ตอนที่ 14 : บทที่ 13 | พี่ชายบุญธรรม (1) (RW)
บทที่ 13
หลินหลันเดินออกมาจนถึงเรือนใหญ่ก็พบกับชายรูปร่างสูงใหญ่คล้ายนักรบแต่ทว่ากลับแต่งกายราวกับบัณฑิตแก่เรียนผู้หนึ่งเท่านั้น ในตอนนี้เขากำลังยืนหันหลังให้นาง แต่ดูจากท่าทางของราชครูหลันขณะที่กำลังคุยกับเขาแล้ว หลินหลันคาดว่าเขาคงจะเป็นหลันเฟิ่งซือกระมัง
ตอนนี้เขายังคงหันหลังให้นางอยู่ฉะนั้นนางยังเห็นหน้าเขาได้ไม่ชัดเจนนัก และเพราะว่าเขาไม่ได้กลับมาที่จวนนี้สองถึงสามปีแล้วดังนั้นใบหน้าของเขาในความทรงจำของหลันเหม่ยหลินจึงไม่ใช่หน้าตาของเขาในปัจจุบัน
แต่เพราะว่าเขาเป็นเพียงตัวประกอบในเรื่องที่มีบทพูดมากกว่าตัวประกอบชายเบอร์สองเพียงหนึ่งย่อหน้า ดังนั้นหลินหลันจึงไม่คาดหวังอะไรกับเรื่องของหน้าตาเขาเท่าไร
ถึงแม้ว่าด้านหลังของเขาจะดูหล่อเหลาก็ตามที
"อ้าว หลินเออร์มาแล้วหรือ" ราชครูหลันเห็นหลินหลันที่กำลังเดินเข้ามาจึงได้เอ่ยทักทาย ทำให้หลันเฟิ่งซือหันมองตามทิศทางที่ราชครูหลันมองมาในทันที
เมื่อได้เห็นใบหน้าของหลันเฟิ่งซือได้ชัดเจนมากขึ้น จังหวะก้าวเท้าของหลินหลันก็ชะงักไปหนึ่งจังหวะ
ใบหน้าของหลันเฟิ่งซือนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากที่เห็นในความทรงจำของหลันเหม่ยหลินอยู่ค่อนข้างมาก น่าจะเป็นเพราะว่าหลันเฟิ่งซือนั้นไปอยู่ที่ชายแดนและไม่ได้กลับมาที่จวนมานานหลายปี ผู้ชายเมื่อโตขึ้นแล้วโครงหน้าก็ย่อมเปลี่ยนแปลง แต่ทว่าหลินหลันไม่คาดว่ามันจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้
ภาพของหลันเฟิ่งซือในความทรงจำของหลันเหม่ยหลินนั้น เป็นเด็กชายวัยสิบห้าปีรูปร่างผอมบางอย่างบัณฑิตที่เห็นได้โดยทั่วไป แต่ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อย่างที่ชายหนุ่มควรจะเป็น รูปไหล่ของเขานั้น ดูแล้วเหมือนกับคนที่ผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก
หากว่าหน้าตาของเขาไม่ได้เหมือนกับที่เห็นในความทรงจำของหลันเหม่ยหลินแล้วล่ะก็ หลินหลันก็คงไม่คิดว่านี่จะเป็นพี่ชายบุญธรรมของเจ้าของร่างเป็นแน่
...สรุปว่าเขาไปเป็นกุนซือของทัพหลวงหรือว่าไปเป็นทหารกันแน่...
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้แล้วก็พาให้หลินหลันนึกถึงหนังฝรั่งที่นางเคยได้ดูในสมัยก่อน ที่ทหารรูปร่างผอมแห้งอาสาไปเป็นหนูทดลอง และสุดท้ายร่างกายของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นฮีโร่กล้ามแน่นบึกบึนในชุดฟิตเปรี๊ยะ
การเปลี่ยนแปลงของหลันเฟิ่งซือในตอนนี้ก็คล้ายกับทหารในหนังคนนั้น เพียงแต่ไม่มีชุดฟิตเปรี๊ยะให้เห็น มีเพียงชุดแบบบัณฑิตเท่านั้น
…ให้ตายเถอะ ทำไมพี่ชายที่เป็นเพียงตัวประกอบในเรื่องถึงได้แซ่บขนาดนี้เนี่ย...
