ตอนที่ 5 : Chapter 5
Chapter 5
“รูนไม่ใช่แค่ตัวอักษรธรรมดา” เสียงของชายชราคนหนึ่งดังขึ้น จองกุกลืมตามองรอบตัว เขาสะดุ้งเมื่อพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้า ร่างกายของเขาผอมแห้งและเล็กจ้อย สายลมจางๆพัดผ่านให้ความรู้สึกอุ่นสบายและนั่นแตกต่างกับเมืองที่เขารู้จักจนไม่ต้องเสียเวลาขบคิด จองกุกก็รับรู้ได้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่Ghost Town บ้านเกิดของเขา แต่เป็นสถานที่อื่นที่เขาไม่เคยไปเยือนมาก่อน
“รูน คือสิ่งที่เทพเจ้าประทานให้กับมนุษย์ รูนา หรือรูน มีความหมายในภาษาปัจจุบันว่าความลับหรือเสียงกระซิบ” ที่อยู่เบื้องหน้าของเขาคือชายชราผมขาวยาวเคลียไหล่ผู้หนึ่ง ชายชราผู้นี้นั่งเอนหลังพิงต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม้เท้าสีดำยาวพาดอยู่บนตักของเขา ให้ความรู้สึกเหมือนผู้ทรงความรู้คนหนึ่ง จองกุกรู้สึกว่าเขาช่างคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกิน แต่นึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร “ดังนั้นเมื่อมาถึงมือมนุษย์ รูนก็คือภาษาของเวทมนตร์ เป็นอักษรที่ลึกลับซับซ้อนและมีความหมายมากเกินกว่าจะเป็นแค่ตัวอักษรที่บ่งบอกความหมายผิวเผินของสรรพสิ่ง หมอผีส่วนมากศึกษาอักษรรูนเหล่านี้และใช้มันเพื่อสร้างเวทมนตร์ ช่วยเหลือผู้คน รักษาโรคภัย”
“เหมือนอย่างอาจารย์ใช่ไหมขอรับ” ปากของจองกุกขยับเอ่ยเอง วินาทีนั้นจองกุกรับรู้แล้วว่าเขาได้เข้ามาอยู่ในห้วงความทรงจำอีกแล้ว และนึกขึ้นได้ถึงคำพูดของคิมแทฮยองก่อนจะเอาหน้ากากมาใส่ให้เขา
“ฉันจะช่วยตามหาวิญญาณปู่ของนายให้ และ..กระตุ้นความทรงจำเก่าก่อนของนายให้กลับคืนมาอีกสักเล็กน้อย...”
นี่คือ..ความทรงจำของเขาเองจริงหรือ?
หากเป็นเช่นนั้น ชายชราที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของเขาก็คือหมอผีคนนั้น... คืออาจารย์ของทูตทั้งเจ็ดคนนั่น
“ข้าน่ะไม่เหมือนหมอผีทั่วๆไปหรอก ซีก”
จองกุกต้องประหลาดใจอีกครั้งที่หมอผีเรียกเขาว่า ซีก เขาเข้าใจว่ามันคงจะมีที่มาแบบเดียวกับชื่อหน้ากากของเขา ซีกเกอร์ หรือบางทีมันอาจเป็นชื่อของเจ้าของหน้ากากนี้จริงๆก็ได้
“เจ้าคิดว่าหากข้าเป็นหมอผีทั่วๆไป พระราชาจะให้ข้าทำหน้าที่เป็นอาจารย์แก่เจ้าชายอย่างนั้นหรือ จะยกข้าขึ้นเป็นจอมปราชญ์อย่างนั้นหรือ” หมอผีเฒ่าหัวเราะในลำคอเบาๆ “ข้ารับลูกศิษย์เพียงไม่กี่คนหรอก และเจ้าคือคนสุดท้าย ทีนี้พร้อมจะเรียนรู้เรื่องของรูนกับข้าต่อแล้วหรือยัง”
