คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ' มิ่ง : 02
เช้านี้ข่าวการกลับมาของนอมินีอันดับสองของไร่กังยูแพร่สะพัดไปทั่ว
“ลุงลีเอารถไปรับที่สนามบินแล้ว บ่ายๆคงถึง” น้องสาวคนสวยที่ปีนี้โตเป็นสาวเต็มตัวกระเซ้าข้างใบหู แบคฮยอนพับคอด้วยความจั๊กจี้
“แล้วเกี่ยวกับพี่ตรงไหน”
“หึหึ พี่แบคคิดถึงพี่ชานยอลล่ะซี่ ทำเป็นปากแข็ง” ดันบีหลิ่วตาล้อเลียนพี่ชายก่อนจะวิ่งหลบมะเหงกน้อยๆของแบคฮยอนลงเรือนไป
คนที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวลอบถอนหายใจ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง ...ตอนนี้สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว
หน้าที่ของแบคฮยอนในไร่กังยูกินเวลาเกือบสิบสองชั่วโมงต่อวัน เริ่มจากตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ เป็นลูกมือให้สัตว์แพทย์หนุ่มคนเก่งเข้าตรวจปศุสัตว์ในฟาร์มจนถึงเที่ยง บ่ายจึงเปลี่ยนไปเก็บแอปเปิ้ลและคัดเกรดในโรงงานเล็กๆที่ผลิตน้ำแอปเปิ้ล แยมแอปเปิ้ล แอปเปิ้ลอบแห้ง และไวน์แอปเปิ้ล
แบคฮยอนชอบกลิ่นหอมเฉพาะตัวของผลไม้สีแดงเหลือบทองชนิดนี้ ถึงจะถูกชักชวนให้ย้ายไปทำงานที่โซนอื่นๆเพื่อแก้เบื่อดูบ้าง แต่เขาก็ปักหลักอยู่ที่นี่มาได้ตั้งแต่เกิดจนโต
กังยูเป็นอาณาจักรการเกษตรที่กินพื้นที่หลายหุบเขา กว้างใหญ่ไพศาลจนไม่อาจใช้สายตามองไปสุดขอบคั่น ปลูกพืนพันธุ์หลากหลายชนิด ที่มีชื่อเสียงคือรสชาติของชา ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ แอปเปิ้ลที่เขารัก และไม้เนื้อแข็งที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งปัจจุบันพ่อเลี้ยงลดละการตัดไม้ลงไปมากกว่าเดิมพอสมควร เน้นส่งออกดอกไม้แทนและกำลังตีตลาดส่งออกไปทางยุโรปด้วย
การลดฮวบลงของคนงาน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าชานยอลเหยียบย่างเข้ามาถึงที่นี่แล้ว
แบคฮยอนปล่อยให้คนงานออกไปต้อนรับคุณชานยอลทายาทคนต่อไปของไร่กังยู โดยที่ตัวเองเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนักเพื่อหวังจะกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆที่คอยแต่จะรังแกหัวใจ
"โถป้า เลิกร้องไห้ได้แล้ว"
"แกนั่นแหละยัยเด็กโง่ยูรี แกไม่เข้าใจฉันหรอก"
เสียงเถียงกันช้งเช้งทำให้ผู้ร่วมสถานการณ์ที่ฟังมานานหลุดยิ้มขำ
"แกไม่รู้หรอกว่าตาหนูชานยอล เอ้ยคุณชานยอลสำคัญกับเรามากแค่ไหน"
"โอ๊ยย ก็ฉันจะไปรู้ไหมล่ะป้า เกิดมาก็ได้ยินเเต่ชื่อ ชานยอลอย่างนั้น ชานยอลอย่างนี้ ฉันไม่เห็นเขาจะเคยโผล่มาช่วยงานการอะไรในไร่เล้ยย ไม่รู้เทิดทูนอะไรกันนักหนา"
"เดี๋ยวแม่ตบปากฉีกเลยนังเด็กนี่!"
