ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *--หัวใจในเงารัก--*

    ลำดับตอนที่ #2 : ๑ - 40%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 845
      6
      22 ส.ค. 60



    “คุณมันคนใจร้าย!   คุณทำร้าย...”  เสียงของหล่อนกลืนหายลงไปในลำคออีกครั้ง  เมื่อเขาจงใจปิดปากหล่อนด้วยรอยสัมผัสน่าตื่นตระหนก   และน่าหฤหรรษ์ในคราวเดียวกัน

                    จูบ...ที่ทำให้หล่อนสะท้านเยือกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

                    จูบ...ที่ทีให้สมองของหล่อนขาวโพลน  คิดสิ่งใดไม่ออกแม้สักนิด

                    และจูบ...ที่ทำให้หล่อนสั่นไหวและทุรนทุราย

                    ทั้งหมดมาจากผู้ชายคนนี้ทั้งนั้น  ผู้ชายที่หล่อนอยากจะผลักไสแต่กลับยอมให้เขากอดจูบโดยไม่ปัดป้อง  ...เธอกำลังต้องการอะไรกันแน่  วิมลิน!  หญิงสาวพร่ำถามตัวเองในใจ  ขณะที่อีกฝ่ายกำลังลิ้มรสความหวานปานน้ำผึ้งอย่างเพลิดเพลิน

                    “จำได้ใช่ไหม  ว่าคุณเป็นของผมแล้ว  วิมลิน”  เขาถอนริมฝีปากของตัวเองออก  และใช้มือลูบไล้เรียวปากค่อนข้างช้ำของหล่อนราวกับหลงใหล

                    “ต่อจากนี้ไป คุณห้ามมองผู้ชายคนไหน  ห้ามให้ผู้ชายคนไหนแตะเนื้อต้องตัว  แค่ผมเท่านั้น  ผมเท่านั้นที่จะมองคุณและแตะต้องทุกซอกทุกมุมในตัวคุณได้!

                    วิมลินอยากจะดีใจกับคำพูดนั้น  อยากจะนึกว่าเขาหวงเพราะรัก  แต่หล่อนก็ไม่กล้าเข้าข้างตัวเอง  คนอย่างคีรีน่าจะเหมาะกับคำว่าหวงก้างมากกว่า!   หล่อนยังเป็น ของใหม่  สำหรับเขา

    ...ของที่เขาไม่เคยลิ้มลอง 

    ในทางกลับกัน  หากวันไหนที่เกิดเบื่อขึ้นมา  เขาคงไม่รีรอเลยที่จะสลัดหล่อนทิ้งอย่างไม่แยแส  แม้แต่สายตาก็คงไม่แม้แต่จะเหลือบมามองด้วยซ้ำ!

                    วิมลินคิดอย่างเจ็บแปลบในหัวใจ  เมื่อถึงวันนั้นหล่อนจะทนได้ล่ะหรือ?  ทนให้หัวใจถูกเขาย่ำยี  ถูกฉีกทึ้งอย่างไม่สนใจไยดีได้ล่ะหรือ?  หยดน้ำตาย้อนกลับเข้าไปในหัวใจของวิมลิน  ท่ามกลางความเงียบระหว่างคนสองคนภายในตัวรถที่พุ่งทะยานสู่เมืองหลวงของประเทศไทย



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    ร่างบางระหงในชุดดำยืนโงนเงนราวคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง มือเรียวบางที่ค่อยๆ วางดอกไม้จันลงไปในเปลวเพลิงสั่นน้อยๆ  หยดน้ำใสๆ  ไหลอาบแก้ม

                    “แม่จ๋า  หลับให้สบายนะจ๊ะ”  เสียงสะอื้นที่เจ้าตัวพยายามกลั้นไว้สุดความสามารถดังขึ้นเบาๆ  วินลินอยากร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร  ทว่า...แววตาของใครบางคน  ที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรทำให้หญิงสาวถือเอาทิฐิเป็นที่ตั้ง  ลำคอระหงตั้งตรงเชิดหน้ามองผู้คนอย่างไม่เกรงกลัว

                    ชายร่างสูงผู้มีใบหน้าเรียวคมคาย  จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากได้รูป  ไรหนวดเขียวจางๆ   ที่ใต้คางบ่งบอกว่าเขาทิ้งร้างการโกนหนวดมาหลายวัน  แววตาหม่นแสงแฝงเร้นด้วยความเกรี้ยวกราดหันมามองหน้าหล่อนตรงๆ  จดจ้อง แน่วนิ่ง