และด้วยความที่หลายวันมานี้หลินหลันนั้นได้สื่อสารกับเสี่ยวฝานทางจิตมาโดยตลอด ทำให้นางเผลอส่งสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่นั้นไปให้เสี่ยงฝานรับรู้ด้วยโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อเสี่ยวฝานได้ยินความคิดของหลินหลันแล้วก็ได้แต่กลอกตาแล้วแขวะหลินหลันเบาๆ
'แล้วเพราะเหตุใด สตรีอย่างเจ้าถึงได้บ้าผู้ชายเช่นนี้เล่า'
เพราะว่าช่วงที่ผ่านมานั้น เสี่ยวฝานได้คลุกคลีอยู่กับหลินหลันมาตลอดเวลา ทำให้พอจะเข้าใจสิง่ที่หลินหลันพยายามจะสื่อ แม้ว่านางจะชอบใช้ภาษาประหลาดมาสื่อสารกับเขาก็ตามที
แรกๆ เสี่ยวฝานก็รู้มึนงงกับภาษาที่หลินหลันใช้ แต่ผ่านไปสักพักเขาก็ชิน
ชินทั้งภาษา ชินทั้งนิสัยนั่นแหละ
"หลินเออร์ จำอาเฟิ่งได้หรือไม่" ราชครูหลันเอ่ยขึ้นมา ทำให้หลินหลันที่กำลังจะโต้กลับใส่เสี่ยวฝานต้องหยุดแล้วหันกลับมาสนใจสถานการณ์ตรงหน้า
หลินหลันยกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่ค้อมตัวลง ก่อนที่จะเอ่ยทักทายหลันเฟิ่งซือ
"พี่ใหญ่ไปอยู่ที่ชายแดนหลายปี เปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว น้องเกือบจำพี่ใหญ่ไม่ได้เสียแล้ว"
หลันเฟิ่งซือเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจที่หลินหลันมีท่าทางที่เรียบร้อยมากขึ้น ทั้งยังดูจะเคารพเขามากขึ้นด้วย ทั้งที่ตั้งแต่เริ่มจะทะเลาะกันนางไม่เคยที่จะเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อย่างนอบน้อมอีกเลย
แม้จะแปลกใจแต่หลันเฟิ่งซือก็ไม่ได้เอ่ยทักเรื่องนี้ออกไป เพราะว่าก็ดีเหมือนกันที่น้องสาวบุญธรรมของเขาเป็นเช่นนี้
ตอนนี้นางค่อยดูเหมือนน้องน้อยของเขาคนเดิม ก่อนที่จะเริ่มอาละวาดหึงหวงองค์ไท่จื่อไปทั่วจนเป็นที่เล่าลือกันไปทั้งเมือง
ตอนนั้นต่อให้เขาพยายามห้ามนางเท่าใด นางก็ไม่มีท่าทีจะฟังเขาแม้แต่น้อย ทั้งยังทำให้ทะเลาะกันเสียอีก
ราชครูหลันเมื่อเห็นว่าบรรยากาศระหว่างสองพี่น้องดูจะกลมเกลียวกันมากขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นก็วางใจว่าทั้งคู่คงจะไปทะเลาะกันเสียจนจวนแทบแตกเหมือนคราวก่อนก็ขอตัวไปเข้าวังเพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ทั้งสองคนได้ปรับความเข้าใจกันได้เสียที
"อ่าาา ตอนนี้ก็สายมากแล้ว พ่อคงต้องขอตัวไปเข้าวังก่อน อาเฟิ่งอย่าชวนน้องทะเลาะอีกเล่า หลินเออร์พ่อไปก่อนนะ"
เมื่อได้ยินประโยคนั้นของราชครูหลัน หลันเฟิ่งซือก็อยากจะบอกแก่บิดาว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากจะทะเลาะกับน้องสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่บอกลาราชครูหลันเพียงเท่านั้น
ส่วนหลินหลันก็ได้แต่สงสัยว่าราชครูหลันไปสายบ่อยครั้งเช่นนี้ ไม่ถูกฮ่องเต้ตัดเบี้ยหวัดบ้างหรือไร
เมื่อราชครูหลันไปเข้าวังแล้ว หลินหลันและหลันเฟิ่งซือก็ไม่รู้จะพูดอะไรกันต่อดี จึงได้แต่เงียบกัน สุดท้ายหลินหลันก็ชวนหลันเฟิ่งซือไปนั่งคุยกันที่ศาลาริมน้ำ พร้อมกับได้สั่งให้บ่าวไพร่ไปยกชุดน้ำชาแล้วของว่างมาด้วย
"ที่นี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ" หลันเฟิ่งซือมองไปรอบๆ ศาลาริมน้ำ
"สวยใช่หรือไม่เจ้าคะ"
