ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ★ One Piece 'short fanfiction All Luffy [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #76 : ◣Fanfic◥ [DoflamingoxLuffy] Akaito (Part5)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 144
      4
      22 พ.ย. 66

    Title: Akaito
    Pairing: Doflamingo x Luffy
    Rate: PG-13
    Writer: PINKUHERO
    Part: 5/??

    แนะนำเปิดเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ:)

    **เนื่องจาก part 3-4 ไม่แจ้งเตือน แนะนำย้อนกลับไปอ่านก่อน ไม่อย่างนั้นเนื้อหาจะไม่ต่อเนื่องนะคะ;-; **

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


     



     

     









    เรื่องราวการลอบสังหารผู้นำตระกูลแห่งดองกิโฮเต้แพร่สะพัดไปทั่วพื้นที่ ตระกูลของเขายิ่งใหญ่ขนาดมีแพทย์ส่วนตัวให้การรักษาในคฤหาสน์ทรงญี่ปุ่นที่มีการป้องกันแน่นหนา ใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าชายผู้นั้นจะแข็งแรงพอกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ

     

           การตกกระไดพลอยโจรไปเป็นเป้าหมายร่วมกันของหลานชาย สร้างความกังวลให้แก่ตระกูลมังกี้ที่โด่งดังไม่ต่างกัน คนเป็นปู่กำชับกับเด็กหนุ่มอยู่เสมอว่าหลังจากนี้เขาต้องระวังตัวมากขึ้น หลังจากเคยเตือนไปไม่นานว่าชายคนนั้นจะนำเรื่องวุ่นวายมาให้

     

    เพราะก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในกับดักแล้ว จากนี้ไปคงมีแต่เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

     

           แต่เพราะวันนั้นได้หัวหน้าตระกูลผู้นั้นช่วยเหลือเอาไว้ หากไม่ใช่แบบนั้นเด็กหนุ่มก็คงฝ่าวงกระสุนออกมาไม่ได้ ซ้ำร้ายอีกฝ่ายยังบาดเจ็บอีกต่างหาก มันก็เลยพาลทำให้รู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย

     

    แค่นิดหน่อยจริงๆ ถึงได้อยากรู้ว่าคนๆ นั้นยังปลอดภัยหรือเปล่า

     

    รู้ตัวอีกทีปลายเท้าก็แอบก้าวเข้าไปในสวนซากุระของอีกฝ่ายเสียแล้ว เพราะคราวที่แล้วเจ้าตัวบอกว่าจะเจอเขาได้ที่นี่บ่อยๆ จึงเลือกเสี่ยงเข้ามาหาดูซักที จะไปหาที่คฤหาสน์ตรงๆ ก็ไม่กล้า คนเยอะแยะตั้งขนาดนั้น

     

    เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าศาลเจ้าเก่าๆ หลังเดิม บางสิ่งดึงดูดให้สายตาได้เพียงมองตรงเข้าไปในนั้น เสียงแมกไม้ที่พัดปลิวตามสายลมอ่อนๆ กลิ่นดอกไม้และกลีบสีชมพูที่พัดปลิวทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

     

    “แวะเข้ามาดูหรอว่าฉันหายดีหรือยัง”

     

           เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยทักให้ร่างเล็กรู้สึกตัว เจ้าของใบหน้ากลมมนหันกลับมามองก่อนไล่ดวงตาคู่โตสังเกตอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้เจ้าตัวจะสวมยูกาตะสีเข้มเหมือนปกติ แต่ใต้เนื้อผ้าอย่างดียังมีผ้าพันแผลพันไว้อยู่

     

    ดวงตาคู่เดิมกรอกไปด้านข้างโดยอัตโนมัติ พร้อมริมฝีปากบางที่ยู่เข้าหากันอย่างไม่เป็นทรง

     

    “เปล่า มาเดินเล่นเฉยๆ”

     

    ใครๆ ก็มองออกว่าโกหกไม่เนียน คิ้วของคนอายุมากกว่าขมวดขึ้นเล็กน้อย

     

