หลังจากที่ทั้งสองออกมาถึงบริเวณรอบนอกชายป่า ก็แวะหาที่นั่งพักทันที เพราะขืนยังเดินทางแบบนี้ หากมีใครมาพบเห็น เยว่ชิง ก็คงจะเป็นฝ่ายที่เสียหายอย่างมิต้องสงสัย
"แม่นางเยว่ อาการดีขึ้นบ้างหรือยัง พอจะเดินไหวไหม"
"อืมม แต่ขอนั่งพักก่อนอีกสักหน่อย"
"อ่อ ครับ เอ่อ....นี่น้ำครับ"
"ขอบใจ"
เยว่ชิง ดื่มน้ำแล้วก็นั่งพักคนละฝั่งกับ หลี่เฉิน นางสังเกตุพบว่า ตอนนี้ตัวนางไม่อาจสัมผัสถึงระดับการฝึกฝนของเด็กหนุ่มตรงหน้าได้เลย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาสู้กับ อสูรหมูป่า นางสัมผัสได้ว่าเขาอยู่ในระดับการฝึกฝนขั้นลมปราณแท้จริง ซึ่งมันทำให้นางแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
"คุณหนู ครับ ! "
"พวกเรา เจอคุณหนูแล้ว ทางโน้น ๆ"
เสียงตะโกนเรียก ดังมาแต่ไกล เย่วชิง และ หลี่เฉิน หันไปมองทางต้นเสียง ก็พบว่ามีกลุ่มคนจำนวน 5 คน กำลังวิ่งมาทางที่พวกตนนั้นนั่งพักอยู่
"ศิษย์สำนักเดียวกับข้าเอง คงออกมาตามหา" เย่วชิง หันมาบอกกล่าวกับ หลี่เฉิน
"อ่ออ..อืม ! ถ้าอย่างงั้น ข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปส่งแม่นางอีกต่อไปแล้วละนะ ข้าขอตัวกลับเข้าไปในป่าอีกคราก็แล้วกัน ขอให้หายไว ๆ นะ"
หลี่เฉิน กล่าวจบก็พลิ้วกายเข้าไปในป่าทันที ไม่รอให้ เยว่ชิง ได้กล่าวคำใด ๆ แม้แต่คำเดียว ไม่นานหลังจาก หลี่เฉิน หายเข้าไปในป่า เหล่าศิษย์ของสำนักเดียวกันกับนางก็มาถึง
"ศิษย์น้องเย่ว เมื่อสักครู่นี้เป็นใครกัน เขารังแกศิษย์น้องหรือเปล่า" คนที่ถามขึ้นเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนางนั่นเองซึ่งมีนามว่า เหยาฟ่ง ถือเป็นอัจฉริยะอีก 1 คนที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งของจอมยุทธรุ่นเยาว์ เพราะเพียงแค่อายุ 20 ปี ก็มีการฝึกฝนอยู่ในระดับลมปราณกษัตริย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"ศิษย์พี่ เขาคือผู้มีพระคุณของข้าเอง เขาช่วยชีวิตข้าจากสัตว์อสูรที่กำลังจะเข้ามาทำร้าย"
"อ่อ งั้นแล้วไป แล้วนี่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
"ใช่ ๆ ศิษย์พี่หนีมาเข้าป่าอสูรบรรพกาลคนเดียวแบบนี้ มันอันตรายมากเลยนะ" อี้เฉิง ศิษย์น้องที่เป็นผู้หญิงกล่าว
"ข้าไม่เป็นไรมากซะหน่อย แค่เจ็บข้อเท้าเท่านั้นเอง นั่งพักอีกสักหน่อยก็หาย พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก"
หลังจากนั้นทุกคนก็ได้แต่นั่งรอให้อาการของ เยว่ชิง ดีขึ้นและเดินทางกลับไปยังที่พักทันที
......
