ตอนที่ 13 : บทที่ 12 | การตายของผิงหยู่ (3) (RW)
บทที่ 12
แม้ว่าหลินหลันจะคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอนุจ้าวอาจจะถูกลงโทษ ถึงขั้นประหารเลยก็เป็นได้ เพราะเท่าที่หลินหลันรู้ว่านั้นกฎหมายในยุคโบราณนั้นรุนแรงกว่าในยุคปัจจุบันอยู่มาก
แต่ถึงกระนั้นหลินหลันก็เป็นคนจากยุคปัจจุบัน และเธอก็ไม่เคยที่จะทำให้ใครต้องตายมาก่อน ดังนั้นเพื่อความสบายใจของตัวเธอเอง ช่วงสองสามวันมานี้ เธอได้เจียดเงินส่วนหนึ่งออกมาจัดตั้งโรงทานแบบไม่ประสงค์ออกนาม ทั้งยังได้มีการแจกจ่ายเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้สำหรับหน้าหนาวให้แก่ผู้ยากไร้ได้เอาไว้ใช้อีกด้วย เพราะนี่ก็ใกล้จะถึงหน้าหนาวเข้าไปทุกทีแล้ว
หนึ่งก็เพื่อเป็นการทำให้ตัวเองสบายใจ
และสองเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่หลันเหม่ยหลินที่ยกร่างนี้ให้นางได้ใช้โดยที่ไม่ตามอาฆาต ทวงร่างคืน ให้นางสยองในทุกคืน
แม้ว่าหลินหลันจะติดใจในตอนที่นางยกร่างให้กับหลินหลัน หลันเหม่ยหลินใช้คำว่า 'คืน' ร่างนี้ให้หลินหลัน แทนที่จะบอกว่า 'ยก' ร่างนี้ให้ก็ตามทีเถอะ
แต่ว่าเรื่องนี้หลินหลันคิดว่านางคงจะต้องตามหานักพรตคนนั้นให้เจอเสียก่อน เพื่อนางจะได้ถามเรื่องบางอย่างเพื่อไขข้อข้องใจให้ตนเองได้
ถึงแม้ว่าการตามหาจะดูไม่มีหวังสักเท่าไหร่ก็ตาม
เพราะว่า ราชครูหลันนั้น ส่งคนออกไปตามหานักพรตคนนี้มาตั้งแต่ก่อนที่หลินหลันจะฟื้น จนตอนนี้ก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้ว ยังไร้วี่แวว
ดูเหมือนว่าคงจะต้องรอให้ถึงเวลาที่นักพรตคนนั้นคิดว่าเหมาะสม แล้วมาปรากฏตัวเองเสียแล้ว
ทางด้านหลันเหม่ยอิงนั้น ตั้งแต่มารดาของนางถูกสั่งประหารนั้น นางก็ไม่ก้าวเท้าออกมาจากเรือนของตัวเองอีกเลย มีแต่ถิงถิง สาวใช้ประจำตัวของนางที่ออกมายกน้ำยกอาหารเข้าไปให้นางรับในเรือน เห็นว่านางเอาแต่ร้องไห้อยู่ทุกวันทั้งยังสวมใส่แต่ชุดขาวไว้ทุกข์ให้มารดาของนาง
แต่เรื่องนี้จะโทษใครได้ ก็คงจะต้องโทษที่มารดาของนางโลภมาก อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเองจึงได้มีจุดจบเช่นนี้
ส่วนไท่จื่อนั้น ตั้งแต่วันนั้นที่เขามาทานอาหารเย็นที่จวน ทั้งหลินหลันและหลันเหม่ยอิงก็ไม่เห็นหน้าเขาอีกเลย เรียกว่าช่วงนี้เขาหายไปจากชีวิตของทั้งหลันเหม่ยอิงและหลินหลันอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งนั่นสำหรับหลินหลันแล้วก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตของนางสักเท่าไหร่
