ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [LoL Fanfic] Lover Birds ปีกคู่กู้โลก♡[Rakan × Xayah story]♡

    ลำดับตอนที่ #6 : เหรียญตราเวทย์มนตร์กับภารกิจแรกของราคาน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 223
      9
      11 ธ.ค. 62

    [Xayah]


    "ราคาน... ยินดีต้อนรับ สู่แหล่งกบดานลับของเหล่าวาสทาย่าห์" ข้าผายมือออกไป เป็นการแสดงออกในการเชื้อเชิญให้เข้ามา...ตามธรรมเนียมอ่ะนะ

    แต่เหมือนว่าราคานจะหลุดลอยไปกับสิ่งของรอบข้างไปเรียบร้อยแล้ว 

    ข้าคิดว่าข้ากำชับพวกผู้ลี้ภัยไว้ชัดเจนแล้วนะว่าอย่าเอาต้นกาชัญเข้ามาสูบในนี้น่ะ...

    'แป๊ะๆ'  ข้าดีดนิ้วตรงหน้าของเข้าเพื่อเป็นการเรียกคืนสติของเขากลับมา ก่อนที่เขาจะหลุดลอยไปในกระแสเส้นทางเวทย์มนตร์ซะก่อน

    "โอ้ะ! โทษทีๆ ข้าแค่คิดว่าที่นี้มันสวยมากจริงๆน่ะ เมื่อกี๋เจ้าว่าไงนะ?" ข้าเอื้อมระอากับความสมาธิสั้นของเขาจริงๆ... ไม่ก็เพราะว่าเขาสูดดมควันของต้นกาชัญไป หรือไม่ก็เพราะว่าที่นี้มันสวยในสายของของเขาจริงๆน่ะนะ

    "...ช่างมันเถอะ" ข้าตัดบทออกไป

    "แล้วเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวงั้นเหรอ?" ราคานถามขึ้นมา

    "เปล่า... ตามข้ามาสิ มันไม่ได้มีชื่อเรียกว่า 'แหล่งกบดานไว้เฉยๆหรอกนะ' ใช่แล้วล่ะ เพราะว่า 'พวกเขา' กำลังรอข้าอยู่ในห้องถัดไป

    ข้าเดินมาเปิดประตูไม้บานใหญ่ที่จะนำไปสู่ 'ห้องหลัก' ของที่แห่งนี้


    เมื่อเปิดประตูออกมา ข้าหันไปหาราคานเล็กน้อย เพื่อบอกให้เขาตามมา แว่บแรกเขาทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เลือกที่จะเก็บไว้ก่อน แล้วเดินตามมาจริงๆ

    ทันทีที่ข้าปรากฎตัว สายตานับร้อยของเหล่าวาสทาย่าที่มาจากเผ่าต่างๆ แทบทั่วดินแดนของไอโอเนียแห่งนี้ หลายแสดงสีหน้าดีใจ ปลื้มปิติยินดีที่ได้เห็นข้ากลับมา และข้าเองก็เข้าใจว่าทำไม

    เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี้ คือชาววาสทาย่าที่เคราะห์ร้ายมากพอที่บ้านเกิดของพวกเขาจะโดนพวกมนุษย์รุกราน และทำลาย

    บ้างก็เร่ร่อนไปมา จนข้าไปพบ หรือบางกลุ่มใหญ่ๆข้าก็พามาจากกรงขังที่ปราการของพวกมนุษย์ที่ข้าไปกวาดล้างมา พวกเขามองข้าเป็นดั่งพระผู้ทรงโปรด แต่ข้าก็เป็นเพียงแค่กบฎชาววาสทาย่าผู้หนึ่งที่กล้าลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมของพวกมนุษย์เท่านั้นแหละ

    "พวกเขา... เป็นผู้หลี้ภัยงั้นเหรอ?" ราคานถามขึ้นมาท่ามกลางเสียงฮือฮาของผู้คนในห้อง เมื่อพวกเขาบางคนจำได้ว่าเขาคือใคร ราคานนี่ท่าทางจะมีชื่อจริงๆสินะ

    "ถูก พวกเขาส่วนใหญ่ถูกข้าช่วยพามาน่ะ บ้างก็เร่ร่อนหลังจากที่ที่อยู่ของพวกเขาถูกพวกมนุษย์ทำลายไป ที่นี้เป็นดั่งบ้านใหม่หรือบ้านชั่วคราวของพวกเขา" ข้าอธิบายให้เขาฟัง ราคานจ้องมองไปที่ฝูงชนเหล่านั้นด้วยสายตาที่เหมือนจะกำลังสงสาร? แต่ข้าไม่ใส่ใจนักหรอกเพราะว่าข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก่อน

    "ราคาน เจ้าอยู่นี่นะ ข้ามีภารกิจที่จะต้องส่ง" ข้าเดินเข้าหาประตูไม้สลักบานหนึ่งแต่ก่อนที่จะเข้าไป ข้าก็หันมากำชับกับราคานไว้ก่อน "อย่าก่อเรื่องล่ะ" แม้ว่าเขาแลดูจะไม่ได้ยินก็เถอะ...

    ข้าเปิดประตูเข้ามาข้างในห้องที่ประดับด้วยอุปกรณ์เวทย์มนตร์เก่าๆ แผนที่รูนเทอร่าและของเก่ามากมาย ณ ใจกลางของห้องมีโต๊ะทำงานเล็กๆที่วาสทาย่าห์หมาป่าตัวหนึ่งที่เป็นเจ้าของและกำลังนั่งมันอยู่ ในมือของเขาถืออุปกรณ์เวทย์มนตร์ประหลาดๆ แต่เมื่อเขารับรู้ถึงตัวตนของข้าที่เขามาให้ห้อง เขาก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับหางที่ส่ายไปมาด้วยความดีใจ

    "อ้า~ ซาย่าห์คนเก่งของข้ากลับมาแล้ว~ เป็นยังไงบ้าง? ได้เหรียญมามั้ย?" 'โอคามิ' ทักทายข้าด้วยน้ำเสียงที่ยินดีจนดูเว่อวังของเขาตามปกติ

    เขาคือวาสทาย่าห์เผ่าหมาป่าที่ข้าเองก็ลืมชื่อไปแล้วว่าชื่อว่าเผ่าอะไร แต่ว่านั่นไม่สำคัญ เพราะว่าเผ่าๆนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว...

    แต่ตอนนี้เขาเป็นเหมือนกับเพื่อนร่วมงานคนนึงของข้า ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สนิทด้วยนัก แต่เขาก็เป็นวาสทาย่าห์คนนึงที่มีค่ามากในกลุ่มผู้ลี้ภัย โดยการทำงานร่วมกันของพวกเราคือ เขาจะคอยเป็นแหล่งข่าว ตัวชี้เป้า และเป็นคนคอยจัดสรรค์งานภารกิจให้กับข้า เช่น ถ้าเขาเจอป้อมปราการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักขโมย หรือทำลายเวทย์มนต์ธรรมชาติของพวกเราแล้วล่ะก็ เขาจะแอบติดตามและเก็บข้อมูลของป้อมแห่งนั้น แล้วบอกข้อมูลให้กับข้าไปจัดการป้อมแห่งนั้นให้ ปลดปล่อยเวทย์มนตร์ของที่นั่นให้เป็นอิสระ แล้วถ้าเจออุปกรณ์เวทย์มนตร์ของวาสทาย่าห์ที่พวกมนุษย์ขโมยไปล่ะก็ ก็ต้องนำกลับมาให้เขาด้วย เพื่อที่เขาจะได้นำมันไปแลกกับเสบียงและอาหารกับเผ่าวาสทาย่าห์ก็ยังคงเหลืออยู่ มาดูแลผู้ลี้ภัยในที่นี่ หรือบางที ก็ให้ไปชิงอุปกรณ์เวทย์มาเฉยๆ เช่นงานล่าสุดนี้แหละ

    "เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยพลาด" ข้าชูเหรียญนั่นขึ้นมา จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่ามันใช่เหรียญเทพธิดาที่เขาพูดถึงรึเปล่านะ? เพระถ้ามันเป็นอุปกรณ์ทางเวทย์มนตร์จริงๆ แล้วมำไมข้าถึงไม่สามารถสัมพัสได้ถึงพลังเวทย์ที่อยู่ข้างในเลยล่ะ?

    "อ้า! ยอดเยี่ยมไปเลย! เหรียญเทพธิดาแห่งวิหคสวรรค์ แค่มอง ข้าก็สัมผัสได้ถึงพลังของมันแล้วล่ะ" โอคามิเริ่มสรรเสริญถึงพลังของมัน จนข้าต้องรีบตัดบทนั่นซะก่อน

    "เดี๋ยวก่อนสิโอคามิ ข้าไม่เห็นจะรู้สึกถึงพลังเวทย์มนตร์อะไรให้เหรียญนี่เลยนะ? ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันเป็นของจริงรึเปล่า?" โอคามิหัวเราะ "ไม่ๆ ซาย่าห์ เจ้าไม่มีรู้หรอก เพราะว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ใช้เวทย์โล่ หรือเวทย์รักษา"

    "เวทย์โล่กับเวทย์รักษา?" เหมือนข้าจะเพิ่งเห็นอะไรแบบนั้นอยู่นะ... เพิ่งเห็นมาเลยล่ะ..