เถียงกันไปกันมาจนลามไปทำลายข้าวของ แบคฮยอนที่นั่งคัดลูกแอปเปิ้ลอยู่ด้วยถึงกับต้องเลื่อนตะกร้าออกห่างสองป้าหลานที่ทำท่าจะกระโจนใส่กันอยู่รอมร่อ คนหลานพอสู้แรงป้าไม่ได้ก็หันมาหาตัวช่วย
"พี่แบคก็คิดเหมือนฉันใช่มั้ย คนไม่ทำงานแต่ถูกกรี๊ดกร๊าดยังกับดารา ใช้ได้ที่ไหน คุณเลย์สิของจริง ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ใช่มะๆ" ใส่แรงโน้มน้าวเต็มที่ด้วยนึกว่าพี่ชายตัวเล็กที่ปกติเป็นคนเงียบๆและมักจะเออออตามเธอไปเสียหมดจะเข้าข้าง แต่คราวนี้แบคฮยอนกลับไม่เห็นด้วย ใบหน้าจิ้มลิ้มส่ายปฏิเสธแต่ริมฝีปากยังเจือยิ้มใจดี
"ไหงงั้นละพี่แบค" ยัยหนูวัยกระเตาะทำหน้าค้อน แต่เพราะทั้งรักทั้งเคารพพี่ชายต่างสายเลือดเลยเลือกจะไม่เถียงเหมือนที่ทำกับผู้เป็นป้า เด็กสาวยู่ปากถามหาเหตุผล "แล้วชานยอลนี่เขาเป็นใคร ทำไมป้าคิมวิ่งไปดูหน้าแล้วต้องกลับมาร้องไห้อย่างนี้อ่ะ"
"เขาเป็นทายาทของกังยู" แบคฮยอนเกริ่นก่อนพูดต่อ "เป็นความหวังของเรา เป็นที่รัก"
ยัยหนูทำหน้างง พี่ชายตัวเล็กลูบศีรษะทุยแล้วอธิบายต่อ "คุณชานยอลต้องไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ต้องลำบากตั้งมากเพื่อจะนำความรู้มาช่วยพัฒนาไร่ของเรา ที่มากกว่านั้นนะยูรี ตอนเรายังไม่เกิด คุณชานยอลเขาขโมยหัวใจป้าคิมไปทั้งดวงแล้ว" คนตัวเล็กล้อเล่นในประโยคสุดท้ายก่อนจะหัวเราะเสียงหวานจนตายิบหยี คนแก่ที่ถูกพาดพิงตีหัวไหล่เด็กหนุ่มแต่ก็หัวเราะตามไปด้วย ก็หล่อนถูกเทวดาน้อยองค์นั้นขโมยหัวใจไปจริงๆนี่นา ทั้งลักยิ้ม ทั้งดวงตากลมโต ช่างสั่นคลอนหัวใจคนแก่ได้ชะงักงันนัก
"ฉันชักอยากเห็นคุณชานยอลอะไรของป้าคิมแล้วอ่ะพี่แบค กลับเรือนไม้ใหญ่แล้วพาฉันไปดูหน่อยสิ"
มือเรียวตีน้องสาวไม่แท้เบาๆ "พูดเหมือนคุณชานยอลเป็นตัวประหลาดไปได้"
"ก็ฉันมันเด็กบ้านนอกนี่นา จะให้ประดิษฐ์คำทำซากอะไรล่ะ อยากเห็นก็คืออยากเห็น น่านะ นี่ก็เย็นแล้วเราเลิกงานไปดูชานยอลกันเถอะ"
ด้วยคำพูดนั้นเองที่นำพาให้บยอนแบคฮยอนมาอยู่ในพื้นที่จัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับพ่อเลี้ยงใหม่ที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ โดยมีน้องสาวตัวจ้อยคอยกระตุกแขนเสื้อแล้วกระซิบถามตลอดเวลา
"คนไหนชานยอลๆ"
แบคฮยอนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนไหน เพราะตั้งแต่ก้าวเข้าปาร์ตี้เล็กๆฉบับชาวไร่มาเขาก็ยังไม่เห็นใครซักคนที่ดูคับคล้ายคนในความทรงจำเมื่อครั้งยังเป็นเด็กแรกรุ่นเลย เด็กหนุ่มสูงผอมแต่แก้มกลมเต่งประดับลักยิ้มบุ๋มคนนั้นไปแอบอยู่ที่ไหนหนอ หนุ่มหล่อตาโตที่ออกจะโดดเด่น แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้หาตัวยากนัก
"เราโดนพี่ดันบีหลอกหรือเปล่าเนี่ย ชานยอลอะไรนั่นกลับมาจริงแน่หรอ" ยูรีบ่นกระปอดกระแปดเมื่อพี่ชายตัวเล็กของเธอหามิ่งขวัญแห่งกังยูไม่พบเสีย ที
"ดันบีคงไม่โกหกหรอก พ่อเลี้ยงเตรียมงานต้อนรับแบบนี้แสดงว่าคุณชานยอลกลับมาแล้วจริงๆ"
"อ้าว แบคฮยอน มาหาพี่ชานยอลหรอ" ทายาทเบอร์สามของไร่ส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล แบคฮยอนหันไปทางต้นตอของเสียงก่อนจะพบว่าคนขายาววิ่งมาถึงตัวเขาเรียบร้อยเเล้ว
"เปล่าหรอกครับ ผมมาช่วยยกโต๊ะ" แก้ตัวพร้อมก้มหน้ามองต่ำ จึงไม่ทันได้เห็นสายตาแวววาวของจงอินที่มองมาอย่างมีความนัย
"ว้า อย่างนั้นหรอกหรอ"
คนตัวเล็กเงยหน้ามองชายหนุ่มผิวเข้ม ร่างสูงยิ้มกว้างขวางให้อย่างอารมณ์ดี "แต่ถ้าอยากเจอก็นู้นน่ะ กลับมาถึงก็เอาแต่ขลุกอยู่ที่เรือนกล้วยไม้ ไม่รู้รออะไรอยู่" เขาทิ้งท้ายไว้เชิงเย้าแหย่ ก่อนจะขอตัวไปทำพันธะกิจเกมออนไลน์ที่ติดพันไว้ข้างในบ้าน
"ไปเรือนกล้วยไม้กันพี่แบค" เด็กสาวจอมจุ้นกระตุกแขนเสื้อสีครีมอีกครั้ง เมื่อรู้พิกัดของตัวประหลาดสำหรับเธอแล้ว
แต่ความกล้าของแบคฮยอนถูกบั่นทอนลงกว่าครึ่ง
"เอาไว้มาพรุ่งนี้แล้วกัน พรุ่งนี้มีงานเลี้ยง ยังไงก็ได้เจอแน่ๆ"
