ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ มิ่ง ` {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #11 : ' มิ่ง : 08

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.88K
      19
      10 ธ.ค. 57





     

                น้ำตากินได้ แต่ไม่อิ่มและไม่อร่อย

     

    เมื่อรู้ตัวว่าร้องไห้ไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แถมยังเสียเวลาทำมาหากิน แบคฮยอนก็ลุกขึ้นมาจัดการทำธุระส่วนตัวก่อนจะออกไปรับมือกับงานแรกสำหรับวันนี้

     

     

    “เดินกันเข้าไปได้ไงบนรองเท้าสูงปรี๊ดขนาดนั้น เขาเรียกอะไรนะ ส้นอะไรเค็มๆ”

     

    “ส้นเข็มต่างหากล่ะป้า”

     

    เสียงคุยกันช้งเช้งของป้าคิมกับเด็กแสบยูรีทำให้คนตัวเล็กรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง จะว่าไปตั้งแต่วันที่ยูรีขอร้องให้เขาพาไปดูหน้าคุณชานยอลที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก เขาก็ยังไม่ได้เจอยัยหนูนี่อีกเลย จนกระทั่งวันนี้...

     

    “ไง ตัวป่วน” แบคฮยอนเอ่ยทักจากทางข้างหลัง สาวต่างวัยทั้งสองคนถึงกับหันควับมาพร้อมกัน สาวแก่ยิ้มกว้าง ส่วนสาวน้อยกรี๊ดกร๊าดก่อนวิ่งเข้ามากอดเอวเขาแน่น

     

    “พี่แบคอ่า! ฉันคิดถึ๊งคิดถึง” ยูรีหยอดเสียงหวานแล้วไถหน้าลงกับท้องเขาอย่างออดอ้อน แม้จะเจ็บแผลแต่แบคฮยอนก็ไม่ได้ว่าอะไร ..บางทีเขาก็เห็นภาพตัวเองในวัยเยาว์ซ้อนทับกับเด็กสาว ก็ได้แต่ภาวนาว่ายูรีจะคงความสดใสเช่นนี้ไว้ตลอดไป อย่าได้ทำหล่นหายระหว่างการเติบโตอย่างเขาเลย

     

    “สวัสดีครับป้า” คนตัวเล็กทักทายผู้สูงวัยอย่างนอบน้อม ก่อนจะทักคนอื่นๆในครัวด้วย ซึ่งเขาสังเกตได้ว่าวันนี้แม่ครัวเยอะผิดปกติ

     

    “มาก็ดีแล้ว จะได้มาช่วยกันทำครัว วันนี้มีแขกมากันตั้งเจ็ด-แปดคน”

     

    แบคฮยอนผละออกจากร่างจ้อยของยูรี และไม่ทันได้รู้ข้อมูลมากกว่านี้เขาก็เดินถึงหน้าตู้เย็นแล้ว

     

    “มาจากเมืองหลวงกันทั้งนั้น เห็นคุณชานยอลบอกว่าเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัย”

     

    แบคฮยอนพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงว่าได้ยิน เขาเลือกวัตถุดิบออกจากช่องแช่แข็งอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะช่วยทำเมนูเพิ่มจากเดิมอีกสองจาน

     

     

    ระหว่างทำครัวก็มียูรีคอยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ คอยพูดจาออเซาะฉอเลาะ บางทีก็เล่นมุกตลกให้ฟัง จนทำให้ไม่รู้สึกเหงา ถึงลึกๆแล้วเขาจะยังครุ่นคิดถึงจำนวนเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของชานยอลอยู่ก็ตาม

     

    มันก็น่าสมเพชดีอยู่หรอกที่เขาเอาแต่ห่วงว่าชานยอลจะมีใครคอยช่วยประคับประคองตอนที่อยู่ไกลบ้านหรือเปล่า จะเหงาอย่างที่เขาเป็นมาโดยตลอดสิบปีไหม

     

    ทว่าในความน้อยใจก็ยังมีความยินดี...เขายินดีเหลือเกินที่ชานยอลไม่เคยต้องรู้สึกเหงาเหมือนอย่างที่เขาเหงา เพราะความคิดถึงที่มองไม่เห็น ความห่วงใย ความต้องการจะอยู่ใกล้ๆ ทุกอย่างคือความทรมานใจที่คงจะหาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้ว

     

     

    นอกจากทำมื้อเช้าเลี้ยงแขก วันนี้เหล่าแม่ครัวก็ยังมีบทสนทนาให้แลกเปลี่ยนกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งก็ไม่พ้นบรรดาเพื่อนๆของชานยอลอีกนั่นล่ะ

     

    “เห็นเพื่อนผู้หญิงสามคนของคุณชานยอลมั้ย มีคนนึงนะซ้วยสวย สวยยังกะดารา”

     

    “ตอนสาวๆฉันก็สวยแบบหล่อนนั่นแหละ”

     

    “โหยป้า ทั้งไร่นี้ไม่มีใครเกิดทันตอนป้าสาวๆซ้ากกคน ป้าจะโม้ยังไงก็โม้ได้”

     

    “เดี๋ยวเถอะ! นังเด็กปากดี”

     

    “ปากดีก็ดีกว่าปากเลวก็แล้วกันป้า ขอบคุณที่ชมฉันนะ”

     

    “เอ๊ะนังนี่ น่ารำคาญจริงๆ ไปที่ชอบที่ชอบเลยไป๊!

