คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : {OS} Moon's tale
Moon’s tale
(PG-15)
สวัสดีครับ ผมชื่อพยอนแบคฮยอน
วันนี้ผมมีนิทานมาเล่าให้คุณฟังล่ะ : )
กาลครั้งหนึ่ง.. ดวงจันทร์กับท้องฟ้าเป็นเพื่อนรักกัน
"เทาอ่า.."
ผมสะกิดเรียกเพื่อนรักของผมที่นั่งเหม่อเหมือนจะหลับมิหลับแหล่คาหนังสือเรียนที่กางแผ่บนโต๊ะจนมันสะดุ้งตื่น ผมยิ้มแหยๆให้มันจนมันไม่กล้าดุแต่ก็ส่งสายตาเป็นเชิงตำหนิว่ามารบกวนเวลาพักผ่อนที่โคตรจะผิดเวลาของมันทำไม
"หืม อะไรเตี้ย"
"วันนี้มึงเอาไม้ฉากมาป่ะ?"
"ก็เอามา ทำไมอ่ะ?"
"ยืมหน่อยดิ"
ไอ้เทาเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัยที่อยู่ๆผมก็ขอยืมไม้ฉากที่ปกติผมมักจะพกติดกระเป๋ามาด้วยตลอด แต่วันนี้ที่ผมต้องยืมมันก็เพราะผมดันทำไม้ฉากของตัวเองหักไปแล้วโดยไม่ตั้งใจและก็ยังไม่ได้ไปซื้อใหม่เสียที
"มึงจะเอาไปทำไม วันนี้ไม่มีเรียนเขียนแบบซะหน่อย"
"เออน่า อย่าถามเยอะดิ"
ผมตอบปัดไปจนไอ้เทาที่ทำหน้าสงสัยถึงกับยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆก่อนจะก้มหน้าลงหาไม้ฉากในกระเป๋าของมันที่แบนแต๊ดแต๋พอๆกับกระเป๋าของผม พอหาเจอแล้วมันก็เอาไม้ฉากมาเคาะบนหัวผมทีนึงก่อนจะทำหน้าโหดใส่
"เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่บอกเพื่อนเหรอวะ"
"เจ็บนะ! เอามุมฉากมาเคาะทำไมเนี่ย"
"หมั่นไส้"
"หมั่นไส้ไรอีกวะ แม่ง..."
ผมแอบบ่นกับตัวเองเบาๆจนมันที่คงจะได้ยินเพราะนั่งข้างกันถึงกับหลุดหัวเราะจนอาจารย์สุดโหดที่กำลังสอนสูตรคณิตศาสตร์อะไรไม่รู้อยู่หน้าห้องหันมามองด้วยสายตาคาดโทษแว้บนึงก่อนจะหันไปสอนต่อ ส่วนไอ้เทาที่กำลังโดนความง่วงรุมเร้าระลอกสองก็นั่งหลังพิงกำแพงแล้วสัปหงกอีกรอบ ผมที่เห็นสภาพแบบนั้นเลยเลือกที่จะปล่อยให้มันได้หลับให้เต็มอิ่มไปแล้วหันมาจัดการกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำค้างเอาไว้
ผมหลงใหลวิชาการเขียนแบบจนเริ่มเข้าเส้นเลือด ว่างทีไรเป็นไม่ได้ต้องหยิบกระดาษกับดินสอขึ้นมาร่างแบบที่คิดในหัวตอนนั้นๆไว้ ซึ่งคนที่ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้ก็คือไอ้คนที่นั่งหลับอยู่ข้างผมนี่แหละที่ชวนผมให้ลงวิชาเลือกเป็นวิชาเขียนแบบเป็นเพื่อนมัน
ตอนแรกที่เรียนก็รู้สึกว่ายาก ต้องวัดเส้นให้เป๊ะใช้มุมให้ถูกใช้ไม้ให้ถูกมาตราส่วนก็ต้องเป๊ะ แต่เรียนไปเรียนมากลับกลายเป็นว่าผมรู้สึกสนุกจนเหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของผมไปแล้ว ส่วนไอ้เทาที่นึกสนุกในตอนแรกกลับมานั่งบ่นทุกครั้งที่นั่งทำงานส่งว่า 'สนุกจริงแต่แม่งยาก' อะไรประมาณนี้
พอนึกถึงหน้ากับเสียงของไอ้เทาตอนมันนั่งบ่นเวลาทำงานที่อาจารย์สั่งแล้วผมก็อดที่จะแอบยิ้มไม่ได้ ผมวางมือจากแผ่นกระดาษที่ยังออกแบบสิ่งที่ผมคิดไว้ไม่เสร็จก่อนจะหันไปมองทางไอ้เทาที่นั่งหลับอยู่
ไอ้เทาชื่อเต็มๆของมันคือหวงจื่อเทา บ้านมันเป็นคนจีนทั้งบ้านแต่มันดันอินดี้อยากมาใช้ชีวิตในเกาหลีคนเดียว ทางบ้านมันก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเลี้ยงดูกันแบบค่อนข้างจะตามใจพอควร เหตุผลที่บ้านมันตามใจก็เพราะมันเป็นลูกคนเดียวแถมยังเป็นลูกชายด้วย ซึ่งก็ดีที่มันไม่ใช่พวกเสเพลอะไรมากมาย อย่างมากก็แค่ติดเพื่อนอย่างผมแล้วบางทีก็ใช้เงินเปลืองไปบ้างจนโดนผมด่าบ่อยๆก็แค่นั้น
พอเสียงออดดังผมก็ก้มลงเก็บของเข้ากระเป๋าที่ดูไม่เหมือนกระเป๋านักเรียนเท่าไหร่เพราะความแบนของมันก่อนจะหันไปสะกิดไอ้เทาที่นอนปากพะงาบอยู่ วันๆผมก็ไม่ค่อยเอาอะไรมาเรียนนักหรอก ผมกับไอ้เทาเป็นพวกเรียนแบบให้ผ่านหัวแล้วส่งงานสำคัญๆ เวลาสอบก็แค่เอาให้ผ่านก็พอใจแล้วเพราะทางบ้านไม่ซีเรียสกับเกรด
"ตื่นเลยมึง เดี๋ยวไม่ทันเช็คชื่อ"
"ห่าเอ๊ย.. ยังไม่หายง่วงเลย"
ไอ้เทาบ่นไปพลางหาวไปพลางก่อนจะหิ้วซากกระเป๋าของมันแล้วเดินมากอดคอผมแล้วลากกันออกจากห้องเป็นพวกท้ายๆ ระหว่างทางเดินไปเรียนที่ตึกข้างๆไอ้เทาก็หาวออกมาอีกรอบแต่คราวนี้มันเล่นซบหัวลงมากับไหล่ผมตอนผมเผลอจนผมเซไปทางมันวูบนึง ผมเลยฟาดมือลงบนหัวมันโทษฐานเล่นไม่รู้เรื่องจนมันร้องโอดโอย
"ไอ้เตี้ย! ทำร้ายคนง่วงนะมึง"
