ตอนที่ 7 : SUGAR DADDY : CHAPTER 7
SUGAR DADDY
- CHAPTER 7 -
แสงแดดอ่อนๆยามเช้าที่ส่องกระทบผ่านหน้าต่างบานใหญ่ส่งผลให้คนที่ปกติแล้วมักจะต้องตื่นแต่เช้าตรู่อยู่ตลอดเพราะเรื่องงานที่น่าปวดหัวค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน นับเป็นวันที่หาได้ยากเหลือเกินที่นายใหญ่ตระกูลต้วนจะได้เปิดเปลือกตาอย่างสบายๆในสถานที่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความเร่งรีบและความเครียดในการจัดการเรื่องราวต่างๆ
“...” ห้องนอนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ของประดับผนังส่วนมากจะเป็นกรอบรูปไม้ที่ด้านในเป็นภาพครอบครัวของพ่อแม่ลูก ส่วนเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างโซฟาและโต๊ะเขียนหนังสือก็เป็นพวกวัสดุที่ทำมาจากธรรมชาติแต่คงทนและเรียบหรู ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสะดวกสบายอยู่ไม่น้อย...รสนิยมพี่เจย์น่ะดีอยู่เสมอ เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนบิดตัวยืดเส้นสายพรางปรายตาลงมองไปยังเตียงใหญ่ที่ยับย่นแล้วอดไม่ได้ที่ยกยิ้มน้อยๆ หวนนึกถึงเมื่อคืนที่หลานชายตัวเล็กเข้ามานวดให้ถึงในห้อง ตอนแรกเจ้าตัวมีทีท่าประหม่าอยู่ไม่น้อยหากแต่พอมาร์คถามถึงเรื่องของคุณพ่อเจ้าตัวก็เปิดปากเล่าเสียแทบไม่หยุดปาก เล่าสลับหาวหวอดๆจนกระทั่งผล็อยหลับไปบนหมอนใบข้างกันกับเขา...เด็กน้อยซะเหลือเกิน
ใช้เวลาจัดการตัวเองในห้องน้ำอยู่ไม่นานมาร์คก็เปลี่ยนจากชุดนอนผ้าลื่นมาเป็นชุดเสื้อยืดสีคอกลมเข้มไร้ลวดลายกับกางเกงผ้าขายาวธรรมดาเข้ากันกับบรรยากาศที่ผ่อนคลายเงียบสงบ มาร์คเดินออกมาจากห้องนอนพลางสอดสายตามองหาร่างของเด็กชายที่คิดว่าน่าจะอยู่ในบ้านจนกระทั่งลงมาถึงชั้นล่าง
“อ้าว! คุณชายตื่นพอดี...มื้อเช้าเสร็จได้สักพักแล้วจะทานเลยไหมคะ?” พบเข้ากับแม่บ้านหญิงวัยกลางคนที่ดูท่าแล้วเพิ่งจะเดินออกมาจากครัว เธอถามความต้องการของมาร์คด้วยรอยยิ้มจริงใจ
“ครับ แล้วแบมแบมอยู่บ้านหรือเปล่า” ชายหนุ่มตอบรับก่อนจะถามในสิ่งที่คาใจ แม่บ้านหญิงยกยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ยเฉลยในให้คุณชายรองของเธอได้เข้าใจ
“คุณหนูหรือคะ...เอาขนมออกไปแจกเด็กๆที่โบสถ์คริสต์ที่หมู่บ้านฝั่งตรงข้ามตั้งแต่เช้าแล้วล่ะค่ะ”
“โบสถ์?” มาร์คขมวดคิ้วเมื่อฟังคำตอบ เด็กนั่นจะเอาขนมไปแจกที่โบสถ์ทำไมกัน...
