ตอนที่ 3 : บทที่ 3
ดวงอาทิตย์ยามบ่ายแขวนอยู่เหนือสมรภูมิรบ แสงที่ส่องผ่านผืนทรายเผยเห็นเงาของโล่และเสื้อเกราะที่กองระเกะระกะ สงครามที่ผ่านไปทำให้หยดเลือดที่ซึมเข้าไปในผืนทรายก็ถูกลมพัดปลิวว่อนในอากาศ ทรายถูกย้อมไปด้วยเลือด ร่างของทหารบางส่วนถูกฝังใต้ผืนทราย นี่คือความโหดร้ายของสงครามที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ผลที่ตามมาจากสงครามก็คือชื่อเสียงของประเทศ ความยิ่งใหญ่ของราชสำนัก และความสงบสุขของประชาราษฎร์ เดิมพันครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ไม่ว่าแคว้นฉีหรือจินเหลียวต่างก็ต้องสู้สุดกำลังเพราะไม่ต้องการสูญเสีย
หวางเอี๋ยนซูและซูยีต่างก็เป็นแม่ทัพของแต่ละฝ่าย ทั้งคู่ต่อกรกันกลางสนามรบภายใต้ชุดเกราะที่หนักอึ้งและชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หวางเอี๋ยนซูพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบราบ “ผลการรบในครั้งนี้ก็รู้ผลแล้วทำไมเจ้าถึงยังดื้อรั้น หากยอมรับความพ่ายแพ้ ข้าจะปูนรางวัลให้เจ้าทั้งชื่อเสียงและเงินทอง กษัตริย์แคว้นฉีและเสนาบดีฉ้อฉลมีค่าพอให้เจ้าเสียสละชีวิตเพื่อพวกมันอย่างนั้นหรือ”
ซูยีไม่โต้ตอบ เขารู้ดีว่าหวางเอี๋ยนซูพูดถูกต้องทั้งผลลัพธ์ของสงครามและผลการต่อสู้ระหว่างเขาและอีกฝ่าย เพราะหวางเอี๋ยนซูยังคงมีเรี่ยวแรงพูดจากับเขา แต่สำหรับเขาแล้วนั้น เรี่ยวแรงที่แม้แต่จะขยับปากยังแทบไม่มีด้วยซ้ำ
นัยน์ตาของหวางเอี๋ยนซูทอประกายเยียบเย็น “เจ้าช่างโอหังยิ่งนัก ไม่สนใจที่จะตอบคำถามข้า” ด้วยความเคืองขุ่นและเอาแต่ใจ กษัตริย์หนุ่มกวัดแกว่งหอกยาวราวกับมังกรโต้คลื่น ซูยีได้แต่เคลื่อนตัวหลบการโจมตี แต่ไม่สามารถปะทะแรงของอีกฝ่ายได้ ไหล่ของซูยีมีบาดแผลจากการโดนธนูยิงบาดเจ็บจนเลือดไหลย้อมชุดเกราะกลายเป็นสีแดงฉานครี่งซีก ดวงตาพร่ามัวริมฝีปากแห้งผาก ร่างของซูยีส่ายโงนเงนบนหลังม้า และก่อนที่ร่างนั้นจะร่วงจากหลังม้า มือแข็งแรงของกษัตริย์หนุ่มก็คว้าจับไว้ก่อน ซูยีรวบรวมเรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลือเพียงน้อยนิดพุ่งกำปั้นโจมตีฝ่ายตรงข้ามเมื่อใบหน้าของคนผู้นั้นเข้ามาใกล้ แต่โชคร้ายที่อีกฝ่ายคล้ายจะรู้การเคลื่อนไหวล่วงหน้า มือใหญ่จึงรวบจับคอแล้วรั้งเข้าหาตัว ก่อนที่ร่างของซูยีจะสิ้นสติอย่างสมบูรณ์
****
เมื่อซูยีลืมตาขึ้นมาพบว่าบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ส่องแสงอยู่รอบพระจันทร์เสี้ยว แม้ไม่มีลมพัดก็ยังหนาวเหน็บ เขาพบว่าร่างกายของตนที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อบัดนี้ถูกฉาบไว้ด้วยแผ่นน้ำแข็งเบาบาง ชุดเกราะคู่ใจที่ผ่านสงครามมานับครั้งไม่ถ้วนหายไป คาดว่าจะถูกนำไปเป็นรางวัลให้กับชัยชนะที่จับตัวเขาไว้ได้ เสียงเอี้ยดอ้าดของรถบรรทุกเชลยในยามค่ำคืนเสียดผ่านประสาทหู
เสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้น “ตั้งค่ายพักที่นี่ องค์จักรพรรดิ์มีคำสั่งให้นำตัวแม่ทัพซูไปที่กระโจม” ในความมืดของยามราตรี ใบหน้างดงามค่อย ๆ เผยให้เห็น เมื่อเห็นว่าซูยีตื่นแล้วจึงแย้มยิ้มให้ ความสดใสของนางถึงกับทำให้แสงจันทร์หม่นหมอง