สาวน้อยทำเสียงจิ๊จ๊ะ ความก๋ากั่นฉาดฉายในแววตาคู่โต "ถ้าพี่ไม่ไป ฉันไปคนเดียวก็ได้" ว่าแล้วก็ตั้งท่าออกเดิน เธอคิดเอาเองในใจว่าพี่ชายตัวเล็กที่สุดแสนจะใจดีต้องรั้งเรียกไว้แล้วยอมใจอ่อนไปด้วยอย่างแน่นอน แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะแบคฮยอนเพียงแต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแถมยังพูดว่า "งั้นก็ตามใจ"
"พี่ชานยอลเปลี่ยนไปเยอะมาก หล่อขึ้น สูงขึ้น เท่ขึ้น ฉันนี่แทบจำไม่ได้"
หลุดจากยัยยูรีน้องสาวไม่แท้ แบคฮยอนก็ต้องผจญกับดันบีน้องสาวแท้ๆอีก
"จำได้แน่หรอ ตอนนั้นเธอยังเพิ่งห้าขวบ" แบคฮยอนย้อนถาม ไม่เชื่อคำพูดโอเว่อร์ด้วยท่าทางเพ้อฝันของน้องสาวตัวเองซักเท่าไหร่
"จำได้สิ ก็ตอนนั้นพี่ชานยอลมาหาพี่แบคทู้กกวัน ถ้าให้ฉันหลับตาวาดรูปจักรยานสีแดงที่พี่เขาปั่นมาบ้านเรานะ ฉันยังจำได้เลย"
แบคฮยอนพลันขลาดเขิน วาบหวิวแปลกๆภายในหัวใจ
"เห็นบอกว่าคุณชานยอลเปลี่ยนไปเยอะ ...เยอะแค่ไหนหรอ"
"โหย ยังกะคนละคน" สาวน้อยยังคงทำตาเคลิบเคลิ้ม ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของคนฟังเลยแม้แต่นิดเดียว
"ดึกมากแล้ว นอนเถอะ" แบคฮยอนลูบเส้นผมนิ่มของน้องสาวที่ล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ก่อนที่เขาจะปิดสวิตไฟแล้วเดินออกไปจากห้องส่วนตัวของดันบี
แบคฮยอนยังไม่ไปที่ห้องของเขาที่อยู่รวมกับคนงานอีกสองคนเลยซะทีเดียว ขาเรียวมุ่งทิศไปยังระเบียงที่ยื่นออกไปสำหรับใช้เป็นที่นั่งพักผ่อนสำหรับคนงาน คนตัวเล็กพิงกายแหงนหน้ามองพระจันทร์ดวงใหญ่ แสงนวลสาดส่องระยิบตา
ราชาแห่งกลางคืนวันนี้ช่างดูเปลี่ยวเหงาเพราะไร้หมู่ดาวคอยส่องสว่างอยู่ข้างเคียง โชคยังดีที่มีเจ้ากระต่ายน้อยนั่งเป็นเพื่อนคู่คิดอยู่ภายใน
แต่ก่อนตัวเขาเองก็เคยเป็นเช่นกระต่ายตัวนั้น สำคัญและชิดใกล้ แต่เพราะกาลเวลา ระยะห่าง และสถานภาพที่เปลี่ยนไป ทำให้แบคฮยอนไม่กล้ายกตนขึ้นเทียบเท่าเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว
พี่ชานยอลได้เรียนจบเป็นดอกเตอร์อย่างที่มุ่งหวัง กลับมาเป็นเจ้าของไร่เต็มตัวและเป็นเช่นมิ่งขวัญของคนงานทั้งไร่ ในขณะที่ตัวเขาเองยังเป็นเเค่บยอนแบคฮยอนเด็กกะโปโลคนเก่าผู้ซึ่งไร้การศึกษาและรัศมีใด สุดกำลังจะไปยืนเคียงกายเหมือนแต่ก่อน
ในขณะที่แบคฮยอนกำลังนึกน้อยใจในโชคชะตาอยู่นั้น ก็ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่เฝ้ามองพระจันทร์ดวงเดียวกันภายใต้ท้องฟ้าแห่งไร่กังยูที่ยิ่งใหญ่ไพศาลแห่งนี้
ปาร์คชานยอลเท้าแขนทั้งสองข้างค้ำระเบียงไม้ที่ยื่นออกจากห้องนอนของตัวเองพลางครุ่นคิดถึงใครคนหนึ่ง
ใคร...ที่สถิตกลางใจเขาราวกับจะวางอำนาจเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไปตลอดชีวิต
ใคร...ที่แม้จะห่างไกลแต่ก็ยังโผล่มาอิงแอบแนบใกล้แทบทุกคืนในฝัน
ใคร...ที่ปล่อยให้เขารออยู่ที่เรือนกล้วยไม้อยู่ได้ทั้งวัน แต่ก็ไม่ยักจะโผล่มาหา
ริมฝีปากกระตุกยิ้ม เหมือนจะขำแต่ก็ขำไม่ออก
"ลืมพี่ชานยอลคนนี้ไปแล้วหรือยังไงนะ พี่คิดถึงจนใจจะขาดอยู่แล้ว"
ยืนชมจันทร์อยู่อย่างนั้นกระทั่งน้ำค้างลงศีรษะ ชายหนุ่มจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวลงกับเตียงกว้างและดับไฟสลัวจากโคมรูปทรงไม้เลื้อย ไม่นานชานยอลก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ดิ่งลงสู่ฝันอันเป็นฝันเดียวกับบยอนแบคฮยอนราวกับนัดแนะ
วันนี้ไม่มีเสียงกระดิ่งจากรถจักรยานดังขึ้นกวนใจเหมือนในทุกวัน เสียงล้อปั่นเร็วๆนั้นถูกแทนที่ด้วยเสียงเบรกเอี๊ยดของรถกระบะคันใหญ่
การจากลามาถึงแล้ว
แบคฮยอนที่นอนอยู่บนเรือนชั้นสองขดตัวลงซุกผ้าห่ม ใช้หมอนปิดหูเพราะไม่ต้องการรับรู้และรับฟังอะไรทั้งสิ้น แต่แล้วบานประตูห้องนอนก็ค่อยๆแง้มออกตามด้วยการปรากฏกายของเด็กหนุ่มร่างสูง
ชานยอลย่อตัวนั่งลงข้างเตียงไม้ แบคฮยอนพลิกตัวหันไปอีกทาง ไม่ลืมที่จะใช้ผ้าห่มคลุมหน้าคลุมตาทับไปอีกชั้นหนึ่ง
“แบค...”
