ตอนที่ 6 : Chapter 6
Chapter 6
“เริ่มจากอักษรรูนและการอ่านแผนที่ดวงดาวก็แล้วกัน”
จอนจองกุกบอกกับตัวเองก่อนจะนั่งลงหลังโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอนของเขา ตำราอักษรรูนที่คิมนัมจุนให้มาถูกวางทิ้งเอาไว้ริมขอบโต๊ะ เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดคอมพิวเตอร์รอจนมันทำงานแล้วจึงค่อยพิมพ์หาข้อมูลเข้าไปในเว็บ Search engine ชื่อดังระดับโลกอย่าง Google
ในโลกที่โครงข่ายสัญญาณเชื่อมต่อไร้สายเชื่อมโลกกว้างเข้าด้วยกันเช่นนี้ จองกุกเคยชินกับการอ่านข้อความบนจอภาพมากกว่าอ่านจากในหนังสือ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหนังสือพวกนั้นเพิ่งจะถูกสร้างขึ้นมาจากความว่างเปล่า ด้วยน้ำมือของชายหนุ่มคนดังเจ้าของพิพิธภัณฑ์และมหาวิทยาลัยแห่งเดียวของเมืองที่เขากำลังจะไปเข้าเรียน
ทว่าจองกุกต้องผิดหวังเมื่อข้อมูลที่เขาได้จากในเว็บไซต์ต่างๆนั้นไม่เพียงพอจะทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น อักษรเหล่านี้เก่าแก่เกินไป จะศึกษาให้เข้าใจจากการอ่านบทความสั้นๆในอินเทอร์เน็ตย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้แล้วหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกอ่าน
จองกุกชะงักไปเมื่อตัวหนังสือบนกระดาษปรากฏแก่สายตา เขาหรี่ดวงตาลงแล้วใช้ปลายนิ้วไล้ไปบนหน้ากระดาษด้วยจิตใจที่สั่นไหวไม่น้อย
เขารู้จักตัวหนังสือพวกนี้ ไม่สิ เขารู้จักหนังสือเล่มนี้ เขาเคยอ่านมันมาก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มยกหนังสือขึ้นก่อนจะค่อยๆก้มหน้าผากลงไป จนกระทั่งผิวหน้าของเขาสัมผัสกับหน้ากระดาษ ตัวอักษรมากมายก็พรั่งพรูเข้าหาเขาราวกับคลื่นน้ำที่โหมซัด กระแทกจนสมองอของเขาอื้ออึงไปหมด ร่างของจองกุกส่ายโงนเงยก่อนจะฟุบลงไปบนโต๊ะพร้อมกันกับหนังสือ หลายนาทีต่อมาเด็กหนุ่มก็ค่อยๆยกศีรษะขึ้นมาอย่างช้าๆ
เขาจำเนื้อหาในนั้นได้หมดแล้ว
จอนจองกุกครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็ได้รับคำตอบ หากจะพูดถึงทูตทั้งเจ็ด จะฟังดูวิเศษวิโสเพียงไร ก็สามารถให้คำจำกัดความได้ว่าเป็นหมอผีไม่ต่างไปจากอาจารย์ของพวกเขา เรียกให้ดูดีหน่อยก็คือจอมปราชญ์ไม่ต่างไปจากอาจารย์ของพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นแล้วการที่ดวงวิญญาณจะฟื้นคืนถือกำเนิดใหม่โดยยังพอจะมีเศษเสี้ยวความทรงจำอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร ทั้งนับประสาอะไรกับการที่พวกเขาเหลือหน้ากากที่บรรจุความทรงจำของเจ้าของเอาไว้ด้วย
จองกุกสวมใส่หน้ากากไปสองครั้งแล้ว ความทรงจำหลายอย่างผุดขึ้นในสมองของเขาอย่างไม่ปะติดปะต่อ แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วกับการนำทางจองกุกไปหาสิ่งที่เขากำลังตามหา หากเขาคือผู้แสวงหาจริง การตามหาคำตอบก็ต้องไม่ยากเกินกว่าตัวเขาจะสามารถกระทำได้