เพราะว่าช่วงนี้ เป็นช่วงที่หลินหลันยุ่งมากทีเดียว เพราะว่าตอนนี้เพิ่งจะคัดเลือกพ่อบ้านคนใหม่ของจวนได้ โดยการที่เลื่อนขั้นบ่าวที่เคยเป็นผู้ช่วยของพ่อบ้านหลิวขึ้นมาเป็นพ่อบ้านแทนเพราะว่าเขาเองนั้นพอที่จะทราบระบบภายในจวนอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่งานบางอย่างในตอนนี้ หลินหลันยังไม่วางใจที่จะให้พ่อบ้านคนใหม่เป็นผู้ดูแล เช่นเรื่องของทรัพย์สินของจวน เพราะเกรงว่าอาจจะเกิดการซ้ำรอยเดิมขึ้นมาได้
ดังนั้นกุญแจห้องเก็บทรัพย์สินของจวนนั้น หลินหลันจึงเป็นผู้ที่ถือมันด้วยตนเอง
และนางก็ได้สั่งเปลี่ยนแม่กุญแจและกุญแจของห้องเก็บทรัพย์สินของจวนใหม่ทั้งหมด เพื่อป้องกันว่าอาจจะมีการทำซ้ำกุญแจอันเก่าเอาไว้ด้วย
โดยกุญแจดอกใหม่อันนี้หลินหลันได้สั่งทำพิเศษไม่สามารถทำซ้ำขึ้นมาได้ดังนั้นจึงมีอยู่เพียงแค่ดอกเดียวเท่านั้น
ซึ่งเรื่องนี้การเปลี่ยนแม่กุญแจนั้น นอกจากหลินหลัน และราชครูหลันแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีก อ้อจริงสิ ความจริงแล้ว เรื่องนี้องครักษ์เงาของราชครูหลันที่ชื่อว่า ตงลู่ ที่เป็นผู้เปลี่ยนแม่กุญแจนั้นในตอนกลางคืนที่ทุกคนนอนกันหมดแล้ว โดยที่ไม่ให้เวรยามในตอนกลางคืนนั้นรู้ตัว
นอกจากนี้แล้วหลินหลันยังจะต้องเรียนรู้ระบบงานภายในจวนใหม่ทั้งหมด เพื่อที่นางจะสามารถตรวจสอบการทำงานของพ่อบ้านคนใหม่ได้อีกด้วย
ไหนนางจะต้องลงมือเตรียมของสำหรับตั้งโรงทานในวันถัดไปอีก
ทำให้สองสามวันที่ผ่านมาหลินหลันนั้นวิ่งวุ่นไปทั่วจนแทบจะไม่มีเวลาทำอะไรทั้งนั้น เมื่อกลับถึงเรือนหลินหลันก็แทบจะหลับคาอ่างอาบน้ำไปเสียทุกครั้ง
จนเสี่ยวฝานเมื่อเห็นวันที่แสนวุ่นวายของหลินหลันแล้ว ก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วบอกว่า
'โชคดีเสียจริงที่ข้าไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์'
ผ่านไปได้สักพักทุกอย่างเริ่มที่จะเข้าที่เข้าทาง โรงทานนั้นแม้หลินหลันจะไม่ได้ทำแล้ว แต่ก็มีคนมาสานต่อที่จะทำโรงทานนั้นต่อไปแทน ส่วนเรื่องการดูแลภายในจวนนั้น พ่อบ้านคนใหม่ก็ทำหน้าที่ได้ค่อนข้างจะเรียบร้อย และหลินหลันก็เข้าใจระบบงานทั้งหมดดีแล้ว นางจึงสามารถตรวจงานของพ่อบ้านคนใหม่ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
ทำให้ตอนนี้หลินหลันก็มีเวลาว่างมากขึ้น นางจึงไปหาหนังสือเกี่ยวกับโลกนี้มาอ่านจากห้องหนังสือของท่านราชครูที่หลินหลันได้รับอนุญาตจากราชครูหลันให้เข้าไปหยิบหนังสือออกมาอ่านได้ตามสะดวก เพื่อที่นางจะได้เข้าใจโลกที่คล้ายกันกับซีรีส์ที่นางเคยดูในโลกก่อนมากขึ้น