เพียงเขาเอ่ยเรียกชื่อเพียงเท่านั้น สำหรับแบคฮยอนมันก็เหมือนฟ้าทลายลงตรงหน้า
จะไปแล้วหรือ?
แล้วจะกลับเมื่อไหร่?
มีคำถามมากมายอยู่ในหัวของเจ้าตัวเล็ก แม้จะเคยคุยเรื่องนี้กันไปหลายหนแล้ว แต่สำหรับแบคฮยอน การจากลาก็คือการหายไป การไม่ได้พบเจอ การไม่ได้อยู่ในสายตา การไม่ได้รับรู้เรื่องราวของกันและกัน
“แบคฮยอน” เสียงทุ้มนั้นอ่อนโยน แหบพร่า บาดลึก
หากการจากลา มีความหมายว่าการจากลา
ความรัก ก็มีความหมายว่าความรัก ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น จะด้วยปริมาณใดก็แล้วแต่ ที่ชานยอลมอบให้ และแบคฮยอนรู้สึกได้ นั่นคือความรัก
ร่างสูงลุกขึ้นไปนั่งลงบนฟูกเตียง ใช้กำลังดึงผ้าห่มที่คลุมกายเล็กออก แบคฮยอนตัวสั่นหลับตาปี๋และกัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น
ชานยอลยิ้มเอ็นดู แบคอยอนก็ยังเป็นเด็กแสบที่ไม่ยอมร้องไห้ง่ายๆอยู่วันยันค่ำ แม้จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะอยู่ที่เกาหลีก็ตาม
“มาลา” เขาบอกจุดประสงค์ แบคฮยอนพยักหน้าเร็วๆแล้วรีบบอก
“บ้ายบาย” พูดจบก็แย่งผ้าห่มมาคลุมกายเหมือนเดิม
ชานยอลถอนหายใจยาว นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นอยู่เนิ่นนาน นานจนเสียงลมหายใจถี่กระชั้นของแบคฮยอนเนิบช้าลงจนเป็นปกติ และในที่สุดลมหายใจก็เป็นไปในจังหวะเดียวกัน ชานยอลนั่งฟังเสียงการหายใจอยู่อย่างนั้นเพื่อเก็บเกี่ยวบรรยากาศสุดท้ายระหว่างเขากับเจ้าเด็กดื้อ
“จะไม่อวยพรกันหน่อยหรือ”
“โชคดี”
“แค่นี้หรือ”
“อื้อ”
“สั้นจัง”
“...”
“พี่เสียใจนะเนี่ย”
คำตัดพ้ออย่างไม่จริงจังของชานยอลเป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายของเด็กน้อยใต้ผ้าห่ม แบคฮยอนกระตุกจนคนพี่รู้สึกได้ ในอกเหมือนรัดแน่น แสบร้อนที่เบ้าตา หายใจติดขัด จากนั้นเสียงร้องโฮยาวๆก็ตามมา
“แบค” เขารียกแล้วกอดขยุ้มผ้าห่มที่สั่นด้วยแรงสะอื้นไว้ “แบคฮยอนฟังหน่อย”
“ฮือออ” เจ้าตัวเล็กกัดผ้าห่มจนปากซีด แต่เสียงที่หวีดออกมาจากช่วงอกก็ยังดังสะท้านก้องไปทั่วทั้งห้อง
“ไปปีเดียว”
“...”
