ตอนที่ 8 : SUGAR DADDY : CHAPTER 8
SUGAR DADDY
- CHAPTER 8 -
แม้จะเข้าสู่วันที่สามแล้วหลังจากที่แบมแบมได้กลับมายังบ้านของตัวเอง แต่ความรู้สึกคิดถึงและโหยหานั้นกลับไม่ได้จางลงไปสักนิด ถ้าหากว่าเป็นไปได้แล้วแบมแบมรู้สึกว่าไม่อยากจะกลับไปอยู่ในเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวายกับอามาร์คด้วยซ้ำ แต่นั่นแหละ...เขาเองก็รู้ดีว่ามันเป็นอะไรทีเป็นไปไม่ได้ เขาโตมาที่นี่ ที่ที่เงียบสงบต่างกันกับอีกฝ่ายที่แบมแบมคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเติบโตมาด้วยสังคมที่ห้อมล้อม อามาร์คไม่เห็นด้วยแน่ถ้าเขาจะขออยู่ที่นี่กับป้าเพ่ยหลีและแม่บ้านพ่อบ้านอีกสองสามคนเหมือนอย่างตอนแรก
“ป๊าหยุดก่อนครับ...แบมดูอันนี้ก่อน” ฝ่ามือเล็กเอื้อมไปรั้งคนที่เดินนำหน้าให้ชะลอฝีเท้าลงจากเดิม อามาร์คในชุดเสื้อแขนกุดคว้านข้างกับกางเกงผ้าร่มเหนือเข่าเป็นสไตล์ที่แบมแบมไม่เคยเห็นและไม่คิดว่าจะเห็นมาก่อน ยอมรับเลยว่าตอนที่เห็นอีกฝ่ายครั้งแรกเมื่อเช้าในชุดนี้แบมแบมก็ควานหาคำพูดตัวเองอยู่นานเหมือนกัน…
พอแต่งตัวแบบนี้แล้วถ้าบอกว่าอามาร์คอายุมากกว่าแบมแบมแค่สี่ห้าปีใครๆก็คงเชื่อทั้งนั้น...
“อะไรน่ะ?” คนอายุมากกว่าขมวดคิ้ว ก้มใบหน้าลงไปพิจารณาวัตถุรูปร่างประหลาดกลิ่นฉุนที่วางกองรวมๆกันอยู่บนแผงที่ดูแล้วไม่น่าจะถูกสุขอนามัยมากนัก จากนั้นก็หันไปมองหน้าหลานชายตัวเล็กที่กำลังเลือกเจ้าวัตถุตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
“กะเพราครับ” แบมแบมตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะหยิบผักที่ว่ามาหนึ่งกำมือส่งให้แม่ค้าท่าทางใจดีคิดราคา วันนี้เขาและอามาร์คตัดสินใจจะมาเดินตลาดสดเช้าเพื่อที่จะหาวัตถุดิบไปปรุงอาหารที่รสชาติแปลกใหม่บ้าง ซึ่งอันที่จริงแล้วแบมแบมนัดป้าเพ่ยหลีเอาไว้ว่าให้มาด้วยกันแต่พอเอาเข้าจริงอามาร์คที่บังเอิญตื่นเช้าแล้วเดินออกมาเจอเข้าพอดีจึงอาสามาแทนป้าเพ่ยหลีโดยไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน” หลังจากที่คนอาวุโสกว่าจัดการจ่ายเงินให้แม่ค้าเสร็จก็ออกเดินต่อ แบมแบมคอยหลบผู้คนที่สวนไปมาแล้วยังต้องหอบหิ้วเครื่องเคียงวัตถุดิบเต็มทั้งสองมือจนทำให้ไหล่เล็กถูกชนกระแทกหลายต่อหลายครั้งหากแต่คนตัวเล็กก็ชินเสียแล้วกับวิถีชีวิตแบบนี้ แม้จะเดินอยู่ในตลาดมาเป็นเวลาเกือบชั่วโมงจนใบหน้าหวานชื้นเหงื่อแต่ก็ยังเจือไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
“นายเอากระเป๋าสตางค์ไปถือแล้วกัน” หากแต่ว่าจู่ๆคนที่เดินนำหน้ากลับหยุดแล้วหันกลับมาอย่างไม่มีการเตือนล่วงหน้าทำเอาใบหน้าหวานแทบกระแทกกับแผ่นอกกว้าง มาร์คยื่นกระเป๋าสตางค์ใบยาวสีดำขลับมาให้แบมแบมที่เริ่มจะทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ป๊าครับ...คือแบมถือถุงเต็มหมดแล้ว ไม่มีมือว่างเลย...แต่ถ้าอามาร์คไม่กลัวว่ากระเป๋าจะหายก็เอาใส่มาในถุงของแห้งนี้ก็ได้ครับ” แบมแบมพยายามยกสองแขนเล็กๆที่เกร็งจนแทบขึ้นเส้นเลือดให้อีกฝ่ายดู ใบหน้าหวานแสดงความรู้สึกผิดออกมาน้อยๆที่ไม่สามารถช่วยอามาร์คถือกระเป๋าสตางค์ใบยาวนั่นได้ ถ้าหากว่าเขามือว่างอยู่ก็คงจะไม่ปฏิเสธหรอก แต่เท่านี้แบมแบมก็แทบจะแบกไม่ไหวอยู่แล้ว...
