ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ มิ่ง ` {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #12 : ' มิ่ง : 09

    • อัปเดตล่าสุด 22 ธ.ค. 57






     

                แบคฮยอนนั่งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำของไร่กังยู สองขาแกว่งไกวอยู่ในความเย็นฉ่ำ ขาเขาสั้น เมื่อจุ่มน้ำเช่นนี้จึงลอยเคว้งคว้างไปมาตามแต่ใจจะกำหนดทิศ หรือถ้าปล่อยไว้โดยไม่ใยดี มันก็จะจมอยู่เฉยๆ ส่วนขาของพี่ชานยอลที่นั่งไหล่ชนกันอยู่นั้นยาวกว่า บางทีพี่ชานยอลก็จะหัวเราะออกมาเบาๆเพราะจั๊กจี้ที่ถูกพืชใต้น้ำไชฝ่าเท้า          

     

    มีเรื่องราวอีกมากมายที่เรารู้และไม่รู้ แต่ตอนนี้เราเหวี่ยงเรื่องเหล่านั้นทิ้งไปให้มันนอนแน่นิ่งอยู่ข้างหลัง สนแค่แผ่นน้ำและแผ่นฟ้าที่งดงามอยู่ตรงหน้า

     

                แบคฮยอนหลับตาพริ้ม สูดหายใจรับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด ลมเย็นๆที่พัดเอากลิ่นไอดินกับกลิ่นดอกไม้ป่าโชยมาด้วยทำให้หัวใจสงบได้อย่างน่าประหลาด เหมือนดวงตาสีสวยของพี่ชานยอล ยามใดที่มองเข้าไป แบคฮยอนรู้สึกสงบ ปลอดภัย ราวกับว่าเขาไม่ต้องกลัวอะไรในโลกนี้อีกแล้ว

     

                พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ท้องฟ้าเรื่อไปด้วยสีส้ม ชมพู มีม่วงปนบ้างประปราย

     

                “ทำไมไม่อยากเรียนหนังสือล่ะ”

     

                คนตัวเล็กค่อยๆลืมตาเมื่อคำถามมาพร้อมสัมผัสอบอุ่นที่ศีรษะ นิ้วทั้งห้าของพี่ชานยอลทำเหมือนบรรเลงเปียโนบนผมสีอ่อนของเขา โด เร มี ฟา ซอล... ลงมาจากหน้าผาก แล้วปลายนิ้วนั้นก็ใกล้ริมฝีปากแค่หนึ่งลมหายใจ

     

                “ก็ไม่ชอบ” แบคฮยอนตอบแค่นั้น ก่อนจะจูบเบาๆลงบนปลายนิ้วยาวแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว

     

                “ใช่หร๊อ” ทำเสียงสูงแถมเลิกคิ้วเชิงล้อเลียน

     

                “ใช่สิ...นี่อย่าล้อได้มั้ยเล่า”

     

                ร่างสูงหัวเราะแผ่วในลำคอ จริงๆเขาควรจะสนใจบทสนทนาในปัจจุบันมากกว่านี้ แต่แก้มที่กลมเกลี้ยงและโดนลมพัดจนแดงเรื่อเหมือนขนมโมจิทำให้เขาเตลิดไปไกล

     

                ขำด้วย แล้วก็มากด้วยความรู้สึกร่วมอย่างอื่น

     

                “แบค...”

     

                “...”

     

                “ไร่มันก็ยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ไปเรียนจันทร์ถึงศุกร์ เสาร์อาทิตย์กลับมาไร่ก็ยังอยู่”

     

                เจ้าตัวเล็กยู่ปาก กลอกตาทำเฉไฉ  “ก็แบคไม่ชอบเรียนอ่ะ” แล้วก็สรุปประเด็นเอาแบบง่ายๆแถมยังชวนหาเรื่อง “ทำไม ไม่อยากสอนกันแล้วหรือ”

     

                “ไม่ใช่อย่างนั้น”

     

                “ฮื่อ” ขู่ฟ่อเมื่อมือใหญ่จับสองแก้มยืด ยืดด แล้วบังคับไม่ให้ต่อล้อต่อเถียงด้วยการจุมพิตไวๆปิดปากเล็กไว้ชั่วคราว

     

                “ทำไมชอบกลัวการไปไหนไกลๆฮะ ผู้คนข้างนอกก็ไม่ได้น่ากลัวซักหน่อย อยู่กับอะไรเดิมๆจำเจทุกวันไม่เบื่อบ้างรึไง”