     

    “งั้นฉันก็อยู่ที่นี่แหละ ฉันชอบที่นี่”

     

    แบคฮยอนฟังแล้วหัวเราะร่วน ในขณะที่สองป้าหลานทะเลาะกันไปตลอดทั้งการทำครัว

     

     

     

     

    สำรับอาหารถูกลำเลียงออกมาตั้งโต๊ะทันเวลาแปดโมงพอดี ด๊อกเตอร์ร่างสูงที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจึงไม่มีโอกาสหาเรื่องอะไรมาต่อว่า

     

    แบคฮยอนทำเป็นมองไม่เห็นชานยอล ไม่สบตาที่มองจ้องมาอย่างดุดัน ไม่รู้ ไม่ระวัง ไม่สังเกตใดๆทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าอยากจะแข็งข้อประกาศตัวเป็นศัตรู แต่ถ้าจะทำร่างร้ายกายและจิตใจกันเหมือนกับเมื่อเช้ามืดอีก ถ้าจะต้องเป็นเช่นนั้น สู้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องรับรู้ความเคลื่อนไหวซึ่งกันและกันเสียจะดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหา

     

    เพื่อนฝูงของเจ้าบ้านค่อยๆทยอยกันลงมานั่งล้อมโต๊ะอาหารกันด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพที่ครื้นเครง และถึงเลย์จะเคยบอกแกมบังคับว่าให้เขาทำตัวเหมือนเป็นคนในครอบครัวคนหนึ่งให้สมกับที่เขาเป็นคนรักของเจ้าตัว แต่แบคฮยอนก็เลือกที่จะหลบฉากไปยืนรวมกับแม่บ้านที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานกันอยู่บริเวณนั้นแทน

     

    แบคฮยอนก้มหน้าต่ำ มองปลายเท้า

     

    เขาคิดถึงตอนเด็กๆที่ตัวเองมักจะออกไปรอรถกระบะเที่ยวสุดท้ายที่จะวิ่งกลับมายังไร่ เฝ้าชะเง้อดูว่าลุงลีจะพาพี่ชานยอลของเขากลับมาด้วยไหม จากปีนึงก็เป็นสองปี เป็นสามปี... นานเหลือเกินที่เขายังออกไปรอด้วยความเชื่อที่ว่าชานยอลจะกลับมา

     

    ตอนนั้นเขาเหงา ...แต่ไม่รู้ทำไม ถึงได้เหงาไม่เท่าตอนนี้

     

    ชานยอลอยู่ใกล้เพียงสามฝีก้าว อยู่ให้เห็นในสายตา แต่แล้วแบคฮยอนก็ต้องยอมรับว่าชานยอลมีโลกส่วนตัวของเขา มีแวดวงของคนมีการศึกษา มีสถานภาพทางสังคม และความแตกต่างอีกมากมายหลายด้านที่เขาไม่มีวันเทียบได้และไม่เคยนึกอยากจะเอาตัวขึ้นไปเทียบ

     

    เขาคงเด็กและไม่ประสีประสาเกินไป ที่เอาแต่คิดว่าในความแตกต่างนั้น เราจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

    แต่ตอนนี้แบคฮยอนโตขึ้นแล้ว

     

    ถ้าพี่ชานยอลไม่ให้แบคอยู่ในโลกของพี่ชานยอล ...แบคก็จะไม่อยู่

     

     

     

     

    “เรื่องพรรคซอนมุลนี่ตกลงยังไงคะด๊อกเตอร์ ผู้ใหญ่เขาให้มาทาบทามเป็นรอบที่ร้อยแล้วเนี่ย” ผู้หญิงผมซอยสั้นที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะเป็นคนเปิดประเด็นที่จริงจังเป็นคนแรกในมื้อเช้า

     

    ด๊อกเตอร์ที่ว่า วางช้อนส้อมลงแล้วยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี “งั้นก็ขอปฏิเสธรอบที่ร้อยแล้วกันครับคุณส.ส.ใหญ่”

     

    คำปฏิเสธนั้นทำเอาหัวเราะครืนกันทั้งโต๊ะ ต่างจากบรรดาแม่บ้านที่พอรู้ว่าเพื่อนของคุณชานยอลเป็น ส.ส.ก็พากันตาโตแตกตื่น กระทุ้งสีข้างกันเสียยกใหญ่

     

    “กลับมาเกาหลีปุ๊บก็เนื้อหอมปั๊บเลยนะด๊อกเตอร์ พรรคไหนก็อยากได้ตัว ทำไมไม่ลองเล่นการเมืองดูหน่อยล่ะ หน้าตาอย่างนี้ การศึกษาอย่างนี้ ไหนจะประวัติกการเมืองยังใสกิ๊งอีก รับรองรุ่ง” ผู้ชายอีกคนที่มีรูปร่างท้วมช่วยแม่ส.ส.ใหญ่จีบเพื่อนรักราวกับว่าจะได้ค่านายหน้า แต่นอกจากยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ ชานยอลก็ไม่ได้พูดตอบรับอะไร

     

    “เนี่ย เลือกตั้งซ่อมคราวนี้พรรคฉันตัวเต็งอันดับหนึ่งเลยนะ นายก็เข้ามาทำงานเล็กๆน้อยๆช่วยกันหาเสียงไปก่อน ถ้าทำงานเวิร์คมีแววเหมาะจะเป็นพระเอกพรรค สมัยหน้าเดี๋ยวผู้ใหญ่ก็ให้ลงชิงตำแหน่งเอง”

     

    ผู้ใหญ่ที่ถูกอ้างถึงคือใครหรือ?

    แล้วพรรคการเมืองทำไมต้องมีพระเอก?

     

    แบคฮยอนไม่ค่อยจะเข้าใจเนื้อหาใจความของบทสนทนานั้น แน่นอนว่าเขายิ่งห่างไกลออกไป ไกลจนหูเริ่มไม่ได้ยินเสียงการพูดคุยที่ออกรสขึ้นเรื่อยๆ ไกลจนทุกอย่างอื้ออึง เหมือนถูกดูดด้วยหลุมอากาศขนาดใหญ่ให้ปลิวไปไกลลิบลับทั้งที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

     

    แต่ถึงจะห่างไกลเสียเพียงไหน แต่แบคฮยอนก็ยังรับรู้ได้ว่าชานยอลจงใจลงโทษเขาด้วยการไม่แตะต้องอาหารที่เขาทำเลย ...มีอยู่แค่สองจานเท่านั้นที่ชานยอลไม่แม้แต่จะชายตามอง เพราะชายหนุ่มรู้ว่าแบคฮยอนเป็นคนทำแม้จะไม่มีใครบอก ก็เหมือนอย่างที่แบคฮยอนรู้ว่าเขาชอบทานอาหารสองชนิดนี้ แม้ว่าตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งปัจจุบันเขาจะยังไม่เคยเอ่ยปากบอกใครเลยซักคนก็ตาม