”อาจารย์ ข้าไม่เข้าใจขอรับ” จองกุกในร่างของเด็กน้อยนามว่าซีกเอ่ยถามเสียงฉงน “ท่านเคยบอกข้าว่านอกจากเจ้าชายแล้ว ยังมีอัศวิน นักบวช เศรษฐี กระทั่งราชาที่ท่านรับเป็นศิษย์ ท่านเป็นถึงจอมปราชญ์ของแผ่นดิน แล้วเหตุใดถึงมารับข้า...ขอทานที่ไม่มีอะไรดีเป็นศิษย์เล่าขอรับ”
“เพราะข้ามองเห็นศักยภาพในตัวเจ้าน่ะสิ” หมอผีตอบ “และมองทะลุถึงจิตใจภายในของเจ้า เจ้ายากจน เจ้าลำบากมาตลอดเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด เจ้าเหมือนคนเห็นแก่ตัว แต่เจ้ามีความดีอยู่ และเทพีแห่งโชคชะตาก็บอกกับข้าให้เลือกเจ้า เพื่อรับตำแหน่งผู้แสวงหา หนึ่งในเจ็ดทูตแห่งมิดการ์ด”
“ทูตแห่งมิดการ์ด คืออะไรขอรับ”
“มิดการ์ดคือคำที่ใช้เรียกโลกมนุษย์ของพวกเรา อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางของทั้งเก้าโลก”
“แล้วโลกมีตั้งเก้าโลกได้อย่างไรขอรับ”
“เทพเจ้าสร้างขึ้นมาน่ะสิ”
“แล้วมันมีอะไรบ้างล่ะขอรับ โลกทั้งเก้า” เด็กชายซีกเป็นคนช่างสงสัย และเมื่อสงสัยเขาจะโพล่งถามออกไปทันที จองกุกรู้สึกว่าตัวเองน่ารำคาญยิ่ง แต่หมอผีดูไม่ได้รำคาญใจกับการตั้งคำถามถี่ๆของเด็กชายเลยแม้แต่น้อย เขาหัวเราะพลางตอบอธิบายอย่างใจเย็นว่า “จักรวาลอันกว้างใหญ่ มีพิภพอยู่ทั้งหมดเก้าพิภพ ทั้งเก้าพิภพนี้ถูกโอบอุ้มเข้าไว้ด้วยกันโดยต้นไม้ใหญ่นามอิกดราซิล ทั้งเก้าพิภพนี้แบ่งออกเป็นสามชั้นใหญ่ๆ ชั้นบนสุดคือที่อยู่ของทวยเทพทั้งสองตระกูลและพวกเอลฟ์แห่งแสงสว่าง ถูกเรียกขานตามลำดับว่า แอสการ์ด วานาไฮล์ม และอัล์ฟไฮม์ ชั้นถัดลงมาประกอบด้วยมิดการ์ด โลกมนุษย์ โจทันไฮล์มโลกของยักษ์น้ำแข็ง และนิดาเวลลี โลกของพวกคนแคระ”
ขณะที่หมอผีเอ่ยคำ มือของเขาก็โบกสะบัดไปมา แล้วแสงสีขาวก็ก่อตัวขึ้นเป็นภาพจำลองโลกทั้งเก้าและต้นไม้ใหญ่ยักษณ์ต้นหนึ่ง เด็กชายมองดูมันด้วยความพิศวงระคนตื่นตะลึง
“และในชั้นล่างที่สุด ประกอบด้วย สวาทัลฟ์ไฮล์ม โลกของพวกดาร์กเอลฟ์ เฮลไฮล์ม โลกแห่งความตาย และนิฟล์ไฮล์มดินแดนอาถรรพ์ที่อยู่ในชั้นที่ต่ำและดำมืดที่สุดของจักรวาล” เอ่ยถึงตรงนี้หมอผีก็มองเด็กชายแล้วถามว่า “เป็นอย่างไร มีเรื่องให้ต้องเรียนรู้เยอะเลยใช่ไหม”
จองกุกพยักหน้า อย่าว่าแต่เด็กที่ชื่อซีกคนนี้เลย เขาฟังแล้วยังมืดแปดด้านไปหมด เขาไม่เคยรู้เลยว่าโลกทั้งเก้าและมีรายละเอียดเจาะลึกที่รอคอยเขาอยู่อีกมากน้อยแค่ไหน และการเป็นทูตมันเกี่ยวข้องยังไงกับการเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่แค่ว่าหาทางส่งราชินีแห่งความตายกลับเฮลไฮล์มไปก็จบแล้วหรือ