“ใช่ค่ะคุณชาย แถวนั้นมีเด็กกำพร้าเยอะ อาศัยอยู่กันในโบสถ์นั่นแหละค่ะ...คุณหนูแกขี้สงสารก็เลยเอาอาหารบ้างขนมบ้างไปแบ่งให้เด็กพวกนั้นอยู่บ่อยๆ เมื่อก่อนตอนที่คุณเจย์ท่านยังอยู่ก็สนับสนุนนะคะ คุณหนูก็ยิ่งมีความสุขที่ได้ทำ” พูดจบเพ่ยหลีก็ยกยิ้มบางๆ คิดถึงอดีตที่บ้านนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะทั้งจากคุณเจย์ มาดามมาลินและคุณหนูตัวเล็กของเธอ ต่างกันเหลือเกินกับปัจจุบันนี้
“...” มาร์ครับฟังจนจบก็พยักหน้ารับกลายๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อจัดการกับอาหารมื้อเช้า ในหัวก็คิดวนไปถึงเรื่องที่เพิ่งได้รับฟัง เด็กคนนั้นดูท่าแล้วจะไม่ใช่แค่แกล้งทำตัวอ่อนโยนแต่คงเป็นเพราะถูกปลูกฝังแบบนี้มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย...ซึ่งมาร์คคิดว่ามันก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย แบมแบมอ่อนโยนซึ่งมันก็ดี แต่ขณะเดียวกันคนประเภทนี้ก็มักจะเป็นเหยื่อของพวกกร้านโลกได้ง่ายๆถ้าไม่รู้จักป้องกันตัว
ชักจะเข้าใจขึ้นมาอีกนิดแล้วล่ะว่าทำไมพี่เจย์ถึงได้ห่วงเด็กคนนี้มากมายเหลือเกิน
ช่วงเช้าภายในบ้านหลังใหญ่ขนาดสามชั้นผ่านไปอย่างง่ายๆ มาร์คไม่ได้ออกไปตามแบมแบมเพราะหลังจากฟังที่แม่บ้านประจำเล่าแล้วชายหนุ่มคิดว่าคนตัวเล็กคงจะมีความชำนาญและคุ้นชินอยู่ไม่น้อยถึงได้กล้าออกไปแต่เช้าตรู่แบบนั้น คนที่ไม่คุ้นชินกับสถานที่น่ะเป็นเขาต่างหาก...
“อืม...ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหม”
“ฝากบอกเขาด้วยว่าถ้าฉันกลับไปแล้วจะรีบหาเวลาไปเจอเขาให้เร็วที่สุด” หลังจากที่มาร์คใช้เวลาเกือบค่อนวันไปกับการเดินสำรวจรอบๆบ้าน หยิบจับวัตถุรูปร่างแปลกตาทั้งที่เขารู้จักและไม่รู้จักจนพอใจแล้วชายหนุ่มในชุดสีเรียบก็เดินมาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้สานที่ตั้งเอาไว้มุมห้องโถงกลางบ้านที่ดูไม่น่าจะเข้ากันได้แต่กลับลงตัวอย่างแปลกประหลาด เป็นอีกเรื่องที่เขาเพิ่งได้เข้าใจว่าทำไมพี่ชายคนนี้ถึงได้รักและหวงแหนบ้านหลังนี้อย่างมากมาย
“ขอบใจมากแจ็คสัน” จบประโยคปลายสายก็ตัดไป ฝ่ามือใหญ่ของมาร์คขยับวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะเล็กใกล้ๆกันแล้วปล่อยสายตามองลอดผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยมขนาดกลางที่ถูกเปิดรับลมทำให้เห็นบรรยากาศร่มรื่นด้านนอกคล้ายต้องการจะผ่อนคลาย ลมหายใจถูกพรูออกอย่างเชื่องช้า ยอมรับว่าบรรยากาศมันผ่อนคลายหากแต่คนที่ไม่เคยคุ้นกับการมีเวลาว่างนั้นชักจะเริ่มเบื่อขึ้นมาบ้างเสียแล้ว
แต่เหมือนว่าโชคยังเข้าข้างอยู่ไม่น้อยเพราะเมื่อดวงตาคู่คมตวัดไปมองรอบๆอีกครั้งก็พบเข้ากับวัตถุทรงใหญ่ที่ถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าแพรสีครีมอ่อน จ้องมองอยู่เพียงไม่นานก็ราวกับมีมนต์สะกดให้มาร์คลุกขึ้นแล้วเดินไปยังสิ่งๆนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่าง จากนั้นผ้าแพรสีอ่อนถูกกระชากออกด้วยฝ่ามือใหญ่เพียงข้างเดียวปรากฏให้เห็นเปียโนอัพไรท์สีดำขลับที่ดูแล้วคงจะไม่ได้ถูกใช้งานมานานพอสมควร
ดูเหมือนว่าจะมีอะไรให้เขาทำแก้เบื่อเสียแล้วสิ...