    “ว่าแต่นายยังมีผ้าพันแผลอยู่เลย” ว่าพลางชี้นิ้วเรียวมายังหน้าท้องของคนตรงหน้า คนฟังหลุดก้อนหัวเราะออกมาครั้งหนึ่งอย่างไม่อาจกลั้น ก็ไหนว่ามาเดินเล่นไม่ใช่หรือไง

     

    “แผลยังไม่หายดีเท่าไร แต่ไปไหนมาไหนได้ปกติแล้วล่ะ”

     

    ไม่เจอกันเกือบเดือน ดูเหมือนเหตุการณ์เสี่ยงชีวิตครั้งนั้นจะทำให้ท่าทางต่อต้านของเด็กตรงหน้าดูลดลงนิดหน่อย

     

    ลูฟี่มักจะสวมใส่เสื้อผ้าแบบตะวันตก เสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงขาสามส่วนกับสายเอี๊ยมและรองเท้าผ้าใบ ไม่มีอะไรเหมือนกับคนๆ นั้นสักอย่าง

     

    แต่ชายหนุ่มเริ่มมั่นใจเกินครึ่งว่าพวกเขาคือคนๆ เดียวกัน

     

    มันจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยที่ไหนกัน

     

    “ถ้าไม่มีธุระอะไรก็นั่งเล่นอยู่แถวนี้ก่อนสิ” ที่แห่งนี้เป็นสถานที่เดียวที่ให้ความสบายใจแก่เขาได้ มันเป็นแบบนั้นมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ คนตัวเล็กเพียงพยักหน้ารับครั้งหนึ่งก่อนทิ้งตัวนั่งจุ้มปุ๊กลงตรงหน้าสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่

     

    “เป็นแบบนี้บ่อยหรอ”

     

           ประโยคที่พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยส่งให้คนโดนถามทำท่าสงสัย ร่างที่สูงกว่าทิ้งตัวลงนั่งบ้างโดยไม่ได้สนใจว่าชุดจะเลอะ ใบหน้าคมขมวดคิ้วเล็กน้อยยามที่การขยับตัวส่งให้เขารู้สึกเจ็บตึงแผลที่ยังไม่หายดี แผ่นหลังกว้างเอนพิงต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน

     

    “โดนตามล่าแบบนี้มาตลอดเลยหรอ” เขาเป็นผู้ชายที่พกอาวุธติดตัวตลอดเวลา จากทักษะการเอาตัวรอดในวันนั้นก็พอเดาได้แล้วว่าฝีมือคงไม่ใช่เล่นๆ

     

    “เป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งล่ะมั้ง”

     

    ใบหน้ายิ้มเหมือนไม่รู้สึกอะไรทำให้คนอายุน้อยกว่าทำหน้าบึ้ง

     

    “ที่จริงฉันมาวันนี้เพราะปู่ฝากข้อความมาให้นายด้วย”

     

           นิ้วเรียววาดไปตามพื้นที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปวางตรงไหนดี ที่จริงมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขาที่ต้องมาเป็นเด็กส่งข่าวอะไรแบบนี้ แต่ปู่รู้ได้อย่างไรกันนะว่าเขาจะมาที่นี่

     

    “ปู่ฝากมาบอกว่าของมีมากพอ เหลือแค่นายยอมทำธุรกิจด้วยแค่นั้น”

     

    ของที่ว่าก็คงจะเป็นอาวุธนั่นละมั้ง ลูฟี่ได้แต่เดา

     

    ดองกิโฮเต้ที่เคยระบายยิ้มเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบนิ่งเพียงครู่หนึ่ง เขาทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนรอยยิ้มจะกลับมาปรากฏบนใบหน้าคมนั้นอีกครั้ง

     

    “ฝากไปบอกปู่ของเธอด้วยล่ะว่าฉันเอาด้วย” รอยยิ้มดูแฝงไปด้วยความนัยบางอย่างที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งเด็กหนุ่มก็คิดว่ามันดูเจ้าเล่ห์เหมือนตัวร้ายในละครทุกที