หลินหลันจึงหยิบหนังสือสองสามเล่มเกี่ยวกับโลกแห่งนี้ เพื่อไปนั่งอ่านที่ศาลาริมน้ำของจวน
จากคำบอกเล่าของท่านราชครู ศาลาแห่งนี้เป็นศาลาที่ฮูหยินเหลียนเป็นผู้ลงมือจัดแต่งด้วยตนเอง และตั้งแต่ที่ฮูหยินเหลียนจากไป ราชครูหลันก็ให้คนมาดูแลศาลานี้อย่างดี และได้คงสภาพเดิมของมันเอาไว้ เหมือนตอนที่ฮูหยินเหลียนยังอยู่
ศาลาริมน้ำแห่งนี้ มีลักษณะเหมือนกันศาลาจีนริมน้ำที่เห็นได้ทั่วไป
ตัวศาลาเป็นศาลาหกเหลี่ยมทำจากไม้เนื้อดีฉลุลวดลายงดงามสีน้ำตาลอมแดง หลังคาทำจากกระเบื้องหลังคาสีเทาเข้มอมเขียวปลายหน้าจั่วของหลังคาเชิดโค้งขึ้นอย่างสวยงาม ฐานของศาลานั้นรองด้วยหินธรรมชาติ และมีต้นไม้ปลูกแซมเล็กน้อย รอบตัวศาลานั้น ก็มีต้นไม้ปลูกอยู่โดยรอบทำให้ดูร่มรื่นอย่างมาก
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ศาลาแห่งนี้แตกต่างออกไปจากศาลาริมน้ำโดยทั่วไปนั่นก็คือดอกไม้พิเศษที่ปลูกอยู่ริมทางเดิน
ดอกไม้ที่ปลูกอยู่ริมทางเดินนั้น เป็นดอกไม้ที่หลินหลันไม่เคยเห็นมาก่อนในโลกที่นางจากมา และไม่ว่านางจะหาข้อมูลจากในหนังสือเกี่ยวกับพืชพรรณในห้องหนังสือของท่านราชครูนางก็ไม่พบดอกไม้ชนิดนี้บันทึกเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
ดอกไม้ชนิดนี้หากเป็นในตอนกลางวันก็มีหน้าตาเหมือนดอกไม้ทั่วไป เป็นดอกไม้สีขาวลักษณะดอกคล้ายกับดอกแก้วที่เธอเคยเห็นเมื่อชาติก่อน ออกดอกเดี่ยวกระจายไปทั่วทั้งต้น แต่เมื่อตกกลางคืนตัวดอกจะมีแสงเรืองรองออกมาให้ความสว่างแก่ทางเดินและบริเวณโดยรอบโดยไม่จำเป็นจะต้องใช้โคมไฟเลยแม้แต่น้อย
จากที่หลินหลันสอบถามจากบ่าวไพร่ในจวน ก็พบว่าดอกไม้เหล่านี้ฮูหยินเหลียนเป็นผู้นำมาปลูกด้วยตนเอง โดยเริ่มปลูกตั้งแต่ยังเป็นเมล็ด ทั้งยังสอนวิธีดูแลที่ถูกต้องให้กับคนสวน ซึ่งก็ไม่มีใครทราบว่าดอกไม้ชนิดนี้มาจากไหน รู้เพียงแต่ว่าดอกไม้นี้ชื่อว่าดอกเยว่ฮวาจากคำบอกเล่าของฮูหยินเหลียนเพียงเท่านั้น
ส่วนดอกไม้ดอกอื่นๆ ที่ปลูกในบริเวณนั้นก็เป็นดอกไม้ที่พบได้ทั่วไปไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ แต่ในตอนกลางคืนดอกไม้เหล่านี้ก็จะเรืองแสงออกมาจางๆ เช่นกัน แต่ไม่ได้สว่างไสวเท่ากับดอกเยว่ฮวา
แม้ว่าในตอนกลางวันดอกไม้เหล่านี้จะไม่ได้ส่องแสงสว่างออกมา แต่ก็ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนหลอกล่อผีเสื้อและแมลงน้อยใหญ่ให้เข้าหามัน ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มักจะมีผีเสื้อสวยๆ และแมลงชนิดอื่นๆ ที่ถูกดอกไม้พวกนี้ดึงดูดให้มาบินอยู่บริเวณนี้ตลอดเวลา
ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ดูเงียบสงบและเหมาะแก่การอ่านหนังสืออย่างมาก
ความงามของศาลาแห่งนี้ ไม่ว่าหลินหลันจะมากี่ครั้งก็ยังอดตะลึงในความงามของมันไม่ได้
เมื่อเห็นว่าหลินหลันเกิดสงสัยเกี่ยวกับเรื่องดอกไม้เรืองแสงเสี่ยวฝานก็บอกกับนางว่า ดอกเยว่ฮวาเป็นดอกไม้ที่พบได้ทั่วไปในป่าในอาณาจักรเทพ คุณสมบัติพิเศษของมันก็คือ หากว่าดูแลอย่างดีแล้ว นอกจากที่ตัวมันจะสามารถเรืองแสงได้แล้ว มันจะมีการแพร่กระจายเกสรของมันไปในอากาศแล้วทำให้ดอกไม้ดอกอื่นในบริเวณนั้นสามารถเรืองแสงได้ด้วยเช่นกัน
เสี่ยวฝานยังบอกอีกว่าหากว่าฮูหยินเหลียนรู้เรื่องดอกไม้ชนิดนี้ และสามารถปลูกมันจากเมล็ดได้ก็เป็นไปได้ว่านางอาจจะเป็นคนจากอาณาจักรเทพหรืออาจจะเคยพบเจอคนของอาณาจักรเทพ เพียงแต่เสี่ยวฝานไม่รู้ว่าเป็นเผ่าไหนเท่านั้นเอง
หลังจากนั้นหลินหลันก็ตัดสินใจที่จะเริ่มศึกษาเรื่องของอาณาจักรต่างๆ ให้มากกว่านี้
ก่อนที่หลินหลันจะเริ่มอ่านหนังสือมานั้น หลินหลันได้รับรู้เรื่องราวคร่าวๆ จะเสียวฝานมาบ้างแล้วว่าโลกแห่งนี้แบ่งออกเป็นสามอาณาจักรใหญ่ ได้แก่ อาณาจักรมนุษย์ อาณาจักรเทพ และอาณาจักรปีศาจ
เดิมทีนั้นโลกนี้ไม่ได้แบ่งออกเป็นสามอาณาจักรอย่างปัจจุบัน พระเจ้าผู้สร้างนั้นสร้างเผ่าเทพและเผ่าปีศาจให้เป็นผู้คุ้มครองพื้นที่บนโลกนี้ โดยที่ทั้งสองเผ่านั้นสามารถสร้างเผ่าพันธุ์อื่นๆ ขึ้นมาเพื่ออยู่ในปกครองตนเองได้
แต่ทว่าแต่ละเผ่าพันธุ์ที่สร้างโดยเผ่าเทพ และเผ่าปีศาจนั้นล้วนแล้วแต่มีจุดอ่อน
เผ่าพันธุ์ที่สร้างโดยเผ่าเทพนั้น จำเป็นที่จะต้องได้รับแสงแดดในทุกวัน ไม่เช่นนั้นพลังชีวิตของพวกเขาจะเสื่อมสลายแล้วตายไป
ส่วนเผ่าพันธุ์ที่สร้างโดยเผ่าปีศาจนั้น มักจะเป็นเผ่าพันธุ์โดนแสงแดดนานมากเกินไปไม่ได้ เมื่อเผ่าพันธุ์เหล่านี้ถูกแสงได้นานจนเกินไป พวกเขาจะไหม้แล้วตายไปในที่สุด
ดังนั้นเผ่าปีศาจกับเผ่าเทพ จึงได้มาทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมา เผ่าพันธุ์ที่จะไม่มีจุดอ่อนเช่นเดิมอีก
เผ่าพันธุ์นั้นก็คือ มนุษย์
มนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น เป็นเผ่าพันธุ์ที่แม้จะไม่ถูกแสงแดดสักกี่วันก็ไม่ตาย หรือถ้าโดนแสงแดดไปนานๆ ก็ไม่ไหม้ ดังนั้นเผ่าเทพและเผ่าปีศาจจึงได้เล็งเห็นว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ทว่าสิ่งที่พวกเขาไม่รู้เลยก็คือ มนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีเผ่าไหนเคยมี นั่นก็คือ...ความโลภ