"เออ แหกขี้ตาเดินขึ้นตึกซะ.. เดี๋ยวคาบต่อไปกูแอบหลับเป็นเพื่อน"
ถ้ามีท้องฟ้าที่ไหนก็จะต้องมีดวงจันทร์ที่นั่น
ผมเดินฟังเสียงไอ้เทาบ่นงึมงำๆเป็นหมีเมาไผ่ตลอดทางที่เราเดินขึ้นห้องเรียนจนเริ่มรู้สึกง่วงตามมัน เพราะงั้นพอผมกับไอ้เทาหย่อนก้นลงนั่งกับเก้าอี้ตัวท้ายห้องที่เราสองคนจองทุกคาบแล้วผมก็โยนกระเป๋ากองไว้ข้างตัวแล้วหย่อนหัวลงนอนฟุบกับโต๊ะทันที และผมคงจะหลับไปแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงไอ้เทาที่กระซิบเรียกก่อน
"เตี้ย"
"งืมม.. อะไร"
"ดูทำเสียงเข้า.. ขยับมาใกล้ๆดิ๊ โต๊ะแม่งโคตรห่าง"
"เออๆ.. เหงาอ่ะดิ๊"
"เปล่า เวลายัยป้าด่ากูกูจะได้มีเพื่อน"
ผมผลักหัวไอ้เทาไปทีนึงเมื่อได้ยินเหตุผลปัญญาอ่อนของมันที่ทำหน้าง่วงยักคิ้วใส่ก่อนจะฟุบหน้าลงนอนกับโต๊ะที่ลากมาจนชิดกับโต๊ะของไอ้เทา ผมได้ยินเสียงมันหัวเราะอยู่พักนึงก่อนจะเงียบไป พอลืมตาขึ้นดูก็พบว่ามันหลับไปแล้วผมเลยขยับหน้าเข้าใกล้มันอีกหน่อยเพื่อจะได้นอนจ้องหน้ามันได้ถนัดๆ
อยากอยู่ใกล้มันอย่างนี้ไปตลอดจัง
นี่คือความรู้สึกของผมในทุกๆครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน
ความรู้สึกที่ผมไม่เคยบอกมัน
ความรู้สึก.. ที่มันไม่เคยรู้เลย
ผมก็แค่แอบรักมัน
พยอนแบคฮยอนก็แค่แอบรักหวงจื่อเทา
"แอบมองกูเหรอไอ้เตี้ย"
เหมือนเสียงทุ้มๆกับสายตาของไอ้เทาที่มองมาจะเป็นตัวเรียกสติของผมให้กลับมาเข้าร่าง ผมแกล้งทำเป็นมองผ่านหน้ามันไปยังนอกหน้าต่างแล้วมองท้องฟ้าไปเรื่อยก่อนจะเผลอร้องโอดโอยออกมาเพราะโดนแรงมือหนักๆของมันตบเข้าที่หน้าผาก และเหมือนว่าเสียงร้องของผมจะดังเกินไปจนเพื่อนกว่าครึ่งห้องรวมถึงอาจารย์ฮโยริหรือยัยป้าที่ผมกับไอ้เทาชอบเรียกต้องหันมามอง
"จื่อเทา แบคฮยอน ... ออกไปยืนหน้าห้องเดี๋ยวนี้!"
แต่ท้องฟ้าไม่เคยรู้เลยว่าที่จริงแล้วดวงจันทร์แอบรักท้องฟ้าอยู่
“เตี้ย”
“หือ?”
“มึงว่าระหว่างดาวกับดวงจันทร์อะไรสวยกว่ากันวะ”
ผมถึงกับทำหน้าหมางงใส่ไอ้เทาที่อยู่ๆก็เกิดมีอารมณ์โรแมนติกอะไรไม่รู้ถึงชวนผมมานอนดูดาวแบบนี้ก่อนจะโดนหน้าผากแข็งๆของไอ้เทาที่โทรชวนให้ผมมานอนค้างห้องมันเพราะมันดันเกิดเหงาเปลี่ยวอะไรไม่รู้ชนเข้าเต็มหน้าผาก ผมฟาดมือลงบนหัวมันเป็นการเอาคืนจนมันร้องโอดโอยออกมาไม่ต่างกับผม หลังจากนั้นผมกับมันก็ก่อสงครามฟาดหมอนกันใต้แสงจันทร์และดวงดาวในคืนฟ้าเปิด
โรแมนติกเกิ๊นนน.. สัด
“พอและ กูเหนื่อย”
“เออ กูก็เริ่มเหนื่อยและ.. ตกลงมึงว่าอะไรสวยกว่าวะ ตอบมาดิ๊”
“อืม.. กูว่าดาวนะ”
“เหรอ กูว่าดวงจันทร์สวยกว่าว่ะ”
ผมหันไปมองไอ้เทาที่นอนมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าอย่างต้องการคำตอบที่อยู่ๆมันก็พูดเพ้ออะไรแบบนี้ออกมาทั้ๆงที่เวลาปกติถ้าผมพูดอะไรแบบนี้บ้างมันจะด่าว่าน้ำเน่า แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมันออกไปเพราะมันเป็นมุมที่หาได้ยากของมันที่ผมเองก็เริ่มชอบขึ้นมาเหมือนกัน
“แต่ยังไงกูก็ชอบดวงอาทิตย์มากกว่า”
“อ้าว ไหงงั้นวะ”
“มึงก็ดูเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้าสิ สว่าง สดใส ดูมีพลัง”
“อือฮึ.. แล้วดวงจันทร์ล่ะ?”
“ดูสว่างก็จริงแต่ก็ทำให้ท้องฟ้าสว่างตามเหมือนดวงอาทิตย์ไม่ได้ บางคืนก็หายไป”
ผมพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับรู้ในสิ่งที่มันบอกก่อนจะชันตัวขึ้นนั่งกอดเข่า ส่วนตาก็จ้องจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าสีมืดแล้วคิดตามที่ไอ้เทาพูดไปด้วย ส่วนไอ้เทาที่เห็นผมลุกขึ้นนั่งก็ยันตัวขึ้นนั่งบ้าง มันวางมือแหมะลงบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆเหมือนเวลาปกติที่มันต้องบอกผมว่า ‘อย่าเพิ่งอินไปล่ะ’ เพียงแต่มันไม่พูดเท่านั้นเอง ผมตีมือมันเบาๆก่อนจะอมยิ้มให้กับความคิดที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันโผล่แว้บมาจากไหน
“ถึงดวงจันทร์มันจะสว่างไม่เท่าดวงอาทิตย์แต่มันก็อยู่กับท้องฟ้าตลอดเวลานะเว้ย”
“เหอะ.. ทำมาเป็นวิชาการนะเตี้ย”
“ก็ความจริงนี่ ดวงจันทร์มันอยู่กับท้องฟ้าตลอดเวลา เพียงแต่ท้องฟ้ามันไม่เคยสังเกตแค่นั้นเอง”
“มึงจะบอกว่าท้องฟ้าตาถั่วว่างั้น?”