ทางด้าน หลี่เฉิน หลังจากปลีกตัวมาจาก เย่วชิง ได้สักระยะจนเข้ามาถึงบริเวณที่เดิมที่เจอกับ อสูรหมูป่า ก็ยืนมองดูตรงหลุมที่เกิดจากการต่อสู้ของตนเองแล้วล้วงมือเข้าไปหยิบเอา ผลึกวิญญาณ ออกมาดูอีกครั้ง ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
"จากการที่ได้ต่อสู้กับ อสูรหมูป่า ที่อยู่ในขั้นลมปราณแท้จริง ถือว่ายังเป็นงานยากที่จะเข้าไปในเขตกลางหรือเขตในของป่าอสูรบรรพกาลแห่งนี้ได้ คงต้องเร่งฝึกฝนให้เก่งขึ้นมากว่านี้อีก"
หลี่เฉิน นำเอาผลึกวิญญาณเก็บไว้ดั่งเดิม แล้วเดินเข้าไปในป่าต่อทันที ตัวมันในยามนี้ หลังจากที่ได้ปะทะกับสัตว์อสูรไปคราหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้มีความประมาทอีกต่อไป เขาแผ่กระแสปราณออกไปสำรวจรอบ ๆ ตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นภายนอก กลับดูเหมือนเด็กหนุ่ม กำลังเดินเที่ยวเล่นชมนกชมไม้ในป่าอย่างสบายอารมณ์ ดูเหมือนไม่มีความกังวลใด ๆ แม้แต่น้อย
ผ่านไปจนใกล้จะมืดค่ำ ณ ส่วนลึกใกล้กับบริเวณเขตแบ่งระหว่างป่าเขตนอก กับ ป่าเขตกลาง หลี่เฉิน กำลังยืนหอบเหนือยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตัวมันในยามนี้ กำลังยืนจ้องมองกับอสูรงูเกร็ดเงินซึ่งเป็นอสูรระดับลมปราณกษัตริย์ ที่ออกมาหากินสัตว์อสูรในป่าเขตนอกแห่งนี้ และพอมันมองเห็น หลี่เฉิน ก็หวังจะจับกิน จึงได้ลอบโจมตี แต่ยังดีที่หลี่เฉินเองมีปฏิกิริยาที่ว่องไว สามารถกระโดดหลบได้ทัน ซึ่งตัวมันที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการต่อสู้กับอสูรระดับลมปราณแท้จริงตัวสุดท้าย ถ้านับจากเมื่อเข้ามาถึง ก็เป็นตัวที่ 5 แล้ว จึงทำให้ตัวมันนั้นเสียพลังปราณไปหลายส่วน ดังนั้นจึงได้หาที่นั่งพักด้วยความเหนื่อยล้า แต่เพียงพักได้ไม่นานก็ต้องรีบกระโดดหลบอย่างตกใจ
"ทำไม่เราสัมผัสถึงการคงอยู่ของมันไม่ได้ละ"
ก็แน่ล่ะ ด้วยเกร็ดเงินของอสูรงูตัวนี้สามารถสะท้อนการสำรวจด้วยพลังปราณของชาวยุทธได้นั่นเอง ทำให้มันสามารถลอบเข้าใกล้เหยื่อได้โดยที่เหยื่อยนั้นไม่อาจรู้ตัว
"นี่เราก็ใกล้ถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้วด้วย บ้าจริง !!"
ฟ่อ ฟ่อ ! เสียงร้องขู่ของอสูรงูเกร็ดเงิน ที่เพิ่งจะโจมตีเป้าหมายผิดพลาดไปหลายครั้งแล้ว มันจึงนิ่งดู หลี่เฉิน เพื่อหยั่งเชิง ส่วนหลี่เฉิน ก็ยืนนิ่งพร้อมรับมือการโจมตีจากงูยักษ์เช่นกัน
"ต้องรีบจบให้เร็วที่สุด ไม่อย่างงั้นตัวเราคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ในวันนี้อย่างแน่นอน"
"ฟู่วว ว.....!!! "
หลี่เฉิน เร่งรีดเค้นลมปราณจนถึงระดับสูงสุดอย่างรวดเร็ว ลมปราณในร่างกายไหลเวียนด้วยความรวดเร็วจนเส้นลมปราณของมันในยามนี้ที่รองรับการโคจรอย่างเกรี้ยวกราด เริ่มสร้างความเจ็บแสบภายในให้แก่ตัวของ หลี่เฉิน สร้างความเจ็บปวดจนมันเองแทบจะทนไม่ไหว มันกัดฟันปลดปล่อยพลังอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวร่างกายของ หลี่เฉิน ก็เลือนหายไปจากจุดที่มันยืนอยู่ เมื่อเจ้าอสูรงูเกร็ดเงินเห็นว่า ร่างกายของหลี่เฉินนั้นหายไป ก็เป็นเวลาเดียวกับที่มันสัมผัสพลังสายหนึ่งปรากฏขึ้นทางด้านหลังของมัน ขณะที่กำลังหันหัวกลับไปมองทางด้านหลัง สายตาก็พร่ามัวลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเห็นเงาราง ๆ ของ หลี่เฉินนั้นค่อย ๆ แยกออกเป็นหลายร่าง จนกระทั่งมืดดับไป พร้อมกับสั่วนหัวของมัน แยกขาดออกจากลำตัวที่ใหญ่โต หล่นลงสู่พื้นอย่างรุนแรง