“สามร้อยหกสิบห้าวัน” เขาจูบผ้าห่มในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ กอดและโยกร่างน้อยไว้อย่างหวนแหน
ปลอบอยู่ซักพักเสียงร้องไห้ก็จางลง ชานยอลเลื่อนผืนผ้าออกอีกครั้ง ประคองใบหน้าแดงก่ำขึ้นสบตาก่อนจะขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ ใกล้จนริมฝีปากจรดลงแนบหน้าผากมน
“แบค” เข้ากระซิบกับผิวหน้าผากแล้วเลื่อนมาที่ปลายจมูกรั้น แบคฮยอนปล่อยน้ำตาออกมาเงียบๆ ซึมออกจากตาจนเปรอะเปื้อนแก้มของเจ้าของจูบ
“แล้วจะคิดถึง” คนตัวเล็กให้สัญญาก่อนจะเผยอเรียวปากรับเอาจูบที่หวานที่สุดในชีวิตเข้ามาทำความรู้จัก ชานยอลเปิดใจดวงน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนจะก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจดวงนั้นด้วยฐานะเจ้าของอย่างเต็มภาคภูมิ
“พี่ก็จะคิดถึงแบคเหมือนกัน”
"ตื่น! ตื่นได้แล้วแบคฮยอน!" เสียงดังกัมปนาทนั้นแทรกแซงความฝันย้อนวันวานจนแตกกระเจิง แบคฮยอนกระตุกร่างพลางลืมตาโพลง ...เป็นจื่อเทาเพื่อนร่วมห้องของเขานั่นเองที่ตะโกนปลุก
"หกโมงแล้วหรอเทา" คนตัวเล็กถามเสียงงัวเงีย รู้สึกแปลกใจเพราะปกติเขามักจะตื่นเองเสมอเมื่อถึงเวลาหกโมงเช้า
"เพิ่งตีห้า แต่เมื่อกี้ป้าแม่บ้านที่เรือนใหญ่โทรมาตามนายน่ะ"
แบคฮยอนถึงกับเกาหัวมึนงง 'หรือว่าจะเป็นเรื่องที่ยูรีเเอบเข้าไปในเรือนกล้วยไม้นะ' ได้แต่เป็นกังวลอยู่ในใจ
ใช้เวลาทำธุระส่วนตัวเพียงแค่ครู่เดียว คนตัวเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่บ้านปูนปนไม้ของเจ้าของไร่หรือที่คนงานเรียกกันโดยทั่วไปว่าเรือนใหญ่
นับหนึ่งไม่ถึงร้อยก็มายืนหอบแฮ่กชะเง้อชะแง้หาคนที่เรียกตัวเขาอยู่หน้าเรือน อากาศเช้ามืดเจือไอน้ำค้างหนาวจนต้องห่อกายไว้ด้วยสองแขน รอจนปากซีดแต่คุณแม่บ้านที่จื่อเทาอ้างว่าโทรมาตามก็ไม่ยักจะปรากฏกายเสียที ว่าจะเดินอ้อมไปทางครัวหลังเรือนก็ดันถูกขวางกั้นด้วยร่างสูงสง่าของใครบางคนเสียก่อน
"หมอโอ!" แบคฮยอนอุทานเสียงเบาอย่างตกใจ ผู้มาใหม่ถอดเสื้อกันหนาวออกจากกายแล้วสวมทับให้ร่างเล็กที่กอดตัวเองจนกลมดิก
"ผมเป็นคนให้แม่บ้านเรียกคุณมาเอง" เขาเฉลยพร้อมกับมือที่ลูบปัดเอาหยาดความชื้นที่มีผลมาจากน้ำค้างที่ลงจัดในตอนกลางคืนออกจากปอยผมของแบคฮยอน
แบคฮยอนเลี่ยงหลบมือที่หวังดีนั้นอย่างสุภาพ กลิ่นอาฟเตอร์เชฟและน้ำหอมของคุณหมอห้อมล้อมกายเขาอยู่ จะว่ารู้สึกดีก็ไม่ใช่ ลำบากใจก็ไม่เชิง
"หมอโอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ"
"เมื่อวานครับ พร้อมลูกชายพ่อเลี้ยงนั่นแหละ ลุงลีไปรับเขาในเมืองผมเลยอาศัยติดรถมาเลยจะได้ไม่เสียเที่ยว" หมอโอหรือโอเซฮุนอธิบาย เขาเป็นสัตวแพทย์ที่เพิ่งมาประจำที่ไร่กังยูได้ประมาณสามเดือนก่อน มาถึงก็ถูกชะตาจึงขอแบคฮยอนจากเจ้าของอาณาจักรกังยูให้มาเป็นลูกมือหรือคนสนิทเวลาเขาจะไปไหนมาไหนหรือจะทำภาระกิจอะไรภายในไร่
"ขอโทษที่เรียกคุณออกมาก่อนเวลานะครับ พอดีผมมีของฝากบางอย่างจะให้เจ้าร็อบ"