.
.
ร่างเล็กๆของคนที่หายไปตั้งแต่ช่วงเช้าปรากฏขึ้นให้แม่บ้านเก่าแก่ซึ่งกำลังเก็บกวาดเศษใบไม้เห็นในช่วงบ่ายคล้อยของวัน คุณหนูตัวน้อยกลับมาพร้อมใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กแต่รอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนนั้นก็ทำให้เพ่ยหลีคลายความกังวลลงไป เพราะถึงแม้จะเหนื่อยแต่มันก็เป็นการเหนื่อยที่คุณหนูของเธอมีความสุข
“กลับมาเหนื่อยๆอยากทานอะไรหรือเปล่าคะคุณหนู” เธอละทิ้งจากหน้าที่เป็นการชั่วคราว เดินตรงมาหาหนุ่มน้อยของตระกูลต้วนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ่งมองใกล้ๆก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าใบหน้าเล็กๆนั่นนอกจากจะชื้นเหงื่อแล้วยังเป็นปื้นแดงๆคล้ายกับระคายเคืองอยู่หลายจุด
“ไม่ล่ะครับป้าเพ่ย แบมทานพร้อมกับเด็กๆที่โบสถ์มาแล้ว...คุณอาอยู่ในบ้านหรือเปล่าครับ?” ใบหน้าใจดีของแม่บ้านที่ไว้ใจได้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มที่แบมแบมอ่านไม่ออกและดูแปลกไปจากเคย คนตัวเล็กเลิกคิ้วเป็นเชิงถามแต่อีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไรให้แบมแบมเข้าใจมากขึ้นแม้แต่น้อย
“มีอะไรหรือเปล่าครับเนี่ย”
“เชิญคุณหนูเข้าไปดูเองดีกว่าค่ะ ป้าขอตัวไปจัดการกับใบไม้ใบหญ้าต่อนะคะเดี๋ยวลมพัดปลิวอีกจะกวาดกันไม่เสร็จสักที” เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กตั้งท่าจะเค้นคำตอบแม่บ้านอายุมากกว่าก็บอกลาด้วยรอยยิ้มแบบเดิมที่ทำให้แบมแบมยืนอ้าปากค้างมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปด้วยความรู้สึกฉงน
ก็ป้าเพ่ยหลีจะมาทำหน้าตามีเลศนัยให้น่าสงสัยทำไมกัน
“...”
เดินจากลานหน้าบ้านเข้ามาจนถึงส่วนที่เป็นประตูบ้านขนาดสองบานฝ่ามือเล็กที่แตะลงไปเพื่อจะผลักเปิดก็มีอันต้องชะงักกึก ความรู้สึกวูบโหวงในจิตใจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สองขาชะงักค้าง ตากลมกระพริบไล่อาการประหลาดทิ้งไปสองสามครั้งก่อนที่จะค่อยๆขยับใบหูเข้าไปใกล้กับบานประตูไม้ ปิดเปลือกตาลงเพื่อเพ่งสติทั้งหมดไปยังเสียงคุ้นหูที่ดังออกมาจากด้านใน...
“...”
แกร๊ก...
นิ่งฟังอยู่นานจนแน่ใจแบมแบมก็พาตัวเองเข้ามายืนอยู่ด้านในอย่างเงียบเชียบ แต่มันก็ยังคงเงียบไม่พอที่จะทำให้เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่กำลังจรดปลายนิ้วของตัวเองลงไปบนเปียโนตัวใหญ่นั้นไม่รู้ตัว เสียงบรรเลงหยุดลงชั่วขณะพร้อมกับใบหน้าคมคายที่หันกลับมามองพร้อมรอยยิ้มบางๆ แบมแบมสาบานได้ว่ามันเป็นจังหวะที่เหมือนกับ...ภาพซ้อน
อามาร์คในตอนนี้ดูเหมือนกับคุณพ่อเจย์ของเขาแทบไม่มีผิดเพี้ยน
นี่ใช่ไหมสิ่งที่ป้าเพ่ยหลีบอกว่าอยากให้เขาเข้ามาเห็นด้วยตาตัวเอง...