     

                “ไม่เบื่อ อยู่แบบนี้ดีกว่า แบคไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง”

     

                “ไม่ดีกว่า”

     

                “ดีกว่า”

     

                “โลกนี้ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลงหรอก วัตถุจะปลี่ยนแปลง คนจะเปลี่ยนแปลง วันหนึ่งคนที่บอกว่าจะไม่เปลี่ยน เขาก็ต้องเปลี่ยน”

     

                “จริงอ่ะ”

     

                “อ่าฮะ”

     

                “แต่มีอย่างนึงที่จะไม่เปลี่ยนนะ” ตัวแสบของพี่ชานยอลยิ้มทะเล้น พูดแล้วจบแค่นั้นไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดอะไร

     

                มือเล็กจับมือใหญ่วางไว้บนหน้าขาตัวเอง ศีรษะกลมพิงที่หัวไหล่ ไร้บทสนทนา ตามองฟ้า,ขาจุ่มน้ำอีกครั้ง ...ความรู้สึกอ่อนหวานที่ลอยรอบตัวของเราสองคนชัดเจนขึ้นกว่าเก่า บางครั้งมันก็เจือจางคละคลุ้งเหมือนไอฝัน บางครั้งก็หนักแน่น ไม่รู้จะอธิบายลักษณะอาการอย่างไร ชานยอลรู้เพียงแค่ว่าความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกเดียวที่สถิตอยู่ในหัวใจเขามาโดยตลอด

                ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยจางไป

     

                ตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจสิ่งที่แบคฮยอนจะสื่อ หากโลกนี้มีกฏการเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่เรามีต่อกันก็อยู่เหนือกฏเกณฑ์นั้น

     

                เขารักแบคฮยอน รักเส้นผม รักผิวหนัง รักฟันทุกซี่ รักทุกอย่างแม้วันนี้จะพิสูจน์ให้เห็นจากการแตกคอเล็กๆแล้วว่าเราไม่ได้เห็นตรงกันหมดทุกเรื่อง เส้นทางของเราเริ่มฉีกออก

     

                แต่ถึงอย่างนั้น...

     

                “พรุ่งนี้มาที่นี่กันอีกนะ”

     

                “ครับผม”

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

                “อ้าวเฮ้ย! พูดหมาๆยังงี้ได้ไงวะ!

     

                แบคฮยอนรีบวิ่งไปยึดต้นแขนของเพื่อนชาวจีนไว้ทันที เพราะเจ้าตัวพุ่งทะยานไปถึงตัวหญิงสาวอย่างรวดเร็ว

     

                ปึ่ก!

     

                แต่ลูกชายเจ้าของไร่เร็วกว่า ชานยอลเข้ามาคั่นกลางปกป้องเพื่อนต่างเพศไว้ข้างหลังแล้วผลักอกกว้างของคนงานออก

     

                จื่อเทาเซเพียงนิด กำลังจะตั้งตัวได้ แต่ชานยอลก็ทำท่าจะซ้ำด้วยการง้างหมัดแกร่งขึ้น

     

                แบคฮยอนเบิกตากว้าง วินาทีนั้นเขานึกถึงเหตุการณ์สมัยยังเด็กตอนที่ได้เจอจื่อเทาครั้งแรก และตัดสินใจทำสิ่งเดียวกับที่ชานยอลทำให้ยอนฮวานั่นคือเหวี่ยงเพื่อนรักไปไว้ข้างหลังแล้วเอาตัวเองบังไว้

     

                ชานยอลดูหัวเสียมาก แบคฮยอนรู้ มองดวงตาที่ก้าวร้าวเหมือนพยัคฆ์โกรธเช่นนั้นทุกอย่างก็ทะลุปรุโปร่ง แต่สายไปแล้ว เขาได้ทำสิ่งที่ชานยอลคนเก่าและคนปัจจุบันเกลียดสุดหัวใจ นั่นคือการที่เขาเห็นคนอื่นสำคัญกว่าเจ้าตัว

     

                แต่มันไม่ใช่แบบนั้น... แบคฮยอนหลบตาไปชั่ววูบ ปากคอสั่น อยากจะอธิบายว่าถ้าชานยอลไม่คิดจะเล่นงานเพื่อนเขาทีเผลอ เขาไม่มีทางเลือกเข้าข้างคนอื่นนอกจากพี่ชานยอลที่เขารักยิ่งกว่าตัวเองอยู่แล้ว