    "อ่าใช่ เหรียญนี้มีคุณสมบัติในการเพิ่มพลังของผู้ใช้เวทย์โล่ กับเวทย์รักษา เพียงแค่พกมันไว้ข้างกาย แต่น่าเสียดายที่ค่าของมันก็คงจะน้อยหน่อย เพราะว่าวาสทาย่าห์ที่ใช้เวทย์พวกนั้นไม่ค่อยมีอยู่แล้ว แต่ แต่ แต่ มันก็เป็นอุปกรณ์เวทย์มนตร์โบราณ มีไว้ ดีกว่าไม่มี"

    โอคามิอธิบายมันออกมาอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้เวทย์โล่กับการรักษาที่ข้าเพิ่งเจอ ก็เจ้านกยูงสีทองนั่นไง! มันทำให้ข้าคิดว่า...

    "นี่ โอคามิ บอกข้าที ว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถ้าเกิดว่ามันมีมูลค่าที่น้อยจริงๆตามที่เจ้าบอก ข้าขอเก็บมันไว้เองได้รึเปล่า?" โอคามิทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพัก "อืม... วันก่อนข้าเจอโล่โบราณ และก็มีนาฬิกาทรายวิเศษซอนย่าอีก... ถ้าเอาตามมูลค่าก็มีพอเลี้ยงผู้ลี่ภัยคนอื่นๆอยู่... งั้น... ข้าคิดว่า ได้สิ ได้ เอาไปเลย"

    โอคามิไฟเขียว ฮู-เร่ ทีนี้ก็มีของขวั- ข้าหมายถึง ของใหม่ให้เจ้านั่นมันได้ใช้แล้วล่ะ

    "เยี่ยมเลย ข้าขอเอาไปนะ แต่ไม่ต้องถามว่าเอาไปทำไม" ข้าเก็บเหรียญกลับเข้ามา "โอ้ๆ ไม่ต้องบอก ข้าก็ไม่ถามหรอก ข้าไม่ใช่คนสอดรู้นัก ข้าเป็นหมาหนิ ไม่ใช่แมว" อ่า... ว่าไปนั่น หางเขากระดิกใหญ่เลย

    "แล้วนี่ ตอนนี้มีงานให้ข้าทำอีกมั้ย โอคามิ?" ข้าถามออกไป งานหาของที่ถูกขโมยไปนี่ เป็นงานที่ข้าเบื่อมาก ถึงแม้ว่าบางทีจะมีคนให้ลับขนนกระหว่างทางอย่างครั้งนี้ก็เถอะนะ

    "โอ้.. ยังบ้าดีเดือดอยู่เหมือนเดิมสินะ เจ้านี่ ไม่รู้จักพักผ่อนจริงๆซาย่าห์" โอคามิพูดชื่นชมแต่ก็ดูเหมือนเป็นการดูถูกข้าไปด้วยนิดหน่อย

    "ขอบอกไว้อีกครั้ง ข้าจะหยุดพักก็ต่อเมื่อสามารถปลดปล่อยชาววาสทาย่าห์และเวทย์มนตร์ให้เป็นอิสระจากพวกมนุษย์ได้ล่ะนะ" นั่นแหละ คืออุดมการของข้าที่ตั้งใจไว้

    "เฮ้อ... ข้าเองก็คงขัดใจอะไรเจ้าไม่ได้หรอก ถ้าเจ้าตั้งใจแบบนั้นจริงๆ ก็มีอยู่นะ มาดูนี่สิ" โอคามิกวักมือเรียกให้ข้าเข้าไปดูแผ่นกระดาษที่เขาเพิ่งหยิบออกมาวางไว้ "นี่คือแผนที่ของป้อมปราการ... เรียกว่าค่ายดีกว่า ที่เพิ่งถูกสายของข้ารายงานเข้ามา มันเป็นค่ายที่มีการตัดรากไม้ของต้นไอร'เรฮะแถวนั้นไป และดูท่าแล้วพวกคงจะมันตัดไปเรื่อยๆจนหมดป่าแห่งนั้นแน่ๆ แล้วเจ้าก็คงจะรู้นะ ว่าถ้าเป็นอย่างงั้น กระแสเวทย์มนตร์ที่นั่นจะถูกทำลาย... ถ้าไม่รีบกำจัดพวกมันไปซะก่อน" 

    โอคามิอธิบายไปในขณะที่ข้ากำลังกวาดสายตาสำรวจแผนที่วาดมือที่อยู่บนโต๊ะ มันเป็นค่ายที่ถูกสร้างขึ้นมาค่อนข้างหยาบๆ ใช้กำแพงไม้ล้อมรอบเอาไว้ และทำทางเข้าไว้สองทาง และข้างในเป็นเต้นท์และอาคารไม้ขนาดใหญ่ เหมือนไว้ใช้เก็บของ มีอยู่ 2 หลัง หลังนึงน่าจะเป็นคลังอาวุธ ส่วนอีกหลังนั้นไม่แน่ใจว่าใช้เก็บอะไร

    "นี่ พฤติกรรมตัดรากต้นไม้เวทย์มนตร์เนี่ย มันไม่ใช้วิถีของพวกชาวไอโอเนีย หรือพวกภาคีแห่งเงาเลย พวกมันเป็นใครกัน?" ข้าถามโอคามิ เขาเกาคางตัวเองเบาๆ "จากที่สายของข้ารายงานมา ดูเหมือนพวกนี้น่าจะเป็นพวกมนุษย์ต่างถิ่น น๊อคซัสน่ะ..."

    "พวกน๊อคซัส? ที่กำลังทำสงครามกับพวกไอโอเนียน่ะนะ?" ข้าเคยได้ยินมา แต่ก็ไม่เคยได้เจอตัวพวกนี้แบบเป็นๆสักครั้งเลย

    "อ่าใช่ นั่นแหละ ไม่ต้องห่วงนะ เจ้าพวกนี้ไม่ได้อันตรายแบบพวกภาคีแห่งเงาหรอก พวกนี้ไม่ค่อยใช้เวทย์มนตร์ มีแต่พวกใช้กำลัง และก็อาวุธดีๆสักหน่อย โดยรวมแล้ว ข้าคิดว่าไม่ได้ยากไปกว่าการถล่มรังพวกภาคีแห่งเงา อย่างที่เจ้าเคยทำหรอก" หึ ข้าจำได้เลย ครั้งที่ไปเก็บพวกภาคีแห่งเงาทั้งปราการ โดยที่พวกมันไม่มีใครรู้ตัวด้วยซ้ำว่าข้ามาน่ะ

    "โอเคร ข้าจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้แหละ ไว้เจอกันนะ" ข้าหยิบแผนที่ แล้วหันหลังกลับไปที่ประตู แต่ในตอนที่ข้ากำลังจะเดินออกไป โอคามิก็เรียกข้าอีกครั้ง

    "เดี๋ยวๆ ช้าก่อนซาย่าห์! ยังมีอีกเรื่องนึง"

    ข้าหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง "ว่ามาเลย"

    โอคามิชี้มาที่ช่วงไหล่ซ้ายของข้า และข้าก็มองตาม... ผ้าคลุมของข้าขาดยุ่ย แล้วเมื่อสำรวจสภาพของชุดของข้าแล้ว ข้าเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าสภาพของข้ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย

    และเมื่อนึกดูอีกทีแล้ว ข้าก็จำได้ว่าราคานเองก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

    "เจ้าจะออกไปสภาพนั้นจริงๆเหรอ?"

    "ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นหนิ หรือว่ามี?"

    "แน่นอน! ข้ามีของดีอยากให้เจ้าเอาไปพอดีเลย" โอคามิหันกลับไปเปิดหีบใบหนึ่งด้านหลังของเขา แล้วหยิบผ้าคลุมผืนนึงออกมา

    "นี่แหละ! ผ้าคลุมลวงตาน่ะ" เขายื่นมันมาให้ข้า ข้าลูบเนื้อผ้าของมันเบาๆ แล้วพบว่าของชิ้นนี้มันมีพลังเวทย์อ่อนๆอยู่

    "โอเคร บอกข้าทีว่ามันมีคุณสมบัติพิเศษอะไรงั้นเหรอ?"