กระโจมของหวางเอี๋ยนซูทั้งสะดวกสบายและอบอุ่น แต่ก็ยังไม่สามารถละลายความเย็นชาของผู้เป็นเจ้าของได้ ยิ่งเมื่อได้เห็นซูยีอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มที่โหดร้ายและเย็นชาทำให้ใบหน้านั้นยิ่งดูน่าสะพรึงกลัว “แม่ทัพซู รู้หรือไม่ว่าข้ารอวันนี้มานานเท่าใดแล้ว สามปีหนึ่งเดือนกับห้าวัน ขอบคุณสวรรค์และการช่วยเหลือของเหล่าเสนาบดีของแคว้นฉีที่ทำให้การรอคอยครั้งนี้สิ้นสุดได้อย่างง่ายดาย”
ซูยีเม้มริมฝีปากบาง นัยน์ตายังคงเขม้นมองคนตรงหน้า เขารู้สึกประหลาดใดเมื่อหวางเอี๋ยนซูคว้าขาแกะย่างจากจานบนโต๊ะอาหารกวัดแกว่งตรงหน้า “เจ้าหิวหรือไม่ ตอนแรกข้าก็รู้สึกประหลาดใจเหลือเกินที่แม่ทัพเดนตายมีทีท่าแปลก ๆ ขณะสู้รบ แต่เมื่อสอบปากคำผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า ถึงได้รู้เหตุผลที่น่าสมเพชว่าแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเกริกเกียรติเกรียงไกรกลับหิวโหยอดอยากเพราะไม่มีเสบียงมาหล่อเลี้ยงในยามสงคราม ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป คงไม่มีใครเชื่อ ฮา ฮา ฮา” เสียงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งไม่ทำให้ซูยีหวั่นไหวแต่อย่างใด สายตาของเชลยศึกยังคงจดจ้องกับคนตรงหน้าอย่างเยือกเย็น
หวางเอี๋ยนซูหยุดหัวเราะเมื่อเห็นซูยียังคงนิ่งเงียบ ความเงียบของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีราวกับว่าเขาเป็นตัวตลกบนเวทีและแสดงอยู่คนเดียว เขาคว้าคอเสื้อของซูยีแล้วเอ่ยเสียงเย็น “ข้าถามเจ้าอีกครั้ง จะยอมแพ้ต่อข้าหรือไม่”
ในที่สุดซูยีก็ตอบด้วยเสียงชัดเจน “ไม่ยอมแพ้”
หวางเอี๋ยนซูปล่อยคอเสื้ออีกฝ่าย “ทำไม ราชวงศ์ฉีมีค่าพอให้เจ้าเสียสละอย่างนั้นหรือ”
ซูยีกล่าวเน้นแต่ละคำ “ชีวิตของข้าอุทิศแด่ประชาชนชาวฉี” น้ำเสียงนั้นทั้งเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ
ดวงตาของหวางเอี๋ยนซูคล้ายกับจะลุกเป็นไฟ ทั้งที่รูปร่างของซูยีมีขนาดเล็กกว่าตัวของเขา แต่ความห้าวหาญของคนพูดทำให้ดูเหมือนว่าร่างของอีกฝ่ายใหญ่โตกว่าเขาเสียอีก ความโกรธนี้ยิ่งทวีขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายสงบนิ่งราวกับไม่ได้อยู่ในฐานะนักโทษ
มือใหญ่กดแผลบนไหล่ของซูยี หวางเอี๋ยนซูรู้สึกดีเมื่อเห็นอีกฝ่ายกัดริมฝีปากเพื่อระงับความเจ็บปวด ดวงตาคลุ้มคลั่งขององค์จักรพรรดิ์หนุ่มจ้องมองเขม็งแล้วคำรามช้า ๆ “ซูยี เจ้าคงไม่รู้ว่าข้ามีวิธีจัดการกับเชลยอย่างโหดเหี้ยมหลายวิธี โดยเฉพาะเชลยอย่างเจ้า ที่ข้าจะไม่ปรานี และรู้ไหมว่าข้าจะมีความสุขขนาดไหนเมื่อได้ยินเสียงร้องวิงวอนขอชีวิตจากเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อข้าก็เตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปและหากเจ้าฆ่าตัวตาย ข้าจะสังหารเชลยทหารนับหมื่นของเจ้า”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แงง โหดจัง
สำนวนดี แปลได้ไหลลื่นค่ะ
เชลยรักใช่ไม่ใช่
ด่าว่าที่เมียจะดีหร๊ออ ก๊ากก
เดี๋ยวตบปากเลย มีใครบ้างไม่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองตัวเองล่ะ ยิ่งแม่ทัพเป็นคนดีขนาดนี้