“เด็กโง่ ฉันหมายถึงให้นายส่งถุงพวกนั้นมาแล้วเอากระเป๋าสตางค์ไปถืออย่างเดียว” แม้จะถูกว่าเป็นคนโง่แต่แบมแบมกลับไม่มีความรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย กลับกัน ความร้อนบนใบหน้าที่พุ่งขึ้นมาเมื่อเผลอสบนัยน์ตาคมอ่านยากของชายร่างสูงตรงหน้าเด็กน้อยก็ต้องก้มหน้างุด ยอมส่งถุงเนื้อสดจำนวนหนึ่งให้อีกฝ่ายโดยเสสายตาไปทางอื่น
“เอามาทั้งหมดนั่นล่ะ”
“แต่มันหนักนะครับ...แบมว่าแบ่งกันถือดีกว่า” แต่เมื่ออีกฝ่ายจะรับไว้คนเดียวทั้งหมดอาการประหม่าอายในตอนแรกจึงถูกกลบด้วยน้ำเสียงหวานที่เถียงขึ้นมาด้วยความเกรงใจ ก็แบมแบมไม่อยากทำตัวเป็นเด็กเล็กๆที่ดูทำอะไรไม่ได้เลยในสายตาคนอื่นนี่นา
“อย่าโอ้เอ้น่า ฉันอยากกลับบ้านไปอาบน้ำแล้ว...เหนียวตัวชะมัด ทำไมแดดตอนเช้าที่นี่ถึงได้แรงขนาดนี้” แบมแบมเม้มปากแน่นก่อนจะตัดสินใจส่งถุงพลาสติกในมือทั้งหมดไปให้คนที่ออกตัวอาสา ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเขาก็ไม่ค่อยได้เห็นอามาร์คบ่นเรื่องอะไรจุกจิกจนคิดว่าจะไม่มีมุมนั้นเสียอีก พอได้มาเห็นแบบนี้มันก็อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มจนต้องเม้มปากกลั้นไว้ไม่ให้อีกฝ่ายหาว่าเขาเป็นเด็กไม่มีมารยาท
“ขำฉันเหรอ”
“ป...เปล่านะครับ!” แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าแบมแบมจะทำอะไรอามาร์คก็จับสังเกตได้ไปเสียทุกอย่าง เด็กตัวน้อยปฏิเสธเสียงดังจนคนที่เดินผ่านหันมามองด้วยความตกใจ ลูกแกะที่ถูกไล่ต้อนรู้สึกอายเสียจนไม่รู้จะทำยังไงจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงไปยังแผงที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งโดยมีเพียงเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของคนอายุมากกว่าดังไล่หลังไปเท่านั้น
ผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมงทั้งผักและเนื้อสดรวมถึงเครื่องเคียงที่แบมแบมลิสต์ไว้ในสมองตั้งแต่เมื่อคืนก็ถูกซื้อหาจนครบถ้วน แม้จะมีบางอย่างที่ขาดไปบ้างแต่แบมแบมก็หาซื้อสิ่งที่ทดแทนกันได้ไป ทำให้มาร์คได้เห็นว่าเด็กน้อยของเขานั้นไม่ได้เหลาะแหละอย่างที่คิด แบมแบมมีความสามารถในการเลือกซื้ออาหารในแบบที่คนอายุเยอะของเขายังไม่สามารถทำได้ แน่นอนว่าคงเป็นสิ่งที่มาดามมาลินสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กอย่างไม่ต้องสงสัย
“ป๊าเอานี่มั้ยครับ” ระหว่างที่สองอาหลานพากันเดินลัดเลาะออกมาทางด้านหลังตลาดเพื่อกลับไปยังที่พักสายตาของหลานชายตัวน้อยก็ไปพบกับอะไรบางอย่างที่มาร์คไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของแบมแบมได้ เพราะถ้าเป็นเขาแล้วคงจะไม่ชายตามองด้วยซ้ำไป
“ไม่ล่ะ...นายจะกินเหรอ” มาร์คเลิกคิ้วถามแต่คำตอบที่ได้คือการที่หลานชายเปลี่ยนเส้นทางเดินไปยังซุ้มใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีสองสามีภรรยาวัยชราช่วยกันขายไอศกรีมนมวัวสดๆซึ่งเป็นผลผลิตจากครอบครัวของพวกเขา แบมแบมเดินเข้าไปพูดคุยกับคนแปลกหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสายตาของคนอายุมากกว่ามองตามไปอยู่ตลอด
“ขอโทษที่ให้รอนะครับ เราไปกันเถอะ”
หลังจากที่แบมแบมเดินกลับมาแล้วทั้งคู่ก็ออกเดินไปเงียบๆ แบมแบมมีสิ่งให้สนใจคือไอศกรีมถ้วยกลิ่นหอมในมือ กระเป๋าสตางค์ใบยาวราคาแพงของมาร์คถูกแบมแบมหนีบไว้ด้วยช่วงแขนเล็กเพราะสองมือต้องประคับประคองถ้วยไอศกรีมเอาไว้ ลืมไปหมดแล้วว่าก่อนหน้านี้ตัวเองยังเกรงใจอยากช่วยอีกคนถือของที่ซื้อมาจากตลาดมากแค่ไหน
เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำจริงๆ...