    "ตามชื่อของมันเลยนั่นแหละ 'ผ้าคลุมลวงตา' ไม่ได้ทำให้เจ้าล่องหนได้หรอก แต่มันจะปล่อยม่านเวทย์ออกมารอบๆตัวของผู้สวมใส่ สร้างภาพลวงตาที่จะมีเพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่จะโดนผลของมัน ทำให้ผู้สวมใส่มีภาพลักษณ์เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ใส่ผ้าคลุม เหมาะมาก กับวาสทาย่าห์ที่ต้งเดินทางเข้าออกเมืองมนุษย์บ่อยๆอย่างเจ้า" โอคามิอธิบาย 

    "ข้าสั่งมาเผื่อเจ้าเลยนะ สีม่วงเข้ม สีที่เจ้าชอบพร้อมกับฮู้ดที่เจาะรูให้พอดีกับหูของเจ้าเลย ข้าจะให้เจ้าไปฟรีๆ ในฐานะที่เจ้าทำงานช่วยเหลือที่นี้มาหลายครั้งแล้ว" โอคามิยื่นมันมาใส่ในมือของข้า "ลองใส่ดูสิ"

    "อ่อว~ เจ้านี่ช่างน่ารักหน้าหมาจริงๆเลยนะ โอคามิ" ข้าเกาคางของเขา ตอนแรกเขาทำท่าทางขัดขืน แต่สุดท้ายก็ยอมให้ข้าเกาคางดีๆ หางของเขาส่ายไปมาซะด้วยล่ะ น่ารักจริงๆ

    "อย่าทำแบบนี้บ่อยๆนะ ข้าอายจริงๆ โธ่..."

    เขาบ่นอุบอิ๊บ

    ข้าถอดเสื้อคลุมอันเก่าที่ขาดหลุ่ยของตัวเองออกมา เผยปีกแดงข้างเดียวของข้า สิ่งที่เป็นเอกลักษ์ของวาสทาย่าห์เผ่านกโล้ดแลนเสื้อของข้าขาดเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเดี๋ยวข้าจะจ้างช่างฝีมือเย็บให้หลังจากที่เสร็จงานนี้แล้ว ข้าสวมผ้าคลุมลวงตาที่ได้มา มันรู้สึกเกือบเหมือนเดิม ยกเว้นแค่ว่าเหมือนข้ามีแหล่งเวทย์มนตร์สำรองเล็กน้อยจากผ้าคลุม

    แต่แล้วข้าก็เกิดความคิดดีๆเรื่องนึงขึ้นมา

    "นี่ๆ โอคามิ ข้าขออีกผืนได้รึเปล่า?"

    "จะเอาไปเป็นอันสำรองเหรอ? ได้สิ แค่อีกผืนนะ จะเอาสีเดิมหรือว่าจะเปลี่ยนสีล่ะ? ข้ามีอยู่หลายผืนหลายสีเลย" ยอดเยี่ยม

    "ถ้างั้น... สีทองล่ะ มีมั้ย?"

    "ฮู-เร่" ข้าเดินออกมาจากห้องพร้อมกับผ้าคลุมสีแดงสดขอบทองอันงดงามแม้จะไม่มีเสียงทองล้วน ก็คิดว่า 'เขา' จะชอบมันนะ ใช่แล้ว ผืนนี้ข้าไม่ได้จะใช้เป็นอันสำรองหรอก เป็นคิดว่าจะเป็นของอีกชิ้นที่จะให้กับราคาน ยังไงเขาก็อุสาห์เสี่ยงตัวเองมาช่วยข้าไว้ ทั้งเหรียญ และผ้าคลุมเวทย์สวยๆนี่ก็คงจะทำให้เขาอยากอยู่ช่วยข้าไปอีกล่ะนะ... อะไร!??? บ้าน่า ข้าไม่ได้อยากให้เขาอยู่ช่วยข้านานๆสักหน่อยนะ!

    แต่ว่า เอ๊ะ? ทำไมข้าได้ยินเสียงเหมือนกับว่ากำลังมีงานแสดงดนตรีกำลังบรรเลงอยู่เลยแหะ ข้าเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วสิ่งที่ข้าเห็นก็เป็นที่ทั้งหน้าแปลกใจ และไม่น่าแปลกใจในเวลาเดียวกัน

    ราคานกำลังยืนอยู่บนเวทีสูงที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาหยาบๆสดๆร้อนๆ พร้อมกับชาววาสทาย่าห์นักดนตรีอีกจำนวนนึงกำลังบรรเลงเพลงนึงขึ้นมา

    พร้อมกับเสียงร้องคลอประสานของเหล่าวาสทาย่าห์ชะนีอีกสามคนข้างๆวงดนตรี มันเป็นทำนองจังหวะที่แปลกใหม่มาก หรืออาจจะเพราะว่าข้าไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องงานดนตรีอะไรมานานก็ไม่รู้ ถึงทำให้ทำนองเพลงมันดูพิษดารแบบนี้ ไม่นานนักราคานก็เริ่มร้องเพลงออกมา

    ข้าตัดสินใจที่จะหยุดอยู่ แล้วฟังเพลงนั้นๆ



    "It’s late and I’m awake, staring at the wall

    Open up my window, head floats out the door

    No one else around, the shimmer takes my eye

    I lift my head, blinded by the sky

    (มันเป็นเวลาที่สายแล้วและข้าก็ตื่นขึ้น จ้องมองไปที่กำแพง

    เปิดหน้าต่างออกไป และยื่นหัวออกไปนอกหน้าต่าง

    ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย มีแสงระยิบระยับส่องเข้าตาของข้า

    ข้าเงยหน้าขึ้นมา ท้องฟ้าจ้ามากทำให้มองไม่เห็นอะไร)"


    "Feel my weight in front, following the sound

    Moves away so fast, fall down to the ground

    I know there’s more to come, jump back to my feet

    Now I only see ahead of me, chasing down the street"

    (รู้สึกว่าตัวของข้ากำลังถูกดึงไปข้างหน้า ตามเสียงเสียงหนึ่งไป

    ซึ่งมันเคลื่อนที่ไปเร็วมาก หลังจากนั้นก็หล่นลงพื้น

    ข้ารู้ว่ามันยังมีอะไรมากกว่านั้นที่จะทำให้ต้องรีบไป เร่งฝีเท้าของข้า

    ตอนนี้ข้าเห็นสิ่งที่เดินนำข้าไป และตกลงไปยังท้องถนน)"

    เมื่อร้องเพลงมาจนถึงตรงนี้ จู่ๆ จังหวะเพลงก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง และโทนสีของห้องก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำเงินด้วยเวทย์มนตร์ของราคาน ด้วยความรู้สึกบางอย่างดูเหมือนว่าของทุกอย่างภายในห้อง หรือแม้แต่ตัวของข้าเองก็เหมือนจะกำลังลอยขึ้นมาจากพื้นเลย

    และไม่นานนักทุกอย่างก็ลอยขึ้นมาจริงๆ ทุกคนมองรอบๆตัวด้วยความประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วจากนั้นทุกคนและทุกสิ่งก็ค่อยๆกลับลงมาบนพื้นอย่างนุ่มนวลตามเสียงเพลง

    และจากนั้นราคานก็เริ่มร้องเพลงอีกครั้งหนึ่ง

    "Gave my love to a shooting star

    But she moves so fast that I can’t keep up, I’m chasing

    I’m in love with a shooting star

    But she moves so fast, when she falls then I’ll be waiting

    Gave my love to a shooting star

    But she moves so fast that I can’t keep up, I’m chasing

    (จงมอบความรักของข้าให้กับดาวหาง

    แต่นางเคลื่อนที่เร็วมากและข้าก็ตามไม่ทัน ข้าจึงไล่ตามไป

    ข้านั้นกำลังตกหลุมรักกับดาวหาง

    แต่นางเคลื่อนที่เร็วมาก ถ้านางตกลงมาข้าก็จะเฝ้ารอ

    จงมอบความรักของข้าให้กับดาวหาง

    แต่นางเคลื่อนที่เร็วมากและข้าก็ตามไปไม่ทัน ข้าจึงไล่ตามต่อไป)"


    "I’m in love with a shooting star

    But she moves so fast, when she falls then I’ll be waiting

    Gave my love to a shooting star

    But she moves so fast that I can’t keep up, I’m chasing

    I’m in love with a shooting star

    But she moves so fast, when she falls then I’ll be waiting

    (ข้านั้นกำลังตกหลุมรักกับดาวหาง

    แต่นางเคลื่อนที่เร็วมาก ถ้านางตกลงมาข้าก็จะเฝ้ารอ

    จงมอบความรักของข้าให้กับดาวหาง

    แต่นางเคลื่อนที่เร็วมากและข้าตามไม่ทัน ข้าไล่ตามไป

    ข้ากำลังตกหลุมรักกับดาวหาง

    แต่นางเคลื่อนที่เร็วมาก ถ้านางตกลงมาข้าก็จะเฝ้ารอ)"

    -Bag raider - Shooting star-


    เมื่อเพลงจบลง เสียงปรบมือ (หรืออะไรก็ตามที่พวกเขามีให้ตบ) ของผู้ชมในห้องหลักก็ดังขึ้นมา พวกเขาคุยกันชื่นชม ตะลึง และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครที่ไม่ชอบเลย... พวกเขากลับมาคึกครืน ต่างจากสภาพก่อนหน้านี้ไปมาก และทั้งหมดนั้นเกิดในเวลาอันสั้น แค่ภายในตอนที่ข้าเข้าคุยกับโอคามิเท่านั้นเอง

    เขาทำได้ยังไงกัน?

