอ”
นิตยาหัวเราะ “ง่ายตรงไหน บ้านนายออกจะใหญ่ ข้างนอกนั่นก็ต้องเป็นสวนกว้าง ๆ แน่...”
“ผมจะซ่อนตัวอยู่ในตัวคฤหาสน์นี่แหละ ไม่ต้องหนีไปไกลถึงนอกสวนหรอก เพราะแค่ในบ้านนี้ก็ยากกว่าที่คุณจะจินตนาการได้แล้วล่ะครับ” แม้คำพูดของเขาจะเต็มไปด้วยความมั่นใจเกินเหตุและค่อนข้างโอ้อวดจนน่าหมั่นไส้ แต่ไม่รู้เพราะอะไร ทุกคนกลับรู้สึกหวาดกลัวและสังหรณ์ร้ายในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“แต่คฤหาสน์นี้กว้างมากจริง ๆ หลงได้ง่าย ๆ เลย” ศิตาพยายามพูดเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวในสิ่ง ‘เหนือจินตนาการ’ ที่ผู้จัดเกมพูดถึง โดยกำหนดกรอบให้ความยากของเกมนี้อยู่แค่ความกว้างใหญ่ของสถานที่เท่านั้น
“หึหึ คฤหาสน์นี้ไม่ใช่แค่กว้างเฉย ๆ ครับ มันซับซ้อนเป็นเขาวงกตเลยล่ะ ผมไม่ได้เปรียบเปรยนะครับ คฤหาสน์นี้ถูกสร้างเพื่อให้เป็นเขาวงกตจริง ๆ” เอรันพูดพลางเดาะลิ้นไปมา ราวกับกำลังนึก อยู่ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี “มนุษย์ทั่วไปจินตนาการไม่ถึงหรอกครับ”
“จินตนาการไม่ถึงอีกแล้วเรอะ แล้วนายเป็นใครมาจากไหนถึงได้จินตนาการเหนือมนุษย์ขนาดนั้น” กรีฑาถามเสียงห้วน
“อาจเป็นเพราะ... ผมไม่ใช่มนุษย์ล่ะมั้งครับ” เอรันตอบทีเล่นทีจริง ซึ่งทำให้บางคนถึงกับชะงัก ขณะที่บางคนไม่ได้ใส่ใจคำพูดดังกล่าวมากนัก เพราะคิดว่าถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้
“มัวแต่ถามคำตอบคำแบบนี้เสียเวลาเปล่า น่าหงุดหงิดด้วย ผมสรุปให้เลยแล้วกัน คฤหาสน์นี้ไม่น่าจะใช่คฤหาสน์ธรรมดา ๆ” โอจินพูดแทรกขึ้นมาขณะสายตายังจับจ้องที่แท็บเล็ต นิ้วมือพิมพ์อะไรบางอย่างรัวเร็วเช่นเดียวกับเด็กติดเกมที่ตอบคำถามพ่อแม่โดยไม่มองหน้าใครเพราะยังเล่นเกมไม่เสร็จ ทำให้ทุกคนประหลาดใจและกังขาในตัวเด็กเนิร์ดผู้นี้มากขึ้น
“ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ” เสียงของเอรันแฝงความสนุกสนานเอาไว้เล็กน้อย
“บางส่วนของบ้านที่ควรจะมีหน้าต่าง... กลับไม่มีหน้าต่างสักบาน” ภูผาพูดขึ้น
ธีระเพิ่งนึกได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ จึงเอ่ยถามขึ้น “หมายความว่ายังไง”
“ไม่ใช่ว่าหน้าต่างถูกรื้อออกหรือถูกปิดตาย แต่ผนังมันเรียบจนเหมือนกับว่าคนสร้างจงใจไม่ติดหน้าต่างเข้ามาตั้งแต่แรก” นิตยาตั้งข้อสังเกตต่อ “พวกเธอหมายความว่าอย่างนั้นใช่ไหม”
เมื่อดีไซเนอร์สาวหันไปถาม ทั้งภูผาและโอจินก็พยักหน้าพร้อมกัน
