ตอนที่ 3 : ประจันหน้า
บทที่ 2
บ้านคีตะ
“เสียงอ๊อด”
ดังไปทั่วบ้าน กด อยู่สามสี่รอบ ใครมากันว่ะ จะกดให้กริ่งพังเลยหรอไง ผมรีบเดินไปเปิดประตูหน้าบ้าน ว่าเป็นใคร
“ครับๆ มาแล้วครับ” ผม เดินไปเปิดประตู ภาพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า มันคือไอ้คนที่เดินชนเราเมื่อตอนเช้าไม่ใช่หรอว่ะ มันมาบ้านทำไม
“มึงนี่เองคนที่เดินชนกูเมื่อเช้า จะมาหาเรื่องกูอีกหรอว่ะ” ผม ด่ามันกลับไป แต่ทางมันไม่มีท่าทีโต้เถียงตอบ ได้แต่ยิ้มหน้าระรื่นอยู่คนเดียว
“เปล่านิ ก็แค่มาหาคนที่ยืนด่ากูอยู่เนี่ย” ผมต้องตกใจกับสิ่งที่มันพูดออกมา
“มึงจำผิดคนล่ะ มึงเชิญไปบ้านอื่นซะ อย่ามากวนประสาทกู” ผมเอื้อมมือดึงประตูกำลังจะปิด
“อ้าว ลาเต้ มาถึงสักทีพี่ก็รอเราอยู่” เควิน พี่ชายของผมเดินออกมาจากในบ้าน ห๊า...ไอ้หมอนี่มันชื่อว่าลาเต้ แสดงว่ามันก็คือ คู่หมั้นตอนเราเป็นเด็กสิ ทำไมมันดูเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน จากที่มันทั้งอ้วนทั้งดำ หน้าก็ไม่ดี แต่ตอนนี้มันดูดีขึ้นแต่ก่อนไปเยอะเลย ผมยืนอ้าปากค้างกับสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า
“สวัสดีจร้า เควิน น้าขอโทษที่มาช้านะ” ผมยื่นอึ้งคูณสอง มันพาพ่อกับแม่มันมาด้วยหรอเนี่ย
“เชิญครับคุณน้า ทั้งสองและก็ลาเต้ด้วย พ่อแม่ของผมคงเตรียมอาหารเสร็จแล้ว” ไอ้ลาเต้กับครอบครัวของมัน เดินผ่านหน้าผมไป มันหันมายักคิ้วให้ผม ร่างกายของผมเหมือนไม่มีแรงโน้มถ้วนอีกต่อไป พี่เควินวิ่งมารับผม อย่างทันท่วงที ภาพตอนเป็นเด็กมันกลับมาวกวนในหัวของผมอีกครั้ง
“เฮ้ย มึงเป็นอะไรของมึงว่ะ คีตะ” พี่เควิน ประคองผมให้ค่อยๆ ยืนขึ้น
“พี่ ผมฟังไม่ผิดใช่ไหม ไอ้หมอนี่มันคือลาเต้คู่หมั้นของผมตอนเด็ก” ผมถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ
“ไม่ผิดว่ะ นั้นลาเต้คู่หมั้นของมึงจริงๆ” ผมหันไปมองหน้าที่ ด้วยใบหน้าที่เศร้าซึ่ง ตอนนี้ผมพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันช่างทำร้ายจิตใจผมมาก
“รีบเข้าไปในบ้านเถอะมึง มายืนอยู่ตรงนี้เดียวพ่อแม่เราก็มาด่าอีก”
“ครับ” พี่ชายของผมมันเดินจากผมไป ปล่อยให้ผมยืนอยู่คนเดียว
“ดีใจจังโว๊ย น้องชายเราจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักที” พี่ชายของผมมันพูดตะโกนให้ผมได้ยิน
ผมรีบหันไปทันควัน นี่ถ้าไม่ถึงว่าเป็นพี่ชายนะ จะกระโดดถีบปากให้แตกเลยคอยดูสิ ดูมันมีความสุขเกินหน้าเกินตาผมไปอีก เอาว่ะคีตะ จะไปกลัวทำไม ผมต้องสู้สิ อย่าพึ่งยอมแพ้ ถ้ามันมาคุยเรื่องแต่งงานของผม ผมก็บอกไปว่าไม่อยากแต่ง แค่นี้มันก็จบล่ะ มันจะยากอะไร ผมร่วมรวบความกล้าเดินเข้าไปในบ้าน ด้วยใบหน้าที่มีความมุ่งมั่น เราต้องปฏิเสธให้ได้
“อ้าวคีตะ มานั่งตรงนี้สิลูก” แม่ ของผมจัดเตรียมที่นั่งของผมให้นั่งตรงข้ามกับไอ้ลาเต้และพ่อแม่ของมัน ส่วนพ่อของผมนั่งหัวโต๊ะ พี่ชายกับแม่ก็นั่งประกบผมทั้ง 2 ข้าง ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร สายตาของผมจ้องมองไปที่ไอ้ลาเต้เพียงคนเดียว มันเงยหน้าขึ้นมาบอกผม พร้อมกับยิ้มเยาะเย้ยไปในตัว