“กินคนดียวสบายเลยนะ”
“...” ฝ่ามือเล็กที่กำลังจะส่งช้อนพลาสติกเข้าปากมีอันต้องชะงัก ดวงตากลมฉายแววตระหนกขึ้นมาหน่อยๆก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่เดินเคียงข้างกันมาคล้ายพยายามจะมองให้แน่ชัดว่าคำพูดเมื่อกี้เป็นเพียงคำพูดหยอกเย้าหรือว่าอามาร์คกำลังดุตัวเองอยู่กันแน่
“แบมคิดว่าป๊าคงไม่ชอบกินอะไรแบบนี้ ถ้าป๊าอยากกินเดี๋ยวแบมเดินกลับไปซื้อมาให้ใหม่นะครับ” และเด็กดีก็ยังเป็นเด็กดีอยู่วันยังค่ำ แต่ดูเหมือนว่าแบมแบมจะมองข้ามสิ่งที่ง่ายที่สุดไป...
“จะเดินกลับไปทำไม แดดแรงขนาดนี้แล้ว”
“แล้ว...”
“ตักเอาของนายมานั่นล่ะ แค่อยากจะลองชิมดู...หวงเหรอ” มาร์คปรายตาลงไปยังถ้วยไอศกรีมในมือเด็กชายเป็นการยืนยันคำพูดพอดีกับจังหวะที่ทั้งสองคนหยุดฝีเท้าเพื่อรอข้ามถนนใหญ่กลับไปยังฝั่งที่เป็นหมู่บ้าน ตอนแรกมาร์คน่ะจะเอารถออกมาแต่แบมแบมบอกว่าที่จอดมันหายากดังนั้นก็เลยตัดสินใจเดินเท้าเอาตามที่คนตัวเล็กเสนอ
“ไม่ได้หวงครับ คือ...ถ้าอามาร์คไม่ถือที่แบมกินไปก่อนแล้วก็ชิมได้เลยครับ” แบมแบมยื่นถ้วยไอศกรีมในมือให้คนตัวสูงที่ยืนข้างกันด้วยดวงตาใสซื่อ แก้มแดงๆขึ้นสีระเรื่อจากความร้อนของอากาศยิ่งดูน่ารัก
“ใจดำจริงๆ ฉันถือของให้นายจนเต็มมือแบบนี้จะตักกินเองได้ยังไงล่ะ” มาร์คแกล้งขมวดคิ้วทั้งพลางปรายตาลงมองถุงพลาสติกพะรุงพะรังที่มือทั้งสองข้าง พยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ใต้ความนิ่งเรียบของใบหน้าเมื่อเห็นว่าเด็กตัวเล็กดูเหมือนจะตกใจกับความจริงที่เขาพูดมาด้วยน้ำเสียงเชิงประชดประชัน
“ถ...ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวแบมป้อนให้นะครับป๊า”
นั่นล่ะ...ยังไงซะลูกกวางก็ยังเป็นลูกกวางอยู่วันยังค่ำ
.
.
หลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเปลี่ยนเพดานผืนใหญ่ของโลกให้กลายเป็นสีดำสนิทแล้วดวงไฟภายในบ้านขนาดใหญ่ที่เคยเงียบเหงาของตระกูลต้วนผู้พี่ก็สว่างขึ้นเหมือนอย่างทุกวัน แม้บรรยากาศภายนอกดูเงียบสงบในสายตาของคนที่มองมาหากแต่ว่าภายในตัวบ้านนั้นกลับกำลังอบอวลไปด้วยกลิ่นของบรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นระหว่างคนในครอบครัวอย่างแบมแบมและคุณอายังหนุ่มอย่างมาร์คต้วน
“...” เด็กหนุ่มตัวน้อยในชุดเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงขาสามส่วนยืนช่างใจอยู่หน้าประตูห้องรับประทานอาหารด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูกอยู่ชั่ววินาทีก่อนที่ฝ่ามือจะเอื้อมไปเปิดบานประตูไม้สลักลายสวยงามตรงหน้าออก และสิ่งแรกที่ปะทะเข้ากับสายตาก็คือบรรยากาศในห้องอาหารที่แบมแบมคิดว่ามันดูจะต่างไปจากเดิมอยู่...นิดหน่อย
เชิงเทียนประดับผนังห้องที่ถูกจุดทำให้ทั้งห้องกลายเป็นสีส้มนวล ดูแปลกตาอย่างน่าประหลาด
ไหนจะการจัดโต๊ะรับประทานอาหารที่ดูเป็นทางการกว่าปกตินั่นอีก...