"บูมม !! "
"จบแล้ว เราทำได้แล้ว"
หลี่เฉิน เมื่อเห็นว่าสังหาร อสูรงูเกร็ดเงิน ได้สำเร็จก็หลับตาร่วงหล่นสู่พื้นตามไปติด ๆ เนื่องจากร่างกายของมันได้ใช้จนเกินขีดจำกัดนั่นเอง หากมีใครที่มาพบเห็นการเคลื่อนที่และการสังหารของมันเมื่อสักครู่นี้ ย่อมต้องตกตลึงอย่างแน่นอน เพราะการรีดเค้นพลังของ หลี่เฉิน เมื่อครู่นี้นั้นเทียบได้กับผู้ฝึกฝนระดับลมปราณจักรพรรดิอย่างมิต้องสงสัย ดังนั้น เมื่อยามที่มันปรากฎตัวอยู่ด้านหลังของ อสูรงูเกร็ดเงิน มันจึงเพียงแค่ฟาดฟันฝ่ามือออกไปในแนวราบอย่างเรียบง่ายเท่านั้น แต่ว่าสามารถตัดลำคอของอสูรงู ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กระบวนท่าเดียว และด้วยเหตุที่อสูรงูเกร็ดเงินนั้น มีระดับอยู่เพียงขั้นลมปราณกษัตริย์เท่านั้น มันจึงมิอาจต้านรับการโจมตีด้วยพลังระดับลมปราณจักรพรรดิได้
"ฮ่ะ ๆ ๆ เฮือก .."
หลี่เฉิน กระอักเลือดออกมาก้อนโต 1 คำ ก่อนจะค่อย ๆ ลุกเดินโซซัดโซเซ ไปเก็บ ผลึกวิญญาณ ขอ อสูรงูเกร็ดเงิน ด้วยความทุลักทุเล และเนื่องจากท้องฟ้านั้นเริ่มจะมืดมิดลงเรื่อย ๆ หลี่เฉิน ต้องฝืนกายเร่งหาที่พัก ที่ปลอดภัยจาก สัตว์อสูรในป่าแห่งนี้ให้ได้โดยเร็ว เพราะตัวมันเองรู้ดีว่า มิอาจฝืนสังขารกลับไปถึงที่โรงเตี้ยมอย่างแน่นอน
เดินทางขึ้นไปตามสันเขาที่เป็นแนวแบ่งระหว่างเขตส่วนกลางกับส่วนนอกของป่าอสูร
พรรพกาลได้ไม่ไกลนัก ก็มองเห็นปากถ้ำอยู่ตรงบริเวณหน้าผา ที่มีเศษหนังงูจากการลอกคราบของอสูรงูเกร็ดเงิน ตัวที่เพิ่งจะสังหารไปเมื่อสักครู่ ก็มุ่งหน้าเข้าสู่ภายในถ้ำทันที เพราะหลี่เฉินคิดว่า ด้วยไอปราณของอสูรงูตนนั้นคงไม่มีอสูรตนใดในแถบนี้กล้าเข้ามาใกล้อย่างแน่นอน
เป็นอย่างที่ หลี่เฉิน คิดไว้จริง ๆ เขานั้นที่ตอนนี้ กำลังนั่งโคจรลมปราณฟื้นฟูตนเอง อยู่ภายในถ้ำของอสูรงูเกล็ดเงิน ไม่มีสัตว์อสูรตนใดเข้ามารบกวนแม้แต่น้อย และจนกว่าที่ไอปราณของอสูรงูตนนั้นจะจางหายไป ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน หรืออีกหลายอาทิตย์ มันจึงเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับ หลี่เฉิน ในยามที่บาดเจ็บหนักอย่างนี้
หลี่เฉิน นั่งโคจรลมปราณให้ไหลเวียนอย่างช้า ๆ ผ่านจุดชีพจรต่าง ๆ จนผ่านทุกจุดครบหนึ่งรอบ หลี่เฉิน ก็สังเกตุได้ถึงความเสียหายที่มีต่อเส้นลมปราณ ทำให้เขาคิดว่าในครั้งต่อ ๆ ไป หากไม่มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต เขาจะไม่ใช้พลังที่ถึงขีดจำกัดแบบนี้อีก เพราะจากความเสียหายที่เขาประสบในตอนนี้คงทำให้เขาต้องพักฟื้นไปหลายวันเลยทีเดียว ยังดีที่ยังไม่ถึงขั้นเส้นลมปราณฉีกขาดจนกลายเป็นคนที่พิการไม่อาจฝึกฝนได้อีกต่อไป เมื่อคิดได้ดังนั้น หลี่เฉิน ก็ชักนำพลังปราณอ่อน ๆ ค่อย ๆ ไหลผ่านจุดชีพจรอย่างเชื่องช้าเพื่อไม่ให้เส้นลมปราณได้รับผลกระทบที่รุนแรง