    ใบหน้าหวานพยักรับพร้อมขมวดคิ้วยุ่งเหมือนไม่ค่อยเข้าใจนัก เดี๋ยวคนนั้นเดี๋ยวคนนี้ก็ฝากบอก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่มาคุยกันเอง

     

    แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นอะไรมาก

     

           พวกเขาไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการนั่งให้เวลาไหลผ่านไปช้าๆ เมื่อเรื่องที่อยากรู้กระจ่างหมดแล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีธุระอะไรอีก เจ้าตัวแยกตัวออกมาทั้งแบบนั้น คนเป็นเจ้าของบ้านเพียงมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ห่างออกไปพร้อมความคิดมากมาย

     

    ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วสินะ

          

     

     

     

     

     

           แต่ไหนแต่ไรแล้วไคโดคือชายผู้มีพระคุณกับตระกูลของดองกิโฮเต้มาโดยตลอด ตั้งแต่ที่ตระกูลล่มสลายจนเขาเริ่มก่อตัวได้ใหม่จนมีธุรกิจของตัวเองในทุกวันนี้

     

    โดฟลามิงโก้เติบโตมาภายใต้อำนาจของชายผู้นั้น

     

           เขาเป็นชายมีอายุที่มีร่างกายสูงใหญ่และผมยาวเหมือนกับปีศาจ ด้วยอิทธิพลของเจ้าตัวที่ครอบคลุมทั้งธุรกิจสีดำและสิ่งผิดกฎหมายหลากหลายอย่าง ไคโดมีกำลังคนและเส้นสายมากมายเหมือนกับกองตำรวจขนาดย่อมๆ จึงเป็นเหตุผลว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไม่อาจเข้าถึงได้ง่ายๆ

     

           ทั้งโครงสร้างตระกูลและความมั่งคั่งในปัจจุบัน แม้ดองกิโฮเต้จะแยกตัวเป็นเอกเทศจากไคโดได้ร่วมสิบกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเขายังคงมีธุรกิจร่วมกันหลากหลายอย่าง เบื้องหลังธุรกิจขาวสะอาดอย่างโรงงานขนมและธุรกิจค้าอาวุธ โดฟลาโก้ใช้นามแฝงของเขาในโลกอีกฝั่งเพื่อเข้าร่วมกิจการสกปรก

     

    ในนามของ โจ๊กเกอร์ ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก

     

           สถานที่แห่งนี้ถูกขนานนามว่า โคลอสเซียม สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ยักษ์ที่ก่อสร้างออกมาให้เหมือนกับลานประลองในอดีตหลายศตวรรษของน่านน้ำฝั่งตะวันตก หากแต่โครงสร้างของมันไม่ใช่เพียงแค่เหมือน แต่มีไว้เพื่อกิจกรรมดังกล่าวโดยตรง

     

           โคลอสเซียมคือดินแดนแห่งอบายมุขที่ไม่ใช่ว่าใครจะเข้ามาก็ได้ กฎหมายและศีลธรรมไม่สามารถนำมาใช้ได้ในพื้นที่แห่งนี้ที่มีทั้งเวทีประลองการต่อสู้ การค้าอาวุธผิดกฎหมาย การพนัน รวมถึงการค้ามนุษย์

     

    นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของหัวหน้าตระกูลคนนั้น

     

           เป็นอีกครั้งที่เขาพาร่างสูงโปร่งมาเยือนธุรกิจที่ตนเป็นหนึ่งในหุ้นส่วน ชายท่าทางน่ากลัวที่ยืนเฝ้าตามทางเข้าต่างๆ ต่างโค้งกายเคารพและนำทางเจ้าตัวไปยังพื้นที่พิเศษที่อนุญาตให้เข้าเฉพาะผู้บริหารเท่านั้น

     

    เขาทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ราคาแพงตัวหนึ่ง มันถูกตกแต่งอย่างหรูหราราวกับบัลลังก์ของกษัตริย์ ใบหน้าคมประดับไปด้วยรอยยิ้มเยาะแบบที่ชอบทำ เบื้องหน้าคือร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนที่กำลังผ่อนคลายอยู่บนโซฟาเช่นกัน

     