“มานั่งสิ ให้ผู้ใหญ่นั่งรอนานๆไม่ดีนะแบมแบม” และสิ่งต่อมาที่เห็นก็คือร่างสูงใหญ่ของอามาร์คที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวโต๊ะที่กำลังใช้คำพูดเชิงติเตียนให้เขาเลิกยืนเหม่อแล้วไปนั่งตรงเก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของอามาร์คที่อุปกรณ์รับประทานอาหารถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อยเสียที ก็รู้ล่ะว่าวันนี้อามาร์คจะจัดดินเนอร์ให้พิเศษกว่าที่ผ่านมานิดหน่อยโดยเปลี่ยนจากการใช้โต๊ะรับประทานอาหารด้านนอกมาเป็นในห้องอาหารแบบส่วนตัวที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเพราะอีกฝ่ายบ่นว่าเบื่อบรรยากาศซึมเซาในบ้าน แต่ก็ไม่คิดว่าจะพิเศษทั้งบรรยากาศและการจัดโต๊ะแบบนี้นี่...
“ชอบไหม พี่เจย์เคยทำแบบนี้หรือเปล่า” เมื่อแบมแบมทิ้งตัวนั่งคนอายุมากกว่าก็เปิดปากถามพลางจับก้านแก้วไวน์แดงราคาหลายหลักเพราะผ่านการหมักบ่มมานานจนได้รสชาติที่นุ่มลิ้นขึ้นจิบ แต่ทว่าสายตาคมพราวระยับที่อ่านไม่ออกนั้นยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าหวานของหลานชาย
“ไม่บ่อยครับ...ปกติถ้าอยากทานแบบฟูลคอร์สคุณพ่อจะพาไปที่ร้านใหญ่ในเมือง ที่บ้านเราจะทานกันแบบปกติมากกว่า แต่ในห้องนี้ส่วนมากคุณพ่อกับคุณแม่จะไว้ใช้ทานในโอกาสพิเศษน่ะครับเพราะว่ามันเป็นส่วนตัว”
“นี่ไม่ใช่ฟูลคอร์สหรอกนะ ฉันแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศนิดๆหน่อยๆ”
“แบมทราบครับ” แบมแบมส่งยิ้มบางๆให้คุณอาที่อยู่ในชุดสบายๆไม่ต่างกันก่อนี่ดวงตากลมจะเบนไปสนใจอาหารตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่อย่าง หากแต่ว่าแต่ละเมนูนั้นแบมแบมมั่นใจเหลือเกินว่าคงไม่ได้เกิดมาจากฝีมือของแม่บ้านบ้านเขาอย่างแน่นอน และเกือบทั้งหมดบนโต๊ะนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดที่เมื่อก่อนนั้นคุณพ่อจะพาออกไปรับประทานที่ร้านใหญ่ในตัวเมือง
“สงสัยเหรอ? ฉันโทรให้ร้านในเมืองเขาเอามาส่ง...สุ่มเลือกเมนูมาสี่ห้าอย่าง”
มาร์คแกล้งเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะเริ่มขยับมือไปตักเอาเนื้อหมักราดซอสแดง ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูสุดพิเศษของค่ำคืนนี้มาไว้ในจานเปล่าตรงหน้าของหลานชายและตามด้วยของตัวเอง แบมแบมมองตามพลางผงกหัวขอบคุณนิดหน่อยก่อนจะหันกลับมาสนใจอุปกรณ์ของตัวเองก่อนจะต้องขมวดคิ้วให้กับแก้วไวน์แดงที่ตั้งอยู่ด้านซ้ายมือของตน
“ป๊าครับ...คือแบมไม่ดื่ม” แบมแบมจำใจเสียมารยาทเรียกคนที่กำลังเคี้ยวอาหารให้หันมามองแก้วไวน์แดงข้างๆตัวเอง เสียงเล็กอ้อมแอ้มแต่ก็ต้องบอกเพราะมีบทพิสูจน์มาแล้วว่าตัวเองคออ่อนแค่ไหน ตอนนั้นที่ไปดื่มกับยองแจไม่เท่าไหร่ก็เมาจนจำอะไรแทบไม่ได้ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็พอจะรู้ว่าอามาร์คลงโทษเขาด้วยวิธีสุดพิลึกพิลั่น แม้จะเป็นภาพลางๆในความทรงจำแต่แบมแบมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีก
“ดื่มไปเถอะ หัดเอาไว้...ฉันอนุญาตแล้วจะกลัวอะไร” มาร์คพยักพเยิดให้แบมแบมอ่อนตาม และแน่นอนว่าเด็กน้อยแสนดีที่ถูกคนมีอำนาจมากกว่าพูดแบบนั้นก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย มือเล็กยกแก้วไวน์ขึ้นจิบนำก่อนนิดหน่อยก่อนจะวางลง
“อ่า รสชาติดีกว่าที่งานเลี้ยงเยอะเลยครับ”
“หึ แหงล่ะ...อย่าดูถูกรสนิยมฉันเชียวเด็กน้อย”
“ฮ่ะๆ แบมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับ” เด็กน้อยหัวเราะเสียงค่อยก่อนจะละความสนใจจากแก้วไวน์แดงไปยังอาหารระดับภัตราคารที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายอยู่ตรงหน้าแทน
ถึงจะรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง...แต่แบมแบมก็ต้องยอมรับว่ามื้อนี้น่ะ เป็นอาหารมื้อที่พิเศษกว่าที่เคยจริงๆ
.