“เปล่า ก็ท้องฟ้ามันมองแต่ดวงอาทิตย์นี่หว่า ดวงอาทิตย์เลยสว่างที่สุดเวลาอยู่บนท้องฟ้า”
“อืม.. งั้นตอนนี้กูคงเป็นท้องฟ้ามืดๆที่กำลังตามหาดวงอาทิตย์อยู่ล่ะมั้ง”
ไอ้เทาหัวเราะกับความคิดของเราสองคนที่ชักจะยาวไปไกลจนเป็นเรื่องเป็นราวผิดกับผมที่นั่งนิ่งไป ผมเงยหน้าขึ้นมองมันที่กำลังส่ายหัวเหมือนรับไม่ได้กับความคิดตัวเองก่อนจะวางมือลงบนหัวมันแล้วลูบเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มกวนประสาทให้มัน
แต่ผมว่าที่จริงแล้วมันคือรอยยิ้มที่ปั้นขึ้นเพื่อปกปิดความรู้สึกตัวเองมากกว่า
“มึงอยากเป็นท้องฟ้าก็เป็นไปนะ เดี๋ยวกูจะเป็นดวงจันทร์ให้เอง เด่นกว่ามึงเยอะ”
จนกระทั่ง.. ท้องฟ้าได้เจอกับดวงอาทิตย์
ผมยืนหาวเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วหลังจากที่ไอ้เทาลากผมมายืนดูการประกวดดาว-เดือนคณะบ้าบออะไรเนี่ย ความจริงผมกับมันก็ไม่ได้ชอบดูไอ้การประกวดอะไรแบบนี้สักนิด แต่เพราะเป็นกิจกรรมของคณะที่พี่รหัสไอ้เทาขอร้องแกมบังคับให้มาดูเพราะพี่แกประกวดด้วย ผมกับมันเลยต้องมายืนหน้าง่อยกันบริเวณหน้าเวทีเนี่ยแหละ
"เมื่อไหร่แม่งจะประกวดกันเสร็จซะทีวะ"
"ก็จนกว่ากูกับมึงจะหลับพอดีล่ะมั้ง"
"เออ กูก็ว่างั้นว่ะ"
ผมกับไอ้เทายืนคุยกันได้สักพักก็ต้องอุดหูกันทั้งคู่เพราะอยู่ๆก็มีเสียงกรี๊ดและเสียงผิวปากจากคนในคณะดังลั่น พอหันไปมองบนเวทีก็พบว่าเป็นผู้ชายตัวเล็กพอๆกับผมกำลังเดินมานั่งเก้าอี้กลางเวทีพร้อมกับกีต้าร์โปร่ง หน้าตาของเขาถือว่าน่ารักมากเลย แถมเวลายิ้มยังมีลักยิ้มด้วยอีกต่างหาก ผมที่เห็นแบบนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะสะกิดไอ้เทาให้หันมาคุยกัน
"เออเฮ้ย กูว่าคนนี้น่ารักว่ะ"
"อืม น่ารัก... โคตรน่ารักเลย"
เสียงทุ้มที่ดูเหม่อๆลอยๆของไอ้เทาทำให้ผมต้องหันไปมองหน้ามันอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่พอเห็นหน้ามันที่กำลังยิ้มเหมือนเด็กเจอของเล่นที่ทำหายไปเจอแล้วผมก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมมันถึงทำเสียงแบบนั้น
ดวงอาทิตย์ทั้งสว่างและสดใส
ผมหันกลับไปสนใจบนเวทีต่อเพราะเสียงนุ่มๆของผู้ชายคนนั้นกับเสียงดีดกีต้าร์ที่ดูจะเป็นตัวเกริ่นนำก่อนการเล่นจริงซะมากกว่า ข้างแก้มสองข้างของเขายังคงมีลักยิ้มประดับอยู่อย่างน่ารัก เล่นเอาทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ยืนดูอยู่ถึงกับเพ้อกันไปหลายคนเชียว
รวมถึงไอ้เทาด้วย
"สวัสดีครับ ผมจางอี้ชิง อยู่ปีหนึ่งครับ วันนี้ผมจะมาแสดงความสามารถพิเศษอย่างนึงของผม.. ผมจะมาเล่นกีต้าร์ให้ทุกคนฟังครับ ถ้าชอบก็ช่วยผมร้องเพลงด้วยนะ"
เสียงกีต้าร์ดังขึ้นเป็นจังหวะทำนองเพลงฟังสบายจนคนที่ฟังต้องเคลิ้มตาม ยกเว้นก็แต่ผมที่กำลังยืนมองหน้าไอ้เทาจากด้านข้าง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ยังไงเพราะมันทั้งรู้สึกดีและรู้สึกแย่ไปพร้อมๆกัน
รู้สึกดีที่มันยังคงยืนกอดไหล่ผมอยู่อย่างนี้
แต่ก็รู้สึกแย่ที่มันไม่ได้หันมามองผมเลย
จนท้องฟ้าตกหลุมรักดวงอาทิตย์
"ขอบคุณมากครับ"
ผู้ชายตัวเล็กที่ชื่อจางอี้ชิงโค้งตัวขอบคุณทุกคนที่ช่วยเขาร้องเพลงไปจนจบการแสดง ผมได้แต่ยืนเงียบท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงประกาศเรียกผู้ประกวดคนสุดท้าย จนเมื่อผมรู้สึกถึงแรงเขย่าที่ไหล่ของผมที่มีแขนยาวๆของไอ้เทาวางอยู่ผมถึงได้หันไปมองหน้ามัน
"เตี้ย"
"...หือ?"
"มึงรอตรงนี้แปบนึงได้ป่ะวะ"
"แล้วมึงจะไปไหน?"
"เออน่า แปบนึง"
ผมกำลังจะบอกให้มันพาผมไปด้วยแต่ก็ได้แต่อ้าปากแล้วมองมันเดินฝ่าฝูงคนไปทางด้านหลัง ผมดึงมือตัวเองกลับมาไว้ข้างตัวเหมือนเดิมเพราะมองไม่เห็นมันที่ตอนนี้กลืนไปกับฝูงคนแล้วก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความรู้สึกวูบโหวง
เวลามึงจะไปไหนมึงก็ลากกูไปด้วยตลอดไม่ใช่เหรอ
มึงไม่เคยทิ้งกูให้อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอวะไอ้เทา
"อะไรวะ ให้อยู่คนเดียวแปบเดียวทำหน้าเป็นหมาเหงาเชียวนะมึง"
ผมถึงกับสะดุ้งหลุดจากภวังค์เมื่อรู้สึกถึงแรงหนักที่ไหล่ข้างเดิมอีกครั้ง พอมองไปทางต้นเสียงก็พบว่าเป็นไอ้เทาที่ยืนหน้ายิ้มแป้นน่าหมั่นไส้อยู่ แถมในมือมันยังมีอะไรที่ทำให้ผมแอบใจเต้นอย่างเข้าข้างตัวเองอยู่ด้วย
กุหลาบสีแดง
"ก.. ก็มึงไปไหนมาล่ะวะ ปล่อยกูยืนคนเดียวนี่ไม่กลัวกูหลงว่างั้น?”
"โอ๋ๆ ไอ้เตี้ยลูกพ่อ อย่าร้องนะครับ"
"ไอ้สัด! ...แล้วนี่มึงไปขโมยดอกกุหลาบใครเขามา"
"กูไปซื้อมาเถอะ พูดซะเสีย.."
ไอ้เทาทำหน้าเป็นแพนด้าเซ็งใส่ผมซะจนผมอดขำไม่ได้ พอมันเห็นผมที่หัวเราะคิกคักใส่มันก็เกิดอาการหมั่นไส้แล้วประเคนมะเหงกลงบนหัวผมเต็มที่จนผมต้องร้องโอดโอยออกมา ไอ้เทามันขำท่าทางของผมได้สักพักมันก็ลากแขนผมเดินไปหน้าเวทีโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ในตอนแรกผมก็งงว่ามันไปไหนแต่สุดท้ายผมก็ได้รู้
ผมอยากบอกมันเหลือเกินว่าไอ้ดอกกุหลาบที่มันให้เขาไปน่ะผมก็อยากได้เหมือนกันนะ
แต่พอเห็นมันยิ้มอย่างนั้นผมก็พูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองมันส่งยิ้มให้เขา
ใช่ ผมได้แต่มอง..