“กลับมาแล้วเหรอ..เล่นด้วยกันไหม”
“...”
แบมแบมไร้ซึ่งคำตอบ หัวสมองที่เคยหนักอึ้งเปลี่ยนเป็นความโล่งว่าง...แม้ไม่มีคำตอบให้ด้วยคำพูดแต่สองขาเล็กกลับก้าวตรงไปยังเจ้าของคำเชิญอย่างไม่เร่งรีบ เท้าเปล่าที่เปื้อนเศษดินย่ำลงไปบนพรมราคาแพงอย่างไม่นึกระวังจนกลายเป็นคราบเล็กๆ อามาร์คขยับกายนิดหน่อยเพื่อเว้นที่ว่างให้ทิ้งตัวลงไปนั่งด้วยกันได้ในที่สุด ไหล่เล็กชนเข้ากับต้นแขนของคุณอาร่างสูงใหญ่เพราะพื้นที่ที่จำกัดแต่กระนั้นใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจางๆไม่ต่างจากเดิม
“เล่นเป็นเหรอ?”
“พอได้ครับ” คนอายุมากกว่าทำท่าจะวางปลายนิ้วลงบนคีย์อีกครั้งแต่ก็หันกลับมาถามด้วยน้ำเสียงที่พอได้ยินกันสองคนเสียก่อน คนตัวเล็กพยักหน้ารับ...เขาเล่นเป็นก็เพราะว่าคุณพ่อของเขาเป็นคนสอนให้ตั้งแต่เด็กๆ เปียโนหลังนี้เปรียบเป็นเสมือนสิ่งของสำคัญที่แบมแบมและคุณพ่อเจย์มีความทรงจำร่วมกันมากที่สุดก็ว่าได้ จึงทำให้หลังจากที่คุณพ่อจากไปแบมแบมก็แทบจะไม่แตะต้องมันและเก็บรักษาอย่างดี
“ฉันอยากลองเล่นเพลงของ ฟิลลิป กลาส สักเพลง แต่เหมือนว่าจะจำตอนเริ่มต้นไม่ค่อยได้แล้ว...” เสียงทุ้มพึมพำพลางพยายามขยับเล็งปลายนิ้วของตัวเองให้ตรงกับคีย์อยู่หลายครั้งคล้ายต้องการปัดฝุ่นความทรงจำเก่าๆ มันนานมากแล้วเหมือนกันที่เขาได้แตะเครื่องดนตรีแบบนี้
“...” แบมแบมไม่พูดอะไรแต่ส่งปลายนิ้วเล็กแตะลงไปบนคีย์ตามจังหวะของโน้ตตัวแรก เสียงทุ้มๆของเปียโนเริ่มดังเป็นทำนองมาจากฝ่ามือทั้งสองข้างของเด็กตัวเล็กที่บรรจงกดลงไปด้วยใบหน้านิ่งเฉย บทเพลงของศิลปินที่มาร์คอยากจะเล่นหากแต่ไม่สามารถเริ่มต้นได้กำลังถูกบรรเลงอย่างคล่องแคล่ว และนั่นก็ทำให้รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าคม มาร์คทอดสายตามองสลับระหว่างใบหน้าของหลานชายที่กำลังมีสมาธิอยู่กับเครื่องดนตรีตรงหน้ากับปลายนิ้วสวยที่เคลื่อนไหวอย่างงดงามคล้ายกำลังถูกใจ
“เล่นเก่งนี่...”
มองนิ่งๆได้สักพักเสียงทุ้มก็ก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็กเสียจนอีกฝ่ายสะดุ้งเหลือบสายตาขึ้นมองหากแต่ปลายนิ้วยังคงเคลื่อนไหว ก่อนจะหลุบลงต่ำอีกครั้งเมื่อเสียงเพลงทำนองเดียวกันดังขึ้นจากคีย์ฝั่งขวาซึ่งเป็นฝั่งของมาร์ค จังหวะทุ้มต่ำและเชื่องช้าดึงดูดความรู้สึกในตอนแรกค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นจังหวะที่เร็วขึ้นกว่าเดิมทีละน้อยและสอดประสานรับกันได้ดีจนแบมแบมเผลอกระตุกลมหายใจผิดจังหวะ
ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน...