หมอผีคล้ายรู้ถึงความข้องใจของเขา จึงกล่าวต่อทันทีว่า “เรื่องโลกทั้งเก้าเหล่านี้เจ้าไม่ต้องสนใจให้มากนักก็ได้ แต่ที่จำต้องอธิบายให้เจ้าเข้าใจ ก็เพราะหน้าที่ของทูตเกี่ยวพันกับสิ่งที่โอบอุ้มโลกทั้งเก้าเอาไว้ เกี่ยวพันกับอิกดราซิล ต้นไม้แห่งชะตาและชีวิต”
“ตามที่ข้าเข้าใจ ทูตคือผู้ส่งสาส์น” เด็กชายกล่าวแย้ง
“ที่เจ้าเข้าใจก็ไม่ผิด ทว่าทูตยังมีอีกความหมาย ซีก นั่นคือการเป็นตัวแทน”
“ตัวแทนของอะไรหรือขอรับ”
“ตัวแทนของโนร์น ตัวแทนของเทพีแห่งโชคชะตาที่จะต้องพิทักษ์อิกดราซิลเอาไว้อย่างไรล่ะ”
เฮือก!
จอนจองกุกสะดุ้ง ก่อนจะเด้งตัวขึ้นอย่างแรง หน้ากากสีขาวหลุดออกจากใบหน้าของเขา แล้วหล่นลงบนร่างที่ตอนนี้อยู่บนเตียงขนาดสามฟุตครึ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ยิ่งกวาดตามองโดยรอบก็ยิ่งมั่นใจ ว่านี่ก็คือห้องนอนของเขาในบ้านไม่ผิดแน่
จองกุกหยิบหน้ากากขึ้นมา ถามตัวเองด้วยความสับสนว่าเขากลับมาที่บ้านได้อย่างไร
เด็กหนุ่มหันมองซ้ายขวา ก่อนจะพบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่ข้างหมอน เด็กหนุ่มหยิบมันขึ้นมา ก่อนจะพบว่ามีข้อความถูกส่งทิ้งไว้จากใครบางคน ที่จัดการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของตนเองในเครื่องของเขาอย่างถือวิสาสะ
แทฮยอง : ฉันให้พี่จินพานายกลับไปส่งที่บ้านเพราะเห็นว่าดึกแล้ว ไม่ต้องกังวล เราส่งนายถึงห้องนอนทันก่อนที่พ่อกับแม่ของนายจะกลับมาจากสุสาน พวกเขาจะคิดว่านายแค่หลบออกไปร้องไห้คนเดียวเงียบๆแล้วกลับมานอนพักเพราะเหนื่อยอ่อน หวังว่านายจะได้เห็นข้อความนี้หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วนะ ฉันยังต้องการความช่วยเหลือจากนายอยู่ ถ้าตัดสินใจได้แล้วก็โทรมาหาฉันก็แล้วกัน อ้อ ฉันเมมเบอร์โทรของพี่จินกับพี่จุนไว้ให้นายด้วย ถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามพวกเขาได้เหมือนกัน
จองกุกลูบใบหน้าของตนเองเรียกสติ ก่อนจะพิมพ์ตอบไป
Me : พรุ่งนี้หลังเลิกเรียน ฉันจะไปที่พิพิธภัณฑ์
ข้อความตอบกลับถูกส่งกลับมาทันทีราวกับอีกฝ่ายเฝ้ารออยู่หน้าจอตลอดเวลา
แทฮยอง : ตกลง ฉันจะไปรอนายที่นั่น
จองกุกก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองตัดสินใจจะทำอะไร แต่เย็นวันนั้นเขาไปหาพี่น้องตระกูลคิมที่พิพิธภัณฑ์อีกครั้งจริงๆตามที่กล่าวไว้ สิ่งแรกที่ทำคือเล่าสิ่งที่ตัวเองเห็นในความทรงจำที่คล้ายกับห้วงความฝันนั้นให้คิมนัมจุนและคิมแทฮยองฟัง จากนั้นลงท้ายด้วยคำพูดสั้นๆว่า “ผมเชื่อแล้ว”