     

     

                ร่างสูงขบริมฝีปาก กัดฟันกรอด สำหรับเขา เสียงสะอื้นของหญิงสาวหายไป วิวทิศทัศน์ร่วมถึงคนงานชาวจีนนั่นก็ด้วย ตอนนี้มีแค่เขากับแบคฮยอนที่ยืนประจันหน้ากัน เขาเคยคิดว่าฆาตกรที่ฆ่าคนรักของตัวเองเพราะหึงหวงเป็นมนุษย์จำพวกงี่เง่าไม่เหลือชิ้นดี แต่เขากลับมีความคิดสกปรกเห็นแก่ตัวเช่นนั้นผุดพรายในความคิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่มี เขาก็อยากจะตายไปพร้อมๆกับแบคฮยอน ไม่ต้องเจอใครอีก ไม่ต้องรักใครอีก แต่แล้วความคิดนั้นก็หลุดกระเด็นไปด้วยฤทธิ์ของร่างบางตรงหน้า

     

                “เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อนของคุณซักนิด! เรากำลังคุยกันอยู่แล้วคุณยอนฮวาก็เดินเข้ามา ล้างเท้าของเธอ แล้วรองเท้าก็หลุดตามน้ำไป จื่อเทากับผมเลยช่วยเก็บขึ้นมาแล้วก็เอามาคืนนี่แหละ”

     

                มือบางกระชากร้องเท้าสีชมพูหวานออกจากมือเพื่อนรัก ยื่นมันส่งคืนให้ร่างสูง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าชานยอลไม่ใช่เจ้าของ แบคฮยอนจึงเอี้ยวตัวเล็กน้อยแล้วยื่นรองเท้าไปให้ยอนฮวาที่หลบอยู่ทางข้างหลัง

     

                สาวเจ้าร้องไห้เสียงดังหนักกว่าเดิมเหมือนกำลังโดนเขาข่มขู่ จื่อเทาเหมือนจะทนไม่ไหวกับเสียงแหลมบาดหูกับน้ำตาจอมปลอมเขาจึงคำรามออกมา

     

                “โว๊ยย! พอซักทีเถอะเจ๊ ร้องจนคราบอะไรไม่รู้สีเนื้อๆมันไหลไปติดคอเสื้อหมดแล้ว”

     

                ยอนฮวาสะอึกไปครู่หนึ่ง เพื่อนๆของชานยอลที่ยืนมองสถานการณ์อยู่บางคนหลุดหัวเราะออกมา คราบที่ว่าก็คือเครื่องสำอางของหญิงสาวที่ประโคมปกปิดริ้วจางๆแห่งวัยที่ปฏิเสธไม่ได้เมื่ออายุถึงเลขสามแล้ว

     

                 “อย่าหยาบคายกับแขกของฉัน...” เมื่อเอียงตาชั่งแล้วความเชื่อมันไปอยู่ข้างแบคฮยอนมากกว่า กระนั้นเมื่อยังพิสูจน์ความจริงไม่ได้และยอนฮวาก็เป็นเพื่อนของเขา ตอนนี้ที่ชานยอลพอจะทำได้คือควบคุมอารม์ตัวเอง จับประเด็นให้อยู่หมัดว่าเขากำลังพิจารณาคดีความเรื่องที่ยอนฮวาอ้างว่าถูกคนงานในไร่ทำร้าย ไม่ใช่เอาแต่จดจ่ออยู่กับการที่แบคฮยอนกางแขนปกป้องคนอื่น

               

    “ตอนหนึ่งทุ่มมาหาฉันที่ห้องทำงาน” ร่างสูงชี้หน้าคาดโทษจำเลยทั้งสองคน ก่อนหันไปทางกลุ่มเพื่อนแล้วผายมือเชิญให้เดินกลับที่พักพร้อมกัน

     

    มือแกร่งฉวยเอามือของยอนฮวาจูงไว้ข้างกายราวกับจะปลอบขวัญ แบคฮยอนไม่ได้รู้สึกเสียใจกับภาพนั้น บางอย่างแค่แกว่งไกว มันแค่สั่นสะเทือนเล็กน้อยก่อนตั้งตรงอย่างมั่นคงเช่นเดิม

     

     

     

     

    “อย่าให้ถึงทีฉันบ้างแล้วกัน!