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเข้าสู่วันที่ 7 หลี่เฉิน ที่ได้ปรับความเร็วในการโคจรลมปราณขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย ในตอนนี้สภาพร่างกายและเส้นลมปราณได้หายดีดั่งเดิมแล้ว และผลกระทบอีกอย่างที่เกิดจากการใช้พลังลมปราณในระดับถึงขีดสุดของร่างกายและเส้นลมปราณที่ผ่านมา ทำให้เส้นลมปราณได้พัฒนาขีดจำกัดเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น โดยมีการขยายใหญ่ขึ้น จึงทำให้ตัวหลี่เฉินนั้นรู้สึกว่า พลังปราณของตนยังไม่ฟื้นฟูเต็มส่วนเหมือนเดิม จึงยังคงโคจรลมปราณเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ความเป็นจริงนั้น ความหนาแน่นของลมปราณในตัวมันยามนี้มีมากกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัวแล้ว
! ปัง ...
เสียงดังขึ้นภายในสำนึกของ หลี่เฉิน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตัวมันในยามนี้ บรรลุเข้าสู่การฝึกฝนระดับลมปราณกษัตริย์เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับกระแสลมปราณที่ไหลเชี่ยวขึ้นมากกว่าเดิม เป็นดั่งเช่นน้ำที่ไหลทะลักจากเขื่อนที่กักเก็บพังทะลายลง ทำให้ หลี่เฉิน ต้องเพ่งสมาธิควบคุมกระแสลมปราณที่เชี่ยวกราดนี้อย่างจริงจังเป็นพิเศษ เพื่อบังคับให้อยู่ในลู่ทางที่ควรจะเป็น มิเช่นนั้น มีหวังลมปราณแตกซ่านจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การพยายามควบคุมกระแสปราณดังกล่าว ทำให้ตัวของ หลี่เฉิน นั่งอยู่ในถ้ำรวมตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ ผ่านมาแล้ว 15 วัน และเช้าวันนี้ ก็เป็นวันที่เขาลืมตาขึ้นมาคราแรก
ฟิ้ววว...
เมื่อลืมตาขึ้นมาเท่านั้นกระแสปราณที่ไหลวนรอบ ๆ ตัวหลี่เฉินก็ไหลกลับเข้าร่างของมันอย่างรวดเร็ว จนเกิดการระเบิดพลังออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว
พรึบบ....ฟู่ววว....
"...รู้สึกว่าร่างกายจะหายดีแล้วละ แต่ว่า ไอ้ความรู้สึกแบบนี้นี่มันคืออะไรกันนะ รู้สึกว่าร่างกายจะมีความกระฉับกระเฉงกว่าเดิมขึ้นมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว ..."
หลี่เฉิน ที่กำลังรู้สึกยินดีกับอาการบาดเจ็บได้หายดีแล้ว โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้นั้นตัวมันได้ครอบครองพลังมากมายขนาดไหน เพราะขนาดตอนที่มีการฝึกฝนที่ระดับลมปราณแท้จริง สามารถต่อกรกับผู้ที่ฝึกฝนในระดับลมปราณกษัตริย์ได้อย่างไม่ตึงมือเลยแม้แต่น้อย และหากมันใช้พลังเต็มส่วนอย่างที่จัดการกับอสูรงูเกร็ดเงิน ผู้ฝึกฝนในระดับลมปราณจักรพรรดิก็ไม่อาจจะสังหารมันลงได้โดยง่ายแย่างแน่นอน แต่ในยามนี้ตัวมันที่มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับลมปราณกษัตริย์ จึงสามารถต่อกรกับผู้ฝึกฝนในระดับลมปราณจักรพรรดิได้อย่างมิต้องสงสัย
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย