คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ๑ - 40%
“คุณมันคนใจร้าย! คุณทำร้าย...” เสียงของหล่อนกลืนหายลงไปในลำคออีกครั้ง เมื่อเขาจงใจปิดปากหล่อนด้วยรอยสัมผัสน่าตื่นตระหนก และน่าหฤหรรษ์ในคราวเดียวกัน
จูบ...ที่ทำให้หล่อนสะท้านเยือกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
จูบ...ที่ทีให้สมองของหล่อนขาวโพลน คิดสิ่งใดไม่ออกแม้สักนิด
และจูบ...ที่ทำให้หล่อนสั่นไหวและทุรนทุราย
ทั้งหมดมาจากผู้ชายคนนี้ทั้งนั้น ผู้ชายที่หล่อนอยากจะผลักไสแต่กลับยอมให้เขากอดจูบโดยไม่ปัดป้อง ...เธอกำลังต้องการอะไรกันแน่ วิมลิน! หญิงสาวพร่ำถามตัวเองในใจ ขณะที่อีกฝ่ายกำลังลิ้มรสความหวานปานน้ำผึ้งอย่างเพลิดเพลิน
“จำได้ใช่ไหม ว่าคุณเป็นของผมแล้ว วิมลิน” เขาถอนริมฝีปากของตัวเองออก และใช้มือลูบไล้เรียวปากค่อนข้างช้ำของหล่อนราวกับหลงใหล
“ต่อจากนี้ไป คุณห้ามมองผู้ชายคนไหน ห้ามให้ผู้ชายคนไหนแตะเนื้อต้องตัว แค่ผมเท่านั้น ผมเท่านั้นที่จะมองคุณและแตะต้องทุกซอกทุกมุมในตัวคุณได้!”
วิมลินอยากจะดีใจกับคำพูดนั้น อยากจะนึกว่าเขาหวงเพราะรัก แต่หล่อนก็ไม่กล้าเข้าข้างตัวเอง คนอย่างคีรีน่าจะเหมาะกับคำว่าหวงก้างมากกว่า! หล่อนยังเป็น ‘ของใหม่’ สำหรับเขา
...ของที่เขาไม่เคยลิ้มลอง
ในทางกลับกัน หากวันไหนที่เกิดเบื่อขึ้นมา เขาคงไม่รีรอเลยที่จะสลัดหล่อนทิ้งอย่างไม่แยแส แม้แต่สายตาก็คงไม่แม้แต่จะเหลือบมามองด้วยซ้ำ!
วิมลินคิดอย่างเจ็บแปลบในหัวใจ เมื่อถึงวันนั้นหล่อนจะทนได้ล่ะหรือ? ทนให้หัวใจถูกเขาย่ำยี ถูกฉีกทึ้งอย่างไม่สนใจไยดีได้ล่ะหรือ? หยดน้ำตาย้อนกลับเข้าไปในหัวใจของวิมลิน ท่ามกลางความเงียบระหว่างคนสองคนภายในตัวรถที่พุ่งทะยานสู่เมืองหลวงของประเทศไทย
ร่างบางระหงในชุดดำยืนโงนเงนราวคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง
มือเรียวบางที่ค่อยๆ วางดอกไม้จันลงไปในเปลวเพลิงสั่นน้อยๆ หยดน้ำใสๆ
ไหลอาบแก้ม
“แม่จ๋า หลับให้สบายนะจ๊ะ”
เสียงสะอื้นที่เจ้าตัวพยายามกลั้นไว้สุดความสามารถดังขึ้นเบาๆ วินลินอยากร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร ทว่า...แววตาของใครบางคน
ที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรทำให้หญิงสาวถือเอาทิฐิเป็นที่ตั้ง ลำคอระหงตั้งตรงเชิดหน้ามองผู้คนอย่างไม่เกรงกลัว
ชายร่างสูงผู้มีใบหน้าเรียวคมคาย จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากได้รูป ไรหนวดเขียวจางๆ ที่ใต้คางบ่งบอกว่าเขาทิ้งร้างการโกนหนวดมาหลายวัน แววตาหม่นแสงแฝงเร้นด้วยความเกรี้ยวกราดหันมามองหน้าหล่อนตรงๆ จดจ้อง แน่วนิ่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างบนใบหน้าเขาอย่างเหมาะเจาะไปทุกส่วน ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ใบหน้านั้นดูกระด้างไม่ชวนมอง นั่นคือแววตาคมกริบบาดลึกเข้าไปในหัวใจของคนที่ได้เห็น
หล่อนยังจำได้...วันที่ก้าวเท้าเข้ามายังคฤหาสน์อธิปัตย์วันแรก สายตาของชายผู้นี้ยามจ้องมองหล่อนไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด ทั้งความเกลียดชัง อาฆาต
ราวกับหล่อนและมารดาของหล่อนกำลังจะแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา
เขาผู้นั้น...คีรี พิทักษ์เดชา เปรียบเสมือนกองเพลิงกองใหญ่ที่รอวันลุกโชติช่วงเผาผลาญทำลายสิ่งที่เขาเกลียดให้พินาศย่อยยับไปในพริบตา
และหล่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น...หนึ่งในคำว่า
‘เกลียด’ ของเขา
‘พวกคุณทำให้แม่ผมตาย ผมไม่มีทางยอมรับพวกคุณ
ไม่มีวัน!’