เผ่ามนุษย์นั้นมีความโลภ พวกเขาอยากที่จะมีอำนาจเหนือเผ่าเทพ และเผ่าปีศาจ พวกเขาจึงได้ยุแยงให้เผ่าเทพและเผ่าปีศาจแตกคอกัน
และสุดท้ายพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ เผ่าเทพ และเผ่าปีศาจนั้นสู้รบกันจนเกิดการสูญเสียไปมากมาย โดยมีเผ่ามนุษย์นั้นเฝ้าดูอยู่
พระเจ้าผู้สร้างนั้น เมื่อเห็นว่าเกิดความวุ่นวายเช่นนี้จึงได้ แบ่งโลกใบนี้ออกเป็นสามส่วน กลายเป็นสามอาณาจักรอย่างในปัจจุบัน
เมื่อทราบความเป็นมาแล้ว หลินหลันก็ไปหาหนังสือเกี่ยวกับอาณาจักรต่างๆ เพิ่มเติม
อาณาจักรมนุษย์เป็นอาณาจักรที่เล็กที่สุดในทั้งสามอาณาจักร ประกอบไปด้วยห้าแคว้นใหญ่ ได้แก่ แคว้นเว่ย แคว้นอ้าย แคว้นเจา แคว้นเซียง และแคว้นซื่อ แม้ว่าอาณาจักรมนุษย์จะเป็นอาณาจักรที่เล็กที่สุด แต่กลับเป็นอาณาจักรที่วุ่นวายที่สุด เพราะความโลภที่ของมนุษย์นั้น ทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงดีกันและคอยจุดชนวนให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้นบ่อยครั้ง นอกจากแคว้นใหญ่ทั้งห้าแคว้นแล้ว ยังมีเมืองเล็กๆ ปกครองตนเองและชนเผ่าเล็กๆ ต่างๆ อีกมาก ซึ่งก็มักจะเกิดสงครามขึ้นอยู่เสมอเช่นกัน
แคว้นที่หลินหลันอาศัยอยู่ชื่อว่าแคว้นเว่ย เป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรมนุษย์ ปกครองโดยราชวงศ์เว่ย เป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในห้าแคว้น ทำให้เป็นที่หมายปองของหลายๆ แคว้น แต่ด้วยความที่ทัพใหญ่ของแคว้นเว่ยเป็นทัพที่ค่อนข้างจะแข็งแรงทำให้แคว้นเว่ยยังคงอยู่ได้ไม่ถูกตีแตกจนถึงทุกวันนี้
หลังการแบ่งแยกอาณาจักรแล้ว อาณาจักรเทพเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดเพราะว่ามีเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่มากมาย แต่กลับมีความสงบสุขมากกว่าอาณาจักรมนุษย์มาก อาณาจักรแห่งนี้ปกครองโดยเผ่าเทพ และมีเผ่าพันธุ์อื่นๆ อาศัยอยู่มาก เช่น เผ่าเงือก เผ่ามังกร เผ่าภูตรวมไปถึงเผ่าจิ้งจอกของเสี่ยวฝานด้วย จากคำบอกเล่าของเสี่ยวฝาน อาณาจักรเทพนั้นหลังจากการแบ่งแยกอาณาจักรแล้วก็ยังคงติดต่อกับอาณาจักรมนุษย์อยู่บ้าง
และคนจากอาณาจักรเทพนั้น ก็มักจะแวะเวียนมาเที่ยวที่อาณาจักรมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง เพราะว่า อาณาจักรมนุษย์นั้นมักจะมีข้าวของแปลกตาให้พวกเขาไปพกเจออย่างมาก