     

     

    การรับประทานอาหารเป็นไปอย่างสนุกสนานเฮฮาถ้าไม่นับรวมความรู้สึกของแบคฮยอน คนตัวเล็กนึกดีใจว่าความอึดอัดสำหรับเขากำลังจะจบลงแล้ว แต่ไม่เลย ชีวิตคือการฝ่าฟันความยากลำบากไปสู่ความยากลำบากที่มากยิ่งๆขึ้นไป

     

     

    “อยู่ช่วยฉันพาเพื่อนไปชมไร่ก่อน”

     

    “แต่ผมก็มีงานของผม” แบคฮยอนหมายถึงการเป็นผู้ช่วยหมอโอตรวจปศุสัตว์ ไหนจะงานในไร่แอบเปิ้ลอีก เขาโดดมาหลายวันแล้ว

     

    “เล่นชู้หรือ สำหรับฉันนั่นไม่นับเป็นงาน” ชายหนุ่มพูดเสียงเบากว่าปกติ จงใจไม่ให้เพื่อนของเขาที่ยังนั่งอ้อยอิ่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหารได้ยิน

     

    คนฟังสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอาการทั้งสั่นทั้งน้อยใจ ไหนเลยจะความกรุ่นโกรธที่เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย “ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรือ คุณพูดเองว่าผมสกปรก แล้วคุณจะมายุ่งกับผมทำไม”

     

    ชานยอลเหยียดยิ้มสมเพช ตามองไล่ประเมินค่าคนตัวเล็กอย่างหยาบคาย “ขี้ข้า” เขาว่าเช่นนั้นเป็นคำแรก แบคฮยอนคอแข็ง จะว่าไม่โกรธก็ดูจะเกินไปสำหรับมนุษย์เดินดินที่ไม่ได้บำเพ็ญศีลครบทุกข้อ

     

    “คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมีหน้ามาบอกให้ต่างคนต่างอยู่ เป็นขี้ข้าแท้ๆ หัดเจียมตัวซะบ้างอย่าให้ฉันต้องตอกย้ำความเป็นขี้ข้าของแกบ่อยนักเลย”

     

    แบคฮยอนพยายามสะกดจิตตัวเอง ...พี่ชานยอลคงโกรธเรื่องตอนเช้า ...พี่ชานยอลเข้าใจผิด ...พี่ชานยอลก็แค่ร้ายกาจเพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น

     

    แต่แล้วความใจเย็นก็ขาดสะบั้นลงเมื่อคำพูดที่ร้ายกว่าเดิมหลุดออกจากริมฝีปากอิ่ม

     

    “หรือจะให้ฉันทำมากกว่าเมื่อเช้า แกจะได้ขยับฐานะจากขี้ข้ามาเป็นอย่างอื่นแทน แต่อย่างแกคงเป็นได้แค่ของเล่นชั่วคราวของฉันเท่านั้น ถ้ามากกว่านั้นแค่คิดฉันก็สะอิดสะเอียน”

     

    “ผมก็ไม่หวังจะเป็นอะไรของคุณหรอกครับ เพราะผมเป็นคู่สมรสของพี่ชายคุณแล้ว จะเป็นให้คุณอีกคงไม่ได้”

     

    ชานยอลโกรธจัดจนเผลอขบกรามแน่น แทบหลุดคำรามเมื่อโดนตอกกลับมาด้วยข้อความจี้จุดอ่อนของตัวเองอย่างตรงเผง เขาอยากจะกระโจนเข้าไปแหกอกคนตัวเล็กแล้วควานหาดูว่ามีหัวใจเหมือนอย่างคนปกติหรือไม่ ถึงได้พูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นคนรักของคนอื่นต่อหน้าเขา

     

     

    “ด๊อกเตอร์ ไปกันได้หรือยังล่ะ พวกเราพร้อมแล้วนะ”

     

    ต้องขอบคุณเสียงสวรรค์ของส.ส.ใหญ่ที่กังวานใสไปทั่วทั้งบ้าน ชานยอลควบคุมอารมณ์และสีหน้าก่อนจะหันมายักคิ้วให้เพื่อนต่างเพศของตัวเอง

     

    “ถ้าพร้อมก็ลุกสิ”

     

     

     

     

    สายนี้อากาศจัดได้ว่าดีเกินคาด ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนอย่างที่เป็นมาก่อนหน้าอยู่หลายวัน แล้วก็ไม่อึมครึมไปด้วยหมอกเมฆ

     

    แบคฮยอนเดินอยู่รั้งขบวนของเหล่าคนมีอายุพอสมควรที่วันนี้ทำตัวเป็นเด็กมาทัศนศึกษา โดยมีด๊อกเตอร์ชานยอลเป็นไกด์พาชมไร่กังยู ส่วนหน้าที่ที่คนตัวเล็กได้รับมอบหมายก็คือการแบกสัมภาระที่บรรดาคนเมืองหลวงหอบเอามากะจะใช้ปิกนิกกันตอนเที่ยงๆ ซึ่งเขาก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไร ของพวกนี้หนักไม่ได้ครึ่งของกระบุงแอปเปิ้ลที่เขาต้องหอบขึ้นหลังเวลาทำงานในไร่เลยด้วยซ้ำ แล้วการเดินๆหยุดๆเพื่อซึมซับความสวยงามของธรรมชาติในบริเวณต่างๆของไร่ก็ถือว่าเป็นเรื่องสบายมากกว่าที่จะเป็นเรื่องยากเย็น

     

    แต่ความลำบากก็ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกลุ่มเพื่อนของชานยอลไม่ได้พอใจแค่เดินชมไร่เพียงอย่างเดียว

     