    “มีธุระอะไรถึงได้เข้ามาหาฉันถึงที่นี่” เสียงทุ้มแหบเอ่ยทักทาย ดวงตาที่แข็งกร้าวกวาดมองมายังใบหน้าของผู้มาใหม่ที่ยังคงรอยยิ้มไว้เหมือนไม่เดือดร้อนต่อสิ่งใด

     

    “ต้องมีธุระก่อนหรือไงถึงจะเข้ามาที่นี่ได้” เขามีธุรกิจให้ดูแลหลากหลายอย่าง เป็นเหตุผลว่าโจ๊กเกอร์จึงมักจะไม่ค่อยอยู่กับที่เช่นใครอีกคนที่อาศัยอยู่ในโคลอสเซียมราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง

     

    “กังวลไว้บ้างก็ดีล่ะ การ์ปร่วมมือกับหลานชายเตรียมกวาดล้างเครือข่ายของแกแล้ว”

     

    โดฟลามิงโก้ขบกรามแน่น เส้นเลือดบริเวณขมับผุดขึ้นมาให้เห็นตามอารมณ์หงุดหงิดของเจ้าตัว

     

    “คราวที่แล้วมันเรียกฉันเข้าไปที่บริษัทเพราะกะจะตัดแขนตัดขา เลิกสั่งอาวุธเพราะได้ดีลเลอร์เจ้าใหม่แล้ว” การ์ปอินเตอร์การ์ดเป็นแหล่งรายได้หลักของธุรกิจค้าอาวุธ แม้ดองกิโฮเต้จะมีรายได้จากฝั่งผิดกฎหมาย แต่การเลิกสั่งก็เหมือนขาดรายได้อันพึงมีไปเกินกว่าครึ่ง คูณจำนวนปีเข้าไปก็เสียหายมากมายนัก

     

           คู่สนทนาอีกฝั่งเพียงรับฟังโดยไม่กล่าวอะไร แต่ดวงตาของผู้มีอิทธิพลคนนั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่อดีตทั้งการ์ปและโรเจอร์พยายามเข้ามาขัดขาเขาอยู่หลายครั้ง แม้จะกำจัดสารวัตรคนนั้นไปแล้วแต่เพื่อนของมันก็ดูจะไม่ยอมรามือไปง่ายๆ

     

    “เพราะแบบนั้นถึงต้องกำจัดมันอีกคน ไม่อย่างนั้นโปรเจ็คสไมล์ก็เริ่มไม่ได้”


    เพราะคนผมทองยังมีธุรกิจอีกมากมายนัก หนึ่งในธุรกิจที่วางแผนจะสานต่อกับไคโดคือการผลิตสินค้าภายใต้บริษัทขนมหวานที่ไม่ว่าใครก็เข้าถึงได้


    สไมล์คือชื่อของผลไม้แห่งสวนอีเดน สารเสพติดที่เคลือบไปด้วยน้ำตาลอันหอมหวาน

     

    หากตัวตนของการ์ปและหลานชายคนโตยังอยู่สิ่งนี้มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น

     

    “ทำเหมือนที่แกเคยทำกับเจ้าตำรวจโรเจอร์นั่นไง” โดฟลามิงโก้ยิ้มเหี้ยม เขาดูแค้นเคืองชายสูงอายุผู้นั้นมากเสียจนไม่อาจเก็บอารมณ์ไว้ได้ ไคโดมองภาพนั้นก่อนเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

     

    ไม่ว่าใครก็มีจุดบอดกันอยู่ทั้งนั้น

     

    “ตาแก่นั่นมีจุดอ่อนอย่างหนึ่ง มันก็คงรู้ตัวอยู่แล้ว” เขากล่าวพร้อมดวงตาวาวโรจน์ น่าตลกที่เจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยผู้นั้นให้ความสำคัญกับครอบครัวอย่างออกนอกหน้าเสียจนกลายเป็นภัย

     

    หลานชายตัวจริงของมันยังไงล่ะ

     

    เพราะเด็กนั่นอ่อนแอและยังอ่อนต่อโลกมากนัก ถ้าลากครอบครัวมันมาเป็นตัวประกัน กับแค่เส้นสายของการ์ปเขาก็ควบคุมได้ไม่ยาก