แต่นั่นก็เป็นเหตุการณ์เมื่อสี่ร้อยปีที่แล้ว ก่อนที่เสี่ยวฝานจะเข้าไปอยู่ในปิ่นและไม่ได้กลับไปที่นั่นอีก
ดังนั้นเสี่ยวฝานจึงไม่รู้ว่าตอนนี้อาณาจักรเทพได้ตัดขาดการติดต่อกับอาณาจักรมนุษย์ไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว และได้ตัดขาดเส้นทางเข้าออกอาณาจักรโดยสิ้นเชิงเมื่อสิบสี่ปีก่อน
และเมื่อหลินหลันลองไปหาหนังสือที่เกี่ยวกับอาณาจักรแห่งแสงสว่างนั้น นางกลับหาไม่พบหนังสือที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของอาณาจักรแห่งแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแต่บันทึกเก่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเพียงเท่านั้น
ส่วนอาณาจักรปีศาจนั้น ไม่มีบันทึกใดได้บอกกล่าวเอาไว้เลย เพราะหลังจากที่มีการแบ่งแยกอาณาจักรแล้ว อาณาจักรปีศาจก็ตัดขาดจากทุกคน ทำให้ไม่มีผู้ใดรับรู้เรื่องราวความเป็นไปภายในของอาณาจักรแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย
ระหว่างที่หลินหลันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ได้สักพักหนึ่ง เจียงอวี้ก็เดินเข้ามาเพื่อที่จะแจ้งข่าวแก่หลินหลัน หลินหลันจึงได้สั่งให้เสี่ยวฝานที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่ข้างกายนางกลับเข้ามาในร่างของนางเสียก่อนที่เจียงอวี้จะมาเห็นเข้า
แม้ว่าหลินหลันจะไว้ใจเจียงอวี้ แต่ทว่าเรื่องการมีอยู่ของเสี่ยวฝานนั้น ไม่ใช่เรื่องปกติในอาณาจักรมนุษย์ทั้งเรื่องการที่หลินหลันทำพันธะกับเผ่าพันธุ์อื่นนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ปกติ ดังนั้น หลินหลันจึงได้เก็บเรื่องเหล่านี้เป็นความลับต่อไปเสียก่อน จนกว่านางจะแน่ใจในเรื่องของความเข้าใจของคนในอาณาจักรมนุษย์ในตอนนี้ที่มีต่อเผ่าพันธุ์อื่นๆเสียก่อน
เพราะหากว่ามีผู้ใดได้มาเห็นเสี่ยวฝาน หรือบังเอิญรู้เรื่องของเสี่ยวฝานขึ้นมาแล้วละก็ ทางเดียวที่พวกเขาจะเอาตัวเสี่ยวฝานไปโดยที่ผู้ทำพันธะไม่ยินยอมก็มีอยู่สถานเดียวเท่านั้นก็คือ 'ความตาย'
และถึงแม้ว่าหลินหลันจะพอรู้ศิลปะป้องกันตัวอยู่บ้าง แต่ก็คงสู้คนที่มีวรยุทธไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นหากมีคนมีวรยุทธต้องการจะฆ่านางแล้ว นางคงทำได้เพียงแต่นอนเป็นปลาบนเขียง รอให้เขาเชือดโดยง่าย
และการเก็บความลับที่ดีที่สุดคือการที่เราทำให้แน่ใจว่ามีคนรู้เรื่องน้อยที่สุด
ดังนั้น จนกว่าจะแน่ใจว่านางจะสามารถป้องกันตนเองได้ หลินหลันจะไม่ให้ใครรู้เรื่องของเสี่ยวฝานเป็นอันขาด
