ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] TAOBAEK .. It's feeling

    ลำดับตอนที่ #2 : {OS} Moon's tale

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 57



     

    Moon’s tale

    (PG-15)

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              สวัสดีครับ ผมชื่อพยอนแบคฮยอน

     

                วันนี้ผมมีนิทานมาเล่าให้คุณฟังล่ะ : )

     

     

                กาลครั้งหนึ่ง.. ดวงจันทร์กับท้องฟ้าเป็นเพื่อนรักกัน

     

     

     

     

     

                "เทาอ่า.."

     

              ผมสะกิดเรียกเพื่อนรักของผมที่นั่งเหม่อเหมือนจะหลับมิหลับแหล่คาหนังสือเรียนที่กางแผ่บนโต๊ะจนมันสะดุ้งตื่น ผมยิ้มแหยๆให้มันจนมันไม่กล้าดุแต่ก็ส่งสายตาเป็นเชิงตำหนิว่ามารบกวนเวลาพักผ่อนที่โคตรจะผิดเวลาของมันทำไม

     

     

    "หืม อะไรเตี้ย"

     

    "วันนี้มึงเอาไม้ฉากมาป่ะ?"

     

    "ก็เอามา ทำไมอ่ะ?"

     

    "ยืมหน่อยดิ"

     

     

    ไอ้เทาเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัยที่อยู่ๆผมก็ขอยืมไม้ฉากที่ปกติผมมักจะพกติดกระเป๋ามาด้วยตลอด แต่วันนี้ที่ผมต้องยืมมันก็เพราะผมดันทำไม้ฉากของตัวเองหักไปแล้วโดยไม่ตั้งใจและก็ยังไม่ได้ไปซื้อใหม่เสียที

     

     

    "มึงจะเอาไปทำไม วันนี้ไม่มีเรียนเขียนแบบซะหน่อย"

     

    "เออน่า อย่าถามเยอะดิ"

     

     

    ผมตอบปัดไปจนไอ้เทาที่ทำหน้าสงสัยถึงกับยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆก่อนจะก้มหน้าลงหาไม้ฉากในกระเป๋าของมันที่แบนแต๊ดแต๋พอๆกับกระเป๋าของผม พอหาเจอแล้วมันก็เอาไม้ฉากมาเคาะบนหัวผมทีนึงก่อนจะทำหน้าโหดใส่

     

     

    "เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่บอกเพื่อนเหรอวะ"

     

    "เจ็บนะ! เอามุมฉากมาเคาะทำไมเนี่ย"

     

    "หมั่นไส้"

     

    "หมั่นไส้ไรอีกวะ แม่ง..."

     

     

    ผมแอบบ่นกับตัวเองเบาๆจนมันที่คงจะได้ยินเพราะนั่งข้างกันถึงกับหลุดหัวเราะจนอาจารย์สุดโหดที่กำลังสอนสูตรคณิตศาสตร์อะไรไม่รู้อยู่หน้าห้องหันมามองด้วยสายตาคาดโทษแว้บนึงก่อนจะหันไปสอนต่อ ส่วนไอ้เทาที่กำลังโดนความง่วงรุมเร้าระลอกสองก็นั่งหลังพิงกำแพงแล้วสัปหงกอีกรอบ ผมที่เห็นสภาพแบบนั้นเลยเลือกที่จะปล่อยให้มันได้หลับให้เต็มอิ่มไปแล้วหันมาจัดการกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำค้างเอาไว้

     

    ผมหลงใหลวิชาการเขียนแบบจนเริ่มเข้าเส้นเลือด ว่างทีไรเป็นไม่ได้ต้องหยิบกระดาษกับดินสอขึ้นมาร่างแบบที่คิดในหัวตอนนั้นๆไว้ ซึ่งคนที่ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้ก็คือไอ้คนที่นั่งหลับอยู่ข้างผมนี่แหละที่ชวนผมให้ลงวิชาเลือกเป็นวิชาเขียนแบบเป็นเพื่อนมัน

     

    ตอนแรกที่เรียนก็รู้สึกว่ายาก ต้องวัดเส้นให้เป๊ะใช้มุมให้ถูกใช้ไม้ให้ถูกมาตราส่วนก็ต้องเป๊ะ แต่เรียนไปเรียนมากลับกลายเป็นว่าผมรู้สึกสนุกจนเหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของผมไปแล้ว ส่วนไอ้เทาที่นึกสนุกในตอนแรกกลับมานั่งบ่นทุกครั้งที่นั่งทำงานส่งว่า 'สนุกจริงแต่แม่งยาก' อะไรประมาณนี้

     

    พอนึกถึงหน้ากับเสียงของไอ้เทาตอนมันนั่งบ่นเวลาทำงานที่อาจารย์สั่งแล้วผมก็อดที่จะแอบยิ้มไม่ได้ ผมวางมือจากแผ่นกระดาษที่ยังออกแบบสิ่งที่ผมคิดไว้ไม่เสร็จก่อนจะหันไปมองทางไอ้เทาที่นั่งหลับอยู่

     

    ไอ้เทาชื่อเต็มๆของมันคือหวงจื่อเทา บ้านมันเป็นคนจีนทั้งบ้านแต่มันดันอินดี้อยากมาใช้ชีวิตในเกาหลีคนเดียว ทางบ้านมันก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเลี้ยงดูกันแบบค่อนข้างจะตามใจพอควร เหตุผลที่บ้านมันตามใจก็เพราะมันเป็นลูกคนเดียวแถมยังเป็นลูกชายด้วย ซึ่งก็ดีที่มันไม่ใช่พวกเสเพลอะไรมากมาย อย่างมากก็แค่ติดเพื่อนอย่างผมแล้วบางทีก็ใช้เงินเปลืองไปบ้างจนโดนผมด่าบ่อยๆก็แค่นั้น

     

    พอเสียงออดดังผมก็ก้มลงเก็บของเข้ากระเป๋าที่ดูไม่เหมือนกระเป๋านักเรียนเท่าไหร่เพราะความแบนของมันก่อนจะหันไปสะกิดไอ้เทาที่นอนปากพะงาบอยู่ วันๆผมก็ไม่ค่อยเอาอะไรมาเรียนนักหรอก ผมกับไอ้เทาเป็นพวกเรียนแบบให้ผ่านหัวแล้วส่งงานสำคัญๆ เวลาสอบก็แค่เอาให้ผ่านก็พอใจแล้วเพราะทางบ้านไม่ซีเรียสกับเกรด

     

     

    "ตื่นเลยมึง เดี๋ยวไม่ทันเช็คชื่อ"

     

    "ห่าเอ๊ย.. ยังไม่หายง่วงเลย"

     

     

    ไอ้เทาบ่นไปพลางหาวไปพลางก่อนจะหิ้วซากกระเป๋าของมันแล้วเดินมากอดคอผมแล้วลากกันออกจากห้องเป็นพวกท้ายๆ ระหว่างทางเดินไปเรียนที่ตึกข้างๆไอ้เทาก็หาวออกมาอีกรอบแต่คราวนี้มันเล่นซบหัวลงมากับไหล่ผมตอนผมเผลอจนผมเซไปทางมันวูบนึง ผมเลยฟาดมือลงบนหัวมันโทษฐานเล่นไม่รู้เรื่องจนมันร้องโอดโอย

     

     

    "ไอ้เตี้ย! ทำร้ายคนง่วงนะมึง"

     

    "เออ แหกขี้ตาเดินขึ้นตึกซะ.. เดี๋ยวคาบต่อไปกูแอบหลับเป็นเพื่อน"

     

     

     

     

     

    ถ้ามีท้องฟ้าที่ไหนก็จะต้องมีดวงจันทร์ที่นั่น

     

     

     

     

     