“กินข้าวกันเถอะจร้า อาหารเต็มโต๊ะเลย” แม่ของผมดูร่าเริงกว่าใครเป็นพิเศษ ผมตักข้าวกินด้วยความไม่เต็มใจ
“เออ ลาเต้เราเรียนคณะไหนลูก” พ่อของผมเริ่มเปิดประเด็นในโต๊ะอาหาร
“อ่อ ผมต่อคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ครับ”
“จริงหรอเก่งจังลูก น้าก็อยากให้คีตะมันสอบหมอเหมือนกัน แต่พอดีหัวมันไม่ถึง มันก็เลยได้เรียน ศิลปกรรม สาขาการถ่ายภาพ” ผมหันไปมองหน้าพ่อของผม ใครมันจะไปเก่งเหมือนไอ้หอมนี่ล่ะ ขนาดพ่อผมยังชมมันออกหน้าออกตา
“ลาเต้ นี่เปลี่ยนไปมากเลยนะ น้าแทบจำไม่ได้ ดูหล่อขึ้นเยอะตั้งแต่ก่อนเลย” ยังไม่เลิกชมมันอีก
“ขอบคุณครับน้า” ดูมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยทีเดียว
“ฉันจะไม่พูดอ้อมค้อมเลยละกันนะ ที่พวกเรามาวันนี้ก็เพื่อมาทวงสัญญาที่เราสัญญากันไว้ตอนที่ลูกๆ ของเราหมั้นกันไว้ตอนเด็กว่าจะให้แต่งงานกัน” แม่ ลาเต้เริ่มเปิดประเด็นคุยเรื่องแต่งงาน ผมได้ยินดังนั้น ข้าวแทบสำลักออกมา “แค่กกกก”
“เอานี่น้ำคีตะ” พี่เควินยืนน้ำมาให้ผมกิน
“เรื่องนั้นหรอ พวกฉันไม่ลืมหรอก ฉันพูดคำไหนคำนั้น คีตะกับลาเต้ก็ขึ้นมหาลัยแล้ว ก็ควรจะต้องรีบจัดงานแต่งงานให้สักที” แม่ พูดออกมาได้ไงเนี่ย ให้รีบจัดงานแต่งงานหรอบ้าไปแล้ว ทำไมแม่ไม่ถามผมก่อนว่าผมอยากแต่งไหม
“งั้น เอาเป็นว่า วันแต่ง 14 กุมภาพันธ์ ปีหน้าเลย พวกเธอ 2 คนตกลงไหม” ผมหันไปมองหน้าพ่อของลาเต้ ก่อนจะมองมาที่หน้าแม่ของผม ไม่นะแม่อย่าไปตกลงเด็ดขาด ผมมองไปที่หน้าแม่ของผม พร้อมกับส่ายหัวเบาๆ
“ตกลงตามนั้น” ห๊ะๆ แม่ผมดันตอบตกลงไปแล้ว ผมเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วสิ นี่มันคลุมถุงชนชัดๆ แถมไอ้คนที่จะให้แต่งดันเป็นผู้ชายอีก ถ้าเป็นผู้หญิงสวยๆ ผมจะไม่อะไรเลย ทนไม่ไหวแล้วโว๊ย มาทำกับผมแบบนี้ได้ไง ผมต้องปฏิเสธไป ผมยืนขึ้นด้วยใบหน้าโมโห คนทั้งโต๊ะต่างหันมามองหน้าของผมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อุ๊ย ขอโทษครับ เมื่อกี้มีแมลงสาบวิ่งมาที่ขาของผม ผมเลิกตกใจเลยลุกยืนขึ้น” ผมรีบนั่งลงไป อะไรวะ ทำไมปากไม่กล้าพูดออกไปเหมือนของคิดว่ะเนี่ย เอาไงดีว่ะ ผมนั่งคิดสักพักพัก อ่อรู้แล้ว
“ลาเต้ นายไปคุยกับเราที่สวนที” ผม เดินออกไปข้างนอกบ้าน ลาเต้ก็เดินตามผมมา
สวนบ้านคีตะ
“มึงอยากแต่งงานหรอไงว่ะ ทำไมไม่ปฏิเสธไป” ผม ยืนประจันหน้ากับมัน
“กูยังไงก็ได้ ถ้าพ่อแม่ให้แต่งก็แต่ง ไม่ได้ซีเรียส” ดูหน้ามันสิไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย
“แต่กูไม่อยากแต่งไง กูไม่ได้รักมึงเลยสักนิด จะให้กูมาแต่งกับมึงเพื่อ”
“เอาน่า แต่งๆ ไปเดียวก็รักกันเองแหละ” ดูมันพูดสิ ผมนิอยากจะต่อยปากมัน สักสองสามหมัด
“ยังไงกูก็ไม่ยอมแต่งงานกับมึงหรอก ต่อให้กูตายก็เถอะ กูจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้มึงยอมยกเลิกงานแต่งงานนี่ให้ได้ คอยดูสิ” ผมพูดตะคอกใส่หน้ามันไป ด้วยอารมณ์ที่โมโห แบบสุดขีด