    แต่ในตอนนั้นที่ข้ามองเขา ข้าเห็นวาสทาย่าชะนีที่เพิ่งร้องคลอประกอบนั้นเข้าไปรายล้อมตัวเขา มันช่วยไม่ได้ที่ข้ากลับรู้สึกเคืองอย่างไม่ทราบสาเหตุที่เห็นแบบนั้น

    ทันใดนั้นที่ข้าเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปหาเขา แล้วพลักวาสทาย่าชะนีตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้เข้าที่สุดออกไป มีเสียงสบถอย่างไม่พอใจของนางเบาๆ แต่ข้าไม่สนใจ ราคานหันมามองข้าด้วยสายตาที่ประหลาดใจมาก

    "ซ-ซาย่าห์?? นี่เจ้-"

    'เพี๊ยะ!' ข้าตบหน้าเขาเบาๆ(?)ไปทีนึง ข้าไม่รู้ว่าทำไปทำไมแต่ว่าแค่รู้สึกว่าอยากทำ

    "เอ๋? เจ้าตบหน้าข้าทำไม แล้ว โอ๊ยๆๆๆ หูข้าาา!!" ข้าดึงหูของเข้าออกมาจากฝูงชนที่กำลังงุงงงอยู่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น และจากนั้นข้าก็ลากเขายาวจนออกมาที่ห้องแรกสุดที่ปลอดผู้คน แล้วจากนั้นก็ปล่อยหูเขา

    "โอยๆๆ เจ้าพาข้าออกมาทำไมเนี่ย? ทุกคนกำลังสนุกเลย แล้วเอ่อ... นี่เจ้าใส่ผ้าคลุมใหม่เหรอ??" ราคานจ้องที่ผ้าคลุมใหม่ของข้าตาเป็นประกาย เหมือนจะลืมเรื่องเมื่อก่อนหน้านี้ไปเลย

    "ข้าไม่รู้! ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าอยากดึงเจ้าออกมา! แต่ข้าไม่ได้หวงเจ้าหรืออะไรทั้งนั้นนะ!" ข้าปล่อยปากของตัวเองให้พูดตามใจไปเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะพยายามดึงสติและควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาสงบอีกครั้งหนึ่ง

    "โอ้... โอ้... จริงอ่ะ?? เปล่าหวงข้าจริงอ่ะ???" ราคานทำน้ำเสียงยียัวกวนประสาท จนข้าอยากจะดึงเขามาตบหน้าแรงๆอีกสักที

    "เคยโดนขนนกแทงมั้ย?" ข้าขู่ออกไปพร้อมชักขนใบมีดของข้าออกมาด้วย

    "โอ้ๆๆๆ โอเคๆ ก็ได้ๆๆ ข้าไม่เล่นแล้ว ว่าแต่ว่าที่ดีงข้ามีนี่มีเรื่องไรล่ะถ้างั้น"

    อ้อจริงสิ ข้าลืมเรื่องสำคัญไปได้ยังไงกัน?

    "ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยมาเป็นคู่หูในการทำภารกิจของข้าสักหน่อยน่ะ... ข้ารู้ว่ามันฟังดู-"

    แต่ยังไม่ทันที่ข้าจะได้พูดจนจบประโยค เขาก็รีบตอบมาซะก่อน

    "ตกลง! ข้าอยากจะเป็นคู่หูกับเจ้าพอดี!"

    "นี่เจ้าไม่คิดจะลังเลหรือ คิดอะไรหน่อยเหรอ?" การรีบตัดสินใจหุนหันพลันแล่นของเขามันทำให้ข้าประหลาดใจ และกังวลใจไปพร้อมๆกัน ว่าเขาจะเป็นพวกไม่คิดอะไรเลยอ่ะนะ...

    "ลังเล? ทั้งชีวิตของข้ามันก็ไร้ซึ่งแก่นสารอยู่แล้ว ก็แค่ตระเวนไปเมืองนั้นเมืองนี้ เก็บเพลงโบราณ หรือเพลงใหม่ๆไปฝากเผ่า แล้วก็ออกมาทำแบบเดิมอีก ข้าเองก็เริ่มเบื่อๆ ถ้าหากได้ออกไปผจญภัยไปพร้อมกับแม่สาวนักปฎิ...อะไรสักอย่างน่ะนะ มันดูน่าสนุกดีออก ส่วนเรื่องการคิด? การคิดเนี่ยนะ?! โอ้ ไม่ล่ะขอบคุณ ข้าไม่ต้องการการคิดอะไรหรอก! ข้าจะทำอะไรก็ทำแหละนะ"

    เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วยเขาเป็นพวกไม่ใช้สมอง... แต่ก็... ยังมีประโยชน์อยู่นั่นแหละ

    "สรุปไม่ว่ายังไงก็อยากเข้าร่วมด้วยสินะ ดี งั้นเอานี่ไป..." ข้ายัดผ้าคลุมสีแดงขอบทองใส่มือของเขา

    "...เป็นของตอบแทน ที่เคยช่วยข้าไว้น่ะ" ข้าเบือนหน้าหนี ข้ารู้สึกอายที่จะต้องขอบคุณใครสักคนแบบนี้ แต่นี่ก็จำเป็น เพื่อที่จะทำให้เขาไม่รู้สึกว่าช่วยข้าฟรีหรอกนะ

    "...ว-ว้าวว ผ้าคลุมนี่มัน... สุดยอด! ข้าล่ะอยากได้อะไรแบบนี้มานานแล้วล่ะ!" ราคานรับผ้าคลุมเอาไปใส่อย่างรวดเร็วแล้วโยนผ้าคลุมอันเก่าของเขาออกไป

    "ลาก่อนนะของเก่า ข้าจะพยามไม่ลืมเจ้านะ เย่ะ!" ราคานพูดกับผ้าคลุมของเขา เอิ่ม...

    "แล้วก็นี่อ่ะ" ข้าโยนเหรียญเทพธิดาไปให้ เขายกมือขึ้นมารับอย่างคล่องแคล่ว

    "อ้าว เหรียญนี่คุ้นๆแหะ เหมือนข้าเคยเจอมันมาก่อน" ดูเหมือนนอกจากเขาจะเป็นพวกไม่ใช้สมองแล้ว เขาก็ยังเป็นวาสทาย่าขี้ลืมด้วยสินะ

    "คิดว่าเจ้าน่าจะคิดไปเอง ข้าแค่อยากให้เจ้าพกเอาไว้ มันจะช่วยให้พลังโลห์เวทของเจ้ามันดีขึ้น" ข้าขี้เกียจที่จะเล่าย้อนอดีตให้เขาฟังแล้วล่ะว่าไอ้เหรียญเนี่ยแหละที่ช่วยทำให้เขากลับมาช่วยข้าเอาไว้...

    "แล้ว~~~ หลังจากนี้เจ้าจะทำอะไรต่ออ่ะ?" ราคานถามขึ้นมาตรงประเด็นพอดี

    "นั่นแหละเรื่องสำคัญ ข้ามีภารกิจที่ต้องทำ และคิดว่ามันคงจะเป็นภารกิจแรกของเจ้าแบบเป็นทางการด้วย ข้าจะอธิบายหน้างาน ส่วนตอนนี้ตามข้ามาก่อน" ราคานพยักหน้าตกลง

    เมื่อพวกเราออกมาจากประตูเวทย์มนตร์สู่แหล่งกบดานได้แล้ว ข้าก็ปิดผนึกมันเอาไว้เหมือนเดิม แต่ก่อนที่ข้าจะได้เดินไปไหนต่อก็ถูกราคานจับไหล่ดึงไว้ก่อน

    "อะไรอีก?"

    "ข้าคิดว่าเจ้าลืมสวมผ้าคลุมดำปิดทับส่วนปีกไว้น่ะ ไม่ใช่ว่าพวกมนุษย์ในเมืองนี้ไม่เป็นมิตรกับชาววาสทาย่าอย่างที่เจ้าบอกเหรอ??"

    อ้อ จริงสิ เขายังไม่รู้เกี่ยวกับผ้าคลุมที่พวกเราใส่อยู่สินะ

    "ผ้าคลุมนั่นน่ะ มันช่วยให้พวกเราปลอมตัวได้ พวกมนุษย์จะมองเห็นพวกเราเหมือนกับมนุษย์ด้วยกัน เพราะงั้นตราบใดที่ใส่มันเอาไว้ก็ไม่น่ามีไรต้องกังวลหรอก" ข้าอธิบายออกไปแบบรีบๆพอเข้าใจ

    "โอ้ จริงดิ? แต่ทำไมข้ายังมองเห็นเจ้าเป็นวาสทาย่าคนงามอยู่เลยล่ะ?"