"อืม จำได้หรือไม่ ตอนเด็กๆ ตอนที่พี่บอกว่าจะมานั่งอ่านหนังสือที่นี่ เจ้าก็ชอบขอตามพี่มาที่นี่ด้วย"
"ข้ามานั่งอ่านหนังสือกับพี่ใหญ่ที่นี่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ" หลินหลันแปลกใจเล็กน้อย เพราะเท่าที่จำได้หลันเหม่ยหลินคนเก่าไม่ชอบอ่านหนังสืออย่างมาก
"อ่านหนังสือหรือ เจ้าน่ะอ่านแค่สามบรรทัดก็บ่นว่าปวดหัวเสียแล้ว เจ้าน่ะตามมาป่วนพี่มากกว่า" หลันเฟิ่งซือหัวเราะออกมาเบาๆ "แต่ว่าเจ้าก็มาเพียงสองสามครั้งแล้วก็ไม่ยอมมาอีกเลย"
"ทำไมหรือเจ้าคะ"
"หากพี่จำไม่ผิด เจ้าบ่นว่าแมลงที่นี่มันเยอะบ้าง สงบเกินไปบ้าง ก็เลยไม่อยากมาที่นี่อีก" หลันเฟิ่งซือมองหน้าหลินหลัน "แต่พี่ว่าเจ้าน่ะหาข้ออ้างเพราะกลัวว่าจะถูกพี่บังคับให้อ่านตำรามากกว่า"
หลินหลันและหลันเฟิ่งซือมองหน้ากันก่อนที่จะหัวเราะออกมา แต่ก่อนที่จะได้พูดคุยกันต่อบ่าวไพร่ก็เข้ามาพร้อมกับชุดน้ำชาและของว่างที่เพิ่งจะถูกหลินหลันสั่งให้ยกไปเก็บได้ไม่นาน ก่อนที่จะถูกบ่าวไพร่นำมาจัดวางจัดวางที่ศาลาริมน้ำอีกครั้งหนึ่ง
และนั่นก็ทำให้บทสนทนาของทั้งสองก็สะดุดลง จนเมื่อบ่าวไพร่ออกไปจนหมด ทั้งสองคนก็ได้แต่นั่งเงียบกับเช่นเดิม เพราะไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไรกันดี จนบรรยากาศเริ่มจะน่าอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
จนในที่สุดหลินหลันก็ตัดสินใจพูดทำลายความเงียบขึ้นมา
"ที่พี่ใหญ่กลับมาคราวนี้ เพราะถูกฮ่องเต้เรียกตัวอีกหรือเจ้าคะ"
"ไม่ใช่หรอก ที่พี่กลับมาเพราะว่าท่านพ่อส่งข่าวมาบอกพี่ว่าเจ้าตกน้ำสลบไสลอยู่หลายวัน พี่ก็เลยรีบกลับมา" หลันเฟิ่งซือเอ่ยตอบน้องสาว ก่อนที่จะมองนางด้วยสายตาที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใย "แล้วนี่ดูเหมือนว่าเจ้าจะดีขึ้นมากแล้วสินะ"
"เจ้าค่ะ" หลินหลันเห็นท่าทางของหลันเฟิ่งซือนั้นดูค่อนข้างจะอึดอัดที่ต้องอยู่กับนางเพียงสองคน นางจึงแกล้งทำเป็นบึ้งตึงใส่เขาเพื่อคลายความอึดอัดระหว่างทั้งสองคนในตอนนี้ "แต่ว่าพี่ใหญ่ เหตุการณ์ที่น้องตกน้ำก็ผ่านมาเกือบจะถึงเดือนแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดพี่ใหญ่จึงเพิ่งจะกลับมาเอาป่านนี้เล่า ที่กลับมาเป็นเพราะว่าท่านพ่อส่งข่าวเรื่องน้องไปจริงหรือเจ้าคะ หรือว่าเป็นเพราะว่าสาเหตุอื่น"
หลันเฟิ่งซือเมื่อเห็นว่าหลินหลันนั้น แม้ว่าน้ำเสียงจะดูกรุ่นโกรธ แต่ทว่าสีหน้าท่าทางของนางกลับไม่คล้ายยามที่นางโกรธเขาแต่ก่อน นางดูผ่อนคลายกว่าที่เคยเป็นมาก ทำให้หลันเฟิ่งซือพอจะเข้าใจว่าครั้งนี้นางไม่ได้โกรธเขาอย่างจริงจัง ทำให้ตอนนี้เขาเริ่มที่จะคลายความอึดอัดลง ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
"พี่กลับมาเพราะท่านพ่อส่งข่าวมาจริงๆ พี่เพิ่งจะได้รับข่าวจากท่านพ่อมาเมื่อสัปดาห์ก่อนเท่านั้น เมื่อทราบข่าวพี่ก็รีบมาทันที เจ้าอย่างโกรธพี่เลยนะ เหม่ยหลิน"
หลันเฟิ่งซือกล่าวก่อนที่จะยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะชะงักไปเมื่อจำได้ว่าหลันเหม่ยหลินไม่ชอบให้ลูบหัวเพราะนางบอกว่านางไม่ใช่เด็กอีกแล้ว
ราวกับรู้ความคิดของเขา ก่อนที่จะหลันเฟิ่งซือจะชักมือออกหลินหลันก็ดึงมือเขาวางลงบนหัวนางเหมือนเดิม