     

    รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าของดองกิโฮเต้เรียบสนิทไปพร้อมกับหัวคิ้วข้างหนึ่งของเจ้าตัวที่กระตุกเบาๆ ใบหน้าคมไม่แสดงสีหน้าใดๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยสนทนากับชายตรงหน้าอีกครั้ง

     

    หลานชายนั่น เดี๋ยวฉันจัดการกับมันเอง

     

    “แกอยู่เฉยๆ รอดูผลงานได้เลย”

     

     

     

     

     

     

    วันทานาบาตะ เป็นเทศกาลสำคัญของประเทศแห่งนี้ที่ถูกจัดขึ้นทุกปี ที่มาของงานถูกร้อยเรียงจากเรื่องเล่าเก่าแก่ถึงความรักของคนสองคนที่โดนกีดกัน ผสมผสานไปกับความเชื่อว่าเป็นวันฉลองวันแรกของการเพาะปลูกเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลใหม่

     

    ลูฟี่ได้รับการเชิญชวนจากเด็กหญิงผมเขียวที่เขาเคยให้การช่วยเหลือไว้ ทราบชื่อทีหลังว่าชูการ์ หลังจากเรื่องราววันนั้นเด็กหญิงก็แวะเวียนมาหาเด็กหนุ่มที่บริษัทค่อนข้างบ่อย ดูเหมือนเจ้าตัวจะถูกใจพี่ชายใจกล้าคนนั้นเป็นพิเศษ ทั้งเป็นห่วงจะถูกรังควาญจากคนของไคโดด้วย

     

    วันนี้เด็กน้อยมาพร้อมกับคุณหมอตัวสูงที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา หลังจากนัดแนะกันว่าให้ใส่ยูกาตะมาเดินในงาน พวกเขาก็กำลังไหลไปตามฝูงชนจำนวนมาก ในมือของทั้งเธอและพี่ชายตัวเล็กมีของกินอยู่เต็มทั้งสองข้าง ส่วนคุณหมอทำเพียงเดินตามหลังมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย แต่ก็ไม่ได้เดินจากไปไหน

     

    หลานชายจากตระกูลมังกี้ชอบเทศกาลของประเทศนี้นัก อาจเพราะเขาเป็นครอบครัวของชาวต่างชาติที่ย้ายมาตั้งรกรากที่ดินแดนใหม่ จึงมีวัฒนธรรมหลายอย่างที่ยังไม่เคยรู้จัก ปู่กับพ่อก็ดูไม่ค่อยจะสนใจมาเที่ยวงานแบบนี้ซักเท่าไร

     

    “ขอบคุณนะ”

     

    เด็กหนุ่มยิ้มขอบคุณชายตัวสูงที่เพิ่งยื่นแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลมาไว้ตรงหน้า อาจเพราะรอยยิ้มนั้นส่งให้ใบหน้ากลมมนน่าเอ็นดูผิดจากเด็กหนุ่มทั่วไป คนมองที่ยังไม่ทันตั้งตัวจึงเผลอชะงักไปครู่หนึ่ง

     

    “ชูการ์อยากได้หน้ากากอันนั้น ไปดูกันเถอะ” แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยแรงดึงจากมือของเด็กผมเขียวเสียก่อน เด็กหนุ่มในชุดยูกาตะพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนเดินตามไปโดยไม่ได้สนใจคุณหมออีก

     

    ทราฟาลก้าเกาท้ายทอยด้วยความสับสน บ้าไปแล้วแน่ๆ ที่เผลอคิดว่ารอยยิ้มแบบนั้นมันน่ารักสุดๆ

     

           บรรยากาศของงานถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟห้อยระย้า พื้นที่ส่วนหนึ่งถูกตกแต่งด้วยต้นไผ่สีเขียวชอุ่มที่ผูกคำอธิษฐานไว้ตามกิ่งก้าน เลียบไปตลอดทางเดินของศาลเจ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขา

     