    ดูเหมือนว่าข้าจะต้องอธิบายให้เข้าแบบเต็มๆจริงๆแหละนะ เฮ้อ...

    หายช่วงลมหายใจโรยรินต่อมา...

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าผ้าคลุมนี้มันทำงานยังไง แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมรับแล้วว่าใส่แล้วหลอกสายตาพวกมนุษย์ได้จริงๆ

    ตอนนี้พวกเรากำลังเดินทางผ่านป่าเพื่อไปยังค่ายที่เป็นเป้าหมายของข้า...พวกเราน่ะ

    และตลอดการเดินทาง ราคานก็พูดถึงสิ่งต่างๆรอบตัวของเขาแบบไม่หยุดหย่อน จนข้าก็เหนื่อยที่จะห้ามปรามเขาแล้ว มีแต่บอกให้ระวังตัวไว้ก็เท่านั้น เขานี่ไร้สมาธิเป็นบ้าเลย

    "ตอนนั้นนะ ข้าก็โยนดอกไม้ราตรีช่อนั้นออกไป แล้วพวกสาวๆก็แย่งกันจนเกิดการตีกันครั้งใหญ่เลยล่ะ ตอนนั้นข้- อุ๊บ!-" ในตอนที่กำลังเล่าเรื่องของเขาอยู่นั้นข้าก็ใช้มือปิดปากของเขาเอาไว้แล้วกดตัวของเขาให้ก้มต่ำลงมาพร้อมกับข้า ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพราะว่าพวกเรามาถึงที่หมายแล้วนั่นเอง

    ข้าส่งภาษากายบอกให้เขาเงียบลง ซึ่งเขาก็พยักหน้านะ ใช่ เขาพยักหน้า แต่...

    "มีอะไรน่าสนุกงั้นเหรอ!?"

    ข้าอยากจะเอาก้อนหินข้างๆยัดปากเขาก่อนที่เขาจะส่งเสียงอะไรมากไปกว่านี้ ให้ตายสิ! เขานี่มันหัวทื่อเหมือนกับมันฝรั่งเน่าเลย

    "เงียบซะ! เรามาถึงค่ายแล้ว" ข้าพยายามปรามเขาพร้อมกับใช้กำปั้นอุดปากของเขาอยู่

    "อื่อๆๆๆ" เขาทำมือบอกว่า 'เข้าใจแล้ว' แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังไม่เอามือออกไป ข้าคิดว่าคงต้องล้างมือหลังจากจบงานนี้...

    ข้าใช้มืออีกข้างแหวกพุ่มหญ้าตรงหน้า นี่เป็นช่วงเวลาเกือบเย็น เป็นช่วงเวลาที่พวกมันหยุดตัดไม้ แล้วเริ่มกลับมาพักผ่อนกันบางส่วน และบางส่วนก็ทำการเดินลาดตะเวนรอบๆค่ายเพื่อตรวจหาผู้บุกรุก ชาววาสทาย่าหรือสัตว์ป่าที่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วเคราะห์ร้ายพอที่จะเดินหลงทางมาแถวนี้ เหนือหัวของพวกมันมีหอคอยขนาดหย่อมๆ ตั้งอยู่ตรงใกล้กับกำแพงด้านทิศใต้ของค่ายมีพลปืนประจำการอยู่น่าจะสักสี่คนจากสายตาของข้า 

    และตรงใจกลางของแคมป์ มีมนุษย์ร่างกายค่อนข้างกำยำไว้หนวด กำลังนั่งทำสีหน้าเบื่อหน่ายอยู่ใจข้างกองไฟ เขาหมุนมีดขนาดเล็กไปมารอบๆนิ้วของเขา นี่ก็คงจะเป็นหัวหน้าล่ะมั้ง แม้แต่หัวหน้าของพวกมันก็ไม่มีท่าทีระวังตัวเลยสักนิดในเวลานี้

    ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าบุกซะจริง

    "...อืออื๊อ?" อ้อ ข้าลืมไปว่าหนนี้ข้ามีตัวช่วย(รึเปล่า?)ที่กำปั้นของข้ากำลังอุดปากช่างพูดของเขาอยู่นี่นา เมื่อข้าแน่ใจแล้วว่าพวกยามที่อยู่ใกล้ที่สุดไม่น่าจะได้ยินเสียงพูดธรรมดาๆแล้ว ข้าก็หะนมาบอกกับราคานว่า

    "ถ้าข้าปล่อยมือ สัญญาว่าจะหุบปากแล้วฟังข้าก่อนนะ?" ราคานไม่ตอบอะไร(เพราะตอบไม่ได้อยู่แล้ว) และพยักหน้าเงียบๆ แต่เมื่อข้าดึงมือออก...

    "วู้ว! มือข้าเจ้านี่เค็- อุก!" กะแล้วว่าเจ้าหมอนี่ต้องปากไม่สงบจริงๆ ข้าเลยยัดรากต้นไม้อ่อนๆใส่ปากของเขาไว้ก่อนอย่างรวดเร็ว

    แล้วตัดสินใจที่จะอธิบายแผนกับเขาในสภาพนี้แหละ

    "ฟังให้ดี ตอนนี้พวกมนุษย์บางส่วนที่อยู่รอบๆค่ายนี้มันมีอาวุธแล้วเตรียมพร้อมเสมอ และข้าก็เห็นพลปืนอยู่บนหอคอยอยู่ประมาณสี่คน ข้าแค่ต้องการให้เจ้าไปดึงความสนใจเจ้าพวกพลปืนเอาไว้และ..." ราคานยกมือขึ้นโบกไปมาเหมือนมีอะไรจะพูด

    "ก็ได้... พูดเบา เบา" ข้าเน้นคำว่า 'เบา' ให้ชัดเจน ขอล่ะ ช่วยเขาใจในสิ่งที่ข้าพยายามจะสื่อสักทีเถอะ ข้าดึงรากไม้ออกไปจากปากของเขา แล้วทำเสียงชู่บอกให้เขาเงียบๆ

    "...พวกพลปืนนี่เป็นยังไงเหรอ?" เขาถามออกมาด้วยเสียงที่เบาลง ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาจะเข้าใจที่ข้าบอกสักทีนะ

    "นี่เจ้าไม่รู้จัก ปืน อย่างงั้นเหรอ?" ข้าอาจจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่มันก็คงจะเสียเวลาที่จะอธิบายให้เขาฟังว่ามันคืออะไรในตอนนี้ล่ะนะ

    "เอาเป็นว่า เจ้าเห็นหอคอยนั่นรึเปล่า? บนนั้นมีพลปืนที่ข้าหมายถึงอยู่ น่าจะสักสี่คนเห็นจะได้ ข้าอยากจะให้เจ้าซ่อนตัวจากสายตาของพวกมันผ่านจากโกดังนั่น เจ้าน่าจะรู้วิธีการหลบซ่อนนะ?" ข้าถามเขาเพื่อความแน่ใจ แล้วชี้ไปที่โกดังหลังหนึ่งในค่าย เขามองตาข้าไม่กระพริบเลย แต่แล้วก็พยักหน้าออกมา "ดี แล้วจากนั้นก็ปีนขึ้นหอคอยไปล่อความสนใจของพวกมันทั้งสี่ตัว ยังไงก็ตาม 'ปืน' เนี่ยมันเป็นอาวุธอันตรายมาก ข้ารู้ว่าเจ้ามีโล่เวทย์มนตร์ที่น่าจะพอกันกระสุนของมันได้บ้าง ระวังตัวไว้ด้วย เจ้าเข้าใจรึเปล่า?" เขาไม่ตอบสักพัก แต่จากนั้นก็เหมือนกับว่าเขาเพิ่งรู้ตัว

    "อ้อ อ่า ใช่ แผนๆ ข้าต้องล่อความสนใจพวกมันยังไงก็ได้สินะ" ข้าไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจตรงกันอยู่รึเปล่านะ แต่เรื่องนี้เราจะมาเสียเวลาไปมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ

    "ใช่ ล่อพวกมันไว้ในขณะที่ข้าที่ไล่เก็บพวกที่อยู่ด้านล่างให้หมด และมำอย่างระมัดระวังตัวล่ะ"

    "รับทราบครับนายหญิง!" ราคานขยิบตาข้างนึงมาให้ข้าในขณะที่พูดแบบนั้น มันดูเสร่อยังไงก็ไม่รู้แหะ

    "ดี งั้นพวกเราจะเริ่มลงมือเดี๋ยวนี้ ไปเถอะ"

    ข้าจบบทสนทนาแล้วหันไปทางช่องโหว่ที่ข้าคิดว่าพวกมันน่าจะยังไม่เห็น แล้วเตรียมย่องเข้าไป แต่ข้ายังไม่ทันได้ไปไหน ข้าก็ถูกสกิดไหล่ซะก่อน

    "อะไร?"

    "ข้าต้องไปทางไหนนะ..?"

    "....." คำถามของเขาทำเข่าของข้าแทบอ่อน นี่สรุปแล้วข้าคิดถูกรึเปล่าที่พาเขามาเนี่ย??