    ผมเดินฟังเสียงไอ้เทาบ่นงึมงำๆเป็นหมีเมาไผ่ตลอดทางที่เราเดินขึ้นห้องเรียนจนเริ่มรู้สึกง่วงตามมัน เพราะงั้นพอผมกับไอ้เทาหย่อนก้นลงนั่งกับเก้าอี้ตัวท้ายห้องที่เราสองคนจองทุกคาบแล้วผมก็โยนกระเป๋ากองไว้ข้างตัวแล้วหย่อนหัวลงนอนฟุบกับโต๊ะทันที และผมคงจะหลับไปแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงไอ้เทาที่กระซิบเรียกก่อน

     

     

    "เตี้ย"

     

    "งืมม.. อะไร"

     

    "ดูทำเสียงเข้า.. ขยับมาใกล้ๆดิ๊ โต๊ะแม่งโคตรห่าง"

     

    "เออๆ.. เหงาอ่ะดิ๊"

     

    "เปล่า เวลายัยป้าด่ากูกูจะได้มีเพื่อน"

     

     

    ผมผลักหัวไอ้เทาไปทีนึงเมื่อได้ยินเหตุผลปัญญาอ่อนของมันที่ทำหน้าง่วงยักคิ้วใส่ก่อนจะฟุบหน้าลงนอนกับโต๊ะที่ลากมาจนชิดกับโต๊ะของไอ้เทา ผมได้ยินเสียงมันหัวเราะอยู่พักนึงก่อนจะเงียบไป พอลืมตาขึ้นดูก็พบว่ามันหลับไปแล้วผมเลยขยับหน้าเข้าใกล้มันอีกหน่อยเพื่อจะได้นอนจ้องหน้ามันได้ถนัดๆ

     

     

    อยากอยู่ใกล้มันอย่างนี้ไปตลอดจัง

     

     

    นี่คือความรู้สึกของผมในทุกๆครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน

     

    ความรู้สึกที่ผมไม่เคยบอกมัน

     

    ความรู้สึก.. ที่มันไม่เคยรู้เลย

     

     

    ผมก็แค่แอบรักมัน

     

    พยอนแบคฮยอนก็แค่แอบรักหวงจื่อเทา

     

     

    "แอบมองกูเหรอไอ้เตี้ย"

     

     

    เหมือนเสียงทุ้มๆกับสายตาของไอ้เทาที่มองมาจะเป็นตัวเรียกสติของผมให้กลับมาเข้าร่าง ผมแกล้งทำเป็นมองผ่านหน้ามันไปยังนอกหน้าต่างแล้วมองท้องฟ้าไปเรื่อยก่อนจะเผลอร้องโอดโอยออกมาเพราะโดนแรงมือหนักๆของมันตบเข้าที่หน้าผาก และเหมือนว่าเสียงร้องของผมจะดังเกินไปจนเพื่อนกว่าครึ่งห้องรวมถึงอาจารย์ฮโยริหรือยัยป้าที่ผมกับไอ้เทาชอบเรียกต้องหันมามอง

     

     

    "จื่อเทา แบคฮยอน ... ออกไปยืนหน้าห้องเดี๋ยวนี้!"

     

     

     

     

     

    แต่ท้องฟ้าไม่เคยรู้เลยว่าที่จริงแล้วดวงจันทร์แอบรักท้องฟ้าอยู่

     

     

     

     

     

    “เตี้ย”

     

    “หือ?”

     

    “มึงว่าระหว่างดาวกับดวงจันทร์อะไรสวยกว่ากันวะ”

     

     

    ผมถึงกับทำหน้าหมางงใส่ไอ้เทาที่อยู่ๆก็เกิดมีอารมณ์โรแมนติกอะไรไม่รู้ถึงชวนผมมานอนดูดาวแบบนี้ก่อนจะโดนหน้าผากแข็งๆของไอ้เทาที่โทรชวนให้ผมมานอนค้างห้องมันเพราะมันดันเกิดเหงาเปลี่ยวอะไรไม่รู้ชนเข้าเต็มหน้าผาก ผมฟาดมือลงบนหัวมันเป็นการเอาคืนจนมันร้องโอดโอยออกมาไม่ต่างกับผม หลังจากนั้นผมกับมันก็ก่อสงครามฟาดหมอนกันใต้แสงจันทร์และดวงดาวในคืนฟ้าเปิด

     

     

    โรแมนติกเกิ๊นนน.. สัด

     

     

    “พอและ กูเหนื่อย”

     

    “เออ กูก็เริ่มเหนื่อยและ.. ตกลงมึงว่าอะไรสวยกว่าวะ ตอบมาดิ๊”

     

    “อืม.. กูว่าดาวนะ”

     

    “เหรอ กูว่าดวงจันทร์สวยกว่าว่ะ”

     

     

    ผมหันไปมองไอ้เทาที่นอนมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าอย่างต้องการคำตอบที่อยู่ๆมันก็พูดเพ้ออะไรแบบนี้ออกมาทั้ๆงที่เวลาปกติถ้าผมพูดอะไรแบบนี้บ้างมันจะด่าว่าน้ำเน่า แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมันออกไปเพราะมันเป็นมุมที่หาได้ยากของมันที่ผมเองก็เริ่มชอบขึ้นมาเหมือนกัน

     

     

    “แต่ยังไงกูก็ชอบดวงอาทิตย์มากกว่า”

     

    “อ้าว ไหงงั้นวะ”

     

    “มึงก็ดูเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้าสิ สว่าง สดใส ดูมีพลัง”

     

    “อือฮึ.. แล้วดวงจันทร์ล่ะ?”

     

    “ดูสว่างก็จริงแต่ก็ทำให้ท้องฟ้าสว่างตามเหมือนดวงอาทิตย์ไม่ได้ บางคืนก็หายไป”

     

     

    ผมพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับรู้ในสิ่งที่มันบอกก่อนจะชันตัวขึ้นนั่งกอดเข่า ส่วนตาก็จ้องจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าสีมืดแล้วคิดตามที่ไอ้เทาพูดไปด้วย ส่วนไอ้เทาที่เห็นผมลุกขึ้นนั่งก็ยันตัวขึ้นนั่งบ้าง มันวางมือแหมะลงบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆเหมือนเวลาปกติที่มันต้องบอกผมว่าอย่าเพิ่งอินไปล่ะเพียงแต่มันไม่พูดเท่านั้นเอง ผมตีมือมันเบาๆก่อนจะอมยิ้มให้กับความคิดที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันโผล่แว้บมาจากไหน

     

     

    “ถึงดวงจันทร์มันจะสว่างไม่เท่าดวงอาทิตย์แต่มันก็อยู่กับท้องฟ้าตลอดเวลานะเว้ย”

     

                “เหอะ.. ทำมาเป็นวิชาการนะเตี้ย”

     

                “ก็ความจริงนี่ ดวงจันทร์มันอยู่กับท้องฟ้าตลอดเวลา เพียงแต่ท้องฟ้ามันไม่เคยสังเกตแค่นั้นเอง”

     

                “มึงจะบอกว่าท้องฟ้าตาถั่วว่างั้น?”