ดังนั้นจองกุกจึงรู้ว่ากับหนังสือบางเล่ม เขาไม่จำเป็นต้องอ่าน แต่ก็หาวิธีนำข้อความภายในถ่ายทอดเข้ามาในหัวได้ หลังจากทำอย่างเดียวกันกับหนังสืออีกสองเล่ม ที่ข้อมือของจองกุกก็ปรากฏตัวอักษรรูนเล็กๆขึ้นมาหนึ่งตัว ลักษณะคล้ายเครื่องหมาย < มันเป็นสีดำคล้ายหมึก แต่ก็คล้ายรอยสักเก่าแก่รอยหนึ่ง จองกุกไม่รู้ว่ามันปรากฏขึ้นมาเพราะอะไร แต่เขารู้ว่ามันหมายถึงอะไร
มันคือ เคน รูนที่สื่อถึงไฟ แสงสว่าง ความรู้ และการนำทาง
อักษรรูนอาจเป็นตัวแทนของหลายสิ่ง แต่สำหรับหมอผีแล้วมันคือเวทมนตร์คาถา เพียงแต่คุณสมบัติของผู้ใช้รูนแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป แม้จะเป็นอักษรตัวเดียวกัน ผลของการใช้ก็อาจต่างกันราวฟ้ากับเหว
สำหรับจอนจองกุก เคน คือเวทมนตร์แห่งการนำทางของเขา
“ปัญญาคือแสงสว่างของวิญญาณ” จองกุกพึมพำคาถาเสียงแผ่วก่อนที่เขาจะพุ่งไปที่ประตูระเบียงห้องนอน เด็กหนุ่มวางมือทั้งสองข้างกับราวระเบียง เงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน
ท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มจนมองแทบไม่เห็นอะไรนั้น จองกุกกลับยังสามารถมองเห็นดวงดาวได้ ราวกับว่าหมู่เมฆเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง เด็กหนุ่มเพ่งจิต หน้ากากที่อยู่ในอกเสื้อร้อนวาบ แล้วจองกุกก็เห็นเส้นสายของดวงดาวที่เชื่อมกัน ไม่นานนักเส้นแสงที่เหมือนสายใยนั้นก็กลายเป็นสัญลักษณ์ เคน ที่ชี้ปลายแหลมของมันลงในตำแหน่งทั้งหมดหกตำแหน่ง
“นั่น...ก็คือผู้ครอบครองหน้ากากอีกหกคนที่เหลือ” ดวงตาของจองกุกทอประกาย เขาไม่แตกตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองนี้ ราวกับว่าลึกๆเขารู้ดีว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของเขาอยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มเพียงแต่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ส่งข้อความหาคิมแทฮยองอย่างไม่รีบร้อนว่า
ฉันหาพวกเขาทั้งหมดเจอแล้ว
“นายหาพวกเขาทั้งหมดเจอเร็วขนาดนี้ได้ยังไง” คิมแทฮยองถามเขาด้วยความประหลาดใจทันทีที่พบหน้ากัน เด็กหนุ่มสองคนเดินเคียงข้างกันอยู่บนทางเดินในโรงเรียนไฮสคูลแห่งเดียวของเมือง ตามหลักแล้วผู้คนสมควรจะมองแทฮยองด้วยความแปลกใจเพราะเป็นเด็กใหม่ที่ไม่คุ้นหน้าค่าตา ทว่าทุกคนกลับมองเลยเขาไปราวกับว่าแต่เดิม การได้เห็นแทอยองเดินเคียงข้างจองกุกเช่นนี้เป็นอะไรที่พวกเขาเห็นทุกวันจนชินตาอยู่แล้ว
“เคน” จองกุกตอบ ก่อนจะดึงแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย ให้แทฮยองได้เห็นรอยอักษรรูนตัวเล็กๆบนแขนของเขา แทฮยองพยักหน้าอย่างเข้าใจทันทีที่เห็นมัน แต่เขาก็ยังขมวดคิ้ว “มันก็ยังเร็วเกินไปอยู่ดี”
“มันเร็วเพราะทุกคนอยู่ในเมืองนี้” จองกุกตอบขณะพาอีกฝ่ายเดินลัดสนามไปยังประตูด้านหลังโรงเรียน ที่มีทางเชื่อมระหว่างโรงเรียนหลักของสายสามัญที่จองกุกเรียน กับโรงเรียนย่อยสำหรับสายศิลป์โดยเฉพาะที่สร้างไว้ติดๆกัน “หากเป็นครั้งก่อน กว่าจะตามตัวกันเจอคงใช้เวลาเป็นสิบปี เพราะกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วโลก แต่พอมากระจุกอยู่ในเมืองเล็กๆแบบนี้ จะหากันนั้นง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”