     

    แบคฮยอนหันไปหาจื่อเทาที่สบถอย่างอารมณ์เสีย ร่างสูงเตะพื้นระบายความหงุดหงิดแถมยังตีหน้ายักษ์ใส่เพื่อนตัวเล็ก

     

    “แม่งคิดว่าตัวเองเป็นใครวะ ก็แค่คนรวยเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ แน่จริงมาวัดกันตัวต่อตัวดิ!

     

    “ไปกันใหญ่แล้วเทา” แบคฮยอนพยายามยกยิ้มสบายๆเหมือนกับว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่มีผลกระทบใดต่อชีวิต มันอาจเขย่าขวัญบ้าง แต่ก็...

     

    “ช่างมันเถอะน่า”

     

    “ช่างมัน? เหอะ นายคิดว่าการที่เราโดนใส่ความเป็นเรื่องที่ช่างมัน? ช่างมั๊น?” สำเนียงจีน-เกาหลีตีกันช้งเช้ง แบคฮยอนดูดกระพุ้งแก้มเล่นจนแก้มบุ๋ม พยายามหากิจกรรมให้ตัวเองทำ เพราะรู้ดีว่าเขาจะว่างมากในขณะที่ต้องฟังเพื่อนรักระบายความอัดอั้นตันใจ

     

    “เห็นเราจนเลยกดหัวใหญ่ ฉันเป็นขี้ข้าแกหรือยังไงฮะไอ้นักเรียนนอก มาถึงก็สั่งเอาๆ ทำยังกะกังยูเป็นรีสอร์ทอวดสาว ถุ้ย!ในไร่นี้แกรู้จักต้นอะไรบ้างเถอะ”

     

    แบคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยกับความร้ายกาจในรสคำพูดของเพื่อนรัก แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกว่าเห็นด้วยหรือขัดแย้ง แค่ยืนขบริมฝีปากเล่นอยู่เฉยๆ มองนกที่บินผ่านไป มองแมลงปอที่บินผ่านมา

     

     

    “ผู้หญิงคนนั้นก็อีกคน ร้ายชิบหาย สวยแต่รูปจูบไม่หอมแบบนี้นายดีกว่าตั้งเยอะ”

     

    “เอ้า แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย”

     

    “ไม่รู้เว้ย”

     

    แบคฮยอนส่ายหัวให้กับอาการฟาดงวงฟาดงาของจื่อเทา คิดแล้วก็ตลกดี ผู้ชายสามคนต้องมาหัวปั่นทะเลาะกันเพราะน้ำตาของผู้หญิง

     

     

    เขากับจื่อเทาค่อยๆเดินไปที่โกดังเก็บไม้ซุงด้วยกัน เพราะตอนนี้ยังไม่หมดเวลางานของเพื่อนชาวจีน และเทาก็ชอบใช้กำลังดับอารมณ์อยู่แล้ว ทำงานเรียกเหงื่อซะบ้างก็ถือว่าไม่เลว

     

    ระหว่างทางแบคฮยอนเอามือไพล่หลัง เดินผิวปากเบาๆฟังเพื่อนตัวโตบ่นถึง ไอ้นักเรียนนอกไม่หยุดหย่อน แถมยังสรุปตอนท้ายเมื่อเดินกันจนถึงโกดังอันเป็นจุดหมายปลายทางว่า...

     

    “นายไม่ต้องไปหามันเลยนะ เราไม่ได้ทำผิดซะอย่าง ไม่ต้องไม่สนคำขู่มัน”

     

    แบคฮยอนกระพริบตาปริบ “นายก็พูดได้สิ นายไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับคุณชานยอลเหมือนฉันนี่”

     

    “งั้นคืนนี้ก็ล็อคประตูให้แน่นๆ”

     

    “...”

     

    “หรือถ้าจวนตัวจริงๆก็แหกปากร้องดังๆ มันไม่กล้าทำอะไรมากหรอก คนอยู่ในเรือนใหญ่ตั้งเยอะ”

     

    “ฮ่าๆๆๆ” แบคฮยอนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนได้ทั้งที่อุตส่าห์กลั้นไว้ตั้งแต่ตอนที่จื่อเทาบอกให้เขาล็อคกลอนประตู เพื่อนตัวโตที่ตอนแรกทำหน้าจริงจังพอเห็นเขาหลุดขำก็ทำหน้าบึ้ง

     

    “หัวเราะอะไร!!

     

    “นี่นายคิดว่าคุณชานยอลจะทำอะไรฉันหรอ ฮ่าๆๆ เขาไม่ทำยังงั้นหรอกน่า”

     

    “ให้มันจริงเหอะ” จื่อเทาทำหน้าหมั่นเขี้ยว แต่ชั่วพริบตาก็ยิ้มกว้างเพราะคิดบางอย่างออก “แต่นายไม่ต้องกลัวหรอก เพราะพรุ่งนี้คุณเลย์ก็กลับแล้ว”

     

    แบคฮยอนหยุดหัวเราะโดยอัตโนมัติราวต้องคำสาป ประโยคสุดท้ายของจื่อเทาก้องกังวานสะท้อนไปมาในหัว

     

    พรุ่งนี้คุณเลย์ก็กลับแล้ว...

    พรุ่งนี้คุณเลย์ก็กลับแล้ว

    พรุ่งนี้คุณเลย์ก็กลับแล้ว...

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

    แบคฮยอนพยายามลงฝีเท้าให้เบาที่สุดขณะย่องขึ้นบันไดเรือนใหญ่ตอนสองทุ่ม...

     

    หลังจากแยกกับจื่อเทาเขาก็ตรงไปที่ไร่แอปเปิ้ล คว้ากระบุงใบใหญ่เข้าไร่ไปเก็บแอปเปิ้ลมานั่งคัดใส่ลังเตรียมขาย ทำเหมือนอย่างที่เคยทำมาเป็นสิบๆปี พอตกเย็นก็ช่วยกลุ่มแม่บ้านทำน้ำแอปเปิ้ลกับแยมโฮมเมด

     

    พอรู้ว่าจวนเวลานัดหมาย ก็จงใจกลับไปอาบน้ำที่ห้องที่เคยอยู่รวมกับจื่อเทากับจินวู อาบน้ำจนสะอาดแล้วก็ไปนั่งคุยเล่นอยู่กับแม่จนเวลาล่วงเลยถึงสองทุ่ม

     

     

    ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเขา ปรากฏให้เห็นเป็นริ้วความเครียดบนใบหน้าของผู้เป็นแม่

     

    เดี๋ยวดันบีมันก็กลับน่าแม่ น้องอาจจะติดกิจกรรมก็ได้นะ

     

    ติดกิจกรรมน่ะไม่กลัวหรอก กลัวมันไปติดผู้ชายน่ะสิ

     

    แบคฮยอนเบิกตากว้าง รีบเอานิ้วชี้ทาบปากตัวเองพร้อมทำเสียงจุ๊ๆ ไม่เอาไม่พูดอย่างงี้นะแม่ เรารู้จักคนของเรา เราต้องเชื่อใจน้อง

     

    หญิงวัยกลางคนถอนหายใจเหยียดยาว จ้องมองแววมุ่งมั่นในดวงตาลูกชายแล้วได้แต่ปลงตก

     

    เราก็ซื่อซะอย่างเนี้ย ตามน้องมันทันซะที่ไหน

     

    ฉันไม่ได้ซื่อซักหน่อยแม่ อย่างฉันเรียกโง่ต่างหากตำหนิตัวเองเสร็จแล้วก็หัวเราะตบท้ายครบเซ็ท ดวงตายิบหยีกับฟันเขี้ยวซี่เล็กๆเหมือนลูกหมาทำเอาซังมีเครียดต่อไม่ลง ได้แต่หัวเราะไปกับลูกชายที่จนป่านนี้แล้วก็ยังสูงกว่าเธอไปแค่ไม่กี่เซนต์เท่านั้น

     

     

    อยู่คุยกับแม่ได้ไม่นานก็โดนไล่กลับเรือนใหญ่ ทีนี้จะทำอ้อยอิ่งถ่วงเวลาก็กลัวแม่จะสงสัยแล้วพาลเป็นกังวล แบคฮยอนก็เลยต้องเดินคอตกกลับมายังที่ที่เปลี่ยนชะตาชีวิตเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือ

     

    ที่ที่คนทั่วไปเรียกมันว่าศูนย์กลางของอาณาจักร แต่สำหรับแบคฮยอนกลับมองว่าเรือนใหญ่เป็นสถานที่ที่แปลกแยกออกมาจากไร่ ที่นั่นมีแต่คนเรียนสูง คนใจร้าย คนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มีแต่การแก่งแย่งชิงดี ไม่เข้าพวกกับธรรมชาติอันสุขสงบของกังยูเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    กระนั้นสิ่งที่เขาต้องสนใจมากที่สุดในขณะนี้ก็คือการแอบย่องเข้าห้องนอนโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น...