    “ไอ้นั่นมันดอกอะไรน่ะ” หนึ่งในสามของเพื่อนผู้หญิงชี้ไปบนต้นไม้สูงใหญ่ ที่ปลายกิ่งสูงลิบนั้นมีดอกส้มงอกงามอยู่ติดกันมองคล้ายเป็นช่อๆ

     

    “อยากเห็นใกล้ๆจัง คงสวยหน้าดู”

     

    แวบนั้นชานยอลจ้องเขม็งมาทางเข้าด้วยสายตามีนัยยะ ...อย่าบอกนะว่า

     

     

     

     

    ในที่สุดแบคฮยอนก็ปีนมาถึงกิ่งที่เป็นที่ตั้งของดอกส้มป่าสีขาวนวล แม้จะยังเจ็บแผลอยู่บ้าง แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็เป็นไปอย่างพลิ้วไหวและชำนิชำนาญเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเหยียบกิ่งใดหรือข้อปุ่มตรงไหนของต้น ก็เจ้าต้นนี้น่ะเขาปีนมาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงห้าขวบดีเลยด้วยซ้ำ

     

    เสียงปรบมือดังเกรียวกราวตอนที่มือเรียวคว้าเด็ดช่อดอกมาได้แทบทั้งกิ่ง ถึงจะแอบเสียดายในใจเพราะถ้าดอกไม่ถูกเด็ดและเจริญไปเป็นผลก็คงได้ส้มงามๆอยู่หลายลูกเลยทีเดียว

     

    แบคฮยอนยิ้มสุภาพรับเสียงชื่นชมจากบรรดาผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายที่ส่งแรงใจมาจากทางด้านล่าง เพื่อนของเจ้าบ้านพากันตื่นเต้นเสียยกใหญ่ตอนที่เขาปีนเอาๆเหมือนเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นคนปีนต้นไม้ได้มาก่อน จะว่าไปในเมืองหลวงก็ไม่มีคนดีๆที่ไหนนึกครึ้มปีนขึ้นไปเด็ดดอกไม้ไม่มีราคาบนต้นไม้สูงๆหรอก

     

    ร่างเล็กเหวี่ยงตัวจากกิ่งหนึ่งไปสู่กิ่งหนึ่งอย่างคล่องแคล่วไม่ต่างจากตอนปีนขึ้น ทว่าแม้จะคุ้นชินกับต้นส้มสูงใหญ่นี้เป็นอย่างดี แต่ความแข็งแรงของบ้างกิ่งได้เปลี่ยนไป...

     

    “เหวออ!

     

    แบคฮยอนร้องลั่นตอนที่หย่อนตัวลงมาถึงกิ่งไม้กิ่งหนึ่งซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินไปไม่เท่าไหร่ เจ้ากิ่งขนาดเท่าท่อนแขนนั้นหักเปร๊าะกลางลำพอดิบพอดี ส่งผลให้ร่างจ้อยถลาลงสู่พื้นหญ้า โชคดีที่ตกต้นไม้บ่อยเลยพอจะมีสติพลิกร่างเอาส่วนที่รู้ว่าจะได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดลง แต่กระนั้นก็ยังเจ็บจนต้องซี้ดปากร้องครางเบาๆ

     

    แต่เสียงนั้นราวกับเสียงตะโกนคำรามด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสสำหรับด๊อกเตอร์ชานยอล เขารีบวิ่งมาประคองร่างเล็กอย่างรวดเร็วราวกับว่าขามันไปเองโดยอัตโนมัติ

     

    “เจ็บหรือเปล่า ไหวไหม”

     

    สีหน้าแสดงออกถึงความห่วงใยขนาดหนัก หนักชนิดที่ว่าถ้าเจ้าตัวรู้ตัวเมื่อไหร่ว่าเผลอหลุดทำหน้าทำตาอย่างนี้ออกมาล่ะกัน มีหวังได้กลับไปเก๊กดุอีกตามเดิมแน่ๆ

     

    แบคฮยอนส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงปฏิเสธต่อความเจ็บปวด ตัวเขาเองก็เผลอหลุดยิ้มจางออกมาเช่นกันเมื่อได้มีโอกาสเห็นสายตาห่วงหาของชานยอลอีกครั้ง อยากจะมองและเก็บเกี่ยวเอาไว้ในความทรงจำให้ได้มากที่สุด เพราะไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ที่เขาได้รับแววตาอาทรเช่นนี้จากพี่ชานยอลผู้ที่เคยแสนดีในวันเก่า

     

    “ขอโทษนะที่ทำให้นายต้องเจ็บตัว” หญิงสาวที่เป็นคนร้องจะเอาดอกไม้เดินมาใกล้แล้วแตะไหล่เขาเบาๆ แค่ได้มองใบหน้าหวานหยดเพียงครั้งเดียว แบคฮยอนก็เดาได้เลยทันทีว่าเพื่อนผู้หญิงหนึ่งในสามคนที่ สวยยังกะดาราที่ป้าแม่บ้านพูดถึงระหว่างทำครัวคือใคร

     

    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เจ็บ..” พูดพลางยันตัวลุกขึ้นตั้งท่าจะยืนโชว์ให้หญิงสาวไม่นึกโทษตัวเองที่เป็นเหตุให้เขาต้องตกต้นไม้ แต่แล้วร่างสูงที่ขนาบอยู่ด้านข้างก็รีบสอดแขนเข้ามายึดเอวคอดไว้อย่างรวดเร็ว

     

    “อย่าเพิ่งขยับ” เขาสั่งเสียงเข้ม ดวงตาเป็นห่วงเป็นใยสูญหายไปแล้วโดยสิ้นเชิง

     

    แบคฮยอนฝืนร่างออกจากกรงล้อมแข็งแกร่งของเจ้านายผู้รักในการออกคำสั่งพลางส่ายหน้า “ผมไม่เจ็บแล้วครับ เดินเองได้”

     

    ชานยอลหรี่ตาจ้องจะหาเรื่องทันทีเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มจะเถียงเก่งขึ้นเรื่อยๆ

     