     

                “เปล่า ก็ท้องฟ้ามันมองแต่ดวงอาทิตย์นี่หว่า ดวงอาทิตย์เลยสว่างที่สุดเวลาอยู่บนท้องฟ้า”

     

                “อืม.. งั้นตอนนี้กูคงเป็นท้องฟ้ามืดๆที่กำลังตามหาดวงอาทิตย์อยู่ล่ะมั้ง”

     

     

                ไอ้เทาหัวเราะกับความคิดของเราสองคนที่ชักจะยาวไปไกลจนเป็นเรื่องเป็นราวผิดกับผมที่นั่งนิ่งไป ผมเงยหน้าขึ้นมองมันที่กำลังส่ายหัวเหมือนรับไม่ได้กับความคิดตัวเองก่อนจะวางมือลงบนหัวมันแล้วลูบเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มกวนประสาทให้มัน

     

     

                แต่ผมว่าที่จริงแล้วมันคือรอยยิ้มที่ปั้นขึ้นเพื่อปกปิดความรู้สึกตัวเองมากกว่า

     

     

                “มึงอยากเป็นท้องฟ้าก็เป็นไปนะ เดี๋ยวกูจะเป็นดวงจันทร์ให้เอง เด่นกว่ามึงเยอะ”

     

     

     

     

     

                จนกระทั่ง.. ท้องฟ้าได้เจอกับดวงอาทิตย์

     

     

     

     

     

              ผมยืนหาวเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วหลังจากที่ไอ้เทาลากผมมายืนดูการประกวดดาว-เดือนคณะบ้าบออะไรเนี่ย ความจริงผมกับมันก็ไม่ได้ชอบดูไอ้การประกวดอะไรแบบนี้สักนิด แต่เพราะเป็นกิจกรรมของคณะที่พี่รหัสไอ้เทาขอร้องแกมบังคับให้มาดูเพราะพี่แกประกวดด้วย ผมกับมันเลยต้องมายืนหน้าง่อยกันบริเวณหน้าเวทีเนี่ยแหละ

     

     

                "เมื่อไหร่แม่งจะประกวดกันเสร็จซะทีวะ"

               

    "ก็จนกว่ากูกับมึงจะหลับพอดีล่ะมั้ง"

     

    "เออ กูก็ว่างั้นว่ะ"

     

     

    ผมกับไอ้เทายืนคุยกันได้สักพักก็ต้องอุดหูกันทั้งคู่เพราะอยู่ๆก็มีเสียงกรี๊ดและเสียงผิวปากจากคนในคณะดังลั่น พอหันไปมองบนเวทีก็พบว่าเป็นผู้ชายตัวเล็กพอๆกับผมกำลังเดินมานั่งเก้าอี้กลางเวทีพร้อมกับกีต้าร์โปร่ง หน้าตาของเขาถือว่าน่ารักมากเลย แถมเวลายิ้มยังมีลักยิ้มด้วยอีกต่างหาก ผมที่เห็นแบบนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะสะกิดไอ้เทาให้หันมาคุยกัน

     

     

    "เออเฮ้ย กูว่าคนนี้น่ารักว่ะ"

     

    "อืม น่ารัก... โคตรน่ารักเลย"

               

     

                เสียงทุ้มที่ดูเหม่อๆลอยๆของไอ้เทาทำให้ผมต้องหันไปมองหน้ามันอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่พอเห็นหน้ามันที่กำลังยิ้มเหมือนเด็กเจอของเล่นที่ทำหายไปเจอแล้วผมก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมมันถึงทำเสียงแบบนั้น

     

     

     

     

     

                ดวงอาทิตย์ทั้งสว่างและสดใส

     

               

     

     

     

                ผมหันกลับไปสนใจบนเวทีต่อเพราะเสียงนุ่มๆของผู้ชายคนนั้นกับเสียงดีดกีต้าร์ที่ดูจะเป็นตัวเกริ่นนำก่อนการเล่นจริงซะมากกว่า ข้างแก้มสองข้างของเขายังคงมีลักยิ้มประดับอยู่อย่างน่ารัก เล่นเอาทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ยืนดูอยู่ถึงกับเพ้อกันไปหลายคนเชียว

     

     

    รวมถึงไอ้เทาด้วย

     

     

    "สวัสดีครับ ผมจางอี้ชิง อยู่ปีหนึ่งครับ วันนี้ผมจะมาแสดงความสามารถพิเศษอย่างนึงของผม.. ผมจะมาเล่นกีต้าร์ให้ทุกคนฟังครับ ถ้าชอบก็ช่วยผมร้องเพลงด้วยนะ"

     

     

    เสียงกีต้าร์ดังขึ้นเป็นจังหวะทำนองเพลงฟังสบายจนคนที่ฟังต้องเคลิ้มตาม ยกเว้นก็แต่ผมที่กำลังยืนมองหน้าไอ้เทาจากด้านข้าง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ยังไงเพราะมันทั้งรู้สึกดีและรู้สึกแย่ไปพร้อมๆกัน

     

     

    รู้สึกดีที่มันยังคงยืนกอดไหล่ผมอยู่อย่างนี้

     

    แต่ก็รู้สึกแย่ที่มันไม่ได้หันมามองผมเลย

     

     

     

     

     

    จนท้องฟ้าตกหลุมรักดวงอาทิตย์

     

     

     

     

     

    "ขอบคุณมากครับ"

     

     

    ผู้ชายตัวเล็กที่ชื่อจางอี้ชิงโค้งตัวขอบคุณทุกคนที่ช่วยเขาร้องเพลงไปจนจบการแสดง ผมได้แต่ยืนเงียบท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงประกาศเรียกผู้ประกวดคนสุดท้าย จนเมื่อผมรู้สึกถึงแรงเขย่าที่ไหล่ของผมที่มีแขนยาวๆของไอ้เทาวางอยู่ผมถึงได้หันไปมองหน้ามัน

     

     

    "เตี้ย"

     

    "...หือ?"

     

    "มึงรอตรงนี้แปบนึงได้ป่ะวะ"

     

    "แล้วมึงจะไปไหน?"

     

    "เออน่า แปบนึง"

     

     

    ผมกำลังจะบอกให้มันพาผมไปด้วยแต่ก็ได้แต่อ้าปากแล้วมองมันเดินฝ่าฝูงคนไปทางด้านหลัง ผมดึงมือตัวเองกลับมาไว้ข้างตัวเหมือนเดิมเพราะมองไม่เห็นมันที่ตอนนี้กลืนไปกับฝูงคนแล้วก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความรู้สึกวูบโหวง

     

     

    เวลามึงจะไปไหนมึงก็ลากกูไปด้วยตลอดไม่ใช่เหรอ

     

    มึงไม่เคยทิ้งกูให้อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอวะไอ้เทา

     

     

    "อะไรวะ ให้อยู่คนเดียวแปบเดียวทำหน้าเป็นหมาเหงาเชียวนะมึง"

     

     

    ผมถึงกับสะดุ้งหลุดจากภวังค์เมื่อรู้สึกถึงแรงหนักที่ไหล่ข้างเดิมอีกครั้ง พอมองไปทางต้นเสียงก็พบว่าเป็นไอ้เทาที่ยืนหน้ายิ้มแป้นน่าหมั่นไส้อยู่ แถมในมือมันยังมีอะไรที่ทำให้ผมแอบใจเต้นอย่างเข้าข้างตัวเองอยู่ด้วย

     

     

    กุหลาบสีแดง

     

     

    "ก.. ก็มึงไปไหนมาล่ะวะ ปล่อยกูยืนคนเดียวนี่ไม่กลัวกูหลงว่างั้น?

     

    "โอ๋ๆ ไอ้เตี้ยลูกพ่อ อย่าร้องนะครับ"

     

    "ไอ้สัด! ...แล้วนี่มึงไปขโมยดอกกุหลาบใครเขามา"

     

    "กูไปซื้อมาเถอะ พูดซะเสีย.."

     

     

    ไอ้เทาทำหน้าเป็นแพนด้าเซ็งใส่ผมซะจนผมอดขำไม่ได้ พอมันเห็นผมที่หัวเราะคิกคักใส่มันก็เกิดอาการหมั่นไส้แล้วประเคนมะเหงกลงบนหัวผมเต็มที่จนผมต้องร้องโอดโอยออกมา ไอ้เทามันขำท่าทางของผมได้สักพักมันก็ลากแขนผมเดินไปหน้าเวทีโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ในตอนแรกผมก็งงว่ามันไปไหนแต่สุดท้ายผมก็ได้รู้

     

     

    ผมอยากบอกมันเหลือเกินว่าไอ้ดอกกุหลาบที่มันให้เขาไปน่ะผมก็อยากได้เหมือนกันนะ

     

    แต่พอเห็นมันยิ้มอย่างนั้นผมก็พูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองมันส่งยิ้มให้เขา

     

    ใช่ ผมได้แต่มอง..