    ทุกสิ่งทุกอย่างบนใบหน้าเขาอย่างเหมาะเจาะไปทุกส่วน  ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ใบหน้านั้นดูกระด้างไม่ชวนมอง  นั่นคือแววตาคมกริบบาดลึกเข้าไปในหัวใจของคนที่ได้เห็น

                    หล่อนยังจำได้...วันที่ก้าวเท้าเข้ามายังคฤหาสน์อธิปัตย์วันแรก  สายตาของชายผู้นี้ยามจ้องมองหล่อนไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด  ทั้งความเกลียดชัง  อาฆาต  ราวกับหล่อนและมารดาของหล่อนกำลังจะแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา

                    เขาผู้นั้น...คีรี  พิทักษ์เดชา เปรียบเสมือนกองเพลิงกองใหญ่ที่รอวันลุกโชติช่วงเผาผลาญทำลายสิ่งที่เขาเกลียดให้พินาศย่อยยับไปในพริบตา

                    และหล่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น...หนึ่งในคำว่า เกลียด ของเขา

                    พวกคุณทำให้แม่ผมตาย ผมไม่มีทางยอมรับพวกคุณ ไม่มีวัน!’

    พวกคุณอยากครอบครองทรัพย์สมบัติของพ่อผมนักรึไง  ถึงได้แย่งพ่อไปจากแม่  พวกคุณนี่มัน...เศษสวะ  ชัดๆ!  เห็นแก่ตัวที่สุด

                    น้ำเสียงรวดร้าวปนกราดเกรี้ยวยังคงติดตรึงฝังแน่นในหัวใจดวงน้อยๆ  ของหล่อนมาตลอด นับแต่วันที่หล่อนก้าวเท้าเข้าสู่บ้านอธิปัตย์ ไม่มีเลยสักวันที่เขาคนนั้นจะมองหล่อนด้วยแววตาอ่อนโยน..

                    ไม่มีเลยแม้สักครั้งเดียว!

                    หากทำได้ล่ะก็   วิมลินเลือกที่จะออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในแฟลตเล็กๆ  ดีกว่าต้องมาทนดูสายตาเหยียดหยามจากใครบางคน

                    หากก็นั่นแหละ...หล่อนทำเช่นนั้นไม่ได้  ด้วยความห่วงใยในตัวผู้เป็นมารดา หล่อนจึงปล่อยให้ท่านอยู่ลำพังคนเดียวในบ้านหลังนั้นไม่ได้ หาไม่แล้วหล่อนคงถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอกตัญญู!

                    “ลิน...เป็นอะไรรึเปล่า  หน้าซีดเชียว”

                    เสียงนั้นทำให้วิมลินตื่นจากภวังค์  หล่อนกะพริบตาถี่เร็วสี่ห้าครั้ง ก่อนหันไปมองคนข้างๆ  คิมหันต์กำลังมองหล่อนอยู่ แววตาห่วงใยที่ทอดมองมาช่วยละลายความหนาวเหน็บในหัวใจของหล่อนได้บ้าง

                    “ไม่เป็นไรค่ะ  พี่คิม  ลินสบายดี” 

    ถึงวิมลินจะพูดเช่นนั้น  แต่กลับไม่ได้ทำให้เขาคลายกังวล

                    “พี่ว่าลินไปนั่งพักผ่อนเถอะนะ   เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบากเปล่าๆ”

                    คนตัวสูงยังคงห่วงใย  แววตาอบอุ่นฉายชัด

                    “ลินไม่เป็นไรจริงๆ  ค่ะ  ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ” 

    หล่อนยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ  หากเสียงห้าวๆ  ของใครบางคนที่หล่อนจำได้ขึ้นใจทำให้รอยยิ้มนั้นเหือดหายลงไปโดยพลัน

                    “เฮ้อ!...ช่างปลอบใจกันซะหวานเหลือเกินนะคู่นี้”

                    ชายผู้นั้นปรายคามองหล่อนด้วยแววตาที่เปรียบเสมือนคมมีด แทบจะกรีดเนื้อหล่อนไปทั่วทั้งตัว วิมลินสูดลมหายใจลึกยาว เชิดหน้า คอตั้งตรง พยายามไม่มองไปทางเขา ทำเสมือนเขาไม่มีตัวตนในสายตาหล่อน

                    “ผมว่าพี่คิมก็ควรจะนั่งพักได้แล้วนะครับ  อดนอนตั้งหลายวันแล้วไม่ใช่หรือครับ  ที่เหลือผมจัดการเองเขาเหลือบมองหล่อน ก่อนจะพูดอย่างเสียไม่ได้ ลินด้วย ผมจะดูแลให้เอง” 

    หากเมื่อเห็นผู้เป็นพี่ยังคงมองหญิงสาวข้างตัวอย่างห่วงใย  ชายหนุ่มก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมาซะเฉยๆ

                    “ไม่ต้องห่วงหรอกน่าพี่คิม  ผมจะดูแลหนูลินของพี่คิมอย่างดี มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยละ...จริงๆ  นะเอ้า!