"พี่ใหญ่ ที่ผ่านมาน้องรู้ตัวว่าน้องทำตัวไม่น่ารักกับพี่ใหญ่ พี่ใหญ่อภัยให้น้องได้หรือไม่เจ้าคะ น้องสัญญาว่าต่อไปนี้น้องจะไม่ทำตัวเช่นนั้นอีก"
เมื่อเห็นสีหน้าและได้ฟังคำพูดที่ดูจริงใจของหลินหลัน หลันเฟิ่งซือยกยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะขยี้หัวหลินหลันจนยุ่งฟู
"ดูเหมือนว่าน้องสาวตัวยุ่งคนเดิมของพี่กลับมาแล้ว"
"ท่านพี่ พอแล้วเจ้าค่ะหัวน้องยุ่งหมดแล้วนะเจ้าคะ"
หลันเฟิ่งซือหัวเราะออกมาทำทีที่เห็นหน้ามุ่ยๆ ของหลินหลันขณะที่นางกำลังจัดผมของนางให้เข้าที่
"ไม่ต้องหัวเราะเลยนะเจ้าคะ"
หลินหลันจำได้ผ่านความทรงจำของหลันเหม่ยหลินว่าพี่ชายบุญธรรมของนางคนนี้มีจุดอ่อนตรงที่เขา...บ้าจี้
ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังเหมือนเดิมหรือไม่
คิดได้ดังนั้นนางก็จิ้มเข้าไปที่เอวของหลันเฟิ่งซือในทันที ทำเอาชายหนุ่ยร่างสูงใหญ่นั้นสะดุ้งขึ้นมาทันที
ใครจะคิดว่าชายหนุ่มร่างใหญ่ราวกับทหารนั้น กลับมีจุดอ่อนที่มุ้งมิ้งเพียงนี้กัน
"เหม่ยหลินหยุดนะ อย่าจี้" แล้วหลันเฟิ่งซือก็วิ่งหนีหลินหลันไปทั่วศาลาริมน้ำ
เสียงหัวเราะที่ดังอย่างมีความสุขในบริเวณศาลาริมน้ำ และท่าทางที่วิ่งเล่นกันราวกับเป็นเด็กอีกครั้งของทั้งสอง ก็ทำให้บ่าวไพร่ที่อยู่โดยรอบบริเวณนั้นลอบยิ้มอย่างเอ็นดู เพราะว่าไม่ได้เห็นทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างมีความสุขโดยที่ไม่ทะเลาะกันมานานแล้ว
และที่สำคัญมันก็นานมาแล้ว ที่จวนแห่งนี้ไม่ได้มีเสียงหัวเราะเช่นนี้
นานมากจริงๆ ...
ในมุมหนึ่งห่างจากตัวศาลาริมน้ำไปไม่มากนัก หลันเหม่ยอิงมองภาพพี่น้องที่ดูจะรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก เพราะว่าในขณะที่นางนั้นสูญเสียทั้งมารดา สูญเสียทั้งโอกาสที่นางจะได้แต่งเข้าวังไท่จื่อ ทั้งยังทำให้องค์ไท่จื่อหมางเมินต่อนาง แต่ทว่าตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนั้น ยังนั่งยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขกับพี่ชายบุญธรรมที่เคยดีต่อนางอย่างมาก
หลันเหม่ยอิงต้องการที่จะทำลายภาพแห่งความสุขของพี่สาวต่างมารดาจึงได้ เดินตรงไปยังศาลาริมน้ำโดยไม่ฟังคำทัดทานของสาวใช้ประจำตัวของตน
ก่อนที่จะบีบน้ำตาให้ออกมาคลอหน่วย แล้วทำท่าทางให้ดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้
"พี่ใหญ่ พี่หญิง" เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ศาลาริมน้ำ นางก็เรียกหลันเฟิ่งซือด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครืออย่างน่าสงสารพร้อมกับย่อตัวเคารพพี่ชายบุญธรรมและหลินหลัน
หลันเฟิ่งซือเมื่อได้ยินเสียงเรียกตนก็หยุดวิ่งทันที แล้วหันไปหาต้นเสียงก็เห็นว่าหลันเหม่ยอิง น้องสาวอีกคนหนึ่งของเขากำลังยืนอยู่ที่ทางเข้าศาลาด้วยสีหน้าอมทุกข์ และที่สำคัญตอนนี้นางก็ยังสวมชุดขาวไว้ทุกข์อยู่
แต่ไม่ทันที่หลันเฟิ่งซือจะทันได้เอ่ยถามอะไรออกไป หลินหลันที่กำลังวิ่งตามมานั้น ไม่คิดว่าหลันเฟิ่งซือนั้นจะหยุดวิ่งกะทันหันหยุดไม่ทันจึงได้ชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างนั้นเต็มๆ ก่อนที่จะร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น
...เจ็บชะมัด อย่างกับวิ่งชนกำแพง...