.
เช้าวันใหม่วนมาถึงอีกครั้ง แบมแบมตื่นขึ้นมาในห้องนอนของตัวเองด้วยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร...ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยล่ะมั้งที่แบมแบมได้ตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเองแล้วยิ้มได้หลังจากวันที่คุณพ่อและคุณแม่ที่รักทั้งสองจากไปโดยไม่ทันให้แบมแบมได้ตั้งตัวหรือเตรียมใจใดๆ มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถลบได้ตลอดชีวิต...แต่มันก็ค่อยๆจางลงจากความเศร้าและโหยหากลายเป็นการระลึกถึง
“ป้าเพ่ย คุณอาไม่อยู่เหรอครับ?” คนตัวเล็กที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนซึ่งเป็นส่วนของห้องนอนตัวเองเอ่ยเสียงดังกว่าปกติเพื่อถามหญิงแม่บ้านที่ดูเหมือนว่าจะกำลังปัดกวาดแจกันราคาสูงลิ่วที่ตั้งประดับอยู่ตรงมุมบันได รอยยิ้มใจดีถูกส่งมาให้ก่อนจะได้รับคำตอบ
“เห็นว่าคุณเขาขับรถออกไปตั้งแต่ช่วงเช้ามืดแล้วล่ะค่ะ สงสัยจะมีธุระสำคัญ...ป้าเองก็ไม่กล้าถามเสียด้วยสิ” ท้ายประโยคทั้งสองคนหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน แบมแบมขำในน้ำเสียงที่ถูกดัดให้แผ่วลงของป้าเพ่ยหลีส่วนคนอายุมากกว่าก็ขำที่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างจากคุณหนูของเธอ นานมากแล้วที่รอยยิ้มแบบนี้ได้หายไปจากใบหน้าน่ารักของเด็กชายที่เธอเฝ้าเลี้ยงดู
“คงจะมีธุระด่วนจริงๆนั่นแหละครับ” เพราะรีบขนาดที่แบมแบมตื่นเช้าขนาดนี้ยังไม่ทันก็น่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนล่ะนะ
“งั้นแบมขอตัวก่อนนะครับ หิวมากเลยเนี่ย”
“เชิญเลยค่ะ มื้อเช้าอยู่บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว” คุณหนูตัวน้อยยิ้มกว้างจนตาแทบปิดส่งให้แม่บ้านอีกครั้ง คราวนี้ทำเอาคนอายุมากกว่าถึงกับมองค้าง รอยยิ้มสดใสของคุณหนูตัวน้อยของเธอที่ทุกคนคิดถึงแบบนั้นมันกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ได้เห็นแบบนี้ก็พอจะรู้แล้วล่ะ ว่าคุณต้วนคนน้องนี่คงร้ายใช่เล่น...
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปยันช่วงบ่ายอ่อนๆแล้วร่างของคนที่หายไปตั้งแต่เช้ามืดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา คนตัวเล็กที่ปกติแล้วเวลานี้คงจะหากิจกรรมที่ตัวเองชอบทำอยู่นั้นกลับไม่สามารถทำอะไรได้ ใบหน้าหวานเกินเด็กผู้ชายทั่วไปดูยุ่งลงนิดหน่อย หนังสือวรรณกรรมฉบับภาษาอังกฤษเล่มกระทัดรัดถูกวางเอาไว้บนชิงช้าตัวยาวข้างๆกันกับเจ้าของ ชิงช้าไม้สีขาวสะอาดเคลื่อนไหวไปมาเชื่องช้าเมื่อคนที่นั่งอยู่บนนั้นออกแรงขยับตัว
“...”
แบมแบมก็แค่กำลังสงสัย...อามาร์คหายไปไหนตั้งแต่เช้าทั้งที่เมื่อคืนนี้อีกฝ่ายบอกเองว่าวันนี้ไม่มีธุระอะไรและคิดว่าจะช่วยแบมแบมรื้อเอาภาพวาดฝีมือของคุณพ่อเจย์ที่ถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดินออกมาช่วยกันทำความสะอาดและเลือกกลับไปด้วยกันสักจำนวนหนึ่งในวันพรุ่งนี้
เห็นทีวันนี้คงจะไม่ได้ทำแล้วล่ะมั้ง...