     

     

     

     

     

    ดวงอาทิตย์เองก็รักท้องฟ้าเช่นกัน

     

     

     

     

     

    "เตี้ย"

     

    "หือ?"

     

    "กูมีข่าวดีมาบอกว่ะ"

     

     

    ผมเงยหน้าขึ้นจากกระดาษวาดรูปแผ่นใหญ่ที่ผมกำลังร่างภาพตามแบบที่อาจารย์สั่ง ไอ้เทาที่หายไปไหนมาได้ตั้งนานก็ไม่รู้ค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามผมแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดีจนผมอดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ผมก้มหน้าเก็บงานที่ทำแก้เซ็งระหว่างนั่งรอมันแล้วถามไปด้วย

     

     

    "ยิ้มซะขนาดนั้นเดี๋ยวกูก็นึกว่ามึงถูกหวยหรอก"

     

    "แม่งเด็ดยิ่งกว่าถูกหวยอีก"

     

    "แล้วมึงไปเจออะไรมา? เล่ามาได้และ"

     

    "เออๆ คือกู..... คบกับอี้ชิงแล้วเว้ย! เด็ดป่ะล่ะ ฮ่าๆๆๆ"

     

     

    ผมชะงักไปนิดนึงก่อนจะพยักหน้าแล้วชูนิ้วโป้งให้มันเหมือนกับสมัยอยู่มอปลายเวลาที่มันแข่งกีฬาชนะ ไอ้เทายิ้มกว้างก่อนจะฟาดมือผมที่เปลี่ยนเป็นคว่ำนิ้วลงแล้วยิ้มกวนประสาทใส่แทน เราสองคนหัวเราะใส่กันเพราะรู้ว่าที่ผมทำไปก็แค่แกล้งมันแค่นั้น

     

     

    ใช่ แค่แกล้ง

     

    แกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร

     

    ทั้งที่ใจมันแทบหยุดเต้น

     

     

    "เตี้ย นี่มึงดีใจกับกูขนาดนี้เลยเหรอ"

     

    "อือฮึ ทำไมล่ะ กูดูเหมือนคนเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ?"

     

    "ก็ไม่... แต่มึงร้องไห้"

     

     

    ไอ้เทามันทำหน้าตกใจใส่ผมแล้วยกมือขึ้นแตะแก้มของผมที่มีร่องรอยเปียกชื้นเล็กน้อย ผมเองยังตกใจกับคำที่มันทักเลย แต่พอเอามือแตะดูก็รู้ว่ามันเป็นน้ำตาที่ไหลมาโดยไม่ตั้งใจแค่หยดเดียวเท่านั้น ผมเลยแกล้งยิ้มกลบเกลื่อนแล้วตอบมันไป

     

     

    "โห่.. กะจะแกล้งมึงซะหน่อย แต่แม่งออกมาแค่หยดเดียวเหรอวะเนี่ย"

     

    "ไอ้เตี้ยนี่ หยดเดียวกูก็ตกใจนะเฮ้ย"

     

    "เออๆ ขอโทษ ไม่เล่นแล้ว"

     

    "กูก็นึกว่ามึงอิจฉาที่กูได้แฟนเป็นเดือนคณะจนร้องไห้ซะอีก"

     

    "เหอะ มึงคิดผิดและ"

     

     

    เพราะกูไม่ได้อิจฉามึง

     

    กูอิจฉาเขา

     

     

     

     

     

    แต่ดวงจันทร์มีสิทธิ์ได้แค่มอง

     

     

     

     

     

     

                ผมหันไปเหลือบมองไอ้เทาที่นั่งสัปหงกมาได้สักพักแล้วอย่างเอือมระอากับความดื้อของมัน ทั้งที่แม่งง่วงจะตายชักแต่มันก็ยังคงนั่งฝืนสังขารตัวเองรอผมกับอี้ชิงที่ยังทำงานไม่เสร็จอยู่ ทั้งๆที่ผมก็บอกไปแล้วว่าถ้าเสร็จแล้วจะปลุกแต่มันก็ยังดื้อคอยนั่งคุยเป็นเพื่อนแฟนมันแล้วค่อยหันมาคุยกับผมเป็นพักๆ

     

     

                “มึงนอนก่อนเถอะ นั่งสัปหงกอยู่ได้”

     

                “นั่นสิ.. เทานอนก่อนเถอะ เดี๋ยวเสร็จแล้วเรากับแบคฮยอนปลุกเอง”

     

                “หาวว.. อืม ก็ได้ เพราะอี้ชิงขอนะเนี่ยเราเลยยอม ฮะๆ”

     

     

                ไอ้เทาล้มตัวลงนอนกับพื้นข้างตัวอี้ชิงที่กำลังนั่งลงสีงานอยู่โดยไม่สนสายตาของผมที่มองมันเลยสักนิด สาบานได้เลยว่าถ้างานที่ต้องทำคราวนี้มันไม่ต้องจับกลุ่มสามคนผมจะไม่มานั่งมองภาพบาดตาที่เห็นจนชินชาแบบนี้เลย

     

               

                หวงจื่อเทาเวลาอยู่กับพยอนแบคฮยอนแม่งโคตรดื้อ

     

              แต่พออยู่กับจางอี้ชิงแล้วหวงจื่อเทาก็กลายเป็นคนว่าง่ายไปในทันที

     

                แตกต่างกันชะมัด..

     

     

                ผมกับอี้ชิงนั่งทำงานท่ามกลางความเงียบไปเรื่อยๆเพราะนิสัยที่ต่างกันพอสมควรของผมกับแฟนเพื่อนอย่างอี้ชิงทำให้คุยกันได้ไม่ลื่นไหลเท่าไหร่แต่ก็มีบ้างที่คอยคุยกันเพื่อแก้ง่วง จนกระทั่งงานเสร็จผมกับอี้ชิงก็ลงมือเก็บข้าวของที่เกลื่อนพื้นห้องคอนโดของไอ้เทา พอผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องมันก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้วผมเลยหันไปเขย่าไอ้ตัวที่นอนขึ้นอืดอยู่บนพื้นห้องเพื่อปลุก แต่ผมก็ต้องชะงักไปเหมือนกับอี้ชิงที่กำลังเก็บของอยู่เพราะอะไรบางอย่างที่ไอ้เทามันละเมอออกมา

     

     

    “รัก..”

     

     

    คำที่มันละเมอออกมาทำให้หัวใจของผมพองโต

     

     

    “รักอี้ชิงนะ”

     

     

                แล้วก็แตกออกทันที

     

              กี่ครั้งแล้วนะที่ผมต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้

     

              ทำไมคนที่มันรักไม่เป็นผมบ้างนะ

     

     

     

     

     

    เมื่อไหร่ที่ท้องฟ้ากับดวงอาทิตย์ทะเลาะกันดวงอาทิตย์จะหายไป ทิ้งให้ท้องฟ้าร้องไห้เพียงลำพัง

     

     

     

     

     

    เสียงเรียกเข้าจากมือถือลูกรักของผมดังขึ้นจนผมต้องขยี้ตื่นในเช้าวันอาทิตย์ที่ไม่มีเรียนแบบนี้ ความจริงผมกะว่าจะนอนยาวๆไปถึงสักเที่ยงแต่ก็คงจะไม่ได้เพราะพอผมปรับสายตามองชื่อของคนที่โทรมารบกวนเวลานอนของผมแล้วผมก็รู้ตัวแล้วว่าคงไม่ได้นอนต่อแน่

     

     

    “ฮัลโหล โทรมาทำไม.. หาวว ~ ...เช้าๆวะ”

     

    (ยังนอนอยู่อีกเหรอไงไอ้เตี้ย)

     

    “อืม เพราะมึงอ่ะ โทรมาปลุกกูทำไมไม่รู้”

     

    (ไม่ต้องนอนแล้ว เดี๋ยวสิบโมงกูไปรับที่บ้าน)

     

    “จะมาทำไมวะ ไม่อยู่กับแฟนมึงไง๊?”