                    “ไม่ต้องมาประชด นายคีผู้เป็นพี่ทำเสียงดุๆ ก่อนพยักหน้า งั้นก็ตามนี้ พี่ไว้ใจให้แกดูแลลิน อย่าไปทำให้ลินป่วยมากกว่านี้เชียวนะ”  ก่อนเดินจากไปเขากำชับน้องชายเพราะรู้นิสัยของอีกฝ่ายดี

                    เจ้าคีรี...มันเป็นไม้เบื่อไม้เมากับวิมลินมานานนักหนา...ผู้เป็นพี่ชายได้แต่อ่อนใจ  ไม่รู้ว่ามันจะคิดเคืองแค้นไปถึงไหน  ใช่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความผิดของน้าพิกุลกับวิมลินเสียเมื่อไหร่  หากมันก็ปักใจเชื่อแน่วแน่เสียแล้วว่าทั้งสองคนคือต้นเหตุให้ผู้เป็นมารดา...ต้องตรอมใจตาย

                    คิมหันต์ก้าวเข้าไปกระซิบข้างหูคีรี กำชับเสียงเข้ม

                    “อย่าไปพูดถากถางหรือกวนประสาทวิมลินอีกล่ะ  ถือว่าพี่ขอร้องละกัน”  แววตายาวรีจ้องลึกลงไปในดวงตาคมกริบอย่างขอร้อง จนผู้เป็นน้องจำใจพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

                    “พี่จะให้คียืนอยู่เป็นเพื่อนนะลิน  พี่ขอตัวก่อน”

                    วิมลินส่งยิ้มจริงใจให้คิมหันต์  “ตามสบายเลยค่ะพี่คิม  ลินอยู่ได้”

                    เมื่อได้ฟังคำตอบรับแข็งขันนั้นแล้ว  คิมหันต์จึงค่อยเบาใจ หากจะมีสิ่งใดทำให้เขายังหนักใจ...ก็ไอ้คนที่เขาฝากให้ดูแลนั่นแหละ  ปล่อยให้คีรีอยู่กับวิมลินคราใดเป็นต้องมีเรื่องทุกที  แต่วันนี้เขามั่นใจว่าคีรีคงไม่ทำอะไรรุนแรง  เพราะวันนี้คือวันที่มารดาของหล่อนเหลือแต่เถ้ากระดูก

                    คล้อยหลังคิมหันต์  คีรีก็สาวเท้ามาแทนที่พี่ชาย  ความอบอุ่นที่เคยได้กลายเป็นความอ้างว้าง อีกทั้งยังเยือกเย็นดุจน้ำแข็งที่บรรจงกรีดลงบนหัวใจของหล่อนอย่างช้าๆ  และไร้ความปรานี

                    “ผมว่าคุณคงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง  ก็เห็นยังแข็งแรงดีอยู่นี่นาน้ำเสียงของเขาขึ้นจมูก ราวกับเยาะหยันในบางสิ่ง สงสัย...เวลาอยู่ใกล้พี่ผม  คุณคงปวดหัวตัวร้อนขึ้นมากะทันหันล่ะมั้ง!  นี่ละน้า...ที่เขาบอกว่า...ผู้หญิงน่ะมีมารยาร้อยเล่มเกวียน  แต่ดูๆ  แล้วคุณคงมีเกินกว่าร้อยแล้วล่ะวิมลิน!

                    น้ำเสียงแดกดันแทบทำให้วิมลินทนไม่ได้  หากไม่ใช่เพราะวันนี้คือวันสำคัญ  หล่อนคงฟาดมือหนักๆ  ลงบนใบหน้าเรียบเฉยประดุจหินนั้นอย่างแรงให้สาสมกับคำพูนที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมาแล้ว  หญิงสาวพยายามสะกดกลั้นความโกรธอย่างสุดความสามารถ  ในใจได้แต่พร่ำเตือน

                ...อย่าไปยุ่งกับเขา  อย่าเอาพิมแสนไปแลกกับเกลือเชียวนะวิมลิน!...