           อาจเพราะช่วงเวลาเริ่มวนเวียนเข้าสู่พลบค่ำของวัน ความมืดที่เข้าปกคลุมส่งให้ทัศนวิสัยการมองเห็นย่ำแย่ลง ไม่นานนักฝูงชนจำนวนมากก็กลืนร่างที่ผอมบางของเด็กหนุ่มให้หายไป พลัดหลงกับกลุ่มคนที่มาด้วยกันโดยไม่ทันรู้ตัว


    กว่าจะรู้ว่าตัวเองหลงออกมาอยู่คนเดียวก็ตอนหลุดออกมานอกงาน และทางเดินตรงหน้าก็เป็นบันไดทอดยาวขึ้นไปบนเนิน

     

    ใบหน้าหวานเหงื่อตกเล็กน้อย เมื่อไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับไปได้อย่างไร

     

           พอคิดว่าเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็คงจะเจอใครซักคนเอง ปลายเท้าก็พาทั้งร่างขึ้นไปตามขั้นบันได แต่ยิ่งเดินขึ้นไปเท่าไรจำนวนคนก็ยิ่งบางตาลง มองเห็นแสงไฟของเทศกาลห่างออกไปด้านล่าง

     

    มาผิดทางแล้วหรือเปล่านะ

     

    เห็นชูการ์บอกว่าหลงกัน แต่ไม่คิดว่าจะหาเธอเจอที่นี่นะ

     

           เป็นอีกครั้งที่ลูฟี่โดนเจ้าของเสียงทุ้มนี้ทักขณะยืนลังเลว่าควรไปทางไหน ดวงตากลมโตเลื่อนไปมองร่างสูงโปร่งที่ก้าวเข้ามาจากด้านหลังด้วยความประหลาดใจ เขาคือดองกิโฮเต้ โดฟลามิงโก้ในชุดยูกาตะที่วันนี้มีโคมไฟรูปทรงแปลกตาอยู่ในมือด้วย

     

    เห็นหลายคนในงานเทศกาลก็ถือมันอยู่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจมากกว่าคือชายคนนี้หาเขาเจอได้อย่างไร

     

    “เธอเคยได้ยินเรื่องเล่าของวันทานาบาตะมาบ้างหรือเปล่า”

     

    ปลายเท้าพาร่างที่สูงกว่ามาหยุดตรงหน้า เขายื่นโคมไฟสีนวลตามาไว้ในมือของร่างเล็ก ก่อนระบายยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตัวเล็กส่ายศีรษะปฏิเสธ เพราะอยู่ที่นี่มานานถึงได้พอทราบตำนานพื้นเมืองมาบ้าง

     

    “ว่ากันว่าวันนี้เจ้าหญิงทอผ้ากับชายเลี้ยงวัวจะข้ามทางช้างเผือกมาเจอกัน”

     

    เห็นใบหน้างุนงงของเด็กตรงหน้าแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้

     

    “พวกเขาได้รับอนุญาตให้เจอกันปีละครั้ง ก็คือวันนี้วันเดียวเท่านั้น”

     

    เพราะวันทานาบาตะจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงความรักของคนทั้งคู่ที่ถูกพรากจากคนรัก

     

    “โชคดีนะที่ฉันยังได้กลับมาพบกับเธออีกครั้ง เพราะอย่างนั้นอย่าเพิ่งหายไปไหนล่ะ”

     

    ….

     

    แม้เด็กหนุ่มจะไม่ค่อยเข้าใจประโยคเปรียบเปรยที่อีกฝ่ายกำลังกล่าวเท่าไรนัก แต่ใจความสำคัญของประโยคสุดท้ายที่ส่งมาถึงก็แอบทำให้ก้อนเนื้อใต้อกสั่นระรัวไม่น้อย ชายคนนี้เคยส่งรอยยิ้มแบบนี้ให้คนอื่นด้วยหรือเปล่านะ

     

           เงียบจนได้ยินเสียงใบไม้ที่พลิ้วไหวและเครื่องดนตรีของงานเทศกาลที่ห่างออกไป ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อเห็นแสงสว่างที่สาดมาจากด้านหลัง เขาหันหลังกลับไปมองยังพื้นที่ด้านล่าง ก่อนดวงตาคู่เดิมจะเป็นประกายพร้อมรอยยิ้มกว้าง