     

    (เออน่า... ไปอาบน้ำแต่งตัวไปเตี้ย แค่นี้นะ)

     

     

    ไอ้เทาสั่งอย่างเผด็จการก่อนจะวางสายไปโดยไม่บอกไม่กล่าวจนผมอยากจะกัดมันผ่านทางมือถือซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะเห็นว่าการแยกเขี้ยวใส่มือถือไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินลงมาชั้นล่างรอไอ้เทามารับตามที่มันบอก

     

     

    “อ้าวแบคฮยอน ทำไมตื่นเช้าจังลูก”

     

    “ไอ้เทามันโทรมาปลุกน่ะครับแม่ บอกจะชวนไปไหนก็ไม่รู้”

     

    “งั้นก็อย่าใช้เงินเปลืองมากล่ะ รู้ไหม?”

     

    “ครับผม!

     

     

    ผมรับปากแล้วทำท่าตะเบ๊ะสองนิ้วใส่แม่จนแม่ขำออกมาก่อนจะโดนรีโมททีวีที่พ่อถืออยู่เคาะเข้าเบาๆที่กลางหน้าผาก ผมนั่งคุยกับพ่อแม่ได้สักพักก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่ผมคุ้นเคยดีมาจอดที่หน้าบ้าน ส่วนไอ้เจ้าของรถก็เดินทำตัวเรียบร้อยเข้าบ้านมาสวัสดีพ่อแม่ผมเหมือนทุกครั้งที่มาบ้านผมก่อนจะถูกแม่ดึงจมูกไปทีนึงด้วยความเอ็นดู พอบอกพ่อแม่เรียบร้อยแล้วไอ้เทาก็ลากผมมานั่งห้อยท้ายมอเตอร์ไซค์มัน

     

     

    “แล้วนี่เราจะไปไหนกันอ่ะ?”

     

    “ไม่รู้ว่ะ ไปเรื่อยๆ”

     

     

    ไอ้เทาพูดแล้วเร่งความเร็วของมอเตอร์ไซค์ที่ขับอยู่ขึ้นไปอีกจนผมต้องกอดเอวมันแน่น ตอนนี้ใจผมเต้นแรงไปหมด ไม่ใช่เพราะความเขินอายหรืออะไรทั้งนั้นแต่เป็นเพราะความกลัวมากกว่า แต่ในความกลัวนั้นก็มีความรู้สึกปั่นป่วนอยู่เพราะผมรู้ดีว่าเวลาที่ไอ้เทามันเป็นแบบนี้แปลว่ามันกำลังเสียใจอยู่เพียงแต่มันไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง

     

              ไอ้เทามันก็ขับพาผมมาจนถึงคอนโดที่มันใช้ซุกหัวนอนตั้งแต่สมัยมาอยู่เกาหลีใหม่ๆจนมาถึงตอนนี้ที่เราอยู่มหาลัยปีสี่กันแล้ว มันเอามอเตอร์ไซค์เข้าจอดที่ประจำมันก่อนจะเดินจ้ำอ้าวๆขึ้นห้องจนผมแทบจะวิ่งตามไม่ทัน มันเองก็เหมือนจะรู้เลยยอมชะลอฝีเท้าลงจนผมสังเกตเห็นหยดน้ำที่หางตาของมัน

     

     

              เขาบอกกันว่าฝนคือน้ำตาของท้องฟ้า

     

                ถ้าอย่างนั้น.. ตอนนี้ท้องฟ้าก็คงกำลังร้องไห้สินะ

     

     

     

     

     

    ดวงจันทร์รับรู้ทุกอย่าง แต่ดวงจันทร์ก็ไม่สามารถทำให้ท้องฟ้ากลับมาสว่างได้เหมือนกับดวงอาทิตย์

     

     

     

     

     

    ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องก่อนจะดึงแขนไอ้เทาที่มัวแต่เหม่อมองหยดน้ำฝนที่เกาะอยู่บนหน้าต่างให้นั่งลงบ้าง มันยอมนั่งลงแต่โดยดีแต่มันก็ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม ผมเองก็ได้แต่เหลือบมองมันเป็นพักๆแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป แต่อยู่ๆไอ้เทาที่นั่งเหม่ออยู่นานก็ยอมพูดออกมาก่อน

     

     

                “เขาทิ้งกูไปแล้ว”

     

                “เทาอ่า..”

     

              “เจ็บโคตรว่ะเตี้ย ฮะฮะ..”

     

     

                ไอ้เทาหัวเราะเหมือนประชดตัวเองแล้วเอามือปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเรื่อยๆ ผมที่เห็นแบบนั้นเลยดึงตัวมันมากอดเพราะหวังจะปลอบให้มันเลิกร้องไห้เสียที แต่มันก็ยังไม่หยุดร้องไห้แถมยังซบหน้าลงกับไหล่ผมเหมือนว่ามันจะช่วยซับน้ำตามันได้บ้าง

     

     

                ถ้ามันแค่ลองหันมามองผมสักนิดมันก็จะได้รู้

     

              มันจะได้รู้ว่าตอนนี้ผมเองก็กำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน

     

              มันจะได้รู้.. ว่ายังมีคนที่รักมันอยู่ตรงนี้อีกคน

     

               

                ผมยังคงนั่งที่เดิมทั้งๆที่ฝนหยุดตกไปแล้วเพราะไอ้เทามันดันร้องไห้จนหลับคาไหล่ผมไปแล้ว ผมเลยหันไปเอื้อมหยิบกระดาษวาดรูปว่างๆที่วางอยู่บนโต๊ะมันมานั่งร่างภาพที่คิดในหัวไว้เล่นๆ แต่รูปที่ออกมากลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองไปอีก

     

     

    ดวงจันทร์บนท้องฟ้า

     

    ที่แต่งแต้มไปด้วยหยดน้ำตาของผมเอง

     

             

                “ไอ้เหี้ย กูเจ็บกว่ามึงยังไม่บ่นเลย...”

     

               

     

     

     

     

    จนถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์คืนดีกับท้องฟ้า.. ท้องฟ้าก็จะกลับมาสว่างเหมือนเดิม

     

     

     

     

     

    “เทา.. ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”

     

     

    เสียงนุ่มๆที่ผมยังจำได้ดีดังขึ้นเหนือหัวผมที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานตัวสุดท้ายของเทอมที่ผมคิดว่ามันเป็นงานที่ผมตั้งใจทำที่สุดแล้วตั้งแต่เรียนมา ไอ้เทาที่มันบอกผมว่ามันกำลังพยายามตัดสินใจเลือกแบบจากหนึ่งในสองที่คิดไว้ในหัวถึงกับรีบเงยหน้าขึ้นมองคนที่กลายสภาพเป็นแฟนเก่าของมันไปแล้วก่อนที่มันจะส่งสายตามาขอความเห็นผมว่ามันควรจะทำยังไงดี แต่เพราะผมไม่อยากจะออกความเห็นในเรื่องของมันกับคนที่มันรักผมเลยก้มหน้าก้มตาทำงานต่อแทน

     

    จนกระทั่งผมได้ยินเสียงไอ้เทาลุกขึ้นจากเก้าอี้และเสียงคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผมเดินออกไปด้วยกันนั่นแหละผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมาได้ ผมปล่อยให้ตัวเองนอนฟุบลงไปกับโต๊ะตัวยาวใต้ตึกอย่างหมดแรงเพราะเริ่มคิดอะไรต่อไม่ออก ตอนนี้ในหัวมันมีแต่ความว่างเปล่าเต็มไปหมดตั้งแต่ไอ้เทายอมลุกไปคุยกับอี้ชิง

     

     

    ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว แต่มันก็ยังคิดถึงเขาอยู่

     

    บางทีคนที่แอบมองมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ

     

    เหนื่อย.. จนมันอยากจะหยุดแล้ว

     

     

    ผมนอนฟุบอยู่อย่างนั้นจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไอ้เทามันมาปลุกผมด้วยใบหน้าที่มีความสุขต่างจากตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด ข้างตัวมันมีจางอี้ชิงที่ยืนยิ้มในแบบที่ไม่ต่างกันอยู่จนผมเองก็พอจะรู้แล้วว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

     

     

    แต่ก็ยิ่งแน่ใจยิ่งกว่าเมื่อได้ยินคำตอบจากไอ้เทา

     

     

    “เตี้ย คือกู.. กูคืนดีกับอี้ชิงแล้วนะ”

     

     

    แล้วผมจะตอบอะไรไปได้ล่ะ?