ช่วงทำนองจากเครื่องดนตรียังคงไต่ระดับความเร็วและรักษาความไพเราะได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องหากแต่ความผิดปกติกลับเกิดขึ้นกับร่างกายของเด็กชายตัวน้อยแทนในจังหวะที่โน้ตเสียงสูงถูกปลายนิ้วยาวของคนอายุมากกว่ากดบรรเลงสลับไปมาอย่างว่องไวเร้าให้อารมณ์คนฟังทะยานขึ้นสูงตามพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆที่ถูกพรูรดต้นคอขาวในตอนที่อีกฝ่ายหันกลับมามอง...
“...”
ผิดปกติ...แบมแบมรู้สึกว่าตัวเองกำลังผิดปกติเอาเสียมากๆ
คนตัวเล็กแทบจะปิดเปลือกตาลงพร้อมๆกับริมฝีปากที่ขยับเม้มเข้าสลับคลายออกอย่างคนสับสน หากแต่ว่าเด็กชายไม่สามารถหยุดปลายนิ้วของตัวเองที่กำลังบรรเลงบทเพลงสอดประสานกับคนที่นั่งอยู่ข้างกันได้ ปลายเท้าเล็กขยับเข้าชิดกันจนกลายเป็นการเบียด พยายามอดกลั้นความรู้สึกแปลกประหลาดที่พวยพุ่งขึ้นมาจนวูบโหวงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแบบที่ไม่เคยเป็นอย่างสุดความสามารถ
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเลยแม้แต่น้อย...
“แบมแบม...”
กึก!
จังหวะเพลงบรรเลงที่กำลังทะยานขึ้นสูงขาดห้วงลงกลางคันเมื่อจู่ๆฝ่ามือใหญ่ของคนที่มีศักดิ์เป็นอาก็คว้าเอาไหล่เล็กทั้งสองข้างของเด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างกันไว้แน่นโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว เสียงเพลงเงียบไปแล้วเกือบนาทีหากแต่ท่วงทำนองของมันกลับยังคงวนเวียนอยู่ในความรู้สึก ใจดวงน้อยเพิ่มอัตราการเต้นโดยอัตโนมัติ ดวงตาสุกสกาวราวกับลูกกวางตัวน้อยจ้องมองลึกเข้าไปยังดวงตาของคนอายุมากกว่าอย่างไม่ยอมแพ้แม้ว่าจะมีความประหม่าอยู่ไม่น้อย
แบมแบมก็อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มันคืออะไร
“อ...อื้อ!”
โดยไม่ทันคาดคิด...ริมฝีปากของเด็กอวดดีก็ถูกครอบครองด้วยริมฝีปากบางสีอ่อนของคนที่มีศักดิ์เป็นอาอย่างรวดเร็ว ไม่ล่วงล้ำ หากแต่เป็นการประกบริมฝีปากไว้ด้วยกันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆที่รินรดลงบนผิวหน้า...สัมผัสอุ่นชื้นที่ริมฝีปากทำเอาแบมแบมเบิกตาค้างอย่างคนตกใจ น้ำตาหยดแรกพาลไหลลงมากระทบแก้มนิ่มด้วยอารมณ์ที่แสนสับสน
“...”