หลันเฟิ่งซือจึงรีบหันกลับไปพยุงหลินหลันที่ยังคงกุมหน้าผากตนเองหลังจากที่กระแทกหลังของเขาเต็มๆ
"เป็นอย่างไรบ้าง เหม่ยหลิน"
"เจ็บน่ะสิเจ้าคะ ถามมาได้" หลินหลันลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ "พี่ใหญ่จะหยุดเหตุใดจึงไม่บอกน้องเล่าเจ้าคะ"
"พี่ขอโทษแล้วกัน" หลันเฟิ่งซือพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ พลางช่วยลูบหน้าผากของหลินหลันที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนที่จะหันไปทักทายหลันเหม่ยอิงด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน ทั้งที่มือยังคงลูบหน้าผากของหลินหลันอยู่อย่างนั้น "เหม่ยอิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
เมื่อได้ยินคำถามของหลันเฟิ่งซือ หลันเหม่ยอิงก็น้ำตาร่วงทันที ก่อนที่จะคุกเข่าลงแล้วเรียกหลันเฟิ่งซือด้วยเสียงสั่นเครือ
"พี่ใหญ่" หลันเฟิ่งซือตกใจกับการกระทำของหลันเหม่ยอิงอย่างมาก แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้เดินเข้าไปเดินเข้าไปพยุงหลันเหม่ยอิงให้ลุกขึ้นในทันที เพราะเขาพอจะเข้าใจว่าหลันเหม่ยอิงคุกเข่าเพราะเหตุใด
แม้ว่าเขาจะไม่ได้รังเกียจหลันเหม่ยอิงที่เป็นบุตรีจากอนุจ้าว คนที่เขาสงสัยว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ฮูหยินผู้มีพระคุณของเขาต้องจากไป แต่อย่างไรจะให้เขาไม่รู้สึกอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าอย่างไรฮูหยินเหลียนก็เป็นเหมือนกับมารดาของเขาคนหนึ่ง
เมื่อนางตายไปแล้วอนุจ้าวยังกล้าที่จะยักยอกสินเดิมของฮูหยินเหลียน ทั้งดูเหมือนว่าจะรังแกหลันเหม่ยหลินเอาไว้มิใช่น้อยทีเดียว
จะให้เขามองหลันเหม่ยอิงเช่นเดิมก็เป็นไปได้ยากทีเดียว แม้ว่าหลันเหม่ยอิงมิใช่ผู้ลงมือกระทำการด้วยตนเองก็ตาม แต่จะให้เขาเชื่อว่านางจะไม่รู้เห็นเลยว่ามารดาของนางได้ทำสิ่งใดลงไปบ้างก็เชื่อได้ยากเช่นกัน
ดังนั้นแม้ว่าริมฝีบางเขาจะยกยิ้มให้กับหลันเหม่ยอิงอย่างอ่อนโยน แต่ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา
"ลุกขึ้นมาเถิดมีเรื่องอะไรก็ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ "
"พี่ใหญ่ มารดาของเหม่ยอิงทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไป แต่อย่างไรตอนนี้มารดาก็ถูกลงโทษตามที่ทางการเห็นสมควรแล้ว เหม่ยอิงจึงอยากจะมาขออภัยกับพี่ใหญ่และก็พี่หญิงเจ้าค่ะ"
"ท่านพ่อบอกพี่หมดแล้วเรื่องที่มารดาเจ้าทำ" หลันเฟิ่งซือพูดโดยที่ยังคงรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
เป็นรอยยิ้มที่หลินหลันเรียกว่า 'รอยยิ้มมารยาท' รอยยิ้มแบบเดียวกับที่นางเองก็เคยใช้ในโลกก่อนในสมัยที่นางยังเป็นดาราอยู่
"พี่ใหญ่ น้องรู้นะเจ้าคะว่ามารดาทำผิด แม้ว่าน้องจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านแม่ทำ แต่ทว่าน้องเป็นบุตรสาวน้องไม่สามารถที่จะทำอะไรได้หรอกเจ้าค่ะ" หลันเหม่ยอิงเมื่อได้ยินดังนั้นนางก็ร้องไห้โฮออกมาในทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลันเฟิ่งซือ "ที่น้องมาหาพี่ใหญ่และพี่หญิงในวันนี้ก็เพื่อที่จะมาลาเจ้าค่ะ"
"ลา? เจ้าจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ เหม่ยอิง" หลันเหม่ยอิงเหลือบมองหลินหลันเล็กน้อยก่อนที่จะแสดงทีท่าหวาดกลัวออกมา
"น้อง... น้องก็ยังไม่รู้เจ้าค่ะ น้องรู้เพียงแต่ที่นี่ไม่ใช่ที่ของน้องอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ ที่นี่น้องไม่เหลือใครอีกแล้ว"
"เหม่ยอิง..." เมื่อถูกหลินหลันที่ยืนเงียบอยู่นานเรียกชื่อ หลันเหม่ยอิงก็สะดุ้งสุดตัวก่อนที่จะเหลือบมองหลินหลันอย่างหวาดกลัว "เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าก็พูดมาเถิด เอาแต่พูดจากอ้อมไปอ้อมมาพลางทำหน้าซีดตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำเช่นนี้ ต่อให้ถึงปีหน้าข้าก็คงจะไม่เข้าใจหรอกว่าเจ้าต้องการสิ่งใด พูดมาเถอะ"