     

    ไฟในบ้านปิดแล้วแทบทุกดวง เหลือไว้แค่ตรงทางเดินบ้างเล็กน้อยให้พอเห็นภาพสลัวๆ มือเรียวเกาะราวบันไดแน่นพลางก้าวช้าๆเบาๆไปทีละก้าว

     

    ที่ระทึกใจที่สุดเห็นจะเป็นตอนเดินผ่านห้องทำงาน ...สถานที่นัดพบที่ชานยอลลั่นวาจาไว้เมื่อกลางวัน

     

    แบคฮยอนไม่เข้าใจและกำลังสับสนในตัวเอง...เขาหลีกเลี่ยงชานยอลโดยการไปขลุกอยู่ที่เรือนคนงานจนถึงสองทุ่ม แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการแง้มประตูห้องทำงานเพื่อที่จะตรวจดูให้แน่ชัดว่าไม่มีใครรออยู่แน่หรือเปล่า

     

    หลอดไฟที่ดับสนิททุกดวงทำให้ร่างเล็กโล่งใจ ก่อนจะออกแรงดันประตูเบาๆให้เข้าที่ แบคฮยอนเดินกลับห้องโดยไม่รู้สึกติดค้างอะไรอีก

     

     

     

     

     

    แต่แล้วชานยอลก็ยืนอยู่ที่ตรงนั้น ยืนกอดอกทำหน้าดุดันอยู่ที่ปลายเตียง

    เป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ที่แบคฮยอนต้องเบิกตากว้างและเก็บกลั้นเสียงอุทานเอาไว้ในใจ อยากจะก้าวถอยหลังออกจากห้องนอนแล้วปิดประตูเงียบๆ ทำเหมือนทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้น แต่ดวงตาคู่คมก็สะกดเขาเอาไว้ ในนั้นมีแววตำหนิ ตัดพ้อ โกรธแค้น ...มากมายที่เขาไม่สามารถตีความได้ แต่ทุกอย่างที่ว่ามาอยู่ใต้อำนาจความเย็นชาที่นิ่งสงบ

     

    ร่างสูงไม่ได้คิดว่าคนตัวเล็กจะหนีอยู่แล้วจึงไม่ได้ก้าวมารวบตัวไว้ เขาเอาแต่ยืนอยู่เฉยๆเช่นเดิม แบคฮยอนเกร็งขึ้นมาทั้งตัว ได้แต่ภาวนาในใจว่าชานยอลจะมาอย่างเป็นมิตร แต่มิตรที่ว่าคงไม่ล่วงเกินเขาอย่างเมื่อเช้าหรอก!

     

    คิดได้ถึงตรงนี้แบคฮยอนก็ใจสั่น สัมผัสจาบจ้วงที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับมันจากพี่ชานยอลที่เขาเทิดทูนทำให้ร่างน้อยสั่นขึ้นมายังไม่อาจควบคุม แบคฮยอนพยายามจะก้าวถอยหลังพร้อมมือที่ยื่นไปคลำหาลูกบิด

     

    กระทั่งออกมาจากห้องนั้นได้ในที่สุด คนตัวเล็กรีบตรงดิ่งไปสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดที่ราวบันได ความกลัวทำให้สมองอื้ออึงไปหมด แล้วแบคฮยอนก็รู้สึกเหมือนน้ำตากำลังจะไหล แสบร้อนที่กระบอกตา ลำคอ จมูก แล้วก็รู้สึกด้วยว่าชานยอลตามมายืนซ้อนอยู่ข้างหลัง

     

    อยากจะหันไปขอร้องว่าให้พอได้แล้ว เขาสามารถเข้มแข็งได้เกินกว่าที่ใครๆจะคาดคิดซะอีก จะไม่ให้น้ำตาไหลลงมาตอนนี้เขายังทำได้เลย เขาทำงานจนตายก็ยังได้ โดนเฆี่ยนหรือโดนสั่งให้ยืนฟังคำด่าทั้งวันเขาก็ยังไหว

     