    “ถ้าเดินได้งั้นก็รีบไปตามไอ้ชู้รักเบอร์สองของแกมา หน่วยก้านมันดูแข็งแรงดี จะได้ให้มันมาช่วยถือของ” ประโยคนี้ยื่นหน้ามากระซิบเสียติดใบหูจนแบคฮยอนรู้สึกร้อนผ่าว ชานยอลคงจงใจให้ได้ยินกันแค่สองคน

     

    “ชู้เบอร์สอง? คุณหมายถึงใครไม่ทราบครับ” ดูเหมือนว่ายิ่งชานยอลอารมณ์ไม่ดีมากเท่าไหร่ จำนวนชู้รักของเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

     

    “มักมากจนจำคู่ขาตัวเองไม่เลยหรือยังไง ก็คนที่มันพลอดรักกับแกที่น้ำตกนั่นไง”

     

    เอาเข้าไป... เชื่อเขาเลยเถอะ

     

     

    “จื่อเทากับผมเป็นเพื่อนกันเท่านั้นครับ” แบคฮยอนเค้นเสียงลอดไรฟัน นึกอยากจะตะกุยหน้าหล่อๆนั่นให้หาสาสมกับความเจ็บปวดจากคำพูดสาดเสียเทเสียที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปสรรหามาจากไหนหนักหนา

     

    “หึ เอาเพื่อนมาทำชู้...ก็สมกับเป็นนายดีนี่”

     

    หรือจะจริงที่เขาว่ากันว่า คนเรายิ่งมีความรู้ยิ่งปากจัด ยิ่งเรียนสูงวาจายิ่งคมคาย

    แต่ละคำที่หลุดออกมาจากปากอิ่มถึงได้แหลมกรีดราวกับปลายมีดขนาดนี้

     

    แบคฮยอนหมดคำพูดจะงัดขึ้นมาถกเถียง เขาเงียบไม่ต่อกร แต่กลับใช้แรงฝืนทางกายที่มากกว่าเดิมจนหลุดออกจากอาณัติของชานยอลได้

     

    “รีบไปตามไอ้เทาอะไรนั่นของแกมาสิ” สั่งซ้ำอีกรอบ จนแบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าโชคดีเหลือเกินที่คนตรงหน้าปฏิเสธที่จะเล่นการเมือง เพราะถ้าวันดีคืนดีลูกชายพ่อเลี้ยงได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีขึ้นมา มีหวังเกาหลีใต้ได้กลายเป็นเกาหลีเหนือ2 แหงๆ

     

    ถ้าเป็นแต่ก่อนแบคฮยอนคงจะบู้ปากแล้วบ่นพี่ชานยอลของเขาว่าคนอะไรช่างเผด็จการจนน่าหยิก แต่เพราะตอนนี้พี่ชานยอลคนนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว ที่แบคฮยอนพอจะทำได้ก็มีเพียงแค่เดินกะเผลกๆไปตามเพื่อนรักก็เท่านั้น

     

     

     

     

     

     

     

    จื่อเทาดูจะหัวเสียไม่น้อยที่ถูกเรียกใช้ แม้งานใหม่อย่างถือของปิกนิกจะเบากว่างานที่เจ้าตัวทำอยู่อย่างการแบกไม้ซุงท่อนใหญ่ๆก็ตาม ไม่รู้ว่าเลย์เป่าหูอะไร จื่อเทาถึงได้ตั้งแง่กับชานยอลมากมายขนาดนี้

     

    จะว่าไป เขากับเพื่อนชาวจีนก็ยังไม่ได้คุยเรื่องโขมยของในไร่ไปขายให้ชัดเจนเลยนับแต่ครั้งนั้น อาจเป็นเพราะเขายังโกรธอยู่ที่จู่ๆก็ถูกบังคับให้กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เทาเองก็เชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องจึงไม่ยอมง้อด้วยการขอโทษเหมือนอย่างที่แล้วมา

     

    ความสัมพันธ์ของแบคฮยอนกับคนรอบข้างดูจะเป็นลบไปเสียหมดจนร่างเล็กรู้สึกใจหาย แต่เขาก็ไม่ใช่คนตัดพ้อในโชคชะตาอยู่ตลอดเวลา ได้แต่คิดในแง่ดีและหวังลึกๆว่าสักวันอะไรๆคงจะดีขึ้น

     

     

     

     

     

    พอสองเพื่อนรักที่ตอนนี้ปั้นปึงใส่กันเดินมาถึงต้นส้ม ก็เห็นบรรดาแขกกิตติมศักดิ์ของไร่นั่งกดโทษศัพท์ยิกๆกันอยู่ใต้ร่มเงานั้น บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็พูดคุยกัน ...บ้างสุดท้ายที่ว่าก็คือลูกชายเจ้าของไร่กับหญิงสาวที่สวยที่สุดในกลุ่มนั้นล่ะ

     

    จื่อเทาสะกิดถามเพื่อนถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แต่แบคฮยอนยังไม่พอใจเรื่องเมื่อวานอยู่จึงไม่ได้ตอบอะไรออกไป อีกอย่างคือเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่า...

     

    คนตัวเล็กชะงักไปเมื่อคิดมาถึงตรงนี้

     

    ...ว่า พี่ชานยอลจะมีแค่แบคคนเดียว อย่างที่เคยสัญญาอย่างนั้นน่ะหรือ

     

    อันที่จริง ถ้าไม่แกล้งปิดหูปิดตาทำเป็นมองไม่เห็น ...มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆอย่างที่อีกฝ่ายเคยให้สัญญาไว้ทุกประการ

     

    แบคฮยอนพยายามคิดในแง่ดีอีกครั้ง เขาหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆคงจะดีขึ้น

    อย่างน้อยก็ขอให้มันดีเท่าที่มันจะดีได้

     

     

     

     

     

    หลังจากทัวร์สถานที่เด่นๆของกงยูจนเกือบครับแล้ว ก็ถึงจังหวะของอาหารมื้อกลางวันที่เตรียมกันมาตั้งแต่อยู่เรือนใหญ่

     