                    ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  ตัวหล่อนยังทำใจให้ชินกับวาจาถากถางของเขาไม่ได้สักที 

    ...ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน จวบจนกระทั่งวันนี้ คำพูดเหล่านั้นมันกัดกินจิตใจของหล่อนจนแทบไม่เหลือชิ้นดีแล้ว!...

                    หล่อนนึกอยากมีวิชาล่องหน  ด้วยหวังว่าอันตรธานหายไปจากตรงนี้  หล่อนไม่อยากทนมองหน้าเขาแม้แต่วินาทีเดียว!

                    กว่าจะจบงานวันนี้มาได้  วิมลิมก็แทบลากขาเดินอย่างหมดแรง   ยิ่งต้องมาสู้รบปรบมือกับใครบางคนอีก  ร่างกายหล่อนก็แทบไม่ไหว  เจ้าตัวถึงกับนอนแผ่หราบนเตียงหนานุ่มทันทีที่กลับมาถึงห้อง

                    ภาพมารดา...คุณพิกุลยังคงฉายชัด  ไม่ว่าจะเป็นแววตาอ่อนโยนที่มีให้หล่อนเสมอมา  หรือรอยยิ้มนุ่มนวลยามปลอบใจหรือแม้แต่อ้อมกอดอบอุ่นที่มอบให้ยามหล่อนว้าเหว่

                ...แม่คะ  ลินคิดถึงแม่...คิดถึงจัง

                   

    วิมลินเข้ามาอยู่ที่นี่ได้แค่ห้าเดือนคุณพิกุลก็ล้มป่วย  คำที่หมอบอกแทบทำให้หญิงสาวแทบหมดสติ

                    แม่คุณเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย

                    ระยะสุดท้าย...หล่อนสะอื้นกับคำนั้น ขณะที่ผู้เป็นมารดากลับ...สงบ...นิ่ง ไม่ตื่นตระหนก ราวกับท่านรู้ตัวมาก่อนแล้ว

                    แม่ขา...แม่... หล่อนเรียกท่าน น้ำเสียงสั่นเครือเจือสะอื้น หากท่านกลับยิ้มให้หล่อน

                    อย่ากลัว... ท่านลูบศีรษะของหล่อนเบาๆ พลางปลอบ เกิดแก่เจ็บตาย ใครก็หนีไม่พ้น

                    ท่านยอมรับข่าวร้ายนั้นอย่างง่ายดาย ผิดกับตัวหล่อนที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่หลายวัน     

    ถัดจากวันที่ตรวจเจอมะเร็งไม่นาน  ท่านก็ป่วยหนัก นอนซมอยู่ในโรงพยาบาลโดยมีคุณอธิปัตย์คอยดูแลห่วงใย  ไม่ห่าง

    วิมลินซาบซึ้งในบุญคุณของคุณอธิปัตย์เหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะเขา หล่อนและแม่คงไม่ได้อยู่สุขสบายอย่างทุกวันนี้ หล่อนอาจจะไม่ได้เรียนหนังสือ เผลอๆ อาจจะกลายเป็นเด็กติดยาหากอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมก็เป็นได้

    บุญคุณของคุณอธิปัตย์หล่อนต้องตอบแทนแน่นอน ทว่าจะให้อยู่บ้านนี้ต่อไป หล่อนไม่อาจทำได้

                    คงถึงเวลาแล้วที่หล่อนต้องก้าวเท้าออกจากบ้านหลังนี้เสียที...

                    ใครบางคนที่รอไสหัวเธอให้พ้นหูพันตาคงดีใจแย่!...

                    หากหล่อนยังอยู่...ใครคนนั้นคงได้แต่เอ่ยวาจาถากถาง  ดูถูก  เหยียดหยามหล่อนอย่างไม่มีวันจบสิ้น

    ...  หากหล่อนไปเสียได้  ทุกสิ่งทุกอย่างคงจะดีขึ้น

    วิมลินทอดถอนใจ เมื่อความเศร้าพาดผ่านในความรู้สึก

    ...จะเป็นอะไรไปเล่า  ในเมื่อเธอมาจากดิน  เธอจะหวนคืนสู่ดินอีกครั้งจะไปยากอะไร...

                    ถึงแม้บ้านหลังใหญ่จะแปรเปลี่ยนเป็นรังหนู ก็ยังดีกว่าต้องทนให้ใครเขาดูถูก!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×