ดวงอาทิตย์เองก็รักท้องฟ้าเช่นกัน
"เตี้ย"
"หือ?"
"กูมีข่าวดีมาบอกว่ะ"
ผมเงยหน้าขึ้นจากกระดาษวาดรูปแผ่นใหญ่ที่ผมกำลังร่างภาพตามแบบที่อาจารย์สั่ง ไอ้เทาที่หายไปไหนมาได้ตั้งนานก็ไม่รู้ค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามผมแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดีจนผมอดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ผมก้มหน้าเก็บงานที่ทำแก้เซ็งระหว่างนั่งรอมันแล้วถามไปด้วย
"ยิ้มซะขนาดนั้นเดี๋ยวกูก็นึกว่ามึงถูกหวยหรอก"
"แม่งเด็ดยิ่งกว่าถูกหวยอีก"
"แล้วมึงไปเจออะไรมา? เล่ามาได้และ"
"เออๆ คือกู..... คบกับอี้ชิงแล้วเว้ย! เด็ดป่ะล่ะ ฮ่าๆๆๆ"
ผมชะงักไปนิดนึงก่อนจะพยักหน้าแล้วชูนิ้วโป้งให้มันเหมือนกับสมัยอยู่มอปลายเวลาที่มันแข่งกีฬาชนะ ไอ้เทายิ้มกว้างก่อนจะฟาดมือผมที่เปลี่ยนเป็นคว่ำนิ้วลงแล้วยิ้มกวนประสาทใส่แทน เราสองคนหัวเราะใส่กันเพราะรู้ว่าที่ผมทำไปก็แค่แกล้งมันแค่นั้น
ใช่ แค่แกล้ง
แกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร
ทั้งที่ใจมันแทบหยุดเต้น
"เตี้ย นี่มึงดีใจกับกูขนาดนี้เลยเหรอ"
"อือฮึ ทำไมล่ะ กูดูเหมือนคนเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ?"
"ก็ไม่... แต่มึงร้องไห้"
ไอ้เทามันทำหน้าตกใจใส่ผมแล้วยกมือขึ้นแตะแก้มของผมที่มีร่องรอยเปียกชื้นเล็กน้อย ผมเองยังตกใจกับคำที่มันทักเลย แต่พอเอามือแตะดูก็รู้ว่ามันเป็นน้ำตาที่ไหลมาโดยไม่ตั้งใจแค่หยดเดียวเท่านั้น ผมเลยแกล้งยิ้มกลบเกลื่อนแล้วตอบมันไป
"โห่.. กะจะแกล้งมึงซะหน่อย แต่แม่งออกมาแค่หยดเดียวเหรอวะเนี่ย"
"ไอ้เตี้ยนี่ หยดเดียวกูก็ตกใจนะเฮ้ย"
"เออๆ ขอโทษ ไม่เล่นแล้ว"
"กูก็นึกว่ามึงอิจฉาที่กูได้แฟนเป็นเดือนคณะจนร้องไห้ซะอีก"
"เหอะ มึงคิดผิดและ"
เพราะกูไม่ได้อิจฉามึง
กูอิจฉาเขา
แต่ดวงจันทร์มีสิทธิ์ได้แค่มอง
ผมหันไปเหลือบมองไอ้เทาที่นั่งสัปหงกมาได้สักพักแล้วอย่างเอือมระอากับความดื้อของมัน ทั้งที่แม่งง่วงจะตายชักแต่มันก็ยังคงนั่งฝืนสังขารตัวเองรอผมกับอี้ชิงที่ยังทำงานไม่เสร็จอยู่ ทั้งๆที่ผมก็บอกไปแล้วว่าถ้าเสร็จแล้วจะปลุกแต่มันก็ยังดื้อคอยนั่งคุยเป็นเพื่อนแฟนมันแล้วค่อยหันมาคุยกับผมเป็นพักๆ
“มึงนอนก่อนเถอะ นั่งสัปหงกอยู่ได้”
“นั่นสิ.. เทานอนก่อนเถอะ เดี๋ยวเสร็จแล้วเรากับแบคฮยอนปลุกเอง”
“หาวว.. อืม ก็ได้ เพราะอี้ชิงขอนะเนี่ยเราเลยยอม ฮะๆ”
ไอ้เทาล้มตัวลงนอนกับพื้นข้างตัวอี้ชิงที่กำลังนั่งลงสีงานอยู่โดยไม่สนสายตาของผมที่มองมันเลยสักนิด สาบานได้เลยว่าถ้างานที่ต้องทำคราวนี้มันไม่ต้องจับกลุ่มสามคนผมจะไม่มานั่งมองภาพบาดตาที่เห็นจนชินชาแบบนี้เลย
หวงจื่อเทาเวลาอยู่กับพยอนแบคฮยอนแม่งโคตรดื้อ
แต่พออยู่กับจางอี้ชิงแล้วหวงจื่อเทาก็กลายเป็นคนว่าง่ายไปในทันที
แตกต่างกันชะมัด..
ผมกับอี้ชิงนั่งทำงานท่ามกลางความเงียบไปเรื่อยๆเพราะนิสัยที่ต่างกันพอสมควรของผมกับแฟนเพื่อนอย่างอี้ชิงทำให้คุยกันได้ไม่ลื่นไหลเท่าไหร่แต่ก็มีบ้างที่คอยคุยกันเพื่อแก้ง่วง จนกระทั่งงานเสร็จผมกับอี้ชิงก็ลงมือเก็บข้าวของที่เกลื่อนพื้นห้องคอนโดของไอ้เทา พอผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องมันก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้วผมเลยหันไปเขย่าไอ้ตัวที่นอนขึ้นอืดอยู่บนพื้นห้องเพื่อปลุก แต่ผมก็ต้องชะงักไปเหมือนกับอี้ชิงที่กำลังเก็บของอยู่เพราะอะไรบางอย่างที่ไอ้เทามันละเมอออกมา
“รัก..”
คำที่มันละเมอออกมาทำให้หัวใจของผมพองโต
“รักอี้ชิงนะ”
แล้วก็แตกออกทันที
กี่ครั้งแล้วนะที่ผมต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้
ทำไมคนที่มันรักไม่เป็นผมบ้างนะ
เมื่อไหร่ที่ท้องฟ้ากับดวงอาทิตย์ทะเลาะกันดวงอาทิตย์จะหายไป ทิ้งให้ท้องฟ้าร้องไห้เพียงลำพัง
เสียงเรียกเข้าจากมือถือลูกรักของผมดังขึ้นจนผมต้องขยี้ตื่นในเช้าวันอาทิตย์ที่ไม่มีเรียนแบบนี้ ความจริงผมกะว่าจะนอนยาวๆไปถึงสักเที่ยงแต่ก็คงจะไม่ได้เพราะพอผมปรับสายตามองชื่อของคนที่โทรมารบกวนเวลานอนของผมแล้วผมก็รู้ตัวแล้วว่าคงไม่ได้นอนต่อแน่
“ฮัลโหล โทรมาทำไม.. หาวว ~ ...เช้าๆวะ”
(ยังนอนอยู่อีกเหรอไงไอ้เตี้ย)
“อืม เพราะมึงอ่ะ โทรมาปลุกกูทำไมไม่รู้”
(ไม่ต้องนอนแล้ว เดี๋ยวสิบโมงกูไปรับที่บ้าน)
“จะมาทำไมวะ ไม่อยู่กับแฟนมึงไง๊?”
(เออน่า... ไปอาบน้ำแต่งตัวไปเตี้ย แค่นี้นะ)
ไอ้เทาสั่งอย่างเผด็จการก่อนจะวางสายไปโดยไม่บอกไม่กล่าวจนผมอยากจะกัดมันผ่านทางมือถือซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะเห็นว่าการแยกเขี้ยวใส่มือถือไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินลงมาชั้นล่างรอไอ้เทามารับตามที่มันบอก
“อ้าวแบคฮยอน ทำไมตื่นเช้าจังลูก”
“ไอ้เทามันโทรมาปลุกน่ะครับแม่ บอกจะชวนไปไหนก็ไม่รู้”
“งั้นก็อย่าใช้เงินเปลืองมากล่ะ รู้ไหม?”
“ครับผม!”
ผมรับปากแล้วทำท่าตะเบ๊ะสองนิ้วใส่แม่จนแม่ขำออกมาก่อนจะโดนรีโมททีวีที่พ่อถืออยู่เคาะเข้าเบาๆที่กลางหน้าผาก ผมนั่งคุยกับพ่อแม่ได้สักพักก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่ผมคุ้นเคยดีมาจอดที่หน้าบ้าน ส่วนไอ้เจ้าของรถก็เดินทำตัวเรียบร้อยเข้าบ้านมาสวัสดีพ่อแม่ผมเหมือนทุกครั้งที่มาบ้านผมก่อนจะถูกแม่ดึงจมูกไปทีนึงด้วยความเอ็นดู พอบอกพ่อแม่เรียบร้อยแล้วไอ้เทาก็ลากผมมานั่งห้อยท้ายมอเตอร์ไซค์มัน
“แล้วนี่เราจะไปไหนกันอ่ะ?”
“ไม่รู้ว่ะ ไปเรื่อยๆ”
ไอ้เทาพูดแล้วเร่งความเร็วของมอเตอร์ไซค์ที่ขับอยู่ขึ้นไปอีกจนผมต้องกอดเอวมันแน่น ตอนนี้ใจผมเต้นแรงไปหมด ไม่ใช่เพราะความเขินอายหรืออะไรทั้งนั้นแต่เป็นเพราะความกลัวมากกว่า แต่ในความกลัวนั้นก็มีความรู้สึกปั่นป่วนอยู่เพราะผมรู้ดีว่าเวลาที่ไอ้เทามันเป็นแบบนี้แปลว่ามันกำลังเสียใจอยู่เพียงแต่มันไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง
ไอ้เทามันก็ขับพาผมมาจนถึงคอนโดที่มันใช้ซุกหัวนอนตั้งแต่สมัยมาอยู่เกาหลีใหม่ๆจนมาถึงตอนนี้ที่เราอยู่มหาลัยปีสี่กันแล้ว มันเอามอเตอร์ไซค์เข้าจอดที่ประจำมันก่อนจะเดินจ้ำอ้าวๆขึ้นห้องจนผมแทบจะวิ่งตามไม่ทัน มันเองก็เหมือนจะรู้เลยยอมชะลอฝีเท้าลงจนผมสังเกตเห็นหยดน้ำที่หางตาของมัน
เขาบอกกันว่าฝนคือน้ำตาของท้องฟ้า
ถ้าอย่างนั้น.. ตอนนี้ท้องฟ้าก็คงกำลังร้องไห้สินะ
ดวงจันทร์รับรู้ทุกอย่าง แต่ดวงจันทร์ก็ไม่สามารถทำให้ท้องฟ้ากลับมาสว่างได้เหมือนกับดวงอาทิตย์
ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องก่อนจะดึงแขนไอ้เทาที่มัวแต่เหม่อมองหยดน้ำฝนที่เกาะอยู่บนหน้าต่างให้นั่งลงบ้าง มันยอมนั่งลงแต่โดยดีแต่มันก็ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม ผมเองก็ได้แต่เหลือบมองมันเป็นพักๆแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป แต่อยู่ๆไอ้เทาที่นั่งเหม่ออยู่นานก็ยอมพูดออกมาก่อน
“เขาทิ้งกูไปแล้ว”
“เทาอ่า..”
“เจ็บโคตรว่ะเตี้ย ฮะฮะ..”
ไอ้เทาหัวเราะเหมือนประชดตัวเองแล้วเอามือปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเรื่อยๆ ผมที่เห็นแบบนั้นเลยดึงตัวมันมากอดเพราะหวังจะปลอบให้มันเลิกร้องไห้เสียที แต่มันก็ยังไม่หยุดร้องไห้แถมยังซบหน้าลงกับไหล่ผมเหมือนว่ามันจะช่วยซับน้ำตามันได้บ้าง
ถ้ามันแค่ลองหันมามองผมสักนิดมันก็จะได้รู้
มันจะได้รู้ว่าตอนนี้ผมเองก็กำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน
มันจะได้รู้.. ว่ายังมีคนที่รักมันอยู่ตรงนี้อีกคน
ผมยังคงนั่งที่เดิมทั้งๆที่ฝนหยุดตกไปแล้วเพราะไอ้เทามันดันร้องไห้จนหลับคาไหล่ผมไปแล้ว ผมเลยหันไปเอื้อมหยิบกระดาษวาดรูปว่างๆที่วางอยู่บนโต๊ะมันมานั่งร่างภาพที่คิดในหัวไว้เล่นๆ แต่รูปที่ออกมากลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองไปอีก
ดวงจันทร์บนท้องฟ้า
ที่แต่งแต้มไปด้วยหยดน้ำตาของผมเอง
“ไอ้เหี้ย กูเจ็บกว่ามึงยังไม่บ่นเลย...”
จนถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์คืนดีกับท้องฟ้า.. ท้องฟ้าก็จะกลับมาสว่างเหมือนเดิม
“เทา.. ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”
เสียงนุ่มๆที่ผมยังจำได้ดีดังขึ้นเหนือหัวผมที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานตัวสุดท้ายของเทอมที่ผมคิดว่ามันเป็นงานที่ผมตั้งใจทำที่สุดแล้วตั้งแต่เรียนมา ไอ้เทาที่มันบอกผมว่ามันกำลังพยายามตัดสินใจเลือกแบบจากหนึ่งในสองที่คิดไว้ในหัวถึงกับรีบเงยหน้าขึ้นมองคนที่กลายสภาพเป็นแฟนเก่าของมันไปแล้วก่อนที่มันจะส่งสายตามาขอความเห็นผมว่ามันควรจะทำยังไงดี แต่เพราะผมไม่อยากจะออกความเห็นในเรื่องของมันกับคนที่มันรักผมเลยก้มหน้าก้มตาทำงานต่อแทน
จนกระทั่งผมได้ยินเสียงไอ้เทาลุกขึ้นจากเก้าอี้และเสียงคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผมเดินออกไปด้วยกันนั่นแหละผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมาได้ ผมปล่อยให้ตัวเองนอนฟุบลงไปกับโต๊ะตัวยาวใต้ตึกอย่างหมดแรงเพราะเริ่มคิดอะไรต่อไม่ออก ตอนนี้ในหัวมันมีแต่ความว่างเปล่าเต็มไปหมดตั้งแต่ไอ้เทายอมลุกไปคุยกับอี้ชิง
ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว แต่มันก็ยังคิดถึงเขาอยู่
บางทีคนที่แอบมองมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ
เหนื่อย.. จนมันอยากจะหยุดแล้ว
ผมนอนฟุบอยู่อย่างนั้นจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไอ้เทามันมาปลุกผมด้วยใบหน้าที่มีความสุขต่างจากตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด ข้างตัวมันมีจางอี้ชิงที่ยืนยิ้มในแบบที่ไม่ต่างกันอยู่จนผมเองก็พอจะรู้แล้วว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
แต่ก็ยิ่งแน่ใจยิ่งกว่าเมื่อได้ยินคำตอบจากไอ้เทา
“เตี้ย คือกู.. กูคืนดีกับอี้ชิงแล้วนะ”
แล้วผมจะตอบอะไรไปได้ล่ะ?
“...... อื้อ อย่าทำให้เขาหายไปอีกล่ะ”
ผมแอบรักมันมานานเกินไปแล้ว
นาน.. จนสมควรจะหยุดได้
ท้องฟ้าไม่เคยคิดเลยว่าถ้าดวงจันทร์หายไปแล้วท้องฟ้าจะมืดแค่ไหนในเวลาค่ำคืน
"พ่อครับ แม่ครับ.. ผมได้งานทำแล้วนะ"
พ่อกับแม่มองหน้าผมประมาณว่าไม่อยากจะเชื่อก่อนที่แม่จะดึงตัวผมเข้าไปกอดซะแน่นและพ่อก็ลูบหัวผมไปด้วย ผมสังเกตใบหน้าของพ่อกับแม่ที่ตอนนี้มีรอยยิ้มภาคภูมิใจประดับอยู่ก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไปนั้นดูจะไม่เสียเปล่า
"แล้วได้งานที่ไหนล่ะลูก"
"เอ่อ... แคนาดาครับ"
ถึงแม้ว่าผมต้องไปไกลสักหน่อยก็เถอะ
แม่ถึงกับอุทานออกมาอย่างใจหายเพราะไม่คิดว่าผมจะต้องไปทำงานไกลถึงอีกทวีปขนาดนี้ พ่อเองก็ชะงักมือที่วางบนหัวผมไปก่อนจะจ้องหน้าผมอย่างเป็นกังวล ผมรู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงผมแต่จะให้ทำยังไงได้ การที่คนคนนึงจะเรียนจบมาแล้วมีงานทำเลยมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย
ในเมื่อโอกาสดีๆอย่างนี้มาถึงตัวผมก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อนสิ
และผมก็เชื่อว่าพ่อกับแม่จะเข้าใจ
"แล้วไปเมื่อไหร่"
"สิ้นเดือนนี้ครับพ่อ"
ผมยิ้มเพื่อให้พ่อคลายความกังวลลงเพราะยังคงมีเวลาที่เราสามคนพ่อแม่ลูกจะได้อยู่ใกล้ๆกัน ซึ่งพ่อก็ได้แต่ยิ้มบางๆตามสไตล์ของพ่อแล้วดึงตัวแม่ที่ดูจะใจหายออกจากอ้อมกอดของผมไปกอดปลอบแทน ผมมองภาพนั้นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ที่พ่อกับแม่ยังคงรักและใส่ใจกันมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่แต่งงานกันมา
แต่ผมก็แทบจะหุบยิ้มเมื่อได้ยินคำถามของพ่อ
"แล้วนี่บอกอาเทารึยัง"
"เอ่อ.. ยังเลยครับ"
"อะไรกัน ปกติเห็นรายนั้นรู้เรื่องของลูกคนแรกตลอดไม่ใช่หรือไง"
เป็นความจริงที่ผมยังไม่ได้บอกไอ้เทาเรื่องที่ผมได้งานเป็นสถาปนิกจากบริษัทรับออกแบบและก่อสร้างของคนเกาหลีที่สาขาแคนาดา แต่นั่นมันก็อยู่ในความตั้งใจของผมนั่นแหละที่ไม่อยากบอกมันเท่าไหร่เพราะวันๆมันก็ขลุกอยู่แต่กับแฟนมันที่เพิ่งย้ายไปอยู่ด้วยกันที่ห้องมันหลังจากคืนดีกันแล้วนั่นแหละ
ไม่ค่อยอยากจะเห็นภาพบาดตาเท่าไหร่
แค่นี้มันก็ชินชาจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว
"ไอ้บ้านั่นมันอยู่แต่กับแฟนครับ ปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวค่อยบอกก็ได้"
ผมยิ้มอีกครั้งให้พ่อกับแม่ที่ทำหน้าสงสัยอย่างปิดไม่มิด จะไม่สงสัยก็แปลกเพราะเพื่อนรักของลูกชายที่ปกติจะรู้เรื่องทุกอย่างของผมเป็นคนแรกๆตลอดกลับไม่ได้รู้อะไรเลย ผมเองก็ทำได้แค่บอกปัดไปว่าไม่มีอะไรเพราะไม่ค่อยอยากจะพูดถึงไอ้เพื่อนรักคนนี้เท่าไหร่
แต่เขาว่ากันว่าคนเป็นพ่อแม่ย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
"แบคฮยอน... อะไรที่ค้างคาใจก็จัดการมันซะให้เรียบร้อยก่อนไปล่ะลูก"
ผมเองก็อยากทำนะครับแม่
แต่เรื่องที่ค้างคาใจของผมมันกลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้ว
"ไม่มีหรอกครับแม่ อย่าคิดมากเลย"
เพราะท้องฟ้าเองก็คงจะลืมไปแล้วว่าแม้ดวงจันทร์จะทำให้ท้องฟ้าสว่างเท่ากับดวงอาทิตย์ไม่ได้แต่ในยามค่ำคืนแล้วดวงจันทร์ก็ทำให้ท้องฟ้าสว่างที่สุด
ผมนั่งเหม่อมองข้อความที่ถูกส่งมาจากใครบางคนผ่านทางแอพพลิเคชั่นยอดฮิตที่เรียกว่าไลน์ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ตอบไปว่าทำงานอยู่แล้ววางมือถือลง ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้ยุ่งหรือมีงานด่วนถึงขนาดตอบไม่ได้เลยขนาดนั้น แต่ที่ผมไม่อยากตอบเป็นเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรไปกับไอ้ข้อความสั้นๆที่ทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้อย่างนั้น
'คิดถึงมึง'
ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนยังอยู่เกาหลีผมคงจะเขินอายหรือดีใจหรือตื่นเต้นอะไรสักอย่างไปแล้ว แต่พอเวลามันผ่านไปได้เกือบห้าปีแบบนี้ผมก็ไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะผมมีใครแล้วหรือไม่รู้สึกอะไรกับมันแล้วหรอก
แต่เพราะผมทิ้งความรู้สึกนั้นไปตั้งแต่มาอยู่แคนาดาแล้วต่างหาก
เกือบห้าปีแล้วที่ผมทำงานเป็นสถาปนิก อาชีพที่ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่สมัยอยู่มอปลาย ในตอนแรกผมเองก็คิดถึงบ้านคิดถึงพ่อแม่จนอยากจะกลับเกาหลีหลายต่อหลายครั้งแต่พอนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่เกาหลีผมก็ไม่อยากจะกลับไปนัก ผมเลยได้กลับบ้านแค่ปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น
นึกถึงเกาหลีก็นึกถึงพ่อแม่.. โทรหาแม่ดีกว่า
"ฮัลโหล.. แม่เหรอครับ คิดถึงแม่จัง"
(อ้าวแบคฮยอน! เป็นยังไงบ้างลูก ตอนนี้ที่นู่นหนาวไหม? แม่คิดถึงลูกจัง)
"ผมสบายดีครับ ที่นี่อากาศกำลังดีเลย"
(ดูแลตัวเองด้วยนะลูก)
"ครับ แม่ด้วยนะ ฝากบอกพ่อด้วยนะครับว่าคิดถึง"
(จ้ะ พ่อเขาก็คิดถึงลูกนะ เมื่อวานเพิ่งบ่นหาไป)
พอนึกถึงหน้าพ่อที่ปกติไม่ค่อยแสดงท่าทางเป็นห่วงอะไรผมเท่าแม่กำลังนั่งบ่นหาผมแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ คงเป็นเพราะพ่อเป็นคนแสดงความรู้สึกอะไรไม่เก่งเท่าไหร่เลยทำให้ผมติดนิสัยนั้นมาด้วย ผมเลยกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าพูดความรู้สึกตัวเองออกไปเท่าไหร่
"ครับ ไว้ผมว่างแล้วจะกลับไปหาพ่อกับแม่นะ"
(จ้าๆ แต่ตอนนี้แม่ว่าวางสายได้แล้วมั้ง โทรทางไกลมันแพงนะ)
"ก็ได้ครับแม่... ผมรักแม่นะ"
(อื้ม แม่ก็รักลูกจ้ะ)
ผมกำลังจะยกมือถือที่แนบหูอยู่ออกแล้วตัดสายแต่ก็ได้ยินเสียงอะไรโครมครามดังออกมาจากปลายสายจนต้องรีบถามแม่เพราะกลัวว่าแม่จะเป็นอะไรรึเปล่า แต่คำตอบที่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรถามเลยจริงๆ
"แม่ครับ เสียงอะไรน่ะ เป็นอะไรรึเปล่า!?"
(แม่ไม่เป็นไร พอดีหม้อในครัวมันร่วงน่ะลูก)
"ระวังตัวหน่อยนะครับแม่"
(จ้าๆ แต่แม่ว่าคำนี้บอกกับอาเทาดีกว่ามั้ง เข้าครัวไปแปบเดียวก็ทำหม้อร่วงซะและ)
"ไอ้เทา.. อยู่ที่บ้านเหรอครับ "
(ใช่จ้ะ ตั้งแต่ลูกกลับแคนาดาครั้งล่าสุดเนี่ยอาเทาก็มาคอยอยู่เป็นเพื่อนแม่ตลอดเลยนะ แถมยังถามถึงลูกด้วย... สงสัยเขาจะคิดถึงลูกนะ)
"เหรอครับ.."
(แบคฮยอน... มีอะไรจะฝากแม่บอกเขาไหม?)
"ม.. ไม่ล่ะครับแม่ ผมวางล่ะนะครับ วันหลังผมจะโทรมาอีก"
ผมรีบตัดสายทิ้งทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มๆที่จำได้ดีลอดมาจากโทรศัพท์ น้ำตาที่เคยคิดว่ามันแห้งไปได้ตั้งนานแล้วก็กลับตีตื้นขึ้นมาจนคลอเบ้าจนผมต้องปาดทิ้งก่อนที่มันจะหยดลงมา ยิ่งได้ยินเสียงไอ้เทาผมก็ยิ่งนึกถึงคำที่มันไลน์มาเมื่อครู่จนต้องเปิดดูอีกครั้งนึง
‘คิดถึงมึง’
“มึงแม่ง.....”
ผมตัดสินใจพิมพ์ข้อความนึงตอบกลับไป
ไม่รู้ว่ามันจะเห็นไหม แต่ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆ
‘สัด กูคิดถึงกว่าอีก’
สุดท้ายแล้วแม้ดวงอาทิตย์จะไม่อยู่ ท้องฟ้าก็ยังคงสว่างได้เพราะดวงจันทร์
ผมอ่านรายละเอียดงานที่ลูกค้ารายล่าสุดต้องการก่อนจะต้องกุมขมับอย่างหนักใจเพราะงานชิ้นนี้ลูกค้าที่เป็นคนเกาหลีต้องการให้ออกแบบบ้านให้ที่เกาหลี ไอ้เรื่องที่จะออกแบบนั้นไม่เป็นปัญหาอะไรนัก แต่ปัญหาคือที่ที่ผมต้องไปคราวนี้มันอยู่ใกล้กับคอนโดที่ไอ้เทาพักอยู่มาก มากจนผมอยากจะปฏิเสธถ้าไม่ติดว่าค่าจ้างมันมากจนผมปฏิเสธไม่ลงนั่นแหละ
จะมาปฏิเสธตอนนี้ก็ไม่ได้แล้ว
เพราะตอนนี้ผมถึงที่หมายแล้ว
ผมก้าวลงจากรถแท็กซี่ที่นั่งมาก่อนจะยืนเหม่อมองอาคารที่ผมคุ้นเคยดีตรงหน้า ผมสะบัดหัวไล่ความคิดตัวเองก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังร้านกาแฟที่ลูกค้านัดเอาไว้แทน ระหว่างที่นั่งรอลูกค้าอยู่ผมก็เกิดความคิดขึ้นมาเล่นๆว่าถ้าเกิดคนที่มาว่าจ้างผมเป็นไอ้เทาผมจะทำยังไง แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะมันเองก็จบคณะเดียวกับผม กะอีแค่ออกแบบบ้านแค่นี้มันทำได้สบายๆอยู่แล้ว
“ขอโทษที่ให้รอครับ”
เสียงทุ้มๆที่ผมจำได้ดีดังขึ้นข้างหลังผมที่กำลังนั่งเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนผมถึงกับสะดุ้ง ผมหันขวับไปจ้องหน้าไอ้เทาที่กำลังยืนทำหน้าหล่อใส่ผมอยู่ก่อนจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้เพราะโดนมือมันตบเข้าที่กลางหน้าผาก มันยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนดูจะเป็นการวางตัวที่ดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่าเดิมเยอะ
“มึง.. ให้กูมาทำอะไร”
“คนไม่ได้เจอกันตั้งห้าปีเขาพูดกันแบบนี้เหรอครับคุณพยอน”
“ครับ กับมึงกูก็พูดแบบนี้แหละครับ”
ไอ้เทามันหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้นไปแล้วทำหน้าโหดใส่ก่อนที่มันจะพยักหน้าเป็นเชิงว่ายอมแล้ว มันบอกว่าที่มันเรียกผมมาเนี่ยก็เพรันอยากจะสร้างบ้านสักหลังนึงแต่มันดันคิดไม่ออกว่าจะเอาแบบไหนดี มันเลยติดต่อไปที่บริษัทผมแทนการบอกผมโดยตรงเพื่อเซอร์ไพรส์
“แล้วมึงอยากได้แบบไหน”
“อืม.. ออกแบบยังไงก็ได้ให้ถูกใจมึงอ่ะ กูจะเอาไว้เป็นเรือนหอ”
เรือนหอ
แปลว่ามันจะแต่งงาน..
พอมันพูดจบผมก็แทบจะปาแก้วกาแฟที่เพิ่งสั่งมาใส่หน้ามันไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ติดที่ว่าเสียดาย ผมเลยบอกมันไปว่าผมคงทำให้มันไม่ได้แล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากร้านไปรอเรียกแท็กซี่กลับบ้าน แต่ไอ้เทามันดันวิ่งมาดึงแขนผมเอาไว้ซะแน่นจนผมต้องสะบัดออก
นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นผมร้องไห้ชัดๆ
“ปล่อยกู!”
“ไม่! มึงคิดว่าที่กูให้มึงกลับมาเกาหลีนี่มันเป็นเรื่องเล่นๆเหรอวะ”
วินาทีนั้นสติผมขาดผึง
“แล้วมึงคิดว่าที่กูต้องเจ็บซ้ำซากอย่างนี้มันเป็นเรื่องเล่นๆใช่ไหม!!”
“มึง.. มึงหมายความว่ายังไง?”
“มึงมันโง่ ไอ้ควาย! กูแอบรักมึงมาตั้งนานแต่มึงเรียกกูให้กลับมาออกแบบเรือนหอให้มึงเนี่ยนะ”
“มึงรักกู.. นานแล้ว?”
“เออ! เพราะงั้นกูขอโทษ แต่กูไม่รับงานนี้”
ผมกำลังจะยกมือขึ้นโบกแท็กซี่ที่ขับผ่านมาคันนึงแต่ไอ้เทามันก็ดึงตัวผมกลับไปจนผมแทบหงาย พอผมยืนได้แล้วผมก็ดึงแขนตัวเองออกจากมือมันแต่มันก็ยิ่งล็อกแขนผมแน่นไปอีก แต่เหมือนว่ามันจะหมดความอดทนแล้วหรือยังไงไม่รู้มันเลยตะคอกใส่ผมจนผมสะดุ้ง
“โธ่เว้ย.. ไอ้เตี้ย อยู่นิ่งๆแล้วฟังกู!”
“.......................”
“ยิ่งมึงรักกูก็ยิ่งดี รับงานนี้ไปแล้วออกแบบให้ถูกใจมึงซะ”
“มึงมันใจร้าย..”
“อย่าเพิ่งพูดแทรก!”
ไอ้เทามันตะคอกเสียงดังใส่ผมอีกรอบจนผมต้องเม้มปากแน่นเพราะกลัวมันจะตะคอกใส่อีก มันนึกยังไงไม่รู้อยู่ๆก็เอามือมาเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มผมออกแต่ผมก็พยายามดันมือมันออก มันก็ดูจะไม่สนใจแรงต่อต้านของผมเลยสักนิด ทั้งเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วพูดไปด้วย
“กูเลิกกับอี้ชิงแล้ว”
“ต.. ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่ช่วงมึงไปแรกๆแล้ว”
“เหรอ....”
ผมยอมรับเลยว่าดีใจมาก
แต่ไอ้เทาล่ะ? มันจะเสียใจไหม?
“แล้วมึง.. ร้องไห้อีกรึเปล่า”
“ร้อง”
คำตอบที่ได้ทำให้ผมต้องก้มหน้า
แล้วก็เงยขึ้นมาใหม่เพราะประโยคถัดไป
“แต่กูไม่ได้ร้องเพราะเขา.. กูร้องเพราะมึง”
“พ.. เพราะกู?”
“เออ กูเพิ่งรู้ว่าเวลาไม่มีมึงแม่งโคตรเหงา ความสุขกูหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ อยู่กับอี้ชิงก็ไม่รู้สึกมีความสุขเหมือนเวลาอยู่กับมึง”
“แล้วไหนมึงบอกว่าเขาเป็นดวงอาทิตย์ของมึงไง”
“ก็ใช่”
“แล้วทำไมมึ..”
“แต่ต่อให้มีสักสิบดวงอาทิตย์กูว่าแม่งก็ไม่เหมือนดวงจันทร์หรอก”
นี่มันยังจำได้อยู่อีกเหรอ..?
“เพราะงั้น.. ดวงจันทร์กลับมาอยู่กับท้องฟ้าได้ไหม?”
“.............”
“พยอนแบคฮยอน.. มึงกลับมาอยู่กับหวงจื่อเทาเถอะนะ”
ไอ้เทามันดึงผมเข้าไปกอดแน่นเมื่อเห็นว่าผมพยักหน้ารัวๆพร้อมกับน้ำตาที่มันไหลมาจากไหนก็ไม่รู้ตั้งมากมาย ผมฟาดมือลงบนไหล่มันดังป้าบเพื่อเอาคืนกับการที่มันมาแกล้งผมแบบนี้แต่มันก็ดันส่งยิ้มให้ผมจนก็ด่ามันไม่ลงเหมือนกัน แต่เรื่องที่คาใจก็ทำให้ผมอดที่จะถามมันไม่ได้
“เฮ้ย แล้วเรือนหอบ้าบออะไรของมึงล่ะ ให้กูออกแบบไปให้ควายที่ไหน?”
“ออกแบบไปให้ควายที่ยืนเตี้ยอยู่หน้ากูนี่แหละ”
ผมถึงกับอึ้งกับมุกของมันที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวจนเผลออ้าปากหวอ มันเลยหมั่นไส้หรือยังไงไม่รู้ถึงได้ตบเหม่งผมไปอีกทีจนผมเองก็อดที่จะตบมันคืนไปไม่ได้ แต่ถ้าปล่อยให้มันเล่นได้ฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่ผมแล้ว ผมเลยตอบกลับไปด้วยความจริงบางอย่างที่ผมปิดเป็นความลับมานานแล้ว
“เออ.. งั้นเดี๋ยวกูเอาแบบให้ดู”
“อะไร เพิ่งคุยกันมึงจะทำเสร็จแล้วได้ไง?”
และคราวนี้ก็เป็นมันบ้างที่ถึงกับเงิบ
“กูทำไว้ตั้งแต่สมัยที่กูยืมไม้ฉากมึงนั่นแหละ จะไม่เสร็จได้ไง”
และแล้วนิทานก็จบลงอย่างมีความสุข
ส่วนดวงจันทร์ดวงนี้คงต้องขอตัวไปกล่อมท้องฟ้านอนแล้วล่ะ..
ฝันดีครับ ~
END ♥
.. TALK ..
ตอนแรกว่าจะดราม่าหมดก็สงสารเมนตัวเอง ตอนจบเลยเป็นแบบนี้แล..
อาจจบไม่ดีเท่าไหร่ ขอโทษนะคะ เพราะถ้าแต่งอีกรอบดราม่าล้วนแน่ T_T
ตอนนี้ต้องขอบคุณสภาพอากาศแบบผีเข้าผีออก เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนเลยค่ะ = =
**นิทานในเรื่องเป็นเรื่องที่เราแต่งเองนะคะ ถ้าบังเอิญไปซ้ำกับใครก็ขอโทษด้วย**
เปิดหน้าฟิคมาตกใจมาก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่แต่งแล้วได้ 100% 5555555555555
ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่สนับสนุนเทาแบคขนาดนี้ ปลื้มอกปลื้มใจ๋แท้ T v T
สัญญาว่าจะแต่งเรื่องต่อๆไปเรื่อยเลยค่ะ เพื่อแม่ยกเทาแบคทุกคน #คู่นี้ฟิคหายากเย็นดีแท้
ความคิดเห็น