    จื่อเทาวางกล่องปิกนิกลงบนผืนหญ้าใกล้ธารน้ำตกในขณะที่แบคฮยอนรับหน้าที่ปูเสื่อสี่ผืนให้รอยต่อนาบกันจนสนิท พอปูเสร็จลูกทัวร์ก็ยกโขยงลงนั่งคุยกันอย่างออกรส ถึงเป้าหมายของการปิกนิกโดยทั่วไปจะเป็นการรับประทานอาหารนอกสถานที่โดยสมาชิกได้มีส่วนรวมในการปรุงอาหารอย่างง่ายด้วยตนเอง แต่พอถึงเวลาจริงๆแล้วก็ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะรักสบายมากกว่าจะทำอย่างนั้น

     

    แบคฮยอนล้างมือกับน้ำในลำธารและใช้แอลกอฮอล์ชนิดเจลทำความสะอาดอีกทีก่อนสวมทับด้วยถุงมือพลาสติก เขาควักเอาอาหารสำเร็จรูปที่เตรียมมาเทใส่ชามและทำแซนด์วิสอย่างง่ายๆเลี้ยงแขกในมื้อนี้

     

    แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูขัดใจแขกไปเสียหมด คนนี้ไม่กินแตงกวา คนนั้นไม่ใส่มายองเนส คนโน้นต้องกินขนมปังไม่มีขอบเท่านั้น

     

    ชานยอลเองก็รู้จักเพื่อนๆของเขาดี ส่วนมากมาจากตระกูลร่ำรวย การอยากได้อะไรตามแต่ใจตนจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงเขาจะนึกรำคาญแทนคนตัวเล็กอยู่บ้างก็เถอะ แต่ในเมื่อแบคฮยอนไม่ว่าอะไร เขาที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียก็ขี้คร้านจะไปแย้งด้วย

     

    แต่ถึงจะโดนขอให้เปลี่ยนสูตรแซนด์วิสอยู่ตลอดเวลา ทว่าแบคฮยอนก็ไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจหรือหงุดหงิด ใบหน้าที่ดูเผินๆแล้วไม่สะดุดตาอะไร มีรอยยิ้มจางๆประดับไว้ดูเป็นมิตรแลอ่อนโยนอยู่ในที แต่สองมือนั้นแข็งขัน หยิบจับข้าวของด้วยท่าทีเป็นงาน

     

    ดูหวานแต่ไม่เหยาะแหยะ

     

    ถ้าจะเปรียบเป็นสิ่งของ ก็คงเป็นของจำพวกเครื่องมือเครื่องใช้ ไม่ใช่ของประดับบ้านราคาแพงที่มีไว้แค่ตั้งโชว์อวดความงาม แต่เป็นเครื่องมือทำมาหากิน อยู่คู่ใจ มีประโยชน์ และเมื่ออยู่ในมือ ผู้ใช้ก็ไม่เคยอดตาย

     

    ชานยอลรู้ดีแก่ใจว่าถึงแบคฮยอนจะไม่ได้เรียนสูงเท่าเขา แต่ความอดทนและความคล่องแคล่วของคนตัวเล็กก็เพียงพอแล้วที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่เขาอยู่ในไร่กังยูแห่งนี้

     

    ไม่ต้องสู้รบปรบมือกับใคร ไม่ต้องชิงดีชิงเด่น มีแค่เขาที่มีความรู้พอจะพัฒนาไร่ กับแบคฮยอนที่รู้จักไร่ดีทุกตารางหน่วย แค่เราสองคนช่วยกันดูแลกังยู อยู่เป็นมิ่งขวัญให้กันและกันอย่างคู่ชีวิต เพียงเท่านี้ ...ไม่ใช่ฝันที่เกินตัวหรือฟังดูละโมบจนน่าตกใจ

     

    แต่ก็ไอ้เท่านี้มิใช่หรือ ที่เขาไม่มีปัญญาทำให้เป็นจริงได้

     

    ดวงตาคมเบนไปมองสิ่งอื่นแทน มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนจะพบว่า สุดท้ายแล้วเขาก็ทนไม่ไหวต้องวกกลับมาจดจ้องใบหน้าขาวของแบคฮยอนอยู่ดี

     

     

     

     

     

     

    เป็นแบคฮยอนเองที่ทนต่อสายตานั้นไม่ไหว พอถึงจุดหนึ่งที่อึดอัดใจจนเกินจะรับได้ ร่างเล็กก็ลุกขึ้นขออนุญาตไปเดินเล่นเลียบล่องลำธาร จื่อเทาที่เห็นว่าเป็นโอกาสดีในการปรับความเข้าใจกันจึงขอตามไปด้วย

     

    “เห็นหรือยังล่ะว่าคุณชานยอลของนายน่ะมันไม่ได้เรื่อง”

     

    แบคฮยอนหันควับมาจ้องตาเพื่อนรัก “พูดดีๆนะเทา คุณชานยอลไม่ได้เรื่องตรงไหน”

     

    “ก็ตรงที่เอาคนงานมาทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้ไง มีอย่างที่ไหนคนทำงานอยู่ดีๆ เรียกมารับใช้เพื่อนฝูงตัวเองซะอย่างนั้น”

     

    คนตัวเล็กหมุนตัวสู่ทิศเดิมแล้วออกเดินต่อ ในเรื่องนี้เขาเองก็ไม่รู้จะเถียงยังไง แต่ที่แน่ๆคือสำหรับเขา ชานยอลไม่ใช่คนไม่ได้เรื่อง

     

    “เพราะงี้ไง เราถึงต้องขัดขวางไม่ให้มันขึ้นมาเป็นพ่อเลี้ยง”

     

    แบคฮยอนพ่นลมหายใจหน่ายๆ “เพราะนายอยากได้เงินจากคุณเลย์ซิไม่ว่า”

     

    “ก็แหงดิ ฉันไม่ได้อ้อนแอ้นปากนิดจมูกหน่อยอย่างนายนิ คุณเลย์ถึงจะได้มาตบแต่งให้สินสอดอย่างนายน่ะ”