ร็อบเป็นอาชาสีดำพันธุ์อาราเบียนแท้เพียงตัวเดียวในไร่ เพราะตัวอื่นจะเป็นพันธุ์ควอเตอร์และลูกผสม ที่น่าเเปลกคือร็อบมีกิริยาสง่างามเกินม้าทั่วไป แฝงไว้ด้วยความยโสโอหัง ทั้งชีวิตมีแค่คนๆเดียวที่อาชาแกร่งตัวนี้จะยอมย่อตัวลงให้ เขาคนนั้นคือคนที่ทำคลอดให้ร็อบทั้งๆที่ไม่มีความรู้อะไรเลย เขาคนนั้นพาร็อบเดินเล่นทั่วไร่แล้วก็ขี่จักรยานแข่งกับร็อบจนตัวเองตกคูน้ำ
ร็อบคงจะคิดถึงพี่ชานยอลพอๆกับที่เเบคฮยอนคิดถึง แต่สิ่งที่แย่กว่านั่นคือร็อบไม่เข้าใจเหตุผลที่พี่ชานยอลจากไปเหมือนที่แบคฮยอนเข้าใจ
ร็อบตรอมใจมาได้ซักพัก หมอโอบอกว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน
"โอ๊ะ"
แบคฮยอนหลุดจากภวังค์อันเศร้าสร้อยเมื่อจู่ๆคนเดินนำหน้าก็หยุดฝีเท้าลงโดยไม่แจ้งให้ทราบก่อน จนเขาที่เป็นฝ่ายเดินตามชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างไม่เบานัก
"โทษทีครับ" หมอหนุ่มยิ้มอบอุ่นก่อนพูดต่อ "ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีของฝากมาฝากคุณด้วย"
ไม่ทันจะได้เอ่ยปากค้านว่าเกรงใจ คนตัวสูงก็ย่อตัวลงเพื่อเด็ดลิลลี่สีชมพูในแปรงดอกไม้ขึ้นมาทัดหูคนงานตัวเล็กอย่างรวดเร็ว
แบคฮยอนถึงกับนิ่งอึ้งไปกับของฝากของคุณหมอสุดหล่อ
"นี่มันดอกไม้ของไร่นี่ครับ"
"ก็ผมบอกคุณตอนไหนหรอว่าเป็นของฝากจากในเมือง"
แบคฮยอนหลุดขำให้กับมุกด้นสดของสัตวแพทย์หน้าเด็ก "โอเคๆผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับของฝากนะครับ"
เซฮุนมองลิลลี่สีชมพูที่ตัดกับเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติของร่างเล็กอย่างชื่นใจ ก่อนจะหมุนตัวกลับทิศเดิมและเดินหน้าต่ออีกครั้ง
แบคฮยอนรูดเจ้าดอกสวยหวานออกจากใบหูก่อนจะวางแซมไว้ที่แปรงเดิม เพราะถึงเขาจะนับถือในความพยายามของคุณหมอมากเเค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจลืมลิลลี่สีขาวที่เคยผลัดกันจุมพิตกับพี่ชานยอลได้อยู่ดี
"อรุณสวัสดิ์ร็อบบี้" แบคฮยอนทำเสียงสดใสขณะทักทายม้าสีดำสนิทที่ถูกแยกคอกให้อยู่ตามลำพัง
"คิดถึงฉันล่ะซี่ ไม่ได้เจอกันตั้ง 12 ชั่วโมง"
"นี่รู้ไหมเด็กดี หมอโอก็กลับมาแล้วนะ ระหว่างฉันกับหมอโอ ร็อบคิดถึงใครมากกว่ากัน"
คุณหมอที่ถูกพาดพิงอมยิ้มอบอุ่น เขามองคนตัวเล็กที่พยายามชวนเจ้าม้าคุยด้วยสายตาใคร่รัก แบคฮยอนมีหัวใจทองคำที่เขานึกชื่นชม การทำให้คนอื่นมีความสุขทั้งที่ตัวเองกำลังเศร้า เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถฝืนทำได้อย่างที่แบคฮยอนสามารถ
"ร็อบ" คนตัวเล็กย่อตัวลงนั่งแล้วสอดมือผ่านรั้วไม้ไปสัมผัสใบหน้าของอาชาที่นอนนิ่งอยู่เบาๆ พลันน้ำตาก็รื้นขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสองข้าง กระนั้นริมฝีปากบางก็ยังยิ้มอยู่ "วันนี้ใจดีจัง ให้ฉันจับตัวด้วย"
รู้ทั้งรู้ว่าที่เจ้าร็อบให้สัมผัสกายเป็นเพราะหมดซึ่งเรี่ยวแรงจะพยศ แบคฮยอนกระพริบตาถี่ๆไล่หยดน้ำข้างใน ก่อนจะหันไปทางคุณหมอ
"ทำไมร็อบดูแย่กว่าเมื่อวานอีกล่ะครับ ร็อบไม่ลืมตาเลย"
หมอโอเดินอ้อมไปอีกฝั่งของคอกม้า เขาฉีดยาบางอย่างให้กับเจ้าร็อบที่ไม่มีแรงแม้แต่จะสะดุ้งตกใจ
"ไม่รู้จะได้ผลมั้ย คงต้องรอดู"