    ข้าช่วยอะไรอย่างอื่นไม่ได้นอกจากชี้ไปทางโกดังอาวุธของพวกมัน ตรงๆนั้นมีการรักษาความปลอดภัยน้อยอย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่เป็นแหล่งกำลังของพวกมันแท้ๆ แม้จะน่าสงสัย แต่ก็คิดว่าคงไม่มีทางที่ดีกว่านี้ให้เขาแล้วล่ะ

    เมื่อข้ากับราคานแยกย้ายกันมาได้(สักที) ข้าก็เริ่มมองหาเหยื่อขนนกของเขารายแรกของงานนี้ทันที หางตาของข้าพยายามส่องความเคลื่อนไหวของพวกพลปืนข้างบนนั่น ถ้าหากว่ามีอะไรผิดสังเกตเมื่อไหร่ก็ให้รีบลงมือเก็บพวกด้านล่างทั้งหมดที่เห็นอย่างเร็วเลย...

    แล้วจากนั้นก็ค่อยไปดูอาการของราคานว่าพรุนรึยังอ่ะนะ... ทำไมข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ส่งเขาไปทำอย่างงั้นกันล่ะ?

    เวลาผ่านไปหลายช่วงลมหายใจที่ข้าเล็งเจ้ายามที่หันหลังให้ข้าอยู่อย่างพอดี แต่ว่ายังไม่ลงมือ เพราะว่ารอให้แน่ใจก่อนว่าพวกที่อยู่บนหอคอยจะไม่เห็น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย ความกังวลเล็กๆน้อยเริ่มกัดกินความรู้สึกของข้า หรือว่าเขาจะถูกจับได้ก่อนที่จะทำอะไรนะ? นั่นมันคงจะแย่มากเลยนะ...

    แต่ไม่นานนักหลังจากที่รอมานาน สิ่งไม่คาดคิดในแผนก็เกิดขึ้น

    เสียงเอะอะของพวกน๊อคซัสดังขึ้นมา ข้าได้ยินเสียงเหมือนมีการต่อสู้ดังขึ้นในระยะที่ไม่ได้ไกลมากนัก ข้ารีบย้ายตำแหน่งของตัวเองออกมาจากตรงเดิมที่เคยอยู่ แล้วเขาไปส่งสิ่งที่เกิดขึ้นจากมุมในของเต้นท์หลังนึงที่เจอ

    ทหารน๊อคซัสคนนึงวิ่งเข้ามาหาคนที่น่าจะเป็นหัวหน้านั่น

    "ท่านดราเว่น! ท่านเดรเว่น!! พวกเรามีปัญหาแล้วล่ะ!" ทหารคนนั้นวิ่งสะดุดกับพื้นล้มลงมาตรงหน้าของ 'เดรเว่น' ผู้นั้น เขาลุกขึ้นมาจ้องมองไปยังนายทหารที่ล้มลงกองอยู่ตรงหน้าของเขา

    "ว่ามาสิ" เขาดูไม่ยี่หร่ะอะไรกับสภาพของนายทหารคนนั้นเลย

    "มีชายกำยำ มีแรงมหาศาลยักกะหมี บุกเข้ามาในค่ายของพวกเรา! พวกเราพยายามสกัดมันไว้แล้วแต่โดนซัดกลับมาหมดเลย! แล้วมันกำลังมุ่งมาทางนี้!" นายทหารพูดอย่างลุกรน

    เดรเว่นมองออกไปในทิศทางที่นายทหารวิ่งมา ไม่นานนักเสียงของการต่อสู้ก็ใกล้เข้ามา

    ข้ามองตามไปแล้วพบกับ...มนุษย์? หรือวาสทาย่าห์ประหลาด ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก เขามีขนของหมีอยู่ด้านหลังของเขา เขากำลังบีบคอของทหารเคราะห์ร้ายคนนึง ก่อนจะปล่อยเขาลงมาบนพื้นเมื่อเห็นเดรเว่น ทั้งสองจ้องมองกันสักพัก ก่อนที่นายร่างหมีนั่นจะเริ่มเดินเข้าหาเดรเว่นก่อน เดรเว่นแสยะยิ้มก่อนที่จะเรียกนายร่างหมี

    "เจ้าคนป่า!" นายร่างหมีหยุดเล็กน้อย

    "เจ้าน๊อคซัส! ...พวกเจ้าสินะที่เข้ามาทำลายสมดุลของกระแสเวทย์มนตร์แถวนี้น่ะ"

    "ก็มันเป็นงานนี่หว่า ใจจริงไม่อยากมาหรอก ว่าแต่นี่เจ้า... กล้าเดินเข้ามาข้า แทนที่จะวิ่งหนีไป แต่แกเลือกที่จะเดินเข้ามาหาข้า เดรเว่นผู้นี้งั้นเหรอ?" นายร่างหมีเดินเข้าไปหาเขาอีก

    "ถ้าไม่เข้าไปใกล้ๆ ข้าก็จะลั่นกระบาลเจ้าไม่ได้น่ะสิ"

    "โฮ้! โฮ้! งั้นก็เชิญเดินเข้ามาใกล้ๆข้าตามที่เจ้าต้องการเลย เจ้าคนป่า" เดรเว่นหยิบขวานรูปร่างประหลาดออกมาสองด้าม แล้วจากนั้นก็เริ่มหมุนมันทั้งสอง เขาหัวเราะเบาๆ แล้วจากนั้นก็...

    "เดรเว่น!!" เขาปามันออกไปยังนายร่างหมี

    "เปล่าประโยชน์!!" แต่ทว่านายร่างหมีกลับใช้มือเปล่าปัดขวานบินนั่นได้ ขวานบินลอยกลับเข้าไปในมือของเดรเว่น

    "เห... ไม่เลวเลยหนิ" เขาพูดขึ้น "ข้าชักจะรู้สึกสนุกขึ้นมาแล้วล่ะนะ งั้นไหนลองมาเจอนี่หน่อยเป็นไง!" เขาเหวี่ยงขวานของเขาออกไปทั้งสองในเวลาติดๆกัน

    "เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!เดรเว่น!" ทุกๆครั้งที่เขาปาขวานออกไปเขาก็เรียกชื่อของตัวเองออกมาด้วย สาเหตุที่ทำให้เขาเรียกชื่อของเขาออกมารัวๆก็เพราะว่า...

    "เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!เปล่าประโยชน์!" นายร่างหมี ที่ตอนนี้ขนของเขาเปลี่ยนเป็นลายเสือแทนซะอย่างงั้น สามารถปัดขวานของเดรเว่นได้ทุกครั้ง แล้วทุกครั้งที่ทำได้เขาก็จะพูดคำนั้นออกมา

    .

    .

    .

    นี่ข้ากำลังเห็นอะไรอยู่ล่ะเนี้ย???

    ทั้งสองดวลกันไปมา แต่คนที่หยุดก่อนก็คือเดรเว่น เมื่อขวานของเขากลับเขามาในมือทั้งสองอีกครั้ง เขาก็ตะโกนขึ้นมา

    "แกชักจะแกร่งเกินไปแล้วนะ! พลปืน! ยิงมันซะ!!"

    "อะไรกัน!?" ทั้งข้าและนายร่างเสือต่างก็พูดออกมาพร้อมกัน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้ยินข้านะ

    เสียงปืนดังขึ้นมาจากหอคอย บ่งบอกถึงงานที่ราคานทำไม่สำเร็จ...

    นายร่างเสือ... เต่า? ตอนนี้ขนเสือด้านหลังของเขาเปลี่ยนเป็นกระดองเต่าบก และมีโล่ห์เวทย์สีเขียวขึ้นมากันกระสุนพวกนั้นได้ทันเวลา

    "อ่าห้า! ทีนี้แหละ!" เดรเว่นเห็นโอกาสของเขาที่จะโจมตี จึงไม่รอช้าที่จะเริ่มปาขวานของเขาอีกครั้งใส่เข้าไปที่โล่ห์ของนายร่างเต่า

    ตอนนี้ทุกอย่างกำลังแย่ ราคานทำงานของเขาไม่สำเร็จจริงๆก็แปลว่าเขาคงกำลังมีปัญหา กับนายร่างเต่านี่ก็พยายามที่จะถล่มค่ายด้วยตัวคนเดียวก็กำลังลำบาก แน่นอนว่าข้าจะไม่อยู่นิ่งดูดายแน่ แต่ด้วยจำนวนคนที่เยอะขนาดนี้ แล้วยังมีพลปืนคอยยิงจากระยะไกลอีก ข้าคงจะเปิดตัวตอนนี้ไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำก่อนก็คือการกำจัดพลปืนด้วยตัวเองซะ ...ส่วนราคานเดี๋ยวค่อยตามหาเขาล่ะกัน

    ข้ารีบวิ่งไปที่โกดังอาวุธที่ข้าส่งราคานเข้ามา ในช่วงเวลานี้ไม่มีใครสนใจเสียงฝีเท้าของข้าหรอก เพราะพวกมันเองก็กำลังวิ่งทางแถวๆนี้เช่นกัน ข้าทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครไปเป็นกำลังเสริมในจุดที่มีเรื่องเพิ่ม โดยการแทงพวกพลทหารที่วิ่งผ่านไปผ่านมาอย่างไม่ระมัดระวังตัว อีซี่คิลจริงๆเลย จนเมื่อข้าถึงโกดังอาวุธแล้วเปิดประตูเข้าไป

    ภายในของโกดังมันมืดมาก และปลอดซึ่งพวกทหารแถวนี้เลย ทั้งๆที่กำลังมีเรื่องกันแท้ๆ กลับไม่มีใครเข้ามาเพื่อหยิบอาวุธเลย มันยิ่งทำให้ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าที่นี่คือโกดังอาวุธอย่างที่แผนผังมันบอกมารึเปล่านะ? แต่ในความมืดนั้นเอง...