     

    พูดจบก็ถูกคนตัวเล็กหันหน้ามาตีเข้าให้หลายป้าบ จื่อเทาหัวเราะดังลั่น เพราะถึงแบคฮยอนจะโกรธจนลงไม้ลงมือ แต่ยังไงก็ดีกว่าเมินเฉยใส่เขา

     

    พอถูกตีหนักๆเข้า หนุ่มจีนเลยแก้เผ็ดบ้างด้วยการล็อคคอแล้วรวบเอาเพื่อนตัวเล็กมาไว้ในอ้อมแขน แบคฮยอนดิ้นขลุกขลักอยู่ในกล้ามเนื้อแข็งแรงและเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเรื่อยๆอย่างชอบใจที่ได้ทำให้คนใจเย็นอย่างบยอนแบคฮยอน มีอารมณ์ฉุนเฉียวได้

     

     

     

    “เล่นอะไรกันอยู่น่ะ น่าสนุกจัง”

     

    เสียงหวานใสของผู้มาใหม่ทำให้ทั้งคู่แยกกันโดยอัตโนมัติ ยิ่งพอเห็นว่าคนทักเป็นสาวสวยรูปร่างทรมานใจชายหนุ่ม จื่อเทายิ่งรู้สึกอับอายที่เมื่อครู่ทำตัวเป็นเด็กๆ

     

    “คุณผู้หญิงต้องการอะไรเพิ่มหรือเปล่าครับ” แบคฮยอนยิ้มถามอย่างสุภาพ ยังจำสัมผัสอ่อนโยนที่หัวไหล่ได้เป็นอย่างดี น้ำมือของหญิงสาวช่างละมุนละไม

     

    “ฉันอยากจะมาขอบคุณเรื่องดอกไม้น่ะ ขอบคุณที่ขึ้นไปเก็บลงมาให้นะ...แล้วก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณผู้หญิงหรอก ฉันชื่อยอนฮวา ..ซองยอนฮวา” เจ้าหล่อนยิ้มโปรยเสน่ห์ จนหัวใจคนมองวูบไหวไปทั้งคู่ ไม่ใช่เพราะความรักใคร่ชอบพอ แต่เป็นความประทับใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นผู้หญิงสวยขนาดนี้มาก่อน วันๆพวกเขาทำงานอยู่แต่ในไร่ จนจื่อเทาเกือบเชื่อไปแล้วว่าแบคฮยอนหรือไม่ก็น้องสาวที่ชื่อดันบีเป็นสิ่งที่เจริญหูเจริญตาที่สุดในโลก

     

    “มะ...ไม่เป็นไรหรอกครับ” แบคฮยอนพูดพลางโค้งศีรษะให้สาวเจ้าเล็กน้อย ถ้าคุณยอนฮวาเรียนรุ่นเดียวกับพี่ชานยอล ก็แปลว่าเธออายุมากกว่าเขาอยู่หลายปี

     

    “เถอะน่า ฉันบอกให้เรียกยอนฮวา อ่ะ เรียกพี่ยอนฮวาก็ได้”

     

    คนตัวเล็กเกาแก้มขลาดเขินที่ได้รับเกียรติอย่างนั้น จื่อเทาเองก็เคลิ้มไปกับเสน่ห์หญิงสาวจนแทบจะล่องลอย

     

    “ก..ก็ได้ครับ ว่าแต่คุณยอนฮวามีธุระอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ”

     

    “เปล่าหรอก ฉันแค่จะมาล้างเท้าเฉยๆน่ะ” ว่าแล้วร่างระหงก็เดินไปจุ่มน้ำที่ริมธาร ชายหนุ่มทั้งสองมองตามแล้วเคลิบเคลิ้มไปกับจังหวะแกว่งเท้าไปกับสายน้ำ ไม่ว่ายอนฮวาจะทำอะไรก็ดูสวยหมดจดไปทุกท่วงท่า

     

    “อุ๊ย” เจ้าหล่อนร้องอุทานเมื่อเผลอทำรองเท้าข้างหนึ่งหลุดลอยไป จื่อเทารีบเข้าไปหวังจะช่วยลุยน้ำลงไปเก็บรองเท้าราคาแพงให้ แต่ยอนฮวาห้ามไว้

     

    “ไม่ต้องหรอกจ่ะ ฉันยังมีอีกคู่ที่เรือนใหญ่” พูดจบสาวสวยก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มหวานแต่ตาเศร้าเหมือนเสียดายรองเท้า ก่อนจะกระโดดขาเดียวกลับไปยังวงปิกนิกที่อยู่ห่างไกลจากจุดนี้พอสมควร

     

     

    พอร่างอรชรพ้นสายตาไป สองเพื่อนรักก็มองหน้ากันตาปริบๆ รู้ทันทีว่าควรจะทำอะไร

     

    “เดี๋ยวฉันเก็บเอง” แบคฮยอนอาสา

     

    “ไม่ต้องเลย นายน่ะตัวกะเปี๊ยกแค่นี้น่ะอยู่เฉยๆไปเหอะ เดี๋ยวฉันเก็บเอง” ว่าแล้วจื่อเทาก็วิ่งตามรองเท้าสีชมพูหวานแหววที่ลอยไปตามกระแสน้ำเอื่อยๆ โดยมีแบคฮยอนวิ่งตามหลังในระยะประชิด

     

    พอรองเท้าข้างนั้นติดโขดหิน คนตัวสูงก็ใช้กิ่งไม้เกือบสองเมตรเกี่ยวมันขึ้นมาจนได้มาครอบครองสำเร็จ

     

    “ฉันเก่งล่ะสิ”

     

    “จ้า จื่อเทาเก่งที่สุดในโลกเลย” แบคฮยอนปรบมือแปะๆเอาใจเพื่อน ก่อนจะชวนกันกลับเข้ากลุ่มทัศนศึกษา

     

    จื่อเทาดูจะดีใจที่เก็บรองเท้าได้ จึงเดินยิ้มไปตลอดทาง ในใจชายหนุ่มไม่หวังคำขอบคุณอะไร แค่ได้เห็นรอยยิ้มสวยๆอีกซักครั้งก็นับเป็นพระคุณ

     

    ระหว่างทางก็อดจะบ่นไม่ได้เพราะเสียดายยอนฮวาสุดหัวใจ

     

    “ทำไมไอ้คุณชานยอลมันได้เมียสวยอย่างนี้เนี่ย ทั้งสวยทั้งแสนดี ไม่เหมาะกับคนกระด้างอย่างมันซักนิด”

     

    “เดี๋ยวเถอะเทา นินทาเจ้านาย” แบคฮยอนย่นจมูกใส่เพื่อนรัก ก่อนจะถามตัวเอง ...เขาจะเสียใจไหมถามชานยอลได้ปลงใจกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างยอนฮวา

     

    เสียใจ...