"คุณหมอฉีดอะไรให้ร็อบหรอครับ"
"แค่วิตามินน่ะ ผมช่วยได้มากสุดแค่นี้"
แบคฮยอนพยักหน้ารับ รู้สึกซึ้งใจสำหรับของขวัญชิ้นนี้ที่คุณหมอมอบให้ม้าที่คนในไร่ทุกคนต่างก็สิ้นหวังในตัวมันไปจนหมดแล้ว หารู้ไม่ว่าในแง่มุมของสัตวแพทย์ เซฮุนก็ไร้ซึ่งหวังไม่ต่างกัน เพียงแต่เขาเห็นว่าแบคฮยอนรักม้าตัวนี้มาก เขาจึงช่วยประคับประคองต่อไป
"มันอึดน่าดู ผมทำนายไม่ถูกเลยว่าจะตายเมื่อไหร่"
"คุณหมอเคยบอกว่าอีก2-3วัน"
"ก็ใช่ แต่มันอึดจนเลยจากที่ผมคาดการณ์มาเป็นเดือนๆ ทั้งที่อวัยวะข้างในแย่หมดแล้ว อยู่ไปก็มีแต่ทรมาน ถ้าผมเป็นมันผมคงเลือกตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป"
แบคฮยอนหันหน้าไปอีกทางเป็นเชิงว่าไม่อยากฟังคำบรรยายใดๆอีก เขาหลับตาลงขณะสัมผัสแผงคอสั่นระริกด้วยลมหายใจรวยรินของอาชาหนุ่ม พลางคิดถึงภาพที่ตรึงใจที่เกิดขี้นเมื่อหลายปีก่อน ...พี่ชานยอลไปลาร็อบที่คอกแล้วสัญญาว่าจะกลับมา
หลังจากเช็คสมรรถภาพและจัดยาบำรุงให้บรรดาปศุสัตว์เสร็จครบถ้วนแล้ว คุณหมอขวัญใจสาวๆในไร่กับลูกมือตัวเล็กก็พากันเดินกลับเรือนหลังใหญ่
"ผมส่งคุณหมอแค่นี้นะครับ"
"เข้ามาทานมื้อกลางวันด้วยกันเลยสิ กว่าจะเดินไปทานที่เรือนคนงาน คุณได้เป็นลมไปก่อนพอดี" แดดตอนเที่ยงยิ่งร้อนอย่าบอกใคร
แบคฮยอนส่ายหน้าเป็นพัลวัน "เชิญคุณหมอเถอะครับ ผมนัดกับเพื่อนไว้"
ร่างสูงพยักหน้าอย่างเข้าใจ งานหลักของเขาสำหรับวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว ครึ่งวันที่เหลือเขาจะต้องทำวิจัยและเป็นที่ปรึกษาด้านปศุสัตว์ให้เจ้าของไร่อยู่ที่เรือนใหญ่
"พรุ่งนี้เจอกันครับ" แบคฮยอนโค้งศีรษะให้สัตวแพทย์หนุ่ม ก่อนจะหมุนตัวกลับ
"เดี๋ยวก่อน!" เสียงเรียกนั้นหยุดฝีเท้าของคนตัวเล็กได้ชะงักงัน ใบหน้าติดหวานหันมาทอดแววสงสัย ก่อนที่บางอย่างที่ให้สัมผัสเย็นจะคล้องลงที่ลำคอ
"ของฝากจากในเมือง...สำหรับคุณ"
แบคฮยอนเบิกตากว้างเมื่อก้มลงเห็นสร้อยคอสีเงินยวง
"ผ..ผมรับไม่ได้หรอกครับ" พูดลิ้นพันกันพลางพยายามแกะตะขอออก แต่มือแกร่งของอีกฝ่ายก็ยื้อยุดไว้
"ไม่แพงอย่างที่คุณคิดหรอก ถ้าคุณคืนให้ ผมคงเสียน้ำใจมาก"
น้ำเสียงและดวงตาเจือเศร้าทำให้แบคฮยอนลดมือลง "ขอให้นี่เป็นของฝากชิ้นสุดท้ายที่ผมจะได้จากคุณหมอนะครับ"
หมอโอยิ้มอบอุ่น เขาพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะลูบศีรษะเล็กและหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน "ขอโทษที่ผมคงรับปากไม่ได้...แล้วเจอกันพรุ่งนี้ครับ"
แบคฮยอนพรูลมหายใจเหยียดยาวเมื่อหมอหนุ่มหายลับไปแล้ว คนร่างเล็กไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำมีใครคนหนึ่งจดจ้องอยู่อย่างจับ
บนชั้นสองตรงระเบียงห้องนอนใหญ่ ใครคนนั้นกำมือแน่น เจ็บใจไปพร้อมๆกับผิดหวัง สุดท้ายเขาก็ทุบกำปั้นลงบนระเบียงไม้ แรงสั่นลั่นกระจายไปทุกทิศทาง แต่แน่นอนว่าส่งไปไม่ถึงคนที่เขาลุ่มรักสุดดวงใจ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
"ไอ้บ้าเทาเอ๊ย นี่ฉันจะโกรธนายจริงๆแล้วนะ! คอยดูเถอะฉันจะฟ้องป้าคิม!"