    "ช่วยด้วยยย! ข้าติดอยู่ในนี้มานานแล้วนะ! มันมืด!! ข้าออกไปไม่ได้!" เสียงอันคุ้นเคยของเขาจากในโกดังที่มืดมิดมันทำให้ข้ารู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

    "ราคาน! ที่แท้นี่เจ้าหลงทางอย่างงั้นเหรอ??"

    "ซาย่าห์? ซาย่าห์!! ช่วยพาข้าออกไปที ข้ากลัวความมืด!!" พอราคานรู้ว่ามีข้าอยู่เขาก็เริ่มส่งเสียงร้องโอดครวญทันที ปั้ดโธ่เอ้ย!

    "ถ้ารู้ว่ามันมืดแล้วจะเข้าไปทำไมลึกๆกันเล่า?!"

    "ก็เจ้าบอกให้ข้าเข้ามา ตอนแรกก็รู้อยู่หรอกว่าต้องไปไหน แต่ตอนนี้ข้าลืมแล้ว! แล้วรู้ตัวอีกทีก็หลงอยู่ในนี้แหละ! ขอร้องล่ะช่วยพาข้าออกไปก่อน" เขาตอบกลับมา

    "ก็ได้! ข้าจะพาเจ้าออกมาเอง ส่งเสียงมาเรื่อยๆ แล้วอยู่ตรงนั้นนะ!" ข้าสั่งเขา ข้ารู้ว่าทำไมเขาถึงสร้างแสงออกมาเองไม่ได้ เพราะกระแสเวทย์มนตร์แถวนี้มันมีน้อยเกินไปนั่นเอง

    "ในค่ำคืนที่ฟ้านั้นไม่มีดาวอยู่ตรงนี้ ข้ายังคงก้าวไป---" เขาเริ่มร้องเพลงออกมา มันเป็นวิธีที่ดีนะ อย่างน้อยๆก็ทำให้ข้ารีบหาตัวเขาเลย เพราะไม่อยากให้เพลงมันติดหูอีก ข้าคลำทางตามเสียงมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็คว้ามือของเขาไว้ได้สำเร็จ

    "ได้ตัวล่ะ!" ราคานหยุดร้องเพลง

    "ฮือ... ข้าคิดว่าจะต้องติดอยู่ในนี้จนอดตายซะแล้ว.." ข้าทำเสียงเหมือนจะกำลังร้องไห้เลยแหะ ทำตัวเป็นลูกนกไปได้

    "เอาล่ะ ตามมา แล้วอย่าปล่อยมือนะ" ข้ากุมมือของเขาไว้แน่น แม้จะรู้สึกแปลกๆๆมากๆๆ ก็ตามทีเถอะ... แต่ข้าเลือกที่จะเมินความรู้สึกแปลกๆนั่นแล้วลากเขามาด้วย

    แต่ยังไม่ทันได้ไปถึงไหน ราคานก็หยุดชะงัก

    "มีอะไรเหรอ?" ข้าถามเขา ตอนนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องรีบพาเขาออกมาก่อน แล้วจากนั้นก็ไปกำจัดพวกพลปืนแล้วก็จะช่วยนายร่างหมีเสือเต่านั่นได้ แค่นั้นเอง...

    "ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ ถ้ามันมืดนักทำไมข้าถึงไม่ยอมใช้เวทสำเร็จรูปที่ข้าเรียนมากันนะ?"

    "นี่เจ้ามีเวทย์สำเร็จรูปด้วยอย่างงั้นเหรอ?" 'เวทย์สำเร็จรูป' คือเวทย์ที่ถูกกักเก็บสำรองไว้ในวิญญานของผู้ใช้ สามารถใช้ได้ตลอดเวลาแม้ว่าจะไม่มีพลังงานเวทย์เหลืออยู่เลยก็ตาม

    "แน่สิ ข้ามีเวทย์ที่ใช้จุดไฟได้ชั่วคราว น่าจะมีแสงพอที่จะให้พวกเราผ่านไปได้ง่ายขึ้นแหละ เชื่อข้า แล้วดูนี่นะ" เขาเงียบไปสักพัก แล้วจากนั้น "อิกไนท์!" เปลวไฟเวทย์มนตร์บริสุทธิถูกจุดขึ้นมาบนมือของราคาน แสงไฟจ้าขึ้นมาทำให้สายตาของข้าพร่ามัวไปชั่วขณะ แต่หลัง

    จากที่สายตาของข้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แสงสว่างนั่นก็ทำให้ข้ามองเห็นทางขึ้นมา

    "วู้ว! เจ๋งสุดๆ มือข้าติดไฟล่ะ!" ราคานส่งเสียงดีใจเหมือนไม่เคยทำมาก่อน เอ... หรือว่าเขาไม่เคยทำจริงๆ?

    แต่มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่ไม่นานนักเพราะว่าสายตาของข้าเหลือบไปเห็นสิ่งที่กำลังรายล้อมพวกเรามาโดยตลอดแต่ข้าไม่เห็น...

    นั่นก็คือถังดินปืน ถังดินปืนมากมายอยู่รอบๆตัวของพวกเราทั้งสอง ข้าแทบกรีดร้องเพราะว่าไฟที่อยู่ในมือของราคานก็เพิ่งจะจุดไฟให้กับถังดินปืนถังหนึ่งเข้าไปเต็มๆ

    "ราคานๆ!!" ข้าร้องเรียกชื่อของเขาในขณะที่ชี้ไปที่ถังดินปืนถังนั้น เขาหันตามไปนะ แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะสายเกินไปเสียแล้ว

    "โอ้..."

    ปะระตู้มตู้ม!~

    .....

    ....

    ...

    ..

    .

    ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากๆ ในตอนนี้ที่ข้ารู้สึกตัวอีกครั้ง ความรู้สึกชาไปทั่วร่างกายกลับเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างอึดอัดแต่ก็อบอุ่นดี

    ตัวของข้ารู้สึกเบาเหมือนกับตอนที่อยู่ในห้องที่ราคานกำลังร้องเพลงนั้นอีกครั้ง

    เมื่อข้าลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของราคานที่อยู่ห่างจากหน้าของของข้าไปเพียงไม่กี่นิ้ว แขนของเขาโอบกอดร่างของข้าไว้ และ... พอมองรอบๆแล้ว พวกเรากำลังยืนอยู่ท่ามกลางซากของสิ่งปลูกสร้างโดยมีโล่ห์ของราคานเป็นเกราะที่เพิ่งปกป้องพวกเราจากแรงระเบิดไว้ฉายแสงรอบๆตัวอยู่

    "เป็นอะไรรึเปล่า?" นั่นคือประโยคแรกที่ข้าได้ยินราคานพูด

    "วู้ว! ให้ตายสิ ข้านึกว่าแถวนี้มันมีเวทย์มนตร์ไม่พอที่จะสร้างโล่ห์ของข้าซะแล้ว นี่เพราะเหรียญที่เจ้าให้มาสินะ" ราคานส่งยิ้มมาให้ นั่นทำให้ข้ายิ่งรู้สึกไม่อยากมองหน้าของเขาในตอนนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้าแค่มองหน้าเขาไม่ได้จริงๆนะ... 

    ข้าจึงเลือกที่จะมองเลยใบหน้าของเขาขึ้นไป มองบนท้องฟ้า ซึ่งตอนนี้มีลูกไฟมากมายจากแรงระเบิดของโกดังพุ่งออกไป บางส่วนก็กำลังตกลงมา มันเป็นภาพที่ส่วยงามนะ ถ้าไม่ติดว่าสถานที่แห่งนี้มันยังไม่ปลอดภัยจากพวกลูกไฟพวกนั้น!