ดูเหมือนว่านางจะเรื่องที่จะต้องทำเพิ่มเสียแล้ว
หลังจากนี้คงจะต้องให้เจียงอวี้สอนวรยุทธให้แก่นาง เพื่อที่นางจะได้พอป้องกันตนเองได้บ้าง
"คุณหนูเจ้าคะ นายท่านให้บ่าวมาแจ้งคุณหนูว่าคุณชายใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ"
หลันเฟิ่งซือกลับมาเวลานี้อย่างนั้นหรือ
น่าแปลกเสียจริงที่เขากลับมาในเวลานี้ หากว่าหลินหลันจำไม่ผิด หลันเฟิ่งซือผู้นี้ โดยปกติแล้วหากไม่มีเรื่องราวใหญ่โต หรือถูกฮ่องเต้เรียกตัวกลับมาจากชายแดน เขาก็แทบไม่ได้มาเหยียบที่จวนนี้อีก หลังจากที่ฮูหยินเหลียนจากไป
บอกตามตรง ที่ผ่านมาหลินหลันก็แทบจะลืมไปแล้วว่าร่างนี้ยังมีพี่ชายบุญธรรมอีกหนึ่งคน
และหากว่าหลินหลันจำไม่ผิด เขาควรจะกลับมาที่จวนหลังจากนี้อีกประมาณสองสัปดาห์ พร้อมกับท่านแม่ทัพใหญ่ที่ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้ามา
หากเป็นเรื่องราวในซีรีส์แล้ว เมื่อเขากลับมา เขาก็เพิ่งทราบว่าหลันเหม่ยหลินได้ไปแล้ว โดยที่ไม่มีใครแจ้งข่าวไปให้เขาได้รับรู้เลย
หลังจากนั้น เขาก็เสียใจอย่างมาก ทั้งยังได้รู้ว่าคนที่ทำให้น้องสาวบุญธรรมของเขาตายก็เป็นเพื่อนสนิทของตนเองอีก เขาจึงได้เดินทางกลับไปยังชายแดน แล้วไม่ได้กลับมาที่เมืองหลวงอีกเลย และทันทีที่องค์ไท่จื่อได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขาก็ลาออกในทันที โดยที่ไม่ฟังคำทัดทานขององค์ไท่จื่อเลยแม้แต่น้อย
เรียกว่าเป็นบทที่โผล่มาเพียงเพียงแค่สองตอนตลอดทั้งเรื่องได้ละมั้ง
แต่เมื่อเขากลับมาเวลานี้ เป็นเพราะว่าหลินหลันได้ไปเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องใช่หรือไม่
"ข้ารู้แล้ว เดี๋ยวข้าตามออกไป"
หลินหลันนำหนังสือที่นางนั่งอ่านเมื่อครู่ไปเก็บที่เรือน และได้สั่งให้บ่าวไพร่ไปเก็บชุดน้ำชาและของว่างที่ศาลาริมน้ำให้เรียบร้อยด้วย ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังเรือนใหญ่ เพื่อไปพบหน้าพี่ชายบุญธรรมของเจ้าของร่าง
TALK
ถ้าเกิดว่าใครนึกศาลาแบบจีนไม่ออกนะคะ หลิงมีรูปให้ดูค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

14ปีก่อนตอนที่ทางเข้าอาณาจักรเทพปิดนี่ใช่ช่วงเดียวกันกับที่นางเอกเกิดมั้ยคะ?
ลากมันออกมาให้หมดไอบ่าวทรยศ คดโกง
พ่อบ้านหลิวคงไม่ได้มีไรกับอนุเหยาหรอกนะ
แต่ที่จะเด็ดสุดคือ เหม่ยอิงที่แท้แล้วเป็นลูกพ่อบ้านหลิว พ่อบ้านหลิวจึงช่วยยักยอกสมบัติให้เพื่อให้ลูกเมียสบาย 5555 มโนได้ไกลมาก..