    แต่...แต่เขาก็มีจิตใจเหมือนกันคนปกติไม่ใช่หรอ ถ้าอย่างนั้นแล้วเอาอะไรมาวัดล่ะว่าเขาที่ทนได้จะต้องทน คนที่อดทนไหวจะต้องอดทนไปจนตายเลยหรือ

     

     

    “ฉันมาลงโทษ”

     

    แบคฮยอนกลืนก้อนขมๆลงลำคอแล้วกระพริบตาถี่ๆจนมั่นใจแล้วว่าเขาจะไม่ร้องไห้ออกมา ก่อนจะหันหน้าไปเผชิญกับความเป็นจริง ...เอาเลย จะซักแค่ไหนกันเชียว

     

     

    จะซักแค่ไหนกันเชียวจู่โจมบดเบียดเข้าที่ริมฝีปาก แบคฮยอนรู้สึกอบอุ่นจนถึงเร่าร้อนที่เรียวปากเป็นอันดับแรก ก่อนความรู้สึกวูบวาบที่ท้องน้อยและหวิวใจจะตามมาทีหลัง

     

    ชานยอลสอดแขนเข้ากอดรัดคนตัวเล็กให้จมเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของเขาอย่างแนบแน่น แน่นเช่นเดียวจูบที่ประสานเอาเขากับแบคฮยอนเข้าหากันเป็นเนื้อเดียว

     

    เสียงเปียกแฉะดังอย่างเป็นจังหวะ ชานยอลยิ่งบดน้ำหนักเมื่อเสียงครางเบาๆในลำคอของแบคฮยอนปลุกความรู้สึกของเขาให้ตื่นตัว นี่คือสิ่งที่เขาโหยหามาโดยตลอด การได้สัมผัสคนที่เขารัก การได้พูดคุยกันผ่านภาษากาย การได้เข้าใจในความรักของกันและกัน

     

    จูบแรกในรอบสิบกว่าปีมีความหมายอย่างมากต่อแบคฮยอน แม้มันจะอยู่ในความงุนงงสับสน แต่เขาก็ต้องการตอบรับความรู้สึกของร่างสูงที่ส่งผ่านมากับปลายลิ้นนุ่มนวลและหนักแน่นไปในคราวเดียว ทว่าแบคฮยอนไม่แน่ใจในวิธีที่จะทำมันไม่ให้เงอะๆงะๆอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

     

    แต่เท่านี้ก็วิเศษมากแล้วสำหรับชานยอล ทีแรกเขาต้องการจะลงโทษแบคฮยอนจริงๆอย่างที่พูด ลงโทษที่ทำให้เขาโกรธ ทำให้เขาหึงหวง ทำให้เขาต้องรอนานๆ แต่วินาทีที่ริมฝีปากแตะเข้ากับความคุ้นเคย  เขาก็ไม่สามารถจะทำเป็นเพิกเฉยต่อมันได้อีกแล้ว ...แบคฮยอนผู้แสนอ่อนหวานของเขา ความหวาดกลัวที่เจ้าตัวกำลังเผชิญ ความเศร้าที่ซุกซ่อนอยู่ในเนื้อตัวสั่นระริก แบคฮยอนที่เขารู้จักเป็นเด็กที่เหมือนจะหัวอ่อน แต่จริงๆแล้วเจ้าตัวเป็นเจ้าของความรู้สึกนึกคิดของตัวเองโดยสมบูรณ์

     

    แบคฮยอนกำลังบอกเขาว่าตนเองกำลังมีความสุขด้วยการยกมุมปากนิดๆเป็นรูปรอยยิ้ม

     

    ข้อเสียของแบคฮยอนคือเปิดใจง่ายเกินไป ถึงจะอดทนต่อความทุกข์ได้เก่ง แต่คนตัวเล็กไม่เคยอดทนได้เลยกับสิ่งที่ตรงกันข้าม

     

    ความสุขย่อมไม่ยั้งยืน

    ...และทุกข์สาหัสก็ตามมาติดๆเมื่อเช้าถัดไปมาถึง

     

     

     

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

    อัพช้าเนอะ

    แงงง

    พอสอบเสร็จตารางเที่ยวก็แน่นเฉย 5555555555555

    ขอบคุณที่อ่านกันมาจนถึงตอนนี้ค่า

    มีคำผิดหรืออะไรไม่ถูกต้องตรงไหนบอกโลด รักๆๆ

    จุ๊บ บ้ายบาย

     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×