     

     

    “...... อื้อ อย่าทำให้เขาหายไปอีกล่ะ”

     

     

    ผมแอบรักมันมานานเกินไปแล้ว

     

    นาน.. จนสมควรจะหยุดได้

     

     

     

     

     

    ท้องฟ้าไม่เคยคิดเลยว่าถ้าดวงจันทร์หายไปแล้วท้องฟ้าจะมืดแค่ไหนในเวลาค่ำคืน

     

     

     

     

     

              "พ่อครับ แม่ครับ.. ผมได้งานทำแล้วนะ"

     

    พ่อกับแม่มองหน้าผมประมาณว่าไม่อยากจะเชื่อก่อนที่แม่จะดึงตัวผมเข้าไปกอดซะแน่นและพ่อก็ลูบหัวผมไปด้วย ผมสังเกตใบหน้าของพ่อกับแม่ที่ตอนนี้มีรอยยิ้มภาคภูมิใจประดับอยู่ก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไปนั้นดูจะไม่เสียเปล่า

     

     

    "แล้วได้งานที่ไหนล่ะลูก"

     

    "เอ่อ... แคนาดาครับ"

     

     

    ถึงแม้ว่าผมต้องไปไกลสักหน่อยก็เถอะ

     

     

    แม่ถึงกับอุทานออกมาอย่างใจหายเพราะไม่คิดว่าผมจะต้องไปทำงานไกลถึงอีกทวีปขนาดนี้ พ่อเองก็ชะงักมือที่วางบนหัวผมไปก่อนจะจ้องหน้าผมอย่างเป็นกังวล ผมรู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงผมแต่จะให้ทำยังไงได้ การที่คนคนนึงจะเรียนจบมาแล้วมีงานทำเลยมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย

     

     

    ในเมื่อโอกาสดีๆอย่างนี้มาถึงตัวผมก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อนสิ

     

    และผมก็เชื่อว่าพ่อกับแม่จะเข้าใจ

     

     

    "แล้วไปเมื่อไหร่"

     

    "สิ้นเดือนนี้ครับพ่อ"

     

     

    ผมยิ้มเพื่อให้พ่อคลายความกังวลลงเพราะยังคงมีเวลาที่เราสามคนพ่อแม่ลูกจะได้อยู่ใกล้ๆกัน ซึ่งพ่อก็ได้แต่ยิ้มบางๆตามสไตล์ของพ่อแล้วดึงตัวแม่ที่ดูจะใจหายออกจากอ้อมกอดของผมไปกอดปลอบแทน ผมมองภาพนั้นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ที่พ่อกับแม่ยังคงรักและใส่ใจกันมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่แต่งงานกันมา

     

     

    แต่ผมก็แทบจะหุบยิ้มเมื่อได้ยินคำถามของพ่อ

     

     

    "แล้วนี่บอกอาเทารึยัง"

     

    "เอ่อ.. ยังเลยครับ"

     

    "อะไรกัน ปกติเห็นรายนั้นรู้เรื่องของลูกคนแรกตลอดไม่ใช่หรือไง"

     

     

    เป็นความจริงที่ผมยังไม่ได้บอกไอ้เทาเรื่องที่ผมได้งานเป็นสถาปนิกจากบริษัทรับออกแบบและก่อสร้างของคนเกาหลีที่สาขาแคนาดา แต่นั่นมันก็อยู่ในความตั้งใจของผมนั่นแหละที่ไม่อยากบอกมันเท่าไหร่เพราะวันๆมันก็ขลุกอยู่แต่กับแฟนมันที่เพิ่งย้ายไปอยู่ด้วยกันที่ห้องมันหลังจากคืนดีกันแล้วนั่นแหละ

     

     

    ไม่ค่อยอยากจะเห็นภาพบาดตาเท่าไหร่

     

    แค่นี้มันก็ชินชาจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว

     

     

    "ไอ้บ้านั่นมันอยู่แต่กับแฟนครับ ปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวค่อยบอกก็ได้"

     

     

    ผมยิ้มอีกครั้งให้พ่อกับแม่ที่ทำหน้าสงสัยอย่างปิดไม่มิด จะไม่สงสัยก็แปลกเพราะเพื่อนรักของลูกชายที่ปกติจะรู้เรื่องทุกอย่างของผมเป็นคนแรกๆตลอดกลับไม่ได้รู้อะไรเลย ผมเองก็ทำได้แค่บอกปัดไปว่าไม่มีอะไรเพราะไม่ค่อยอยากจะพูดถึงไอ้เพื่อนรักคนนี้เท่าไหร่

     

     

    แต่เขาว่ากันว่าคนเป็นพ่อแม่ย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร

     

     

    "แบคฮยอน... อะไรที่ค้างคาใจก็จัดการมันซะให้เรียบร้อยก่อนไปล่ะลูก"

     

     

    ผมเองก็อยากทำนะครับแม่

     

    แต่เรื่องที่ค้างคาใจของผมมันกลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้ว

     

     

    "ไม่มีหรอกครับแม่ อย่าคิดมากเลย"

     

     

               

     

     

    เพราะท้องฟ้าเองก็คงจะลืมไปแล้วว่าแม้ดวงจันทร์จะทำให้ท้องฟ้าสว่างเท่ากับดวงอาทิตย์ไม่ได้แต่ในยามค่ำคืนแล้วดวงจันทร์ก็ทำให้ท้องฟ้าสว่างที่สุด

     

     

     

     

     

    ผมนั่งเหม่อมองข้อความที่ถูกส่งมาจากใครบางคนผ่านทางแอพพลิเคชั่นยอดฮิตที่เรียกว่าไลน์ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ตอบไปว่าทำงานอยู่แล้ววางมือถือลง ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้ยุ่งหรือมีงานด่วนถึงขนาดตอบไม่ได้เลยขนาดนั้น แต่ที่ผมไม่อยากตอบเป็นเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรไปกับไอ้ข้อความสั้นๆที่ทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้อย่างนั้น

     

     

    'คิดถึงมึง'

     

     

    ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนยังอยู่เกาหลีผมคงจะเขินอายหรือดีใจหรือตื่นเต้นอะไรสักอย่างไปแล้ว แต่พอเวลามันผ่านไปได้เกือบห้าปีแบบนี้ผมก็ไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะผมมีใครแล้วหรือไม่รู้สึกอะไรกับมันแล้วหรอก

     

     

    แต่เพราะผมทิ้งความรู้สึกนั้นไปตั้งแต่มาอยู่แคนาดาแล้วต่างหาก

     

     

    เกือบห้าปีแล้วที่ผมทำงานเป็นสถาปนิก อาชีพที่ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่สมัยอยู่มอปลาย ในตอนแรกผมเองก็คิดถึงบ้านคิดถึงพ่อแม่จนอยากจะกลับเกาหลีหลายต่อหลายครั้งแต่พอนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่เกาหลีผมก็ไม่อยากจะกลับไปนัก ผมเลยได้กลับบ้านแค่ปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น