แบคฮยอนตวาดเสียงแหลมเมื่อพบว่าธุระสำคัญที่เพื่อนสนิทนัดมาเจอ นั่นคือโดดงานมาเล่นน้ำตก
"นายก็เบาๆหน่อยสิ จะมีคนมาเห็นก็เพราะเสียงนายนั่นแหละ" หนุ่มสัญชาติจีนจุ๊ปากขณะแหวกว่ายอยู่ในลำธารใสแจ๋ว
คนตัวเล็กหน้าง้ำ สะบัดไปอีกทางไม่ยอมมองเพื่อน
"ลงมาเร็วเถอะน่า วันนี้คนงานไม่ต้องขนของเข้าโกดัง คนเหลือตั้งเยอะ ขาดเราไปสองคนก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร" ฮวังจื่อเทาพยายามตะล่อม แบคฮยอนเอาเท้าจุ่มน้ำเหมือนเผลอไผล แต่สุดท้ายก็ชักเท้ากลับ
"ไม่เอาน่าเทา ทำเเบบนี้มันเอาเปรียบคนอื่นนะ น้ำตกค่อยมาเล่นตอนเย็นก็ได้"
"มันก็หนาวอ่ะดิ โอ๊ะ! ช่วยด้วย!" พูดจบก็ผลุบหายไปตรงส่วนที่ลึกที่สุด แบคฮยอนรีบลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจทันที
"เทานายเป็นอะไรรึเปล่า!" ร้องถามอย่างเป็นห่วง วินาทีนั้นจื่อเทาโผล่ขึ้นเหนือน้ำแล้วทำสัญญาณมือขอความช่วยเหลือ
"ช่วยด้วยแค่กๆ!! แบค! ช่วยฉันด้วย!"
คนตัวเล็กมองเพื่อนผลุบขึ้นลงตีน้ำอย่างร้อนใจ มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นตัวช่วยอะไรทั้งสิ้น
"นายเป็นตะคริวหรอเทา!" เขาร้องถามเสียงหลง เมื่อหมดหนทางจึงรีบถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดลงไปตรงที่เพื่อนกำลังจมน้ำอยู่
น้ำเย็นเหมือนเข็มแหลมที่พุ่งทะลุร่าง แต่แบคฮยอนก็ไม่มีเวลาคร่ำครวญอุณหภูมิต่ำเตี้ยที่เขาไม่ชอบ ตาเรียวพยายามลืมมองในน้ำขณะเเหวกว่ายเพื่อค้นหาร่างกายของเพื่อนสนิท
แต่เพียงไม่นานเขาก็ถูกคว้าตัวไว้จากทางข้างหลัง โอบเอวหมับแล้วพาขึ้นเหนือน้ำไปพร้อมๆกัน
"เทา!!" แบคฮยอนโกรธจัดจนหน้าแดงเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกเป็นครั้งที่สอง แถมตัวการยังหัวเราะร่วนไม่รู้สำนึกอีกต่างหาก
"ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ!!" ทั้งดิ้นทั้งพยศราวกับก้อปปี้เจ้าร็อบมาเสียอย่างนั้น จื่อเทาอาศัยกำลังที่มากกว่ากอดคนตัวเล็กไว้จนจมอก ขาแกร่งข้างหนึ่งเกี่ยวเอวคอดไว้
"ฮ่าๆๆๆ เสร็จฉันล่ะ ทีนี้นายก็ฟ้องคนอื่นไม่ได้แล้ว เพราะว่านายก็ลงมาเล่นน้ำด้วย"
"ไอ้คนเจ้าเล่ห์!" ตะโกนพลางหอบแฮ่กอยู่ในน้ำ น้ำเข้าหูเข้าตาจนแสบไปหมด
"ฮ่าๆๆๆ หน้านายตอนนี้โคตรตลกเลย" จื่อเทาขำจนท้องแข็ง ก่อนที่เขาจะฉวยโอกาสตอนแบคฮยอนเผลอ เกี่ยวกางเกงผ้าฝ้ายจนหลุดติดเท้ามาด้วย คนตัวเล็กตื่นตะลึงพร้อมหวีดเสียงด่าทออีกครั้ง ก่อนจะว่ายตามไปเอาเรื่องเพื่อนตัวโตที่พอก่อคดีชิงทรัพย์สำเร็จก็รีบว่ายหนีไปอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าโดดงานยาวถึงตอนเย็นด้วยกันทั้งคู่ แบคฮยอนยอมรับว่าการเล่นน้ำครั้งนี้ผ่อนคลายเขาจากความกังวลที่สั่งสมมาได้โดยปลิดทิ้ง แม้จะเป็นแค่ชั่วขณะเดียวแต่ก็ถือว่าช่วยได้มาก
เมื่อตะวันลับฟ้าคนตัวเล็กจึงขึ้นจากน้ำก่อนเดินไปยังเสื้อที่ถอดทิ้งไว้
มีดอกลิลลี่สีขาววางอยู่บนเสื้อเชิ้ตลายตารางของเขา
แวบแรกเขาคิดถึงชานยอล ...แต่เป็นไปไม่ได้หรอก บางทีอาจเป็นเพียงสายลมที่พัดพามันมาตกตรงนี้พอดีก็ได้
"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบไปงานเลี้ยงกันเถอะ" จื่อเทาที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินมากอดคอเพื่อนตัวเล็ก
"นายจะไปหรอ?"
"ก็ต้องไปสิ ฉันอยากจะเห็นหน้าลูกชายคนนี้ของพ่อเลี้ยงมาตั้งนานแล้ว"
"แต่ฉันไม่ปะ.."
"ถ้านายไม่ไป ฉันจะหักขานายแล้วลากไปด้วย ...รักนายเสมอนะเพื่อนยาก"
แบคฮยอนกระทุ้งสีข้างจื่อเทาพลางบ่น "ไอ้ป่าเถื่อนบ้ากำลังเอ๊ย"
ความคิดเห็น