‘พวกคุณอยากครอบครองทรัพย์สมบัติของพ่อผมนักรึไง ถึงได้แย่งพ่อไปจากแม่ พวกคุณนี่มัน...เศษสวะ ชัดๆ! เห็นแก่ตัวที่สุด’
น้ำเสียงรวดร้าวปนกราดเกรี้ยวยังคงติดตรึงฝังแน่นในหัวใจดวงน้อยๆ ของหล่อนมาตลอด นับแต่วันที่หล่อนก้าวเท้าเข้าสู่บ้านอธิปัตย์
ไม่มีเลยสักวันที่เขาคนนั้นจะมองหล่อนด้วยแววตาอ่อนโยน..
ไม่มีเลยแม้สักครั้งเดียว!
หากทำได้ล่ะก็
วิมลินเลือกที่จะออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในแฟลตเล็กๆ ดีกว่าต้องมาทนดูสายตาเหยียดหยามจากใครบางคน
หากก็นั่นแหละ...หล่อนทำเช่นนั้นไม่ได้ ด้วยความห่วงใยในตัวผู้เป็นมารดา หล่อนจึงปล่อยให้ท่านอยู่ลำพังคนเดียวในบ้านหลังนั้นไม่ได้
หาไม่แล้วหล่อนคงถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอกตัญญู!
“ลิน...เป็นอะไรรึเปล่า หน้าซีดเชียว”
เสียงนั้นทำให้วิมลินตื่นจากภวังค์ หล่อนกะพริบตาถี่เร็วสี่ห้าครั้ง ก่อนหันไปมองคนข้างๆ คิมหันต์กำลังมองหล่อนอยู่
แววตาห่วงใยที่ทอดมองมาช่วยละลายความหนาวเหน็บในหัวใจของหล่อนได้บ้าง
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่คิม
ลินสบายดี”
ถึงวิมลินจะพูดเช่นนั้น แต่กลับไม่ได้ทำให้เขาคลายกังวล
“พี่ว่าลินไปนั่งพักผ่อนเถอะนะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบากเปล่าๆ”
คนตัวสูงยังคงห่วงใย แววตาอบอุ่นฉายชัด
“ลินไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ
ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ”
หล่อนยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ หากเสียงห้าวๆ
ของใครบางคนที่หล่อนจำได้ขึ้นใจทำให้รอยยิ้มนั้นเหือดหายลงไปโดยพลัน
“เฮ้อ!...ช่างปลอบใจกันซะหวานเหลือเกินนะคู่นี้”
ชายผู้นั้นปรายคามองหล่อนด้วยแววตาที่เปรียบเสมือนคมมีด
แทบจะกรีดเนื้อหล่อนไปทั่วทั้งตัว วิมลินสูดลมหายใจลึกยาว เชิดหน้า คอตั้งตรง
พยายามไม่มองไปทางเขา ทำเสมือนเขาไม่มีตัวตนในสายตาหล่อน
“ผมว่าพี่คิมก็ควรจะนั่งพักได้แล้วนะครับ อดนอนตั้งหลายวันแล้วไม่ใช่หรือครับ ที่เหลือผมจัดการเอง” เขาเหลือบมองหล่อน
ก่อนจะพูดอย่างเสียไม่ได้ “ลินด้วย ผมจะดูแลให้เอง”
หากเมื่อเห็นผู้เป็นพี่ยังคงมองหญิงสาวข้างตัวอย่างห่วงใย ชายหนุ่มก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมาซะเฉยๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าพี่คิม ผมจะดูแลหนูลินของพี่คิมอย่างดี มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยละ...จริงๆ นะเอ้า!”