หากแต่เสียงเครื่องยนต์ของรถที่ดังขึ้นจากรั้วด้านหน้าที่ดังเล็ดลอดเข้ามาจนแบมแบมที่นั่งอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่นักได้ยินก็ทำให้คนตัวเล็กเผลอผุดลุกจากชิงช้าอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้พิจารราให้ดีด้วยซ้ำว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมันไม่ใช่เสียงเครื่องยนต์ราคาแพงของคนที่ตัวเองกำลังรอ สองขาเรียวรีบเดินจ้ำอ้าวลัดเลาะออกไปเพราะคิดว่าถ้าหากเป็นอามาร์คแล้วป่านนี้คงกำลังจะลงมาเปิดประตูอยู่แน่ๆ
“...” สองเท้าน้อยชะงักนิดหน่อยในจังหวะที่สายตามองลอดผ่านซี่รั้วสูงออกไปเห็นว่ารถยนต์สีแดงสดที่จอดอยู่นอกรั้วนั้นไม่ใช่รถของคนที่ตัวเองกำลังเฝ้ารอ แบมแบมไม่มีญาติสนิทที่ไหนอีกแล้ว...ส่วนเพื่อนสนิทอะไรทำนองนั้นแบมแบมก็มีน้อยนิดแถมยังแยกย้ายไปเรียนต่างประเทศและเขาก็ไม่คิดว่าเพื่อนจะมาโดยไม่มีการบอกล่วงหน้าแบบนี้
ดังนั้นคนตัวเล็กจึงยังไม่ผลีผลามเดินออกไป หยุดยืนอำพรางอยู่ใต้เงาไม้เพื่อสังเกตสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปอย่างระแวดระวัง
แกร๊ก!
บุคคลในรถฝั่งข้างคนขับเปิดประตูส่งท่อนขาเรียวลงมาให้เห็นเป็นส่วนแรก แบมแบมแทบกลั้นหายใจด้วยความลุ้นระทึก...รองเท้าส้นสูงสีแดงทำให้ชื่อของคนที่แบมแบมไม่อยากพบเจอมากที่สุดผุดขึ้นมาในจิตใจ ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ไม่ใช่เธอ หรือถ้าใช่ก็ขอให้แบมแบมมีความกล้ามากพอที่จะทำให้เธอได้รู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยได้โตขึ้นจนสามารถรับมือเธอได้แล้ว
“เหมือนจะไม่มีใครอยู่บ้านนะคะหม่าม้า ลองกดกริ่งดีไหมคะ” แบมแบมยอมรับว่าใจหายเมื่อได้เห็นใบหน้าโฉบเฉี่ยวของเด็กสาวที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนดูโตสะพรั่งเกินวัย ลอบกลืนน้ำลายพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองเห็นว่าปลายนิ้วเรียวของเด็กสาวกำลังจะเอื้อมไปกดลงบนกริ่งข้างประตูรั้ว
“เหม่ยหลิง...”
“อ้าว! พี่ชาย...อยู่บ้านหรอกเหรอคะ นึกว่าจะมีแต่พวกคนรับใช้อยู่กันเสียอีก” แบมแบมเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดังก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เพื่อด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง
“พี่กลับมาเยี่ยมบ้าน เหม่ยหลิงมีธุระอะไรงั้นเหรอ?” แบมแบมไม่ยอมเปิดประตูรั้วหากแต่ถามถึงความจำเป็นของอีกฝ่ายโดยไม่คิดที่จะไถ่ถามถึงใครอีกคนที่นั่งอยู่ในรถฝั่งคนขับแม้แต่น้อย สองแขนเรียวของเด็กชายยกขึ้นกอดอกมองอย่างวางมาดหน่อยๆ
“ตัวเหม่ยหลิงน่ะไม่มีหรอกค่ะ แต่หม่าม้าเหม่ยน่ะสิอยากมาดูบ้าน...เอ้ย! หม่าม้าก็แค่อยากมาดูว่าพวกคนรับใช้มันแอบฮุบสมบัติของคุณลุงเจย์ไปบ้างหรือเปล่า หม่าม้าเหม่ยท่านเป็นห่วงน่ะค่ะพี่ชาย” เด็กสาววัยแรกแย้มหากแต่จัดจ้านเกินวัยสิบสามปีของตัวเองอย่างเหม่ยหลิงพูดเสียงดังฟังชัด ปากสีแดงสดตัดกับผมยาวตรงสีดำของเธอขยับไปมาอย่างคล่องแคล่วและฉะฉาน
“ไม่มีใครฮุบสมบัติพี่ทั้งนั้นแหละเหม่ย...” แบมแบมอยากจะบอกว่าให้อีกฝ่ายสบายใจแล้วกลับไปแต่ปากเจ้ากรรมมันดันมีความกล้าไม่มากพอเพราะยังไงเด็กหญิงตรงหน้าก็เคยเล่นเคยเห็นกันมาแต่เด็กแม้ว่าจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อก็ตาม
“นังเหม่ย! ตกลงฉันจะได้เข้าบ้านไหมเนี่ย มัวแต่คุยอะไรกันอยู่นั่น!” ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะได้พูดอะไรต่อหญิงสาวใบหน้าพิมพ์นิยมที่มีริมฝีปากสีสดไม่แพ้กันกับลูกสาวอย่าง ‘เหว่ยฉี’ ก็ชะโงกหน้าออกมาตวาดเสียงดังลั่นไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมตามนิสัย
“พี่ชาย...เปิดประตูให้พวกเราหน่อยสิคะ คุณแม่คงอยากจะพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบพี่ชายสักหน่อย” แม้ว่าจะมีแวบหนึ่งที่แบมแบมเห็นแววตาไม่พอใจจากเด็กสาวและน้ำเสียงที่แกว่งไปแต่กระนั้นเธอก็ยังคงสุภาพกับเขาไม่เปลี่ยน แม้ว่ามันเป็นความสุภาพที่เคลือบไปด้วยยาพิษก็เถอะ...
