ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ มิ่ง ` {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #13 : ' มิ่ง : 10

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.69K
      18
      22 ธ.ค. 57





     

    กลิ่นของชานยอลยังติดอยู่ตรงนี้

    ผ้าปูที่นอน หมอน ลูกบิด กระทั่งประตูก็ยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขา

     

    ราวกับว่าร่างสูงจงใจทิ้งตัวตนเอาไว้ แบคฮยอนหลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออก ย้ำกับตัวเองว่าชายหนุ่มได้ออกไปแล้ว ออกไปทันทีที่เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ส่วนแบคฮยอนก็เป็นฝ่ายสูญเสียในสิ่งนั้นไป

     

    มีมากมายหลายสิ่งที่ชานยอลขโมยไปพร้อมจูบที่ทั้งหวานและขื่นขม อย่างน้อยก็ความหวั่นไหวของคนตัวเล็ก อย่างมากก็ความมั่นใจทั้งหมดที่แบคฮยอนมีอยู่

     

     

    แบคฮยอนใช้เวลาทั้งคืนทบทวนความรู้สึกตัวเอง แล้วก็พบว่านอกจากเสียใจแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีก

     

    อ่อ...ยังมีความรู้สึกเสียดายด้วย

     

    จิตใจเขาน่าจะแข็งแรงกว่านี้ จะได้ผลักชานยอลให้กระเด็น ตะโกนใส่หน้าว่าขอให้เราจบกันแค่ตรงนี้ ยอมรับความจริงเสียเถอะว่าเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว เขากลายเป็นคนรักของคนอื่นไปแล้ว จากนั้นก็ผลักชานยอลออกจากห้องนอน พิงหลังลงกับบานประตูและปลอบใจตัวเองว่า นายน่ะเก่งที่สุดเลยแบคฮยอน จากนี้ก็เก็บความรักไว้อยู่ฝ่ายเดียวล่ะ อย่าได้เปิดเผยออกมาอีก

     

    เสียดายที่เรื่องทั้งหมดไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    จึงกลายเป็นว่าเรายังคงรักกันอยู่ ...รักมาก ซึ่งก็แค้นมาก

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

    น่าแปลกที่วันนี้ไม่มีใครมาเคาะห้องปลุกเขาเหมือนคืนก่อนๆ แบคฮยอนรีบล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะออกจากห้องนอนของเลย์

     

    กิจกรรมในเรือนใหญ่ดำเนินไปอย่างปกติในเวลาหกโมงเช้า แม่บ้านเตรียมอาหารมื้อแรกของวันกันอยู่ในครัว บรรดาแขกกับจงอินยังไม่ตื่น เลย์ยังไม่กลับ พ่อเลี้ยงคงเข้าเมืองไปพร้อมรถกระบะขนสินค้าเหมือนเคย ส่วนชานยอล...

     

    แบคฮยอนหยุดความคิดไว้ที่ตรงนั้น ไม่มีประโยชน์ใดจะใคร่ครวญถึงสิ่งที่ทำให้หัวใจเหมือนมีหนามมาตำจึ๊กๆทุกครั้งที่นึกถึง

     

     

    “มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับป้าจาง” คนตัวเล็กยิ้มสดใสให้แม่ครัวร่างป้อม หล่อนหันมายิ้มตอบก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรเป็นพิเศษ

     

     

    “แต่ผมมีนะ”

     

    แบคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้นในระยะประชิด หันไปก็เจอใบหน้าขาวๆกับคิ้มเข้มๆของสัตวแพทย์คนเก่งประจำไร่

     

    คนตัวเล็กที่ยิ้มค้างอยู่ก่อนหน้าหุบยิ้มลงโดยอัตโนมัติ ก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเป็นยิ้มแห้งๆแทน

     

    “สวัสดีตอนเช้าครับหมอโอ”

     

    “ครับ... ว่าแต่คุณอู้งานมานานเท่าไหร่แล้วครับเนี่ย”

     

     

     

     

     

    พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเต็มดวงในเช้านี้ มันยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ปริ่มผามรณะ อันเป็นทางผ่านที่สัตวแพทย์หนุ่มกับผู้ช่วยตัวเล็กต้องแวะก่อนจะเข้าไปทำงานที่ฟาร์มเกือบทุกครั้ง

     

    วันนี้ก็เช่นกัน หมอโอไม่พูดอะไร แต่เป็นฝ่ายเดินนำแบคฮยอนมาที่ริมผา นั่งลงกับหญ้าอมน้ำค้างก่อนจะถอดเสื้อคุมตัวนอกออกแล้วชี้มือเป็นสัญญาณให้แบคฮยอนนั่งลงบนเสื้อตัวเอง

     

    คนตัวเล็กเข้าใจสัญญาณนั้นดี แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ เลือกที่จะหย่อนตัวลงบนพื้นหญ้าเช่นเดียวกันกับคุณหมอ ก่อนจะรับรู้ได้ถึงไอชื้นที่ซึมแทรกผืนผ้าเข้ามาถึงข้างใน

     

     

    “ผมเอานี่ติดมือมาด้วย” แบคฮยอนยิ้ม ยิ้มอย่างที่หมอโอแอบนิยามว่าเป็นรอยยิ้มแห่งความใจดี แบคฮยอนกำลังทำตัวใจดีกับเขา ทั้งที่ถ้าว่ากันตามตรงและเขามีสถานะในไร่สูงกว่าคนงานเก็บแอปเปิ้ลอยู่มาก แต่คนตัวเล็กนี่กลับกำลังหยิบยื่นความเมตตามาให้ แล้วเขาก็เต็มใจรับความเมตตาสงสารนั้นเสียด้วยสิ

     

    แบคฮยอนควักแซนด์วิสห่อหนึ่งออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อตัวนอก วางลงบนเสื้อของหมอโอบนพื้นหญ้าราวกับว่ามันเป็นโต๊ะอาหาร

     

    “ฝรั่งเขาเรียกกันว่ายังไงนะครับ อ่า เบรค...”

     

    “เบรคฟาสต์” เซฮุนตอบให้ ก่อนจะรับเอาครึ่งหนึ่งของแซนด์วิสมาถือไว้ เฝ้ามองแบคฮยอนกัดกินส่วนที่เหลืออย่างไม่ระมัดระวังภาพลักษณ์ใดๆทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเป็นความเคยชินหรือเป็นนิสัย คนตัวเล็กชอบกินคำโตๆ กินเร็วๆ จำได้ว่าเขาเคยถาม แล้วแบคฮยอนก็เคยตอบกลับมาว่า จะได้รีบๆไปทำงานไงครับ

     

    พอเห็นว่าเขาจ้องเขม็ง ร่างบางก็จะยิ้มตาหยีให้ทั้งที่ยังเคี้ยวอยู่ ...เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่กินข้าวด้วยกัน ครั้งนี้ก็ด้วย

     

     

    “คุณกินเถอะ ผมกินมาแล้ว” หมอโอยื่นส่วนแบ่งของเขาคืนผู้ช่วยตัวเล็ก แบคฮยอนมองอยู่ครู่เดียวก็ยื่นมือไปรับมางับใส่ปาก เคี้ยวๆกลืนๆก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

     

    “ไปทำงานกันครับ พระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงแล้ว”

     

    คุณหมอโออมยิ้มจางๆที่มุมปาก ภาพของแบคฮยอนในมุมสูงที่ถูกแสงตะวันไล้ผิวหน้างดงามอย่างที่ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งใดๆ

     

    มือหนายื่นไปข้างหน้า หวังให้คนตัวเล็กช่วยฉุดเขาให้ลุกขึ้นยืน แบคฮยอนมองมือนั้นอย่างชั่งใจ ยิ้มให้แล้วออกแรงกระชากจนคุณหมอลุกขึ้นมาเต็มตัว

     

    เป็นอีกครั้งที่เซฮุนรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับความเมตตา ไม่ใช่การให้ความหวัง แต่เป็นความเมตตา ...ที่ความสัมพันธ์อันน่าอึดอัดของเขากับแบคฮยอนยังดำเนินต่อได้จนกระทั่งถึงตอนนี้ ก็เป็นเพราะความเมตตาของแบคฮยอนล้วนๆ

    ถ้าวันใดที่มันหมดลง เขายังไม่รู้เลยว่าจะทำหน้ายังไง

     

     

     

     

     

    ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เดินมาถึงคอกปศุสัตว์ แบคฮยอนร่าเริงมากกว่าปกติเพราะไม่ได้เจอกับบรรดาเพื่อนต่างสายพันธุ์หลายวันแล้ว

     

    “ตอนคุณเบี้ยวงานผมไปทำงานให้คุณชานยอล เจ้าพีซมันตกลูกด้วยนะ”

     

    “ตกแล้วแตกมั้ย?”

     

    “ไม่ใช่ตกแบบนั้น”

     

    แล้วคนยิงมุกก็หัวเราะชอบใจจนคุณหมออดจะขำตามไปด้วยไม่ได้ ขำเสร็จแบคฮยอนก็ช่วยเป็นลูกมือในการฉีดวิตามินให้วัวแม่พันธุ์ ก่อนจะเดินตามคุณหมอต้อยๆเพื่อไปดู ลูกชายของเจ้าพีซ

     

     

    “ขาวจั๊วะ...” คนตัวเล็กครางอย่างตกตะลึง ลูกม้าตัวนี้ทำให้เขาใจเต้นแรงเหมือนตอนที่ร็อบเกิดใหม่ๆ รู้สึกถูกชะตาแม้ลูกม้าตัวนี้จะขาวอย่างไร้ตำหนิ ต่างจากร็อบที่ดำเงาอย่างสง่างาม

     

     

    “คุณตั้งชื่อสิ”

     

    คนตัวเล็กรีบยกมือปัดปฏิเสธทันที “ไม่ได้หรอกครับ คนงานจะมาตั้งชื่อลูกม้าได้ยังไง”

     

    “งั้นใครสมควรตั้ง”

     

    “ก็พ่อเลี้ยง ไม่ก็คนทำคลอด ...เอ่อคุณหมอตั้งสิครับ”

     

    “งั้นผมจะให้มันชื่อแบคฮยอน”

     

    เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เซฮุนชอบเวลาที่แบคฮยอนทำหน้าตื่นตกใจ ตาเรียวโตขึ้นมาเล็กน้อย จริงๆถ้าไม่ได้อยู่ในไร่ในสวน แบคฮยอนก็เหมือนเด็กวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง มีแง่มุมที่น่ารัก ทำอะไรสมวัย สีหน้าท่าทาง บางทีเขาก็จินตนาการถึงคนตัวเล็กในชุดนักเรียน ชุดเอี๊ยม หรืออย่างเบสิกที่สุดก็เสื้อยืดกางเกงสามส่วนอย่างที่วัยรุ่นชอบใส่กัน

     

    แต่แบคฮยอนตรงหน้าสวมเสื้อแขนยาวสีเทาเก่าๆ กางเกงผ้าร่มหนาทึบสีดำสนิท รองเท้าบู๊ทกันน้ำ กับถุงมือยางสีดำมอมแมม แถมยังทำเสียงอ่อนจนน่าสงสารตอนที่พูดว่า

     

    “ให้ชื่ออื่นได้มั้ย ชื่ออะไรก็ได้ที่ไม่เหมือนชื่อผม”

     

    หมอโอหลุดยิ้มขำ “งั้นคุณก็ตั้งสิ ถ้าไม่ตั้งผมก็ให้มันชื่อแบคฮยอนนี่แหละ”

     

    คนตัวเล็กผลุบเข้าไปในคอก สบตากับเจ้าม้าสีขาวตาปริบๆ ซักพักก็พูดขึ้นมาแผ่วเบาเหมือนเสียงครางของพวกลูกหมาลูกแมวตัวเล็กๆ

     

    “เพียว”

     

    “หือ?”

     

    “แม่ชื่อพีซ ลูกก็ตัวขาวๆ งั้นให้ชื่อเพียวเนอะ เพียวแปลว่าสีขาวใช้มั้ยครับคุณหมอ” อันนี้หันหน้ามาถามทั้งที่นั่งยองๆคุยกับม้าอยู่

     

    “แปลว่าบริสุทธิ์ครับ”

     

    “อ้าวหรอ แต่ไม่เป็นไรเนอะ ก็ขาวบริสุทธิ์ไง ชื่อเพียวเนอะ เพียว... เพียว...” มือเล็กลูบหลังลูบคอลูกม้าอย่างรักใคร่ เหมือนแป๊บเดียวก็กลายเป็นพวกเดียวกันเสียแล้ว ตัวหนึ่งม้า คนหนึ่งแมว ร้องเพียวๆเหมือนเหมียวๆอยู่นั่น

     

     

     

     

    “หมอครับผมเอาไอ้บลูมาฉีดยา”

    คนงานคนหนึ่งจูงม้าโตเต็มวัยสูงใหญ่เข้ามาใกล้คุณหมอ เจ้าลูกม้าเพิ่งเกิดเห็นเข้าก็ตกใจร้องฮี่ๆก่อนดีดขาจนแบคฮยอนหลบแทบไม่ทัน

     

    คนตัวเล็กหลังชนเข้ากันคอกไม้ ไม่แรงมาก แต่แผลจากแส้ที่เริ่มจะแห้งก็กลับมาชุ่มฉ่ำด้วยเลือดอีกครั้ง

     

    แบคฮยอนกัดฟันกระโดดออกมาจากคอก เมื่อกี้ชนแค่เบาๆถ้าแสดงว่าเจ็บคงเป็นพิรุธแน่ ซึ่งแบคฮยอนก็คิดว่าเขาอดกลั้นได้เก่งพอสมควรถึงไม่มีใครสังเกตเห็นและถามถึงเลยตอนที่เขาเอาเสื้อแขนยาวที่ผูกเอวอยู่มาสวมทับปิดรอยเลือดที่ซึมออกมาจางๆ

     

     

    หมอโอฉีดยาให้บลู รวมถึงม้าตัวอื่นๆ ก่อนจะแวะไปตรวจอาหารที่ฟาร์มแกะ คอกของแกะส่วนมากเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เฉพาะทางอีกคนหนึ่ง หมอโอไม่เกี่ยวข้องมากนักยกเว้นเรื่องโรคภัยกับสุขอนามัยภาพรวม

     

    ทำงานเพลินๆเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเที่ยง คุณหมอจึงเก็บเครื่องมือแพทย์สำหรับสัตว์ใส่กล่องพยาบาลเตรียมกลับเรือน

     

    และวันนี้ก็เหมือนทุกวันที่แบคฮยอนจะเดินไปส่งคุณหมอ ก่อนจะแยกย้ายไปทำงานส่วนตัว เขาจะเข้าไร่แอปเปิ้ล ส่วนคุณหมอก็ช่วยพ่อเลี้ยงวางแผนเรื่องฟาร์มปศุสัตว์ไม่ก็อ่านตำรา ทำงานทดลอง

     

     

     

     

     

    ระหว่างเดินกลับต้องผ่านผามรณะอีกครั้ง คราวนี้ดวงอาทิตย์เลยขอบผาขึ้นไปตั้งตรงเด่บนศีรษะ

     

    “ผมโตในบ้านเด็กกำพร้า”

     

    แบคฮยอนหยุดเดินแล้วหันไปมองหน้าคนพูดอย่างแปลกใจ ในขณะที่หมอโอทำท่าสบายๆแล้วเล่าต่อ

     

    “หวิดจะติดคุกอยู่หลายทีเพราะชอบมีเรื่องชกต่อย ก็เพื่อนที่โรงเรียนล้อประจำว่าผมเป็นเด็กไม่มีพ่อแม่”

     

    “...”

     

    “ต้องใช้เวลาซักพักเลยครับกว่าที่ผมจะสำนึกแล้วตบอนาคตตัวเองจนเข้าที่เข้าทาง...ไม่น่าเชื่อใช่มั้ย? แต่ผมพูดจริงๆนะ นั่นเป็นอดีตที่ตลกดี”

     

    แบคฮยอนเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ก้มหน้ามองฝีเท้าตัวเองที่เริ่มออกเดินอีกครั้ง

     

    หนึ่ง...เขาไม่ได้รู้สึกสงสาร เห็นใจ สมเพช หรืออะไรทั้งนั้นต่อเรื่องที่หมอโอเล่า

    สอง...เขาออกจะสงสัยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเล่าให้ฟังทำไม

     

    “ที่ผมเล่าก็เพราะอยากให้คุณรู้ว่าผมเชื่อใจคุณ คุณมีบางอย่างที่ทำให้ผมไว้ใจ เหมือนว่าไม่ต้องอายถ้าต้องเล่าเรื่องแย่ๆให้ฟัง”

     

    “...”

     

    “คุณคงไม่เข้าใจ คือผมหมายถึงว่า ...ถ้าสมมติว่าผมเล่าให้คนอื่นฟัง เขาก็คงพูดประมาณว่า โชคดีจังที่ปรับตัวได้ หรือไม่ก็ น่าสงสารจัง”

     

    “...” จะว่าไปแล้วแบคฮยอนก็ยังไม่เข้าใจจริงๆนั่นแหละ

     

    “แต่คุณไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณไม่มีข้อคิดเห็นต่อชีวิตคนอื่น คุณไม่ตัดสินใคร ผมว่ามันแปลกเพราะคนปกติ คือคุณก็ไม่ได้ผิดปกตินะ ผมแค่หมายถึงคนส่วนใหญ่ พวกเขารวมถึงผมด้วย ชอบที่จะมองคนอื่นด้วยภาพลักษณ์ หน้าที่การงาน บุคลิก แล้วก็อดีตของเขา เก็บเป็นข้อมูลแล้วก็จำว่าคนๆนั้นเป็นยังไง ...เราแยกคนแต่ละคนด้วยวิธีนี้”

     

    แบคฮยอนยอมรับว่าเข้าตามไม่ทัน ไม่เข้าใจ เขาไม่อยากได้คำอธิบายยากๆเหล่านั้น เขาแค่ต้องการข้อสรุป ต้องการเหตุผลที่จู่ๆหมอโอก็ยกประเด็นนี้มาพูดกับเขา

     

    “ผมชอบนิสัยคุณนะแบคฮยอน เพราะมันแปลว่าคุณไม่ยกยอหรือดูถูกใครเพราะเรื่องเล่าของเขา แล้วผมก็สัญญาว่าจะทำนิสัยเดียวกับคุณ ตอนที่คุณเล่าความลับหรืออดีตของคุณให้ผมฟังบ้าง”

     

    “ความลับหรืออดีตของผม?”

     

    “อย่างเช่นแผลที่หลัง”

     

    “...”

     

    “...ผมอยากรู้ว่าใครทำร้ายคุณ”

     

    คำถามของหมอโอทำให้แบคฮยอนนึกถึงอุณหภูมิของน้ำในหน้าหนาว เย็นเยือกและชวนให้ชาหนึบหนับไปทั้งตัว

     

     

    ตอนนั้นเองที่มีคนงานกลุ่มใหญ่วิ่งผ่านมา แบคฮยอนจึงเนียนอิงสถานการณ์ โบกมือลาคุณหมอแล้ววิ่งไปรวมกลุ่มกับคนงานเหล่านั้น ...แววตาของหมอโอที่มองไล่หลังเต็มไปด้วยความผิดหวัง ตัดพ้อ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจ เพียงแต่เขายังหวังว่าจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวเอง การมีคนรู้เพิ่มรังแต่จะก่อให้เกิดความยุ่งยากลำบากใจ

     

     

     

     

    “พี่จะวิ่งไปไหนกันหรอครับ” คนตัวเล็กร้องถามเมื่อวิ่งมาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว ความเร่งรีบกับสีหน้าเคร่งเครียดของทุกคนทำให้เขานึกเอะใจ

     

    “ไปเรือนคนงานน่ะสิ” คนที่วิ่งอยู่ติดกันหันมาตอบด้วยเสียงเหนื่อยหอบ “คุณชานยอลจับขโมยได้ เขาว่าจะเอาให้ถึงตายเลยงานนี้”

     

    !!!

    แบคฮยอนใจร่วงไปถึงตาตุ่ม ไม่นึกสงสัยเลยว่าหัวขโมยที่ว่าเป็นใคร

     

     

     

     

     

    “เทา!!!

    ไม่ผิดจากที่เดาไว้ ร่างสูงใหญ่ของเพื่อนคุกเข่าอยู่กลางวงล้อมของคนงานหลายสิบชีวิต ตรงหน้ามีลูกชายเจ้าของไร่ยืนค้ำหัวเตรียมเอาเรื่องอยู่

     

    แบคฮยอนเกร็งไปทั้งตัว รู้สึกอัดอัด หายใจไม่ออก วิตกกังวล หวาดกลัว ...มากมายหลายความรู้สึกที่เกิดขึ้นมากเกินจำเป็นเพียงเพราะเห็นร่องรอยการถูกทำร้ายของจื่อเทา

     

    ภาพตอนเด็กย้อนมาอีกแล้ว กลับมาทำให้เขามีอาการเหมือนคนจมน้ำ หวาดผวา และอยู่ไม่สุขหากสถานณ์ความรุนแรงนี้ไม่ได้รับการแก้ไข

     

     

    “ใครใช้ให้มึงทำ!

     

    สรรพนามของชานยอลเลื่อนระดับเป็นต่ำที่สุด แล้วแบคฮยอนก็รู้นิสัยเพื่อนตัวเองดี จื่อเทาเงยหน้าขึ้นมองชานยอลอย่างโกรธแค้น คำรามลั่น

     

    “กูทำคนเดียว!

     

    ชานยอลสูดลมหายใจลึกอย่างใช้ความอดทนก่อนเดินรอบตัวจำเลย ใช้เข่ากดร่างหนาบ้างบางครั้งเมื่อนักโทษแสดงท่าทีขัดขืน

     

    แต่แบคฮยอนก็รู้ว่าเทาขัดขืนไปมากกว่าฮึดฮัดไม่ได้หรอก มีคนงานอีกมากที่พร้อมจะรุมทำร้ายจื่อเทา พวกนั้นแค่รอจังหวะที่ชานยอลจะให้สัญญาณอยู่ก็เท่านั้น

     

    “มึงจะทำคนเดียวได้ยังไง! มึงคนเดียวแบกของเป็นร้อยๆลังภายในวันเดียวไปส่งในเมืองได้หรอ หรือกูต้องให้มึงพิสูจน์ แล้วถ้ามึงทำไม่ได้จะให้กูทำยังไงกับมึงดี?”

     

    แบคฮยอนพยายามแหวกม่านฝูงชนเข้าไปใกล้ที่สุด เหงื่อชุ่มมือ ทุกอย่างที่เห็นดูรุนแรงก้าวร้าวอย่างที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นในไร่อันแสนอบอุ่นนี้

     

    “จับมันส่งตำรวจเลยคุณชานยอล!” คนงานคนหนึ่งตะโกนขึ้น ตามด้วยเสียงเชียร์ มีบ้างที่ขัดแย้ง ส่วนคนที่ทำตัวเป็นผู้พิพากษาศาลเตี้ยนั้นยกยิ้มมุมปาก แวบหนึ่งเห็นแววครุ่นคิดก่อนที่ร่างสูงจะประกาศชัด

     

     

    “ฉันจะไม่ส่งใครไปไหนทั้งนั้น ถ้ายังไม่รู้คนบงการที่แท้จริง”

     

    เสียงหวีดร้องอย่างตกใจของคนงานหลายชีวิตดังระงมเมื่ออาวุธเถื่อนถูกควักออกมาจ่อเข้าที่หน้าผากของนักโทษ

     

    “ใครรู้ตัวว่ารวมหัวกับมันโกงกังยู ให้ก้าวออกมาก่อนที่ฉันจะเป่ามันลงนรก”

     

     

     

    แบคฮยอนไม่แน่ใจว่ารู้จักปาร์คชานยอลคนนี้หรือเปล่า หรือเขาจะรู้จักแค่พี่ชานยอลกันนะ คนใจดีที่ยกโทษให้แม้กระทั่งยุง คนที่หัวเราะตุ่มแดงบนผิวตัวเอง คนที่โทษว่าเป็นความผิดตัวเองที่ผิวบางไม่ใช่ความผิดของยุง คนที่อารมณ์ดีและอ่อนโยน คนที่จูบเขา คนที่บอกว่าจะยกริมฝีปากตัวเองให้เขาครอบครองคนเดียวตลอดไป คนๆนั้นเป็นคนเดียวกับคนที่ขู่จะเอาชีวิตคนอื่นอย่างนั้นหรือ เป็นคนเดียวกับที่พกอาวุธปืนเดินในไร่กังยู คนที่ดุดัน ขี้โมโห จัดการปัญหาด้วยการใช้กำลัง

     

     

    “หนึ่ง”

     

    ชานยอลเริ่มนับถอยหลัง ...ไม่กล้าหรอก เขาไม่กล้าทำอย่างที่พูดแน่ ฆ่าคนตายต้องติดคุก เขาไม่ทำหรอก...แบคฮยอนมั่นใจอย่างนั้น

     

    “สอง”

     

    แบคฮยอนเริ่มคิดว่าชานยอลจะนับถึงเท่าไหร่ สาม หรือสิบ หรือร้อย หรือ...

     

    “สาม”

     

     

    “หยุดซะที!!

     

    แบคฮยอนไม่รู้ว่าตัวเองใช้ความกล้าสำหรับทั้งชาตินี้หมดแล้วหรือยัง ตอนที่วิ่งเข้าไปปัดปืนกระบอกนั้นให้พ้นจากรัศมีของจื่อเทา มารู้ตัวอีกทีขาก็สั่น ฟันกระทบกันดังกึกกัก ยิ่งดวงตาคู่คมมองจ้องมาอย่างโกรธเกลียด โลกของแบคฮยอนก็แทบแหลกเละลงตรงหน้า ...เขาทำมันลงไปจริงๆ ทำในสิ่งที่ไม่ได้ทำเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ถึงจะกลัวกับผลลัพธ์ แต่บางอย่างที่ติดค้างในใจเหมือนถูกกระชากออก

     

    ใช่แล้ว เมื่อตอนเด็กเขาควรทำแบบนี้ เขาไปในวงล้อมแล้วปัดท่อนไม้ให้หลุดมือคนงานที่กำลังเงื้อมันขึ้นเพื่อตีเพื่อนของเขา

     

    แต่ทุกการปลดปล่อยมีปัญหารออยู่ที่ปลายทางเสมอ

     

     

    ปากกระบอกอปืนถูกจ่อที่หน้าผากเขาแทน ชานยอลโกรธจนผิวแดงจัด ตัวสั่นจนต้องระงับด้วยการขบกรามแน่นจนเห็นรอยเส้นเลือดปูดนูน

     

    มันร้ายแรงกว่าเมื่อวานที่เขาปกป้องเทาเรื่องยอนฮวา เพราะเทาทำผิดจริง เพราะผู้ร่วมสถารณ์เยอะกว่า และเพราะมันเป็นครั้งที่สองที่เขาทำในสิ่งที่ชานยอลเกลียด

     

    แต่ว่ามันไม่ใช่การเลือกข้าง เขาอยากบอกชานยอลเช่นนั้นถ้าสมมติว่าอีกฝ่ายยอมให้เขาอธิบาย ซึ่งแน่นอนว่าชานยอลไม่เปิดโอกาสนั้นให้เขาอยู่แล้ว

     

     

    “ถอยไป...” ร่างสูงเค้นเสียงรอดไรฟัน นัยตาลึกๆเจ็บปวด เขาพอเดาออกอยู่แล้วว่าใครเป็นตัวการ แค่รอให้จำเลยพูดออกมาเองก็เท่านั้น สารภาพต่อหน้าพยาน เพื่อที่เลย์จะได้หลุดจากความนับถือของพวกคนงานซักที

     

    เขารู้อยู่แล้วว่าธรรมชาติของคนทั่วไปเมื่อถึงจุดสูงสุดของความกลัว ถ้าไม่ใช่พวกที่ถูกฝึกมาอย่างหน่วยรบพิเศษให้ทนต่อการเค้นความลับ ร้อยทั้งร้อยยังไงก็ต้องสารภาพ เขามองเห็นภาพรวมทั้งหมด เขาพยากรณ์มันไว้ทั้งหมดแล้ว

    แต่แล้วแบคฮยอนก็ก้าวเข้ามา ปัดมือเขา จ้องตาเขาตอบทั้งที่ก็หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

     

     

    “ถอยไป นี่ไม่ใช่เรื่องของแก”

     

    “คุณ...แต่คุณก็มี ไม่มี..” แบคฮยอนบังคับตัวเองไม่ให้สั่นก่อนจะเรียบเรียงคำพูดใหม่อีกครั้ง “แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับคนงานเหมือนกัน ถึงจะผิดแต่ก็...”

     

    “...”

     

    “ไม่ควรทำขนาดนี้” คนตัวเล็กพยายามจะไม่หลบตา เขาต้องกล้าซิ สิ่งที่ชานยอลทำไม่ถูกต้อง

     

    “ถอยไป...” เสียงเข้มดุดันอย่างร้ายกาจ แบคฮยอนใจสั่นแต่เขาจะไม่หลบไปไหน

     

    “ถอยไปก่อนที่ฉันจะเหมาแกว่าเป็นพวกเดียวกับมัน”

     

    ปืนกระบอกนั้นตบเบาๆที่ขมับเป็นการขู่ แบคฮยอนเหงื่อชุ่มไปทั้งหลังจนรู้สึกแสบแผล แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

     

    ชานยอลนิ่งเงียบ เขากลืนก้อนขมลงลำคอ ...มองเห็นวิธีจัดการอย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าจะกำราบแบคฮยอนได้อย่างชะงักงันและทำให้เข็ดไปตลอดชีวิตได้ด้วยการจ่อปืนไว้ที่ขมับ นับตัวเลขหนึ่งถึงสาม จากนั้นก็ลั่นไกปืน

     

    เขารู้ว่าถ้ายิงในระยะประชิดจะเกิดแรงสะท้อนกลับ ไม่มีทางที่ลูกกระสุนจะฝังเข้าไปในหัวของใครทั้งนั้น

     

    แต่ถึงจะรู้ว่าเขาสามารถใช้วิธีนั้นได้ ซึ่งมันไร้ข้อผิดพลาด แต่สุดท้ายแล้วชานยอลก็เลือกที่จะลดกระบอกปืนลง มองดวงตารีเรียวด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหันไปสั่งคนงานที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด

     

    “จับมันสองคนส่งตำรวจ”

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

    ฮายยย
    อากาศหนาวแล้ว(มั้ง)
    ดูแลตัวเองด้วยขรั่บบ
    #พายุพี่ชาน
    ซีมี

     

     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×