แทฮยองสบตากับพี่ชายแวบหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ถึงพวกเราจะเหมือนรู้อะไรมามาก แต่บอกได้ตามตรงเลยว่าเราก็ค่อยๆจำอะไรต่อมิอะไรได้แบบไม่ปะติดปะต่อเหมือนกันกับนายนั่นแหละ เพียงแต่ครอบครองหน้ากากมานานกว่า เลยจดจำอะไรๆได้มากกว่า แต่เราจะไม่มีทางรู้ความทรงจำของคนอื่นได้หรอกนะ ดังนั้นฉันจึงไม่รู้ว่าจอมปราชญ์..อาจารย์เคยพูดอะไรกับนายเอาไว้บ้าง แม้จะมีความทรงจำอยู่บ้างว่าเหมือนเคยพบนายก็เถอะ”
“เขาเรียกฉันว่าซีก” จองกุกเอ่ยเรื่องที่ติดใจออกมา ก่อนจะมองแทฮยองด้วยสายตาตั้งคำถาม “เขาเรียกนายว่าอะไร”
แทฮยองยิ้ม “แน่นอนว่า ไฮด์ ที่มาจากคำว่าไฮเดอร์ ในความทรงจำดูเหมือนว่าฉันจะเป็นเจ้าชายจากเมืองเมืองหนึ่ง ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปไกลเป็นพันๆไมล์”
“ส่วนฉันก็คือ ครีต จากคำว่าครีเอเตอร์” คิมนัมจุนกล่าวพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แสนสบายของเขา “ลูกศิษย์คนเดียวของจอมปราชญ์ที่เป็นถึงพระราชา”
“แล้วคุณซอกจินล่ะครับ”
“ชื่อของเขาก็ย่อมเป็นเพรย์ แต่แน่นอนว่าพวกนี้ไม่ใช่ชื่อจริงของพวกเราในสมัยนั้นกันหรอก” คิมนัมจุนเอ่ยพลางยกรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า “เวลาที่ความทรงจำหวนกลับมาเมื่อใส่หน้ากาก ชิ้นส่วนของความทรงจำที่เราเห็นจะเป็นคำตอบของคำถามที่อยู่ในหัวของเราขณะนั้น ยกตัวอย่างเช่น ราวสิบปีก่อน ฉันสงสัยว่าจะเข้าใจอักษรรูนได้ยังไง หลังใส่หน้ากากฉันก็ค่อยๆจดจำความหมายของอักษรรูนได้ เมื่อไปหาตำรามาศึกษาก็เข้าใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วขึ้น”
“ส่วนฉันก็สงสัยว่าไฮเดอร์นี่มันเป็นยังไง คนเราจะหลบซ่อนไปเพื่ออะไรจนถึงกับต้องมีหน้ากากชื่อนี้ แต่พอฉันใส่หน้ากาก ฉันก็กลายเป็นว่าสามารถหายตัวได้ขึ้นมาซะอย่างนั้น” แทฮยองเล่าเรื่องของตัวเองออกมาบ้าน สีหน้าท่าทางขบขันเรื่องราวในอดีตของตัวเองไม่น้อย
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ผมก็ควรเริ่มศึกษาการอ่านแผนที่ดวงดาวงั้นสินะ” จองกุกขมวดคิ้วเข้าหากันจนแน่น เขากำลังขบคิดอย่างหนักว่าจะจัดการอย่างไรกับสภาพแปลกๆของตนเองในตอนนี้ และเขายังต้องการข้อมูลอีกหลายอย่างมากขึ้นอีก “คุณนัมจุน ดูเหมือนถ้าอยากจะอ่านแผนที่ดวงดาว ผมเองก็ต้องศึกษาอักษรรูน เพราะในความทรงจำเอง หมอผีก็เริ่มต้นสอนผมเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน”