“คือว่าพี่...” เด็กชายตัวน้อยพยายามทำใจแข็ง หากแต่ว่าริมฝีปากอิ่มยังไม่ทันได้พูดออกมาอย่างใจคิดเสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาใกล้จากทางด้านหน้าประตูก็ทำให้บทสนทนาหยุดชะงักลง แบมแบมชะเง้อคอมองผ่านซี่รั้วจนกระทั่งเห็นแน่ชัดว่ารถสีดำมันวาวคันโตที่จอดซ้อนอยู่ด้านหลังรถสีแดงของหญิงผู้มีศักดิ์เป็นอานั้นคือรถของคนที่เขากำลังเฝ้ารออยู่ก่อนหน้า
“พี่ชายคะ! ตกลงว่ายังไง เมื่อกี้พี่ชายจะพูดอะไร แล้วนั่นรถใครคะ?” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มหยุดพูดไปกลางคันเด็กสาวจึงเร่งเร้าเพราะใจหนึ่งก็เริ่มที่จะหงุดหงิดส่วนอีกใจหนึ่งก็กลัวว่าจะถูกมารดาตะโกนด่าให้อายคนอีกครั้ง ฝ่ามือขาวซีดยื่นมากำซี่รั้วเอาไว้แน่น
“พี่คงเปิดให้ไม่ได้ บอกให้คุณอาเหว่ยฉีถอยรถกลับไปเถอะ รถคุณอาพี่จะเข้าบ้าน” แบมแบมตัดสินใจตัดบท ตอนที่คุณพ่อของเขามีชีวิตอยู่ญาติห่างๆอย่างคุณอาคนนี้ก็ไม่ได้มาสุงสิงกับเขาสักเท่าไหร่ แถมยังคอยพูดจาเหยียดหยามคุณแม่ของเขาในเรื่องฐานะที่ต่างกันอยู่แทบทุกครั้งที่มีโอกาส
แบบนี้น่ะมันน่าต้อนรับให้เข้าบ้านนักหรือไงกัน
“แบมแบม...มีอะไรกัน”
แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายเกินไปเมื่อเจ้าของร่างสูงโปร่งภายใต้เสื้อเชิ๊ตสีเรียบก้าวลงมาจากรถจนกระทั่งปรากฏให้เห็นต่อสายตาเด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งคู่ แบมแบมเม้มปากเพราะยังไม่อยากอธิบายอะไรต่อหน้าคนพวกนี้ ส่วนเด็กสาวดูเหมือนว่าจะมีทีท่าที่ต่างออกไป แววตาเบื่อหน่ายเปลี่ยนเป็นประกายระยับแบบที่ใครก็ดูออกว่าคงจะถูกใจอามาร์คอยู่พอตัว
“ป๊าครับ คือ...แบมขอเวลาเดี๋ยวเดียวนะครับ” เด็กน้อยอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสุภาพหวังจะหันไปขอให้เด็กสาวยอมถอดใจแล้วกลับไปพร้อมกับมารดาผู้น่าชังของเธอ แต่ทว่าเด็กสาวตรงหน้ากลับละความสนใจจากแบมแบมไปแล้วจนหมดสิ้น
“สวัสดีค่ะคุณน้า หนูชื่อเหม่ยหลิง...เป็นหลานสาวของคุณลุงเจย์ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณน้าชื่ออะไร...” เด็กสาววัยแรกแย้มแสดงท่าทางกร้านโลกออกมาต่อหน้าต่อตาคนอายุมากกว่าทั้งหมดอย่างไม่เหนียมอาย จริตเล่นหูเล่นตาแบบคนโตถูกนำมาใช้อย่างคล่องแคล่วจนแบมแบมทำได้แค่ยืนมองภาพตรงหน้านิ่งๆ
“ไอ้มาร์ค! ไอ้เลือดนอกคอก...นั่นแกใช่ไหม!”
“ม้า! อะไรของม้าเนี่ย!” หากแต่ยังไม่ทันที่คนอายุมากกว่าจะได้พูดอะไรเสียงหวีดแหลมก็ดังมาจากด้านหลังของมาร์คและเหม่ยหลิง หญิงวัยกลางคนในชุดเดรสรัดรูปสีดำเดินดุ่มๆเข้ามาหาอามาร์คพลางชี้หน้าเรียกชื่อจิกหัวอย่างคนไร้หัวนอนปลายเท้าไม่กลัวเกรงจนลูกสาวต้องปรี่เข้าไปกั้นกลางห้ามไว้
“หน็อย...ไอ้ปลิงดูดเลือด ยังกล้ามาทำชูคอเป็นคนในตระกูลต้วน...หายหัวไปนานแล้วนี่ ทำไมจู่ๆถึงโผล่หัวมาได้ล่ะ กระหายสมบัติสินะถึงได้มาหลอกล่อเด็กโง่ๆให้หลงเชื่อในตอนที่ไม่มีคนให้ปรึกษา หึ!” แบมแบมเบิกตากว้าง รู้สึกเจ็บปลาบที่หน้าอกตอนที่อีกฝ่ายตราหน้าอามาร์คว่าเป็นสัตว์ปรสิตพรรค์นั้นรวมถึงข้อกล่าวหาที่แสนน่าเกลียดนั่น คนตัวเล็กไม่รอช้ารีบเปิดประตูรั้วออกแล้วพาตัวเองไปยืนอยู่ด้านข้างของชายร่างสูงด้วยใบหน้าที่เริ่มบึ้งตึง...