ค้างไว้อยู่ไม่นานอามาร์คก็ผละออกไปเชื่องช้า ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีการแก้ตัวใดๆ คนแก่กว่าทำเพียงแค่จ้องมายังหลานชายตัวน้อยนิ่งๆคล้ายกับว่าเรื่องทีเกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าตระหนกตกใจสักนิด ปลายนิ้วถูกส่งมาเกลี่ยหยดน้ำใสออกจากแก้มน้อยๆอย่างแผ่วเบาส่งผลให้เสียงในใจของคนถูกกระทำเต้นโครมครามเสียจนน่ากลัว
“ข...ขอตัวก่อนนะครับ” ทว่าจู่ๆเด็กชายตัวเล็กก็ดันตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนเกือบเซหงายหลัง เอ่ยปากละล่ำละลั่กเสียงแผ่ว ไม่กล้าแม้จะสบสายตากับคุณอาที่กำลังมองมาด้วยซ้ำ พูดจบก็รีบพาตัวเองกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังบันไดขนาดใหญ่ด้านหลังโดยมีเพียงสายตาคู่เดิมของคนอายุมากกว่ามองตามไปจนลับสายตา
เด็กน้อย...
.
.
ความวุ่นวายที่ไม่เกิดขึ้นในบ้านหลังใหญ่มานานแล้วได้เกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของอีกวัน รถกระบะต่อเติมด้านหลังเป็นเหมือนคอกขนาดเล็กเคลื่อนเข้ามาด้านในรั้วบ้านของเจย์ต้วนเพื่อนำของบางอย่างที่มาร์คได้พาหลานชายตัวน้อยไปเลือกเอาไว้ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันมาส่ง และคนที่ตื่นเต้นมากที่สุดก็จะเป็นใครไปได้นอกเสียจากแบมแบม
“ขอบคุณมากนะครับคุณลุง นี่ครับค่าขนส่ง” มือเล็กล้วงเอาธนบัตรจำนวนหนึ่งยัดใส่มือชายมีอายุผู้เป็นสามีของคุณป้าร้านดอกไม้ที่แบมแบมมีโอกาสได้ไปอุดหนุนถึงในสวนของหล่อนเมื่อเช้านี้เพราะอามาร์คเกิดอยากปลูกต้นไม้แบบมีดอกเอาไว้ในบ้านหลังนี้ขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ
แต่แบมแบมก็เห็นด้วยนะ ที่นี่มีแต่ต้นไม้ใหญ่...หาดอกไม้เล็กๆมาปลูกบ้างก็ช่วยทำให้บ้านมีชีวิตชีวาได้
“ไม่เป็นไรหรอกหนู ลุงส่งให้ฟรีเพราะแค่ค่าดอกไม้ก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว หนูเก็บไว้เถอะ” ชายชราใจดียื่นเงินกลับไปให้เด็กน้อยผู้เป็นทายาทตระกูลใหญ่ และแน่นอนว่าแบมแบมเองก็ยืนกรานที่จะปฏิเสธ
“รับไปเถอะ ถือเสียว่าเป็นค่าเหนื่อยที่ช่วยยกต้นไม้ลงจากรถก็แล้วกัน” แต่เมื่อเจอเข้ากับเจ้าของน้ำเสียงทุ้มและใบหน้าทรงอำนาจของคนที่เดินมาจากทางด้านหลังคุณหนูตัวเล็กชายชราก็ไม่กล้าที่จะขัดใจนัก ก้มโค้งขอบคุณก่อนจะเก็บเงินแล้วบอกลาคนทั้งสองเพื่อขับรถกลับไป
“ป๊า...” แบมแบมเรียกชื่อคนที่เดินมาเบาๆก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น ความรู้สึกร้อนบนใบหน้าปนกับความกระอักกระอ่วนน้อยๆแสดงออกอย่างชัดเจนโดยที่เจ้าของร่างไม่อาจควบคุมเมื่อความคิดพลันนึกย้อนกลับไปถึงเมื่อวาน ทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายหลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นสักหน่อย ทั้งเมื่อวานตอนค่ำที่โต๊ะอาหาร และเช้าของวันนี้ที่ออกไปร้านดอกไม้ในละแวกบ้านด้วยกัน...แต่ความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นชัดเจนตั้งแต่เมื่อวานกลับไม่ยอมจางหายไปเสียที
เมื่อวานนี้เขาต้องกลับไปเปิดน้ำเย็นๆรดตัวเองอยู่ตั้งนานกว่าจะดับความรู้สึกแปลกๆนั่นได้ แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่อามาร์คไม่ได้ถามหรือพูดถึงอาการของเขาอีกเลยหลังจากตอนนั้น...