    "ราคาน! ปล่อยข้าก่อน แล้วดูนั่น!" ข้าชี้ไปบนท้องฟ้า เผยให้เห็นลูกไฟจำนวนมากกำลังมุ่งตรงมาที่ๆค่ายแห่งนี้

    เมื่อราคานเห็นตามนั้นก็จึงรีบปล่อยตัวของข้า แล้วเปลี่ยนมา... จับมือของข้าแทน

    "ได้เวลาวิ่งแล้วจ่ะ หวานใจ"

    "ใครหวานใจของเจ้- เอ๊อะ!" ข้ายังไม่ทันได้จบประโยคของตัวเอง เจ้าราคานผู้รวดเร็วก็ดึงข้าไปก่อน พวกเราวิ่งออกมาจากซากสิ่งปลุกสร้างออกมาสักระยะ ก่อนที่สายตาแหลมคมของข้าจะสังเกตเห็นที่หลบภัยชั่วคราวของพวกเราได้

    "ราคาน! หลังหินนั่น!" ข้าเปลี่ยนเป็นฝ่ายลากเขาแทน แล้วพุ่งเข้าในกองหินที่ข้าคิดว่าใหญ่พอที่จะจะใช้หลบลูกไฟพวกนั้นได้ ก็คงจะต้องหลบอยู่นี่ กับเขาสักพักแหละนะ...


    อีกฝากหนึ่ง

    หลังจากเกิดการระเบิดขึ้นมาจากโกดังเก็บถังดินปืนอันมีค่าของพวกเขา มันส่งผลให้หอคอยสังเกตการณ์ที่มีกำลังพลปืนของพวกน๊อคซัสถูกทำลาย ทั้งเหล่าพลทหารและเดรเว่นก็ต่างก็แตกตื่นแล้วหยุดการณ์โจมตี 'อูเดีย' บุรุษผู้ใช้สแตนด์ของเหล่าสัตว์ป่าที่ตอนนี้กำลังนั่งคุกเข่าฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บของเขาอยู่

    เดรเว่นที่กำลังตกใจอยู่นั้น เขากลับหยุดวิ่งวนไปวนมากับพวกทหารของเขา ราวกับเพิ่งนึกสิ่งที่ต้องทำในขณะนั้นได้

    ใช่แล้ว การสั่งการณ์นั่นเอง

    "เฮ้ย!! พวกแกน่ะ!" เขาตระโกนออกมาท่ามกลางความโกลาหน และมันกลับได้ผลซะด้วย พวกทหารหยุดแตกตื่นและหยุดวิ่งกันชั่วคราว ทุกสายตาจับจ้องมองที่เดรเว่น พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของเดรเว่น และมั่นใจว่าหัวหน้าของพวกเขาจะมีความคิดดีๆแน่นอน

    เดรเว่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ "วิ่งหนีเอาตัวรอด! ตัวใครตัวมัน!!" เมื่อกล่าวจบ เขาหยิบขวานของเขาขึ้นมาแล้วเริ่มวิ่งหนีไปพร้อมๆกับเหล่าทหารน็อคซัสที่เหลือก็วิ่งกระจัดกระจายไปตามๆกันต่อ เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรพิเศษ


    เดรเว่นที่วิ่งหนีกำลังจะเข้าไปในป่าก็ถูกมือปริศนาจับไหล่ไว้ก่อน

    "เฮ้ แกน่ะพวกเรายังไม่จบธุระกันนะ" อูเดียหมุนตัวของเดรเว่นกลับมาแล้วจากนั้นก็พลักเขาออกไป

    "ข้าจะแสดงให้เห็น ว่าการมาบุกรุกทำลายป่าน่ะมันจะต้องเจอกับอะไร" อูเดียตั้งท่าขึ้นมา รอบๆตัวของเขาเปล่งแสงสีส้ม เดรเว่นที่เห็นแบบนั้นแม้จะตื่นตระหนก แต่เขาก็ยังไม่รอช้าที่จะจามขวานหมุนของเขาลงไปหมายจะตัวหัวของอูเดียซะ แต่ทว่าอูเดียสามารถใช้มือเปล่ารับขวานนั้นไว้

    "มุขเดิมๆมันไม่เคยได้ผลหรอก น็อคซัส" อูเดียจับดาบของเดรเว่นไว้แน่น จนเขาไม่สามารถดึงมันกลับออกมาจากมือของอูเดียได้เลย "จงออกมา! สแตนของข้า!" แสงสีส้มแปรงเปลี่ยนเป็นรูปร่างของเสือโคร่งคล้ายมนุษย์ร่างกำยำ ชูกำปั้นของมันขึ้นมาแล้วระเลงเพลงหมัดเสือโคร่งของมันลงที่หน้าของเดรเว่น

    "อูเดีย!! อูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียอูเดียโอดีเอีย!!!" มันส่งเสียงเรียกชื่อของผู้เป็นเจ้าของสแตน และรัวหมัดของมันไปเรื่อยๆ ก่อนจะปิดด้วยหมัดพลังหมีควาย ซัดเดรเว่นอย่างจังส่งเขาลอยไปบนอากาศแล้ว

    "ลางไม่ดีอีกแล้ว!!" เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ก่อนจะบินหายไป

    [Xayah]

    หลังจากที่ทุกอย่างสงบลง ข้าและราคานก็ออกมาจะที่กำบัง น่าแปลกที่ระหว่างนั้นเขาไม่พูดอะไรเลย สิ่งเดียวที่เขาทำบ่อยๆก็คือหันมาจ้องตาข้าก็เท่านั้น พวกเราออกมาสำรวจสิ่งที่เหลืออยู่ของค่าย ดูเหมือนว่าพวกน็อคซัสจะหนีกันไปได้หมด ไม่มีใครเห็นศพของพวกมันสักตัว แม้จะน่าเสียดายที่สุดท้ายข้าไม่ได้สังหาญใครเลย แต่ว่างานถล่มค่ายครั้งนี้ก็สำเร็จไปได้อย่างเหนือความคาดหมาย อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ ข้าหาไม่เจอแม้แต่ร่างของนายสรรพสัตว์คนนั้นเลย ถ้าไม่เจอศพก็อาจจะแปลว่าเขารอดชีวิตเช่นกัน แม้จะสงสัยว่าเขาคือใคร แต่นั่นก็ไม่ใช้ธุระของข้าในตอนนี้

    ในช่วงเวลานี้ ข้ากับราคานต่างกำลังขนอุปกรณ์เวทย์มนตร์จำนวนหนึ่งที่พอจะขนไปได้อย่างไม่ลำบากเดินทางกลับไปที่แหล่งกบดานอีกครั้ง ส่วนอะไรที่เหลือข้าก็จะบอกให้โอคามิส่งคนมาเก็บกวาดเหมือนเดิมนั่นแหละ

    "แล้ว สรุปก็คือ ต่อจากนี้เราเป็นคู่หูกัน ถูกม่ะ?" หลังจากที่เดินกันมาอย่างเงียบๆสักพัก ราคานก็เป็นคนเริ่มบทสนทนาขึ้นมา

    "ก็คงงั้นมั้ง ถึงเจ้าจะเกือบทำให้พวกเราตาย แต่ข้าคิดว่า.... เจ้ามีประโยชน์อยู่" ข้าตอบกลับไป

    "งั้นถ้าข้าไม่มีประโยชน์ล่ะ?"

    "ก็..... เตรียมตัวกลับเผ่าตัวเองไปได้เลย" ข้าตอบไปตามความจริง...มั้งนะ?

    "อ่าห้ะ งั้นข้าต้องพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์สินะเนี่ย ถึงจะได้อยู่เคียงข้างคนงามอย่างเจ้าน่ะ"

    "นี่คิดจะเกี้ยวพาราสี (แปลง่ายๆว่าจีบ : คนเขียน) ข้าอยู่รึยังไงเนี่ย?" ข้าถามไปเพราะว่าข้าสงสัยมาสักพักแล้วนะจริงๆ

    "ก็เปล่า.. ไม่รู้สิ ข้าอยากเป็นคู่หูของเจ้าเฉยๆอ่ะ" ข้าตอบโดยหันไปทางอื่นแบบน่าสงสัย

    "อ่าห้ะ... ถ้างั้นก็ทำตัวให้มีประโยชน์แล้วข้าจะไม่เฉดหัวเจ้าทิ้ง ข้าสัญญา" ข้าไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไป แต่ก็ตามนั้นแหละ

    "อ่า ข้าจะทำให้ดีที่สุด! เพื่อเจ้าล่ะนะ~" เขาหัวเราะอย่างร่าเริง พวกเราเดินทางต่อไป 

    พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆที่กำลังกวนใจของข้าอยู่ตลอดทาง...

    ไม่ใช่เรื่องนั้น

    ข้าหมายถึง ข้ารู้สึกว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลาจากข้างในป่าลึก และบางครั้งเมื่อข้ามองสวนกลับไป ข้ากลับมองเห็น 'ตัวเอง' กำลังมองย้อนกลับมาแล้วเพียงพริบตา ตัวข้าก็หายไป

    ข้าคงไม่ได้กำลังโดนพิษของอะไรเข้าให้นะ

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    วาสทาย่าสองคนนั้น... น่าสนใจดีแหะ

    .

    .

    .

    {ติดตามตอนต่อไป "กิ่งก่าขี้สงสัย"}

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×