แบมแบมไม่ชอบ...ไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เอาเสียเลย
“...” แต่อามาร์คก็ยังคงเงียบ เงียบเสียจนแบมแบมเริ่มกลายเป็นคนที่เดาอะไรไม่ถูกเสียเอง ฝ่ามือน้อยๆทำเป็นใจกล้าขยับเข้าไปแตะลงบนฝ่ามือหนาของคนอายุมากกว่า...ถ้อยคำรุนแรงแบบนั้น ถ้าเป็นแบมแบมที่โดนว่าจังๆบ้างคงจะทั้งโกรธทั้งโมโหจนตัวสั่นไปแล้ว
“ถอยไป ฉันจะมาพาหลานฉันไปอยู่ด้วย! ไอ้ขี้ครอกนอกสายเลือดแบบแกไม่เกี่ยวโว้ย มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย ไป!”
“หม่าม้า! ไหนเราตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่ทำแบบนี้ไงม้า อย่าดึงพี่ชายสิ!”
“โอ๊ย คุณอา...ปล่อยผมก่อนครับ” เหตุการณ์เริ่มโกลาหลเมื่ออามาร์คไม่พูดอะไรตอบเหว่ยฉีจึงถือวิสาสะก้าวเข้ามาดึงต้นแขนเล็กๆของเด็กชายวัยสิบห้าให้เดินไปทางตนด้วยแรงที่ไม่น้อย ฝ่ามือน้อยหลุดออกจากการเกาะกุมและนั่นก็ทำให้เด็กสาวที่มองท่าทีของมาร์คอยู่รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจและอันตรายในสายตาที่จ้องมองมารดาของเธอคู่นั้น
แม้จะยังไม่รู้อะไรมาก แต่เธอก็มั่นใจเหลือเกินว่าคนๆนี้ไม่น่าใช่คนที่ต่อกรด้วยได้ง่ายๆ
“ฟ่าน เหว่ยฉี...”
น้ำเสียงแรกถูกเปล่งออกมาเมื่อการยื้อยุดจบลงด้วยการที่แบมแบมถูกคุณอาหญิงวัยกลางคนตรึงต้นแขนเอาไว้ให้ยืนอยู่ข้างเธอแม้ว่าผู้เป็นลูกสาวจะพยายามบอกให้มารดาของตัวเองปล่อยอีกฝ่ายคืนไปให้ชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้ามากแค่ไหนก็ตาม
“...”
“ถ้าเธอยังไม่อยากให้ครอบครัวจอมปลอมของเธอต้องพังลงเพราะความลับที่เธอไปเป็นเมียน้อยเจ้าสัวเฉินล่ะก็...ส่งเด็กคนนั้นคืนมาให้ฉันแล้วรีบพาลูกสาวเธอกลับไปซะ”
“ม ม้า!...เขารู้ได้ยังไง”
“จิ๊! ไอ้บ้า! ส่วนแก...หุบปากไปเลยนะนังเหม่ย!!”
“หึ...”
ก็บอกแล้วว่าคุณต้วนคนน้องน่ะ...ร้ายใช่เล่นเลยล่ะ
TALK!
นี่เราลงให้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะพิมพ์นานมากด้วย พวกนายก็อย่าใจร้ายกับเรานะ ใจๆกัน เคปะ?
555555555555555555555555
สำหรับตอนนี้ก็ช่วงแรกอามาร์คพยายามบิ้วเด็กสุดอะ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย ส่วนน้องแบมนั้น...ก็ตามเขาทันบ้างไม่ทันบ้างเหมือนเดิม (แต่ส่วนใหญ่จะตามไม่ทัน)
ส่วนชะนีชื่อจีนอ่านยากลิ้นพันกันสองคนนั้นคือใคร? เขาคือญาติห่างๆของคุณพ่อเจย์นั่นเองค่ะ มาราวีเพื่อสร้างสีสัน แต่จะเป็นต้นเหตุของดราม่าหรืออะไรมั้ยนั้น คงต้องเป็นเรื่องของอนาคต หิหิ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ โหวต เฟบ แท็กเลยนะคะ เราดีใจจริงๆ
เจอกันตอนหน้าค่ะ ♥
#FICSDMB
TWITTER : @SINCE9397
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่ป๊าก็หลอกเด็กจริงๆนั่นแหละ หลอกให้เด็กนวด หลอกให้ป้อนไอติมงี้ น่าร๊ากกกก