     

    แบคฮยอนได้คำตอบนั้น และไร้ข้อสนับสนุนอื่นที่จะช่วยบอกว่าทำไมเขาถึงต้องเสียใจในเมื่อชานยอลได้เจอคนที่ดีกว่าเขาในทุกๆด้าน เขารู้เพียงแต่ว่าเสียใจ

    เขาคงเสียใจ

     

     

     

     

     

    ภาพฝันของจื่อเทาสลายลงทันทีที่เดินกลับมาถึงสถานที่ปิกนิก จากที่หวังจะได้เห็นรอยยิ้มละลายใจ กลับได้เห็นหยาดน้ำตากับภาพที่สาวเจ้าร้องไห้ซบอกปาร์คชานยอลเสียอย่างนั้น

     

    แบคฮยอนเองก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้า เขารีบวิ่งเข้าไปใกล้หวังจะช่วยเหลือยอนฮวา เพราะอย่างน้อยเธอก็หยิบยื่นมิตรไมตรีให้แก่เขา

     

    ทว่าไม่ทันที่ฝ่ามือเรียวจะทาบทาลงบนลาดไหลบอบบางอย่างที่เจ้าหล่อนได้ทำกับเขาเมื่อตอนตกต้นไม้ มือใหญ่ของชานยอลก็ปัดมือเขาออกเสียก่อน

     

    “ยอนฮวาบอกว่าพวกแกสองคนรังแกเขา” เสียงเยียบเย็นที่ยัดเยียดข้อกล่าวหามาให้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาสองเพื่อนรักขมวดคิ้วมุ่น

     

    “ผมกับเทาไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”

     

    ชานยอลหรี่ตาจ้องดวงตาเรียวของคนตัวเล็กราวกับจะเค้นเอาความจริง ถ้าจะบอกว่าเขารู้จักแบคฮยอนดี ก็ใช่...เขารู้จักแบคฮยอนทุกซอกทุกมุมเท่าที่เจ้าตัวจะเปิดเผยต่อเขา แต่กับยอนฮวาเขาเองก็รู้จักมานานหลายปีเช่นกัน เธอเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง

     

    “แล้วนั่นอะไร” ก่อนจะทันได้ตัดสินคดีความ สายตาของร่างสูงก็เหลือบไปเห็นรองเท้าของหญิงสาวที่จื่อเทากำไว้แน่น “พวกแกทำหยาบคายอะไรกับเพื่อนฉัน!

     

    ชานยอลปรี่เข้ามาเตรียมเอาเรื่อง แต่ยอนฮวากอดเอวไว้แล้วซุกหน้าลงร้องไห้กับแผ่นอก

     

    พอเห็นสถานการณ์ความเข้าใจผิดเริ่มลุกลามใหญ่โต แบคฮยอนก็รีบขอร้องให้หญิงสาวช่วย

     

    “คุณยอนฮวาครับ คุณบอกคุณชานยอลไปสิครับว่าผมกับเทาไม่ได้รังแกอะไรคุณ”

     

    สาวเจ้าตัวสั่นระริกหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงเขา ใบหน้าหวานเลื่อนลามไปซุกลงกับซอกคอแกร่งของชานยอล แถมยังหลับตาปี๋ราวกับกลัวเขาจะฆ่าจะแกงเสียอย่างนั้น

     

    “ฮึก ขอโทษ ฮืออ ฉันขอโทษจริงๆที่ทำให้ชานยอลสั่งให้นายขึ้นไปเก็บดอกไม้ให้ ฮึก ขอโทษที่ทำให้นายกับเพื่อนไม่พอใจ ฮืออ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ”

     

    จื่อเทาที่ไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่เคยคลุกคลีกับผู้หญิงที่มีจริตจะก้าน เมื่อโดนหลอกล่อให้หลงใหลในภาพสูงส่งแล้วมาโยนกันลงดินอย่างนี้ เขาจึงทนไม่ไหว หลุดแสดงความหยาบคายเต็มที่

     

    “อ้าวเฮ้ย! พูดหมาๆยังงี้ได้ไงวะ!

     

     

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

    ชะวิ้งๆๆๆ วิ้งงง

    555555555555

     

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจนถึงตอนนี้นะคะะ

    มีเม้นบ่นว่าทำไมไม่แจ้งในทวิตซักหน่อยว่าอัพแล้ว

    คือนี่กะว่าลงได้ซักสิบตอนก่อนค่อยดัน

    ตอนนี้ #พายุพี่ชาน ก็เป็นฟิคเมียน้อยของซีมีไปก่อน

    ไม่ใช่ไร กลัวคนตามเรื่องอื่นน้อยใจ แงงTT เค้าขอโทษ

     

    อ่อแล้วก็โดนบ่นเรื่องทอล์กด้วย

    แต่อันนี้ออกตัวบ่อยแล้วว่าทอล์กไม่เก่ง

    เอาไงดีล่ะ ตอนนี้นะคะก็แช้ปแปดแล้ว เนื้อหาก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

    กรุณายกมือซ้าย พร้อมมือขวา นั่นแหละค่ะ เอามาจับตาดูให้ดี

    ฟิ้ววว

     

    บ้ายบาย


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×