“หรอ งั้นมึงก็หลับตาก่อนสิ” มันจะมาไม้ไหนของมันอีกเนี่ย
“ไม่ กูไม่หลับ” ผมไม่ยอมหลับตาสักอย่างมันจะทำอะไรผมได้
“กูบอกให้หลับตาก่อนไง ถ้ามีหลับตา กูจะได้เดินไปบอกให้พ่อแม่ยกเลิกงานแต่งงานไง” มันพูดจริงๆ ใช่ไหมว่ะ เอาว่ะยอมทำตามมันสักครั้งเพื่อแลกกับการไม่ต้องแต่งงานกับมัน แค่หลับตาเอง ถือว่าคุ้ม ผมค่อยๆ หลับตาลงไป
“ไปบอกยังว่ะ” ผมยืนหลับตา ด้วยความหวังที่จะได้ไม่ต้องแต่งงานกับไอ้ลาเต้มัน
“อยู่นิ่งๆ นะ” แก้มของผม มีลมพัดมาอ่อนๆ ปากที่นุ่มนวลของไอ้หมอนั้น มันมาถูกที่แก้มของผม ผมค่อยๆ หรี่ตาออกมาดู ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าตอนนี้ คือไอ้หมอนั้นมันกำลังหอมแก้มผมอยู่
“แก้มของมึงนุ่มจัง”
“เฮ้ย มึงทำอะไรของมึงเนี่ย” ผม รีบเอามือมาเช็ดที่แก้มของผมอย่างเร็วไว
“ยี่ มาหอมแก้มกูเพื่อ ขนลุกว่ะ ไหนบอกว่าถ้ากูหลับตาแล้วมึงจะไปบอกยกเลิกงานแต่งงานไงว่ะ”
“555 ก็มึงอยากเชื่อกูเองนะ ใครอยากจะไปบอกยกเลิกงานแต่งงานว่ะ อ่อ แล้วอีกอย่างเราเป็นคู่หมั้นกันนะ หอมแค่นี้จะเป็นไรไป” มันมาพูดยียวนกวนประสาทผมอีกแล้ว
“มึงนี่” ผมยกมือขึ้นมากำหมั้นแน่น เพื่อจะต่อยหน้ามัน มันมาจับที่มือของผม
“จะต่อยกูหรอ มึงอยากให้คนในบ้านรู้หรอ ว่ากูหอมแก้มมึงไป” ผมยื่นจ้องหน้ามันด้วยความโกรธ ผมต้องเอามือลงด้วยความไม่เต็มใจ
“มึงไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับกู มาหอมแก้มกูโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้”
“เอาน่า ยอมกูเถอะ ถ้าเราได้แต่งงานกันไป กูอาจจะทำมากกว่าหอมแก้มก็ได้นะ อย่างเช่น” มันมองมาที่ผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะมามองที่น้องชายของผมที่อยู่ด้านล่าง ผมรีบเอามือมาปิดทันที
“อะไรของมึงเนี่ย กูหมายถึงจูบป่ะ คิดลึกไปได้” มันมองมาจ้องตรงนั้นา จะไม่ให้เราคิดลึกได้ไงว่ะ
“จะจูบ จะอะไรก็ช่างมึงเถอะ ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับกูอีกแล้ว กูจะไม่ยอมเชื่อมึงอีก"
“อืม..จะคอยดูละกัน ว่าแต่แก้มของมึงหอมดีเหมือนกันนะเนี่ย เสียดายอยากหอมอีกรอบจัง” มันมากระซิบที่ใกล้ๆ หูของผม แล้วมันก็เดินเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้าที่สะใจที่มันทำกับผมแบบนี้ได้
ไอ้โรคจิต ไอ้ลามก ไอ้เลว ทำแบบนี้กับกูได้ นี่ผมต้องเสียแก้มให้มันหอมเป็นครั้งที่สองแล้วหรอว่ะ ยี่ ยิ่งคิดยิ่งขนลุกโว๊ย ผมต้องล้างน้ำกี่ร้อยรอบเนี่ย มันถึงจะหาย ถ้าเกิดผมต้องแต่งงานกับมัน ผมยิ่งไม่อยากจะคิดเลย ว่ามันจะทำอะไรผมบ้าง คีตะทำไมชีวิตถึงเป็นแบบนี้ด้วยว่ะ ยิ่งเห็นหน้ามันมีความสุขที่ได้แกล้งผม มันยิ่งทำให้ผมโมโหมาก ผมต้องหาวิธีให้มันยกเลิกงานแต่งงานไปให้ได้ ยังไงผมจะไม่ยอมเสียตัวให้มันเด็ดขาด
(ความรู้สึกที่ดีๆ ก็เริ่มต้นจากตรงนี่แหละ)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