     

     

    นึกถึงเกาหลีก็นึกถึงพ่อแม่.. โทรหาแม่ดีกว่า

     

     

    "ฮัลโหล.. แม่เหรอครับ คิดถึงแม่จัง"

     

    (อ้าวแบคฮยอน! เป็นยังไงบ้างลูก ตอนนี้ที่นู่นหนาวไหม? แม่คิดถึงลูกจัง)

     

    "ผมสบายดีครับ ที่นี่อากาศกำลังดีเลย"

     

    (ดูแลตัวเองด้วยนะลูก)

     

    "ครับ แม่ด้วยนะ ฝากบอกพ่อด้วยนะครับว่าคิดถึง"

     

    (จ้ะ พ่อเขาก็คิดถึงลูกนะ เมื่อวานเพิ่งบ่นหาไป)

     

    พอนึกถึงหน้าพ่อที่ปกติไม่ค่อยแสดงท่าทางเป็นห่วงอะไรผมเท่าแม่กำลังนั่งบ่นหาผมแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ คงเป็นเพราะพ่อเป็นคนแสดงความรู้สึกอะไรไม่เก่งเท่าไหร่เลยทำให้ผมติดนิสัยนั้นมาด้วย ผมเลยกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าพูดความรู้สึกตัวเองออกไปเท่าไหร่

     

     

    "ครับ ไว้ผมว่างแล้วจะกลับไปหาพ่อกับแม่นะ"

     

    (จ้าๆ แต่ตอนนี้แม่ว่าวางสายได้แล้วมั้ง โทรทางไกลมันแพงนะ)

     

    "ก็ได้ครับแม่... ผมรักแม่นะ"

     

    (อื้ม แม่ก็รักลูกจ้ะ)

     

     

    ผมกำลังจะยกมือถือที่แนบหูอยู่ออกแล้วตัดสายแต่ก็ได้ยินเสียงอะไรโครมครามดังออกมาจากปลายสายจนต้องรีบถามแม่เพราะกลัวว่าแม่จะเป็นอะไรรึเปล่า แต่คำตอบที่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรถามเลยจริงๆ

     

     

    "แม่ครับ เสียงอะไรน่ะ เป็นอะไรรึเปล่า!?"

     

    (แม่ไม่เป็นไร พอดีหม้อในครัวมันร่วงน่ะลูก)

     

    "ระวังตัวหน่อยนะครับแม่"

     

    (จ้าๆ แต่แม่ว่าคำนี้บอกกับอาเทาดีกว่ามั้ง เข้าครัวไปแปบเดียวก็ทำหม้อร่วงซะและ)

     

    "ไอ้เทา.. อยู่ที่บ้านเหรอครับ "

     

    (ใช่จ้ะ ตั้งแต่ลูกกลับแคนาดาครั้งล่าสุดเนี่ยอาเทาก็มาคอยอยู่เป็นเพื่อนแม่ตลอดเลยนะ แถมยังถามถึงลูกด้วย... สงสัยเขาจะคิดถึงลูกนะ)

     

    "เหรอครับ.."

     

    (แบคฮยอน... มีอะไรจะฝากแม่บอกเขาไหม?)

     

    "ม.. ไม่ล่ะครับแม่ ผมวางล่ะนะครับ วันหลังผมจะโทรมาอีก"

     

     

    ผมรีบตัดสายทิ้งทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มๆที่จำได้ดีลอดมาจากโทรศัพท์ น้ำตาที่เคยคิดว่ามันแห้งไปได้ตั้งนานแล้วก็กลับตีตื้นขึ้นมาจนคลอเบ้าจนผมต้องปาดทิ้งก่อนที่มันจะหยดลงมา ยิ่งได้ยินเสียงไอ้เทาผมก็ยิ่งนึกถึงคำที่มันไลน์มาเมื่อครู่จนต้องเปิดดูอีกครั้งนึง

     

     

    คิดถึงมึง

     

     

    “มึงแม่ง.....”

     

     

    ผมตัดสินใจพิมพ์ข้อความนึงตอบกลับไป

     

    ไม่รู้ว่ามันจะเห็นไหม แต่ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆ

     

     

    สัด กูคิดถึงกว่าอีก

     

     

     

     

     

    สุดท้ายแล้วแม้ดวงอาทิตย์จะไม่อยู่ ท้องฟ้าก็ยังคงสว่างได้เพราะดวงจันทร์

     

     

     

     

     

    ผมอ่านรายละเอียดงานที่ลูกค้ารายล่าสุดต้องการก่อนจะต้องกุมขมับอย่างหนักใจเพราะงานชิ้นนี้ลูกค้าที่เป็นคนเกาหลีต้องการให้ออกแบบบ้านให้ที่เกาหลี ไอ้เรื่องที่จะออกแบบนั้นไม่เป็นปัญหาอะไรนัก แต่ปัญหาคือที่ที่ผมต้องไปคราวนี้มันอยู่ใกล้กับคอนโดที่ไอ้เทาพักอยู่มาก มากจนผมอยากจะปฏิเสธถ้าไม่ติดว่าค่าจ้างมันมากจนผมปฏิเสธไม่ลงนั่นแหละ

     

     

    จะมาปฏิเสธตอนนี้ก็ไม่ได้แล้ว

     

    เพราะตอนนี้ผมถึงที่หมายแล้ว

     

     

    ผมก้าวลงจากรถแท็กซี่ที่นั่งมาก่อนจะยืนเหม่อมองอาคารที่ผมคุ้นเคยดีตรงหน้า ผมสะบัดหัวไล่ความคิดตัวเองก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังร้านกาแฟที่ลูกค้านัดเอาไว้แทน ระหว่างที่นั่งรอลูกค้าอยู่ผมก็เกิดความคิดขึ้นมาเล่นๆว่าถ้าเกิดคนที่มาว่าจ้างผมเป็นไอ้เทาผมจะทำยังไง แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะมันเองก็จบคณะเดียวกับผม กะอีแค่ออกแบบบ้านแค่นี้มันทำได้สบายๆอยู่แล้ว

     

     

    “ขอโทษที่ให้รอครับ”

     

     

    เสียงทุ้มๆที่ผมจำได้ดีดังขึ้นข้างหลังผมที่กำลังนั่งเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนผมถึงกับสะดุ้ง ผมหันขวับไปจ้องหน้าไอ้เทาที่กำลังยืนทำหน้าหล่อใส่ผมอยู่ก่อนจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้เพราะโดนมือมันตบเข้าที่กลางหน้าผาก มันยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนดูจะเป็นการวางตัวที่ดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่าเดิมเยอะ

     

     

    “มึง.. ให้กูมาทำอะไร”

     

    “คนไม่ได้เจอกันตั้งห้าปีเขาพูดกันแบบนี้เหรอครับคุณพยอน”

     

    “ครับ กับมึงกูก็พูดแบบนี้แหละครับ”

     

     

    ไอ้เทามันหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้นไปแล้วทำหน้าโหดใส่ก่อนที่มันจะพยักหน้าเป็นเชิงว่ายอมแล้ว มันบอกว่าที่มันเรียกผมมาเนี่ยก็เพรันอยากจะสร้างบ้านสักหลังนึงแต่มันดันคิดไม่ออกว่าจะเอาแบบไหนดี มันเลยติดต่อไปที่บริษัทผมแทนการบอกผมโดยตรงเพื่อเซอร์ไพรส์

     

     

    “แล้วมึงอยากได้แบบไหน”

     

    “อืม.. ออกแบบยังไงก็ได้ให้ถูกใจมึงอ่ะ กูจะเอาไว้เป็นเรือนหอ”

     

     

    เรือนหอ

     

    แปลว่ามันจะแต่งงาน..