“อยากไปช่วยกันเอาต้นไม้ลงดินไหม” มาร์คต้วนในชุดเสื้อยืดสีเทากับกางเกงสามส่วนสบายๆสีเข้มเปิดปากถามหลังจากรถกระบะคันเก่าเคลื่อนไปพ้นสายตา ในมือของชายหนุ่มเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำสวนที่ไปหามาจากโรงเก็บอุปกรณ์ทำสวนและงานช่างเล็กๆที่อยู่ด้านหลังตัวบ้าน
“คือ แบมทำไม่ค่อยเป็นน่ะครับ ไม่ดีกว่า...” เด็กน้อยยอมเงยขึ้นมองพร้อมเอ่ยถ้อยความปฏิเสธ มาร์คไม่คิดต่อความอะไรแต่เลือกที่จะใช้มือข้างที่ว่างจับบังคับต้นแขนของอีกฝ่ายให้เดินตามมาจนกระทั่งถึงบริเวณที่เป็นดินโล่งๆใกล้กันกับโรงเก็บอุปกรณ์ก็พบกับต้นอ่อนของไม้ดอกที่แม่บ้านช่วยกันยกมา ทำให้เด็กน้อยที่ปฏิเสธเขาในทีแรกแสดงท่าทีสนใจออกมาอย่างชัดเจน
เพราะเมื่อวานทั้งวันเด็กคนนี้ก็เอาแต่หลบหน้าเขาจนวันนี้ต้องบังคับให้ออกไปช่วยกันเลือกดอกไม้ตั้งแต่เช้าตรู่ ทำไมมาร์คจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด แต่ที่ไม่อยากพูดออกไปตอนนั้นก็เพราะกลัวว่าถ้ายิ่งจี้จุดเด็กน้อยผู้อ่อนประสบการณ์ก็จะยิ่งประหม่ากลัวไปกันใหญ่
“ป๊ารู้วิธีเอาดอกไม้พวกนี้ลงดินด้วยเหรอครับ” หลังจากเงียบมองดูอีกฝ่ายจับนู่นทำนี่อย่างชำนาญอยู่พักใหญ่จนกระทั่งเกือบเสร็จสมบูรณ์เด็กน้อยขี้สงสัยจึงยอมเปิดปากถามเสียงเบาเพื่อทำลายความเงียบ
“ก็พอรู้ สมัยเรียนมหาลัยถ้ามีเวลาว่างฉันชอบปลูกต้นไม้” แบมแบมพยักหน้าพลางวางมือลงไปบนดินที่ถูกขุดกระจัดกระจายช่วยเกลี่ยไม่ให้ดินถมกันเป็นกองจนดูไม่น่ามอง ตอนนี้ไม้ดอกที่ซื้อมาถูกอามาร์คจัดการนำลงดินเรียบร้อยแล้วโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน นับว่าเป็นอีกด้านของอีกฝ่ายที่แบมแบมไม่เคยได้เห็น...
“...”
“มีอะไรจะพูดหรือเปล่าแบมแบม”
“ไม่มีครับ” แบมแบมตอบกลับทันควันแต่กลับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามใบอ่อนสีเขียวของต้นบีโกเนียน้อยๆที่จะออกดอกบานสะพรั่งในอีกไม่นาน ฟ้าครึ้มๆไร้เมฆด้านบนยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวดูเงียบงันกว่าเคย
“โกหกครั้งที่หนึ่ง นายมีเรื่องอยากจะถามฉันแต่กลัวว่าฉันจะดุเลยตอบปัดแบบคนมักง่ายว่าไม่มีอะไร ใช่ไหม” มาร์คทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นดินอย่างไม่กลัวเปื้อนเป็นเหมือนสัญญาณบอกกลายๆว่าแบมแบมจะเลี่ยงบทสนทนานี้ไม่ได้แล้ว คนถูกถามเม้มปากแน่น...ก็เพราะว่าที่อามาร์คพูดมามันถูกต้องทุกอย่างจนไม่รู้จะพูดอะไรออกไปน่ะสิ
“แต่แบม...ไม่มีอะไรจริงๆครับ” แต่กระนั้นหลานชายคนดีก็ยังคงดื้อแพ่งปากแข็งแม้ว่าจะยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตาหวังให้อีกฝ่ายเชื่อว่าตนเองกล่าวด้วยความสัตย์จริง
“โกหกครั้งที่สอง...ถ้าโกหกอีกครั้งคราวนี้นายจะโดนลงโทษแล้วนะ ว่ายังไง” น้ำเสียงดุแต่แววตากลับพราวระยับเหมือนราชสีห์ที่กำลังเล่นสนุกอยู่กับเหยื่อตัวน้อย แบมแบมเองก็เริ่มลนลานด้วยทั้งความกลัวและความสับสนที่โจมตีเข้าใส่ ใบหน้าหวานสะบัดหนีไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ด้วยความลืมตัว ปากอิ่มๆที่ยื่นออกมาแบบนั้นดูตลกและน่ารักไปในเวลาเดียวกัน และแน่นอนว่าเจ้าตัวน่ะไม่รู้หรอก...