คิมนัมจุนพยักหน้ารับ เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะมุ่งตรงไปยังชั้นหนังสือที่เรียงรายอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา ก่อนจะคัดสรรหนังสือออกมาสองสามเล่ม เมื่อกลับมาถึงเขาก็วางพวกมันทั้งสามเล่มลงบนโต๊ะก่อนจะกล่าวแนะนำว่า “นี่เป็นตำราเกี่ยวกับอักษรรูนที่เข้าท่าที่สุดที่พอจะหาได้และหน้ากระดาษไม่เหลืองซีดจนไม่เหลืออะไรแล้ว”
เอ่ยจบเขาก็ยื่นมือทั้งสองที่แบออกมาตรงหน้าจองกุก ไม่นานนักในมือของเขาก็ค่อยๆปรากฏหนังสือสามเล่มที่หน้าตาเหมือนหนังสือบนโต๊ะของเขาทุกประการ
จองกุกถูกภาพที่เห็นนั้นทำเอาผงะไป
“นะ..นั่นคือ”
“คือพลังในการสร้างของฉันเอง” คิมนัมจุนกล่าวพลางวางหนังสือชุดใหม่ลงบนโต๊ะแล้วเก็บหนังสือเล่มจริงทั้งสามเล่มเข้าที่เดิมของมัน “ฉันเข้าใจเอาเองแบบนี้ ผู้หลบซ่อนจะมีพลังในการล่องหนหายตัว ผู้สรรค์สร้างก็จะมีพลังในการสร้างวัตถุ ผู้แสวงหาอย่างนายก็น่าจะมีพลังในการตามหาสิ่งที่ต้องการหาได้”
จองกุกถามทันที “แล้วผู้สวดภาวนาล่ะครับ”
“อาจฟังดูเหมือนการอ้อนวอน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ” คิมแทฮยองกล่าว “เขาเหมือนแบบว่า..เชี่ยวชาญด้านคาถาอาคมน่ะ เห็นบอกว่าในสมัยแรกเริ่มเขาเป็นนักบวชชั้นสูง แล้วพอได้อาจารย์รับเป็นศิษย์เขาก็ยิ่งเก่งขึ้น เรียกได้ว่าในยุคนั้นถ้าเขาเรียกตัวเองว่าเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองเป็นที่หนึ่งในเรื่องอาคมอีกแล้ว”
“ส่วนฉันก็เป็นขอทาน...” จองกุกนึกถึงอดีตกับนิสัยช่างถามของตัวเองแล้วได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ สามพี่น้องตระกูลคิม คนหนึ่งเป็นพระราชา อีกคนเป็นเจ้าชาย อีกคนเป็นนักบวชระดับสูง ความแตกต่างทางชนชั้นวรรณะราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นอะไรที่ดึงดูดพวกเขามาเจอกันได้เลย
“อย่าไปสนใจเรื่องพรรค์นั้นเลย จองกุก” แทฮยองวางมือลงบนไหล่ของเขาขณะที่เดินเข้ามายืนข้างๆ “นายเพิ่งเริ่มต้น ยังจำอะไรไม่ได้มาก แต่ฉันลองตามหาความทรงจำของตัวเองเรื่องนายแล้ว นายสุดยอดกว่าที่นายคิดเอาไว้เยอะ”
“เรารู้จักกันเหรอ” จองกุกหันไปถามด้วยความสนใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแทฮยองอาจจะจำเขาได้หรือเคยคุยกับเขา เมื่อได้ยินคำถามของจองกุก แทฮยองขยับรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าก่อนจะเอ่ยว่า “รู้จักสิ รู้จักกันดีมากด้วย”
“เจ้าชายกับขอทานมารู้จักกันได้ยังไง”
”เพราะเรามีอาจารย์คนเดียวกัน และเมื่อเป็นศิษย์ของหมอผีแล้ว ฉันจะยังนั่งเป็นเจ้าชายรอเสวยสุขอยู่แต่ในวังได้ยังไงล่ะ ฉันออกเดินทาง” แทฮยองมีสีหน้ารำลึกความหลัง ดูขัดตากับใบหน้าเด็กหนุ่มวัยรุ่นหล่อเหลาของเขายิ่งนัก จองกุกเพิ่งเข้าใจว่าบุคลิกที่แทฮยองแสดงออกมาได้เหมือนคุณชายตระกูลผู้ดีขนาดนี้ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขานามสกุลคิม
แต่เพราะเขาเป็นอย่างนี้มาตลอดจริงๆ เป็นเจ้าชายผู้หล่อเหลาและสง่างาม
“หลังออกเดินทางแล้วก็ใช่ว่าฉันจะตะลอนไปทุกที่ ทุกปีต้องแวะไปเยี่ยมอาจารย์ และในปีหนึ่งอาจารย์ก็แนะนำศิษย์น้องคนหนึ่งให้ฉัน เขาไม่เห็นเหมือนขอทานเลยสักนิด แม้จะมีนิสัยแปลกๆไปบ้าง ค่อนข้างไม่เหมือนศิษย์คนไหนของอาจารย์เลย แต่ก็เป็นคนดีมาก และเรายังได้ออกเดินทางด้วยกันช่วงหนึ่งด้วย หลังจากผ่านการทดสอบกับอาจารย์แล้ว ฉันก็จำรายละเอียดของการเดินทางไม่ได้นะ จำได้แค่นี้แหละ” แทฮยองยักไหล่ พลางยิ้มให้จองกุก “ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราออกตามหาด้วยกัน นายจะพาฉันไปถูกทางเสมอ เหมือนเข็มทิศวิเศษเลยล่ะ”
“เพราะอย่างนั้นนายเลยดีใจที่เจอฉัน เพื่อที่จะได้ตามหาทูตคนอื่นๆให้พบ” จองกุกพอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เขารู้แล้วว่ารากของอิกดราซิลน่าจะมีปัญหา และเฮลไฮลม์เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นทำให้เฮลล่าถูกส่งขึ้นมายังมิดการ์ดหรือก็คือโลกของพวกเขา
ถ้าเธอตื่นขึ้นมา ตัวเธอที่เป็นราชินีแห่งความตายจะทำให้ผู้คนล้มตายกันมากขึ้น แม้จะไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม และนั่นจะทำให้โลกทั้งเก้าเสียสมดุล ส่วนอิกดราซิล..หากต้นไม้ใหญ่นี้ส่งปัญหาไปถึงต้นใหญ่เข้า พูดง่ายๆก็คือหากความตายเหี่ยวเฉานี้ลามจากรากไปถึงลำต้นจนทำให้อิกดราซิลล้มตาย โลกทั้งเก้าก็จะพังทลายลงเพราะไม่มีสิ่งที่คอยโอบอุ้มเอาไว้อีกแล้ว
หน้าที่ของทูตทั้งเจ็ดก็คือการพิทักษ์อิกดราซิลเอาไว้ จองกุกยังไม่รู้ว่าจะสามารถทำได้ยังไง แต่อย่างน้อยๆเขาก็รู้แล้วว่าเขาจะต้องช่วยตระกูลคิมตามหาหน้ากากอีกสามใบที่เหลือ และช่วยกันส่งเฮลล่ากลับโลกแห่งความตายของเธอให้ได้ ก่อนที่ความตายจะกระจายไปทั่วทั้งมิดการ์ดแห่งนี้
พาเฮลล่ากลับบ้านได้เมื่อไหร่ พวกเขาก็จะได้รู้กันด้วยว่า เกิดอะไรกับรากของอิกดราซิลที่อยู่ในนรกแห่งนั้นกันแน่
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทูตทั้งเจ็ดคือบังทันอย่างไม่ต้องสงสัยเรยค่ะ!
แอบตกใจตอนรู้ว่าจกุกเป้นขอท่านเจ้าค่ะ จกุกมีห่าไรมากกว่านี้แน่นวลลล พิ้แพทแต่งพีคๆได้เสทอแหละเน้อะ อีกอึดใจเดียวจกุกจะได้เท่แน่นอน555555555
จองกุกลูกก ถึงจะเป็นขอทานแต่ลูกเก่งงง อาจยิ่งใหญ่
พ่อเชื่อมั่นว่าอย่างนั้น