     

     

    พอมันพูดจบผมก็แทบจะปาแก้วกาแฟที่เพิ่งสั่งมาใส่หน้ามันไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ติดที่ว่าเสียดาย ผมเลยบอกมันไปว่าผมคงทำให้มันไม่ได้แล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากร้านไปรอเรียกแท็กซี่กลับบ้าน แต่ไอ้เทามันดันวิ่งมาดึงแขนผมเอาไว้ซะแน่นจนผมต้องสะบัดออก

     

     

    นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นผมร้องไห้ชัดๆ

     

     

    “ปล่อยกู!

     

    “ไม่! มึงคิดว่าที่กูให้มึงกลับมาเกาหลีนี่มันเป็นเรื่องเล่นๆเหรอวะ”

     

     

    วินาทีนั้นสติผมขาดผึง

     

     

    “แล้วมึงคิดว่าที่กูต้องเจ็บซ้ำซากอย่างนี้มันเป็นเรื่องเล่นๆใช่ไหม!!

     

    “มึง.. มึงหมายความว่ายังไง?”

     

    “มึงมันโง่ ไอ้ควาย! กูแอบรักมึงมาตั้งนานแต่มึงเรียกกูให้กลับมาออกแบบเรือนหอให้มึงเนี่ยนะ”

     

    “มึงรักกู.. นานแล้ว?”

     

    “เออ! เพราะงั้นกูขอโทษ แต่กูไม่รับงานนี้”

     

     

    ผมกำลังจะยกมือขึ้นโบกแท็กซี่ที่ขับผ่านมาคันนึงแต่ไอ้เทามันก็ดึงตัวผมกลับไปจนผมแทบหงาย พอผมยืนได้แล้วผมก็ดึงแขนตัวเองออกจากมือมันแต่มันก็ยิ่งล็อกแขนผมแน่นไปอีก แต่เหมือนว่ามันจะหมดความอดทนแล้วหรือยังไงไม่รู้มันเลยตะคอกใส่ผมจนผมสะดุ้ง

     

     

    “โธ่เว้ย.. ไอ้เตี้ย อยู่นิ่งๆแล้วฟังกู!

     

    “.......................”

     

    “ยิ่งมึงรักกูก็ยิ่งดี รับงานนี้ไปแล้วออกแบบให้ถูกใจมึงซะ”

     

    “มึงมันใจร้าย..”

     

    “อย่าเพิ่งพูดแทรก!

     

     

    ไอ้เทามันตะคอกเสียงดังใส่ผมอีกรอบจนผมต้องเม้มปากแน่นเพราะกลัวมันจะตะคอกใส่อีก มันนึกยังไงไม่รู้อยู่ๆก็เอามือมาเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มผมออกแต่ผมก็พยายามดันมือมันออก มันก็ดูจะไม่สนใจแรงต่อต้านของผมเลยสักนิด ทั้งเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วพูดไปด้วย

     

     

    “กูเลิกกับอี้ชิงแล้ว”

     

    “ต.. ตั้งแต่เมื่อไหร่”

     

    “ตั้งแต่ช่วงมึงไปแรกๆแล้ว”

     

    “เหรอ....”

     

     

    ผมยอมรับเลยว่าดีใจมาก

     

    แต่ไอ้เทาล่ะ? มันจะเสียใจไหม?

     

     

    “แล้วมึง.. ร้องไห้อีกรึเปล่า”

     

    “ร้อง”

     

     

    คำตอบที่ได้ทำให้ผมต้องก้มหน้า

     

    แล้วก็เงยขึ้นมาใหม่เพราะประโยคถัดไป

     

     

    “แต่กูไม่ได้ร้องเพราะเขา.. กูร้องเพราะมึง”

     

    “พ.. เพราะกู?”

     

    “เออ กูเพิ่งรู้ว่าเวลาไม่มีมึงแม่งโคตรเหงา ความสุขกูหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ อยู่กับอี้ชิงก็ไม่รู้สึกมีความสุขเหมือนเวลาอยู่กับมึง”

     

    “แล้วไหนมึงบอกว่าเขาเป็นดวงอาทิตย์ของมึงไง”

     

    “ก็ใช่”

     

                “แล้วทำไมมึ..”

     

                “แต่ต่อให้มีสักสิบดวงอาทิตย์กูว่าแม่งก็ไม่เหมือนดวงจันทร์หรอก”

     

               

                นี่มันยังจำได้อยู่อีกเหรอ..?

     

     

                “เพราะงั้น.. ดวงจันทร์กลับมาอยู่กับท้องฟ้าได้ไหม?”

     

                “.............”

     

                “พยอนแบคฮยอน.. มึงกลับมาอยู่กับหวงจื่อเทาเถอะนะ”

     

     

                ไอ้เทามันดึงผมเข้าไปกอดแน่นเมื่อเห็นว่าผมพยักหน้ารัวๆพร้อมกับน้ำตาที่มันไหลมาจากไหนก็ไม่รู้ตั้งมากมาย ผมฟาดมือลงบนไหล่มันดังป้าบเพื่อเอาคืนกับการที่มันมาแกล้งผมแบบนี้แต่มันก็ดันส่งยิ้มให้ผมจนก็ด่ามันไม่ลงเหมือนกัน แต่เรื่องที่คาใจก็ทำให้ผมอดที่จะถามมันไม่ได้

     

     

                “เฮ้ย แล้วเรือนหอบ้าบออะไรของมึงล่ะ ให้กูออกแบบไปให้ควายที่ไหน?”

     

                “ออกแบบไปให้ควายที่ยืนเตี้ยอยู่หน้ากูนี่แหละ”

     

     

                ผมถึงกับอึ้งกับมุกของมันที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวจนเผลออ้าปากหวอ มันเลยหมั่นไส้หรือยังไงไม่รู้ถึงได้ตบเหม่งผมไปอีกทีจนผมเองก็อดที่จะตบมันคืนไปไม่ได้ แต่ถ้าปล่อยให้มันเล่นได้ฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่ผมแล้ว ผมเลยตอบกลับไปด้วยความจริงบางอย่างที่ผมปิดเป็นความลับมานานแล้ว

     

     

                “เออ.. งั้นเดี๋ยวกูเอาแบบให้ดู”

     

                “อะไร เพิ่งคุยกันมึงจะทำเสร็จแล้วได้ไง?”

     

     

                และคราวนี้ก็เป็นมันบ้างที่ถึงกับเงิบ

     

             

              “กูทำไว้ตั้งแต่สมัยที่กูยืมไม้ฉากมึงนั่นแหละ จะไม่เสร็จได้ไง”

     

     

     

     

     

                และแล้วนิทานก็จบลงอย่างมีความสุข

     

    ส่วนดวงจันทร์ดวงนี้คงต้องขอตัวไปกล่อมท้องฟ้านอนแล้วล่ะ..

     

    ฝันดีครับ ~

     

     

     

     

     

     

     

     

    END

     

     

     

                                                                                       

    .. TALK ..

    ตอนแรกว่าจะดราม่าหมดก็สงสารเมนตัวเอง ตอนจบเลยเป็นแบบนี้แล..

    อาจจบไม่ดีเท่าไหร่ ขอโทษนะคะ เพราะถ้าแต่งอีกรอบดราม่าล้วนแน่ T_T

    ตอนนี้ต้องขอบคุณสภาพอากาศแบบผีเข้าผีออก เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนเลยค่ะ = =

    **นิทานในเรื่องเป็นเรื่องที่เราแต่งเองนะคะ ถ้าบังเอิญไปซ้ำกับใครก็ขอโทษด้วย**

     

    เปิดหน้าฟิคมาตกใจมาก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่แต่งแล้วได้ 100% 5555555555555

    ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่สนับสนุนเทาแบคขนาดนี้ ปลื้มอกปลื้มใจ๋แท้ T v T

    สัญญาว่าจะแต่งเรื่องต่อๆไปเรื่อยเลยค่ะ เพื่อแม่ยกเทาแบคทุกคน #คู่นี้ฟิคหายากเย็นดีแท้





     
     
    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×