“นายดูเปลี่ยนไปนะ”
“ฉันเชื่อว่าแต่เดิมก่อนจะมีหน้ากากนายเองก็คงไม่ได้นิสัยแบบนี้เหมือนกัน” จองกุกยอกย้อนอย่างคล่องปาก ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง แทฮยองเลิกคิ้วมองเขาก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ต้องตกใจหรอก เมื่อก่อนนายนิสัยแบบนี้จริงๆ เรื่องยอกย้อนเจ็บแสบนี่ของถนัดของนายเลย”
“อย่างงั้นเหรอ” จองกุกลูบตัวอักษรที่อยู่บนข้อมือของตัวเองอย่างใจลอย เขาเหลือบมองข้อมือของแทฮยอง อีกฝ่ายคล้ายรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงยกแขนขึ้นมา ข้อมือของอีกฝ่ายเกลี้ยงเกลาไม่มีร่องรอยของอักษรรูนอยู่เลย
ทว่าวินาทีต่อมา ตัวอักษรมากมายก็ค่อยๆปรากฏขึ้น จองกุกมองดูพวกมันด้วยสายตานิ่งอึ้ง เนิ่นนานกว่าเขาจะโพล่งถามไปว่า “กี่ตัว”
แทฮยองหมุนข้อมือไปมา “12”
“12 จาก 24 ตัว?” ดวงตาของจองกุกแทบจะเปล่งประกายของความอิจฉาออกมาอย่างปิดไม่มิด
“นายเพิ่งได้ตำราไปคืนเดียว จะมาอิจฉาอะไรฉัน” แทฮยองผู้สามารถรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นได้ ไม่ต้องมองหน้าจองกุกก็ยังรู้ว่าเขากำลังอิจฉาตนเองที่ใช้รูนได้ 12 ตัวอักษรแล้ว เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเอ่ยปลอบว่า “ดูจากความเร็วในการหาตัวคน ขอแค่นายใช้เวลาไปกับการทบทวนความรู้เดิม ไม่นานข้อมือนายก็จะเต็มพรืดไปด้วยรอยสัก ถึงตอนนั้นก็หาข้ออ้างกับพ่อแม่ดีก็แล้วกัน”
จองกุกฉุกใจคิดขึ้นมาได้ ถามว่า “คุณนัมจุนฉลาดขนาดนั้น เขามีกี่ตัว”
“แน่นอนว่า 24 ตัว พี่ซอกจินก็เหมือนกัน” แทฮยองกล่าวเสียงซื่อ เขาเงยหน้าขึ้นมองประตูทางเข้าอาคารตรงหน้า ก่อนจะหันมาถามจองกุกว่า “นายบอกว่าเขาอยู่ที่นี่ ในโรงเรียนศิลปะเนี่ยนะ?”
“พัคจีมิน รุ่นเดียวกับพวกเรา เป็นนักเรียนเอกเต้นของที่นี่” จองกุกกล่าว “เมื่อคืนเท่าที่ตรวจดู บ้านของเขาอยู่ใกล้ที่สุด ดังนั้นตอนเช้าก่อนมาโรงเรียนฉันเลยเดินไปดักรอดูแถวบ้านของเขา คือเขาไม่ผิดแน่นอน”
แทฮยองเห็นด้วยแล้วว่าเพราะเมืองเล็กเพียงเท่านี้ อะไรๆก็ง่ายดายไปหมดจริงๆ แม้แต่คนที่ตามหาอยู่ ขอแค่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เห็นหน้าแวบเดียวจากที่ไกลๆก็ระบุชื่อนามสกุลพร้อมทั้งที่อยู่หรืออาจกระทั่งเบอร์โทรศัพท์ได้แล้ว
“นายจะทำอะไรถ้าเจอเขา” จองกุกถามด้วยความสงสัย ขณะนำแทฮยองเดินขึ้นบันไดไปหาคนที่พวกเขาต้องการตัว
“ก่อนอื่นก็ต้องถามว่าจำเราสองคนได้ไหม” แทฮยองตอบเหมือนเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง “นายรู้ไหมว่าหน้ากากของเขาคือหน้ากากใบไหน”
จองกุกชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า
“งั้นก็ยุ่งยากนิดหน่อยจริงๆนั่นแหละ” แทฮยองถอนหายใจ เด็กหนุ่มทั้งสองหยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้องซ้อมเต้นห้องหนึ่ง ต่างก็มองหน้ากันและกันไม่มีใครเป็นฝ่ายเสนอความคิดเห็นอะไรขึ้นมาอีก หลายนาทีต่อมาแทฮยองก็พึมพำว่า “อารมณ์เขาค่อนข้างหดหู่นะ หรือเราจะมากันวันหลังดี?”
จองกุกมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เข้าใจ
แทฮยองกะพริบตามองเขา ก่อนจะอ้อมแอ้มเอ่ยว่า “มีคนหนึ่งในบรรดาทูตทั้งเจ็ดที่ฉันไม่สนิทด้วยเลย ไม่ค่อยกล้าคุยด้วย ถ้าเกิดพัคจีมินคือเขาคนนั้นขึ้นมา ฉันก็ไม่กล้าคุยด้วยแล้ว”
“ใคร” จองกุกนึกอะไรเกี่ยวกับคนคนนั้นที่แทฮยองพูดถึงไม่ออกเลย
“Destroyer ผู้ทำลาย” เอ่ยจบแทฮยองก็มีท่าทางตัวสั่นน้อยๆขึ้นมาทันที “เป็นเจ้าชายเหมือนกันแท้ๆ แต่น่ากลัวมากๆ บอกว่าเป็นลูกชายของเฮลล่าฉันก็เชื่ออ่ะ แค่คิดว่าจะต้องมาเจอเขาอีกก็สั่นแล้ว”
“คนพรรค์นั้น คงไม่มาเป็นนักเต้นหรอกมั้ง” จองกุกเอ่ยอย่างคนมองโลกในแง่ดี และขี้เกียจจะชักช้าเสียเวลา จึงเคาะประตูห้องซ้อมก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปด้านในทันที แทฮยองสะดุ้งเฮือก เขาลังเลอึดใจเดียวก่อนจะค่อยๆจางหายไป ตัดสินใจเดินเข้าห้องซ้อมไปในสภาพหายตัว
จองกุกไม่เห็นแทฮยองตามเข้ามาก็เพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กๆ เขากวาดสายตามองไปทั่วห้องซ้อมเต้น ก่อนจะพบกับเด็กหนุ่มผมดำผู้สวมเสื้อลายทางตัวโคร่งกำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาประหลาดใจ พัคจีมินที่คุ้นหน้าคุ้นตากันพอสมควรเพราะเรียนประถมห้องเดียวกันทักเขาว่า “นาย...จองกุกนี่ มีอะไรเหรอ”
“นายมีหน้ากากอยู่หนึ่งใบใช่ไหม จีมิน”
แทฮยองที่หายตัวอยู่ข้างๆเขาสะดุ้งโหยงไม่ต่างอะไรกับพัคจีมิน เขารู้อยู่แล้วเชียวว่าคนอย่างซีกเกอร์ จะเกิดใหม่อีกกี่ครั้งพอได้หน้ากากมาแล้วจะต้องกลับคืนนิสัยเดิมแน่ๆ
ขวานผ่าซากเป็นที่สุด แถมถ้าสงสัยอะไรก็โพล่งถามออกไปเลยแบบไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น
“นายพูดเรื่องอะไรของนายน่ะ” เห็นได้ชัดว่าพัคจีมินถูกการโพล่งถามนี้ทำเอาต้องระวังตัวแจไปเลยเหมือนกัน ดังนั้นหลังปฏิเสธทางอ้อมอย่างอึกอักแล้ว สายตาก็เริ่มมองซ้ายมองขวาเพื่อหาทางหนีทีไล่ทันที แทฮยองเห็นแบบนั้นก็ตัดสินใจปรากฏตัวออกมา ในมือของเขายังถือหน้ากากของตัวเองอีกด้วย การปรากฏตัวของเขาสะกดพัคจีมินที่กำลังจะหาทางหนีได้ทันที
ดวงตาคู่เรียวของพัคจีมินมองหน้ากากในมือของแทฮยองก่อนจะเอ่ยเสียงค่อยว่า “...ไฮด์?”
“..เดฟ?” แทฮยองก็ย้อนถามอย่างไม่แน่ใจนัก ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของพัคจีมินสว่างไสวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเองเช่นนั้น เขาก้าวเข้ามาหาแทฮยองก่อนจะสวมกอดเด็กหนุ่มอย่างแรง
จองกุกมองภาพนี้ด้วยสีหน้าของคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน
ที่สำคัญคือเขารู้สึกไม่ชอบหน้าพัคจีมินขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุทันทีที่เห็นภาพนี้เข้า
“ให้ตาย ฉันนึกว่าพวกนายเป็นคนของพวกวิหารเทพเสียอีก” พัคจีมินลูบอกหลังจากปล่อยแทฮยองออกจากอ้อมกอด เขามองจองกุกที่สีหน้าเริ่มบูดบึ้ง ก่อนจะถามว่า “ถ้าพวกนายมาด้วยกัน งั้นนายก็คงเป็นซีกเกอร์แล้ว”
จองกุกพยักหน้า ถามย้อนว่า “นายเป็นใคร”
พัคจีมินชี้เข้าหาตัว ก่อนจะเอ่ยว่า “นายจำฉันไม่ได้? เอาเถอะ ไม่ว่ากันหรอก กว่าฉันจะจำอะไรต่อมิอะไรได้ก็ใช้เวลานานอยู่ ฉันก็คือ Defender …ผู้ปกป้องหรือที่พวกนายชอบเรียกกันว่า เดฟ ยังไงล่ะ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 พฤษภาคม 2562 / 20:38
น้องจกู๊กเก่งมากค่ะรู๊ก แง้
ผู้ทำลายจะให้มินยุนกิรึเปล่านะ?