“มันอาจเป็นแค่คฤหาสน์ธรรมดาที่ไม่มีหน้าต่างก็ได้นี่ครับ อาจเป็นเพราะรสนิยมส่วนตัวของผม” เอรันกล่าว
“ผนังคฤหาสน์ซีกหนึ่งเต็ม ๆ ไม่มีหน้าต่างเลยทุกชั้นเนี่ยนะ ฉันว่ามันไม่ปกติแน่ ๆ” นิตยาส่ายหน้า ขณะที่โอจินหัวเราะราวกับเด็ก “ไม่งั้นก็คงหมายความว่ารสนิยมนายผิดปกติสุดๆ ทำเป็นพวกเด็กเก็บตัวไม่อยากเห็นแสงเดือนแสงตะวันไปได้”
“หรือไม่ก็... นายไม่ได้อยากเก็บตัว แต่ไม่อยากให้พวกเราเห็นโลกภายนอกในระหว่างที่อยู่ในเกมนี้” ภูผาพูดสรุปอย่างชัดเจนพลางยกแขนขึ้นกอดอก
“แล้วก็เหมือนกับจะซ่อนอะไรเอาไว้ ไม่ให้คนข้างนอกมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน” โอจินตัดสินใจวางแท็บเล็ตลงแล้วจ้องมองไปที่กล้องซึ่งติดอยู่ที่ตัวแมวราวกับต้องการส่งสายตาท้าทายเอรัน
“หรือไม่ก็ทั้งสองอย่างสินะ” นิตยาเองก็จ้องมองเจ้าแมวเช่นกัน
“พวกคุณทุกคนช่างสังเกตมาก ๆ ครับ อา... โดนรุมแบบนี้ ผมตั้งหลักไม่ถูกเลย กลัวแล้วจริง ๆ ครับ” เสียงของเอรันไม่ได้มีความกลัวเจือปนแม้แต่น้อย ความเสแสร้งของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัด
“หรือจริง ๆ บ้านนี้จะถูกสร้างขึ้นไม่นานเพื่อเป็นฉากในเกมเหมือนพวกรายการเกมโชว์” เยาวภาตั้งข้อสังเกต
“ไม่หรอก อายุบ้านหลังนี้น่าจะหลายสิบปีอยู่” อารยามองไปรอบ ๆ ห้องอาหาร
“ที่ดูเก่าอาจจะเพราะเป็นการตกแต่งฉากก็ได้นี่” พีตาแย้ง
“ไม่หรอก มันดูเก่ามากจริง ๆ นะ อย่างกับถูกสร้างมาเป็นร้อยปีแล้ว” ธีระพูดอย่างรู้สึกขนลุกขณะเดินไปจับผนังที่มีรอยร้าวซึ่งบ่งบอกความเก่าแก่ของสิ่งก่อสร้าง
เมื่อทุกคนนึกภาพว่า มีใครบางคนจงใจสร้างโดยไม่คิดจะติดหน้าต่างสักบานในบริเวณซีกหนึ่งของตัวคฤหาสน์หลังนี้ด้วยจุดประสงค์บางอย่างมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน และจุดประสงค์นั้นก็ถูกสืบทอดมาจนปัจจุบัน พวกเขาต่างก็อดรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาไม่ได้
“ความยากของเกมไม่ได้อยู่แค่ตรงที่คฤหาสน์นี้เป็นเขาวงกตหรอกครับ” เอรันกล่าว “ความยากที่แท้จริงก็คือ ถ้าพลาดในเกมนี้... หมายถึงความตายครับ”
ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ เด็กหนมุ่ ปริศนาจึงกล่าวย้ำ “เป็นการตายจริง ๆ ครับ ไม่ใช่แค่การสมมติแบบในเกมทั่วไป”
“จะย้ำอะไรนักหนาวะ” อนัญหงุดหงิด ขณะที่ธีระได้แต่บ่นกระปอดกระแปดว่า “โกหกชัด ๆ จะตายจริงได้ยังไง”
“ขอถามหน่อยสิ เอรัน” ภูผายกมือขึ้นราวกับกำลังอยู่ในชั้นเรียน “นายจะเอาคลิปวิดีโอที่สัมภาษณ์พวกเราไปทำอะไร”