หลันเหม่ยอิงไม่คิดว่าหลินหลันจะเอ่ยทุกอย่างออกมาตรงๆ เช่นนี้ นางจึงได้แต่นิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะเอ่ยออกมา
"ความจริงแล้วที่น้องมาหาพี่ใหญ่ก็เพราะว่าน้องมีเรื่องอยากที่จะให้พี่ใหญ่ช่วยเจ้าค่ะ"
"เรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ"
"น้อง ช่วงนี้มีคนปล่อยข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวน้องในช่วงนี้เจ้าค่ะ เลยอยากจะขอให้พี่ใหญ่ช่วย"
ความจริงหลันเหม่ยอิงตั้งใจว่าจะไปขอให้ไท่จื่อช่วยเหลือมากกว่า แต่ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดกันเขาถึงได้หายหน้าหายตาไปไม่ติดต่อกลับมาแม้แต่น้อย นางคาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับข่าวลือที่ไม่สู้ดีเกี่ยวกับตัวนางที่ออกมาในช่วงนี้
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าพี่ชายบุญธรรมกลับมาแล้วนางจึงได้รีบมาต้อนรับเพื่อที่จะขอให้เขาช่วยเหลือนาง และนางก็คิดว่าพี่สาวต่างมารดาของนางคงจะไม่ออกมาต้อนรับหลันเฟิ่งซือเป็นแน่ เพราะทุกครั้งที่เจอกันทั้งสองก็มักจะมีเรื่องให้ทะเลาะกันอยู่เสมอ แต่นางก็คิดผิด เพราะทันทีที่นางมาถึงที่ศาลาริมน้ำที่บ่าวไพร่บอกว่าหลันเฟิ่งซืออยู่นั้น ก็พบว่าเขากำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับพี่สาวต่างมารดาของนางราวกับไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน
นางจึงกลัวว่าคนสุดท้ายที่นางคิดว่าจะยังช่วยเหลือนางได้ จะกลายเป็นพวกของพี่สาวต่างมารดาไปเสียหมด นางจึงพยายามที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของหลินหลันนั้นดูแย่ในสายตาของหลันเฟิ่งซือ เพราะนางคาดว่าหลันเฟิ่งซือที่อยู่ไกลถึงชายแดนอาจจะยังไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงทั้งหมด แต่ทว่านางกลับคาดไม่ถึงว่าหลันเฟิ่งซือจะได้พบกับราชครูหลันก่อนที่เขาจะออกไปวังหลวงและได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดมาก่อนแล้ว
สิ่งสุดท้ายที่นางพอจะทำได้ ก็เพียงแต่ส่งสัญญาณผ่านทางสายตาไปให้หลันเฟิ่งซือรับรู้ว่าข่าวลือทั้งหมดนี้เกิดจากหลินหลันอย่างแนบเนียนที่สุดเท่าที่นางจะพอทำได้
"ข่าวลืออะไรหรือ" หลันเฟิ่งซือขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะว่าเขานั้นเพิ่งจะกลับเข้ามาในเมืองหลวงได้ไม่นานทั้งราชครูหลันก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้ให้เขาฟัง ดังนั้นเขาจึงยังไม่รู้เรื่องข่าวลือนี้
"พี่ใหญ่เพิ่งกลับมาอาจจะไม่ทราบว่าช่วงนี้มีข่าวลือว่าข้า...มิใช่ลูกของท่านพ่อเจ้าค่ะ" แล้วหลันเหม่ยอิงก็เริ่มสาธยายเรื่องทั้งหมดให้หลันเฟิ่งซือฟัง โดยหลินหลันทำเพียงแค่มองดูอย่างเงียบๆ เพียงเท่านั้น
ระหว่างที่เล่าเรื่องทั้งหมดนั้น หลันเหม่ยอิงก็แอบมองสีหน้าของหลินหลันไปด้วย ทั้งยังทำท่าทางคล้ายกับว่าหลินหลันนั้นเป็นผู้ที่ปล่อยข่าวลือเหล่านี้ทั้งหมดนี้
และเมื่อหลันเหม่ยอิง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้หลันเฟิ่งซือฟังจนจบแล้ว ก็ร้องไห้ออกมาทันที ก่อนที่นางจะกล่าวต่อว่า
"ตอนนี้ไม่ว่าน้องจะไปที่ใดก็ล้วนถูกผู้คนมองด้วยสายตารังเกียจเสียจนน้องไม่กล้าที่จะก้าวเท้าออกจากจวนเลยเจ้าค่ะ"
การเป็นลูกอนุ แม้ว่าจะมีศักดิ์ต่ำในจวนอยู่แล้วแต่ทว่าในเมื่อนางนั้นยังมีตำแหล่งเป็นบุตรสาวคนหนึ่งของท่านราชครูที่เป็นสหายสนิทของฮ่องเต้อย่างไรไปที่ไหนผู้คนก็ยังให้ความเกรงใจนางส่วนหนึ่ง
แต่หากว่านางเป็นลูกของชู้รักมารดาแล้วละก็ชื่อเสียงของนางก็คงจะป่นปี้เสียจนนางไม่มีหน้าจะไปเดินที่ไหนอีกแล้ว ทั้งยังดูท่าว่าคงจะถูกองค์ไท่จื่อทอดทิ้งอีกต่างหาก
"เจ้าคิดว่ามารดาของเจ้าสวมหมวกเขียวให้ท่านพ่อจริงอย่างนั้นหรือ"
"พี่หญิง" เมื่อได้ยินคำถามของหลินหลัน หลันเหม่ยอิงก็เผลอลืมตัวแล้วขึ้นเสียงใส่หลินหลันในทันที
"หากว่าเจ้าคิดว่าไม่ใช่ก็อยู่เฉยๆ เถอะ" หลินหลันพูดเพียงเท่านั้นแต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่ออีก หลันเฟิ่งซือเข้าใจสิ่งที่หลินหลันต้องการที่จะสื่อแล้ว ก่อนที่หลันเหม่ยอิงจะได้โต้เถียงอะไรกลับไปยังหลินหลัน หลันเฟิ่งซือก็เอ่ยต่อในทันที
"ก็จริงอย่างที่เหม่ยหลินกล่าวนั่นแหละ เจ้าควรจะอยู่เฉยๆ รอวันที่ข่าวลือมันซาไปเอง หากว่าเจ้ายิ่งออกไปปฏิเสธ หรือว่าหนีไปแล้วละก็ผู้คนจะยิ่งคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง วันหนึ่งเมื่อมีข่าวลือเรื่องใหม่ให้ผู้คนพูดถึง ประเดี๋ยวคนก็ลืมเรื่องของเจ้าไปเอง"
เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันกับข่าวลือเรื่องที่บอกว่าหลันเหม่ยหลินนั้นเป็นเด็กสาวที่ร้ายกาจ เพราะว่าพิษนางครวญที่หลันเหม่ยอิงและมารดาให้ผิงหยู่ใช้กับหลันเหม่ยหลินจนนางออกอาละวาดและทำตัวร้ายกาจต่อหน้าผู้อื่นอย่างไรเล่า
รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องพิษนางครวญนั้น หลินหลันได้รับรู้จากหนังสือรวบรวมพิษหายากที่นางพบในคืนหนึ่งก่อนที่จะมีข่าวลือเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วในเช้าวันต่อมา
หนังสือเล่มนั้นถูกคั่นหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับพิษนางครวญเอาไว้ด้วยจดหมายฉบับหนึ่ง ในนั้นเขียนรายชื่อของรายชื่อของผู้ที่สามารถสกัดพิษชนิดนี้ออกมาได้ และความเชื่อมโยงกับคนในจวน ทำให้หลินหลันได้รู้ว่าความจริงแล้วที่มาของพิษนี้นั้นไม่ได้มาจากที่ไหนไกล
อนุจ้าวนั้นเคยเป็นศิษย์ของเซียนพิษท่านหนึ่ง นางจึงได้เรียนรู้วิธีการสกัดพิษชนิดนี้มาด้วย
แต่ทว่านางปิดบังความจริงข้อนี้เอาไว้โดยที่ไม่ได้บอกใครแม้กระทั่งบุตรสาวของนางเอง
ในคราแรกอนุจ้าวนั้นใช้พิษชนิดนี้ในการที่จะทำให้นางได้เข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้จนได้มีบุตรสาวหนึ่งคน และต่อมานางก็ใช้มันในการทำร้ายหลันเหม่ยหลิน
น่าเสียดายที่ตัวคนนั้นได้ตายไปเสียก่อนที่หลินหลันจะทันได้ใช้พิษชนิดเดียวกันเล่นงานนางกลับ แต่ว่าอย่างไรบุตรสาวของนางก็ยังอยู่ ฉะนั้นการที่หลินหลันจะคิดพิษชนิดเดียวกันให้กับตัวต้นเหตุนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรใช่หรือไม่
และเมื่อหลินหลันได้อ่านหน้าที่คั่นเอาไว้นางจึงได้รู้เกี่ยวกับเรื่องพิษนั้นมากขึ้น ทั้งยังทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่าเพราะเหตุใดในคราที่นางสั่งให้เจียงอวี้นำขี้เถ้าที่เหลืออยู่ในกำยานนั้นไม่ตรวจสอบจึงได้ไม่พบความผิดปกติอะไร นั่นก็เพราะว่าพิษนั้น แท้จริงแล้วมีสองส่วน
ส่วนหนึ่งอยู่ในกำยานและอีกส่วนอยู่ในน้ำชาที่นางดื่มอยู่ทุกวัน
หลินหลันอยากจะขอบคุณคนที่ส่งจดหมายและหนังสือเล่มนี้ให้แก่นางอย่างมาก แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าที่เขาช่วยเหลือนางนั้นมีจุดประสงค์อะไรก็ตาม
ถึงแม้ว่าในยามนี้เขาจะช่วยเหลือนางอยู่ แต่ทว่านางก็คิดว่านางก็ควรที่จะระวังตัวเอาไว้ เพราะการที่คนคนนี้สามารถเข้าออกเรือนของนางโดยที่เสี่ยวฝานไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย เป็นไปได้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีวรยุทธสูงมากเสียจวนสามารถเก็บกลิ่นอายของตัวเองได้อย่างมิดชิดเช่นนั้น
หากว่าวันหนึ่งเขาอยากจะฆ่านางขึ้นมา ก็คงจะทำได้ง่ายดายราวกับบี้มดหนึ่งตัวเท่านั้น
หลินหลันมองหน้าหลันเหม่ยอิงอย่างสงสัยว่าหลันเหม่ยอิงนั้นไปทำอะไรให้คนคนนั้นกันแน่ เขาจึงได้มาจัดการกับนางเช่นนี้
แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของนางที่จะต้องไปสนใจ
"แต่ว่าชื่อเสียงของน้องเล่าเจ้าคะ" เมื่อได้ยินว่าหลันเฟิ่งซือเห็นด้วยกับคำแนะนำของหลินหลัน หลันเหม่ยอิงก็ไม่ใคร่จะพอใจสักเท่าไหร่
"ชื่อเสียงมันถูกทำลายได้ วันหนึ่งก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปหรอก" หลินหลันเอ่ย
ความจริงแล้วที่หลันเหม่ยอิงจะกังวลเรื่องชื่อเสียงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะสำหรับผู้หญิงในยุคสมัยที่ผู้ชายเป็นใหญ่เช่นนี้นั้น ชื่อเสียงของผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากที่จะกำหนดอนาคตของนางได้
และการที่จวนราชครูนิ่งเฉยต่อข่าวลือเรื่องนี้ และไม่ได้ออกมาอธิบายเรื่องจริงนั้น ก็ทำให้คนคิดไปได้สองทาง หนึ่งก็คือข่าวลือเป็นเรื่องจริง และสองก็เพราะว่าเรื่องนั้นมันไร้สาระเกินกว่าที่จะมานั่งสนใจ
แต่ด้วยความที่ยุคสมัยนี้เรื่องของชื่อเสียงหญิงสาวนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นแม้ว่าข่าวลือจะซาลงไปแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอยู่ดี
และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่หลินหลันจะต้องสนใจ
เพราะว่าเรื่องทั้งหมดนี้ มันเหมือนกับกรรมตามสนองแล้ว
ในเมื่อหลันเหม่ยอิงนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลันเหม่ยหลินต้องทนกับข่าวเสียๆ หายๆ มาได้ตั้งหลายปี นางก็ควรที่จะเรียนรู้รสชาติของมันบ้างว่าเป็นอย่างไร
"ที่พี่หญิงไม่ยอมที่จะช่วยน้อง ทั้งยังไม่ยอมให้พี่ใหญ่ช่วยน้องเป็นเพราะว่าพี่หญิงเป็นคนปล่อยข่าวนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ" หลันเหม่ยอิงที่เพิ่งจะรู้ตัวว่านางเพิ่งจะพูดอะไรออกมา ก็พยายามที่จะแก้คำพูดของตนเอง แต่ทว่าหลินหลันไม่เปิดโอกาสให้นางพูดอะไรอีก
"หลันเหม่ยอิง เจ้าคิดว่าเจ้าสำคัญแค่ไหนกันเชียว ด้วยตำแหน่งบุตรสาวของฮูหยินเอกของข้า และบุตรสาวอนุอย่างเจ้าฐานะของเราก็ต่างกันอยู่แล้ว เหตุใดข้าจะต้องไปเสียเวลาที่จะต้องปล่อยข่าวให้ฐานะของเจ้าในจวนต้องตกต่ำลง ทั้งยังทำให้บิดาถูกผู้คนเยาะเย้ยว่าถูกสตรีสวมหมวกเขียวให้อีกเล่า ไม่มีเหตุผลเลยจริงหรือไม่เจ้าคะ พี่ใหญ่"
หลันเฟิ่งซือได้แต่ถอนหายใจก่อนที่จะเอ่ยออกมา
"เหม่ยอิง พี่ว่าเจ้าน่าจะเสียใจเรื่องมารดามากเกินไปจึงได้พาลใส่เหม่ยหลินเช่นนี้ พี่ว่าเจ้ากลับเรือนไปเถิด"
"แต่พี่ใหญ่เจ้าคะ..."
"เจ้า..." หลันเฟิ่งซือชี้ไปที่ถิงถิงที่ยืนทำอะไรไม่ถูกเมื่อหลันเหม่ยอิงโพล่งสิ่งที่ตนเองคิดออกไปอย่างที่ไม่เคยมาก่อน "นำตัวนายของเจ้ากลับเรือนไปเสียหากว่าทำไม่ได้ ข้าจะสั่งโบยเจ้า"
ถิงถิงรีบรับคำก่อนที่จะให้บ่าวที่ตามมานั้นช่วยกันพาตัวหลันเหม่ยอิงออกไปจากศาลาริมน้ำทันที
ระหว่างที่หลันเหม่ยอิงถูกลากตัวออกไปนางก็พยายามที่จะขอร้องให้หลันเฟิ่งซือช่วยเหลือทั้งน้ำตา แต่ทว่าหลันเฟิ่งซือกลับพูดออกมาหนึ่งประโยคที่ทำให้หลันเหม่ยอิงชะงักไปในทันที และยินยอมให้บ่าวของตนพาตัวกลับเรือนไปในทันที
"เหม่ยอิง ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากวัยเยาว์เลยแม้แต่น้อย"
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คู่หมั้นนิสัยไม่ดีไม่สมควรดีด้วยยกเลิกหมั้นไปเลยยย
เราว่านางเอกน่าจะไปยืนรอหน้าห้องเก็บสมบัติเลยแล้วให้พ่อบ้านไปเอากุญแจมาเจอกันที่หน้าห้องเลย จะได้กันคนมุบมิบ อีกอย่างเรื่องสงสัยว่าสินเดิมมารดาน่าจะเรื่องใหญ่ พระเอกน่าจะให้ความร่วมมือกับราชครูโดยการคุยธุระแค่แปปเดียวแล้วมาหานางเอกที่กำลังตรวจสมบัติด้วย เพระนางคนเดียวไม่น่าเอาพ่อบ้านกับอนุอยู่ ถ้าไม่มีคนเป็นพยานหรือมีสิทธิ์ลงโทษเด็ดขาด ก็จะคาราคาซังหรืออาจจะแถไปอีกก ลงเอยที่นางเอกใจร้ายกับอนุไปอี๊กก นี่มโนไปแปดจบล่ะจ้าา555555555