“ไม่ยักรู้นะว่าพี่เจย์สอนให้ลูกชายเป็นคนปากแข็งแบบนี้”
“ป๊าเป็นคนยังไงกันแน่ครับ”
“หืม?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดหน่อยหลังจากที่เสียงหวานพูดสวนขึ้นมาอย่างฉับไวหากแต่เขาก็สามารถรับฟังได้อย่างชัดเจน เด็กน้อยแก้มเริ่มเปลี่ยนสีพยายามทำใจกล้ามองสบตาเขาหวังค้นหาคำตอบ...ถึงมาร์คจะเป็นคนเค้นให้อีกฝ่ายถามอะไรสักอย่างออกมาก่อน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเด็กน้อยจะกล้าถามเขาด้วยคำถามนี้
ก็แสบใช้ได้นี่นา...
“แบม...แบมอยากถามว่า ป๊า...ป๊าเป็นคนยังไงกันแน่ครับ”
“อยากรู้จริงเหรอ?” มาร์คแกล้งถามเย้าพลางก้มตัวลงขยับใบหน้าเข้าไปใกล้กันกับหลานชายตัวน้อย และปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาก็คือการขยับหนี แบมแบมถดตัวถอยหลังหนีนิดหน่อยแต่ก็ยังคงก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าเอาไว้ไม่ให้เขาเห็น จะกดดันตัวเองทำไมก็ไม่รู้...เด็กคนนี้น่าตีจริงๆ
“...”
“ถ้าอยากรู้ นับจากนี้ไปนายก็ตั้งใจค้นหาฉันให้มากกว่านี้สิ...เด็กน้อย”
ป้าบเข้าให้ น้องแบมเจอของจริงแล้วลูก ถถถถถถถ
เอาล่ะ จากนี้พระนางของเราเขาก็จะศึกษา (ดูใจ) กันให้ครบทุกซอกทุกมุมแล้วนะ
โปรดเป็นกำลังใจให้น้องน้อยของเราด้วยค่ะ ใกล้ความจริงเข้าไปทุกที 555555555555
มาคุยกันเรื่องฉากตรงเปียโน ฉากนี้เราได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเก่าเรื่องหนึ่งค่ะ
มันให้ความรู้สึกที่ประหลาดดี เราประทับใจมากก็เลยเอามาดัดแปลงลงไปในเรื่องนิดหน่อย ฮ่าๆ
นี่ก็พยายามให้มันซอฟต์ที่สุดเลยเพราะกลัวถูกแบน อย่าดุเค้าน้า ~
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ติชม เฟบ โหวต แท็กนะคะ เราดีใจมากก ♥
เจอกันตอนหน้าค่ะ
#FICSDMB
TWITTER : @SINCE9397
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มาร์คก็น่าจะชอบแบมแบมอยู่แล้วแต่กลัวหลานตื่นเหรอ? แต่ที่ทำอยู่มันต่างกันตรงไกนฟะ5555 โอ้ย ป๊า แกทำลูกฉันไม่โอเคอะ มีวิธีเข้าหาอีกเป็นร้อยแปดแต่ทำเด็กอายุ15-16มีข้อสงสัยไ้ว่าเป็นคนยังไงนี่มันก็เกินเอาอยู่แล้ว