เอรันที่แอบเฝ้ามองภูผาอยู่พยายามพินิจพิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกที่แอบแฝงอยู่ในแววตาของเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักคนนี้ มันช่างเย็นชาและดำมืด “เดี๋ยวคุณก็ได้รู้เองครับ”
ทุกคนรู้ดีว่า หากยังไม่ถึงเวลาอันสมควร เอรันก็คงไม่คิดจะตอบคำถามแน่นอน ดังนั้น แม้กรีฑาจะไม่ค่อยพอใจวิธีการตอบของอีกฝ่ายนักแต่ก็เลือกที่จะเงียบ
“เอาล่ะ พร้อมจะเล่นเกมหรือยังครับ” เด็กหนุ่มปริศนาถาม เสียงของเขาทำให้ทุกคนนึกภาพออกเลยว่าขณะที่กำลังพูดประโยคนี้ อีกฝ่ายคงกำลังยิ้มมุมปากอยู่เป็นแน่
“พร้อมมาตั้งนานแล้ว” อนัญบ่นพึมพำด้วยความมั่นใจในตัวเอง
“ผมขออธิบายเรื่องกติกาของเกมก่อนนะครับ คนที่ออกจากคฤหาสน์หลังนี้ได้เป็นคนแรก จะได้รับเงินรางวัลและรอดชีวิตออกไปได้ ส่วนคนอื่น ๆ ผมคงไม่ต้องบอกชะตากรรมนะครับ”
สถิตได้ยินดังนั้นก็ถามอย่างหวาดกลัว “ถะ... ถ้าอยากออกไปจากเกมนี้พร้อมกันหลายคนล่ะ”
“ก็ต้องจับผมให้ได้พร้อมกัน แล้วออกจากคฤหาสน์หลังนี้ให้ได้พร้อมกันยังไงล่ะครับ”
“เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้เหรอเนี่ย”
“อันนี้ก็แล้วแต่จะตกลงกันครับ” เอรันพูดอย่างมีเลศนัย
ศิตากับเยาวภามองหน้ากัน เพราะในเกมนี้มีแค่พวกเธอสองคนที่รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากมีสัมพันธ์กันแบบพี่น้องร่วมสายเลือดดังนั้นทั้งคู่จึงกังวลว่าจะสามารถรอดออกจากเกมนี้ไปได้พร้อมกันหรือไม่แต่อีกใจพวกเธอก็พยายามจะปลอบใจตัวเองว่า ถึงอย่างไรเกมนี้ก็คงไม่โหดร้ายถึงขั้นคร่าชีวิตคนอื่นได้หรอก
“เดี๋ยวสักพักจะมีรูปของผมปรากฏบนหน้าจอเครื่องรับสัญญาณของทุกคนครับ”
ผู้เล่นทุกคนพากันก้มมองอุปกรณ์รับสัญญาณ ก็พบภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ใบหน้าเกินครึ่งถูกเงามืดบดบัง แต่ก็พอจะดูออกว่าเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา ทว่ารอยยิ้มมุมปากกลับแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์จนน่าขนลุก ในภาพนั้นเขาอุ้มแมวสีตะกั่วเอาไว้ ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ทุกคนเห็นอยู่ขณะนี้
“ถ้าดูภาพเสร็จแล้ว ต่อไปก็เชิญดูตำแหน่งของผมได้จากเครื่องรับสัญญาณ แล้วก็เตรียมไล่จับผมได้เลยครับ” เอรันกล่าวต่อ
ทุกคนก้มมองอุปกรณ์ก่อนจะเบิกตาโพลง เพราะตำแหน่งที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นบอกว่า ...เอรันอยู่ห้องข้าง ๆ นี่เอง
ความคิดเห็น