“ไม่ต้องมาประชด
นายคี” ผู้เป็นพี่ทำเสียงดุๆ
ก่อนพยักหน้า “งั้นก็ตามนี้ พี่ไว้ใจให้แกดูแลลิน อย่าไปทำให้ลินป่วยมากกว่านี้เชียวนะ” ก่อนเดินจากไปเขากำชับน้องชายเพราะรู้นิสัยของอีกฝ่ายดี
เจ้าคีรี...มันเป็นไม้เบื่อไม้เมากับวิมลินมานานนักหนา...ผู้เป็นพี่ชายได้แต่อ่อนใจ ไม่รู้ว่ามันจะคิดเคืองแค้นไปถึงไหน
ใช่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความผิดของน้าพิกุลกับวิมลินเสียเมื่อไหร่
หากมันก็ปักใจเชื่อแน่วแน่เสียแล้วว่าทั้งสองคนคือต้นเหตุให้ผู้เป็นมารดา...ต้องตรอมใจตาย
คิมหันต์ก้าวเข้าไปกระซิบข้างหูคีรี
กำชับเสียงเข้ม
“อย่าไปพูดถากถางหรือกวนประสาทวิมลินอีกล่ะ ถือว่าพี่ขอร้องละกัน” แววตายาวรีจ้องลึกลงไปในดวงตาคมกริบอย่างขอร้อง
จนผู้เป็นน้องจำใจพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
“พี่จะให้คียืนอยู่เป็นเพื่อนนะลิน พี่ขอตัวก่อน”
วิมลินส่งยิ้มจริงใจให้คิมหันต์ “ตามสบายเลยค่ะพี่คิม ลินอยู่ได้”
เมื่อได้ฟังคำตอบรับแข็งขันนั้นแล้ว คิมหันต์จึงค่อยเบาใจ
หากจะมีสิ่งใดทำให้เขายังหนักใจ...ก็ไอ้คนที่เขาฝากให้ดูแลนั่นแหละ
ปล่อยให้คีรีอยู่กับวิมลินคราใดเป็นต้องมีเรื่องทุกที แต่วันนี้เขามั่นใจว่าคีรีคงไม่ทำอะไรรุนแรง เพราะวันนี้คือวันที่มารดาของหล่อนเหลือแต่เถ้ากระดูก
คล้อยหลังคิมหันต์ คีรีก็สาวเท้ามาแทนที่พี่ชาย ความอบอุ่นที่เคยได้กลายเป็นความอ้างว้าง
อีกทั้งยังเยือกเย็นดุจน้ำแข็งที่บรรจงกรีดลงบนหัวใจของหล่อนอย่างช้าๆ และไร้ความปรานี
“ผมว่าคุณคงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง
ก็เห็นยังแข็งแรงดีอยู่นี่นา” น้ำเสียงของเขาขึ้นจมูก
ราวกับเยาะหยันในบางสิ่ง “สงสัย...เวลาอยู่ใกล้พี่ผม คุณคงปวดหัวตัวร้อนขึ้นมากะทันหันล่ะมั้ง!
นี่ละน้า...ที่เขาบอกว่า...ผู้หญิงน่ะมีมารยาร้อยเล่มเกวียน แต่ดูๆ
แล้วคุณคงมีเกินกว่าร้อยแล้วล่ะวิมลิน!”
น้ำเสียงแดกดันแทบทำให้วิมลินทนไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะวันนี้คือวันสำคัญ หล่อนคงฟาดมือหนักๆ ลงบนใบหน้าเรียบเฉยประดุจหินนั้นอย่างแรงให้สาสมกับคำพูนที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมาแล้ว หญิงสาวพยายามสะกดกลั้นความโกรธอย่างสุดความสามารถ ในใจได้แต่พร่ำเตือน
...อย่าไปยุ่งกับเขา อย่าเอาพิมแสนไปแลกกับเกลือเชียวนะวิมลิน!...
ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตัวหล่อนยังทำใจให้ชินกับวาจาถากถางของเขาไม่ได้สักที
...ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน จวบจนกระทั่งวันนี้
คำพูดเหล่านั้นมันกัดกินจิตใจของหล่อนจนแทบไม่เหลือชิ้นดีแล้ว!...
หล่อนนึกอยากมีวิชาล่องหน ด้วยหวังว่าอันตรธานหายไปจากตรงนี้ หล่อนไม่อยากทนมองหน้าเขาแม้แต่วินาทีเดียว!
กว่าจะจบงานวันนี้มาได้ วิมลิมก็แทบลากขาเดินอย่างหมดแรง ยิ่งต้องมาสู้รบปรบมือกับใครบางคนอีก ร่างกายหล่อนก็แทบไม่ไหว เจ้าตัวถึงกับนอนแผ่หราบนเตียงหนานุ่มทันทีที่กลับมาถึงห้อง
ภาพมารดา...คุณพิกุลยังคงฉายชัด ไม่ว่าจะเป็นแววตาอ่อนโยนที่มีให้หล่อนเสมอมา หรือรอยยิ้มนุ่มนวลยามปลอบใจหรือแม้แต่อ้อมกอดอบอุ่นที่มอบให้ยามหล่อนว้าเหว่
...แม่คะ ลินคิดถึงแม่...คิดถึงจัง
วิมลินเข้ามาอยู่ที่นี่ได้แค่ห้าเดือนคุณพิกุลก็ล้มป่วย คำที่หมอบอกแทบทำให้หญิงสาวแทบหมดสติ
‘แม่คุณเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย’
ระยะสุดท้าย...หล่อนสะอื้นกับคำนั้น
ขณะที่ผู้เป็นมารดากลับ...สงบ...นิ่ง ไม่ตื่นตระหนก ราวกับท่านรู้ตัวมาก่อนแล้ว
‘แม่ขา...แม่...’ หล่อนเรียกท่าน น้ำเสียงสั่นเครือเจือสะอื้น หากท่านกลับยิ้มให้หล่อน
‘อย่ากลัว...’ ท่านลูบศีรษะของหล่อนเบาๆ พลางปลอบ ‘เกิดแก่เจ็บตาย
ใครก็หนีไม่พ้น’
ท่านยอมรับข่าวร้ายนั้นอย่างง่ายดาย
ผิดกับตัวหล่อนที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่หลายวัน
ถัดจากวันที่ตรวจเจอมะเร็งไม่นาน ท่านก็ป่วยหนัก นอนซมอยู่ในโรงพยาบาลโดยมีคุณอธิปัตย์คอยดูแลห่วงใย ไม่ห่าง
วิมลินซาบซึ้งในบุญคุณของคุณอธิปัตย์เหลือเกิน
หากไม่ใช่เพราะเขา หล่อนและแม่คงไม่ได้อยู่สุขสบายอย่างทุกวันนี้
หล่อนอาจจะไม่ได้เรียนหนังสือ เผลอๆ
อาจจะกลายเป็นเด็กติดยาหากอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมก็เป็นได้
บุญคุณของคุณอธิปัตย์หล่อนต้องตอบแทนแน่นอน
ทว่าจะให้อยู่บ้านนี้ต่อไป หล่อนไม่อาจทำได้
คงถึงเวลาแล้วที่หล่อนต้องก้าวเท้าออกจากบ้านหลังนี้เสียที...
ใครบางคนที่รอไสหัวเธอให้พ้นหูพันตาคงดีใจแย่!...
หากหล่อนยังอยู่...ใครคนนั้นคงได้แต่เอ่ยวาจาถากถาง ดูถูก
เหยียดหยามหล่อนอย่างไม่มีวันจบสิ้น
... หากหล่อนไปเสียได้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงจะดีขึ้น
วิมลินทอดถอนใจ เมื่อความเศร้าพาดผ่านในความรู้สึก
...จะเป็นอะไรไปเล่า ในเมื่อเธอมาจากดิน เธอจะหวนคืนสู่ดินอีกครั้งจะไปยากอะไร...
ถึงแม้บ้านหลังใหญ่จะแปรเปลี่ยนเป็นรังหนู
ก็ยังดีกว่าต้องทนให้ใครเขาดูถูก!
ความคิดเห็น