     

    โคมกระดาษถูกปล่อยจากพื้นด้านล่างขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน สว่างไสวระยับราวกับกลุ่มดาวบนท้องฟ้า

     

    เคยเห็นจากไกลๆ มาก็หลายครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มองโคมกระดาษเหล่านั้นจากระยะใกล้ขนาดนี้

     

           เจ้าของผมสีสว่างเพียงมองภาพตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม อยากให้ช่วงเวลาแบบนี้ระหว่างเขาและเด็กตรงหน้าเกิดขึ้นนานกว่านี้อีกหน่อย ใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มของลูฟี่ราวกับจะทำให้เวลาถูกหยุดลงไปชั่วขณะ

     

           สุดท้ายแล้วก็เป็นความรับผิดชอบของชายหนุ่มที่ต้องพาคนตัวเล็กกลับไปส่งในงานอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเดินลงเนินลูกนั้นและก้าวเข้าสู่พื้นที่ที่มีการตกแต่งไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน อาจด้วยเวลาที่ผ่านไปนานพอสมควร จำนวนคนจึงบางตาลงมากนัก

     

    เพราะถ้าหากไม่มีคนไปส่ง เด็กหนุ่มก็คงหาทางกลับบ้านเองไม่ถูกอย่างแน่นอน

     

           ปลายเท้าของคนทั้งคู่ชะงักลงอย่างกะทันหันเมื่อฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งก้าวมาหยุดลงตรงหน้า หัวหน้าตระกูลดองกิโฮเต้เปลี่ยนสีหน้าเป็นความเรียบนิ่ง ต่างจากคนตัวเล็กที่ขมวดคิ้วมองภาพตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ

     

    กลับมานี่ได้แล้วลูฟี่

     

           ปู่กับบอดี้การ์ดของบริษัทจำนวนมากพอที่จะไปถล่มกองโจรเล็กๆ ได้ยืนอยู่ตรงหน้า ชายสูงอายุคนนั้นก้าวเข้ามาดึงแขนของเขากลับไปพร้อมใบหน้าบึ้งตึง ดวงตาที่จ้องกลับไปยังโดฟลามิงโก้ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไรนัก

     

    “แกมาอยู่กับหลานฉันได้ยังไง”

     

    คนอายุน้อยมองใบหน้าของคนทั้งคู่สลับกันด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าปู่กำลังโกรธอะไร และทำไมมิงโก้จึงต้องสแหยะยิ้มเหมือนคนกำลังยั่วโมโหคนอื่นแบบนั้นด้วย พวกเขาทั้งสองคนดูต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันแต่โดยดี เรียกความสนใจจากคนในงานที่อยู่โดยรอบได้ไม่น้อย

     

    “ฉันจะบอกแกไว้ตรงนี้ อย่ามายุ่งกับลูฟี่อีกเด็ดขาด

     

    คนถูกดึงให้เดินตามคนเป็นปู่ไปหน้าเหวอด้วยความงุนงง กว่าจะได้เอ่ยปากร่ำลาหรือถามอะไรชายสูงอายุตรงหน้าอีก บอดี้การ์ดที่ตามมาเป็นขบวนก็เดินมาล้อมหลังจนบังร่างสูงโปร่งจนมิดเสียแล้ว

     

    เกิดเรื่องอะไรระหว่างคนทั้งคู่กันแน่ ทั้งที่การพบกันคราวที่แล้วยังมาคุยธุรกิจที่บ้านของเขาอยู่เลย

     

     

    ไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งให้เขาไปส่งข่าวว่าจะเข้าร่วมธุรกิจกันอยู่แท้ๆ แต่เหตุการณ์แบบนี้มันคืออะไรกันนะ

     







     



               

    เข้ามาอัพตอนใหม่แล้วค่าา หลังจากติดภารกิจหลายๆ อย่างหลายวันจนไม่มีเวลาเลย;-;
    ตอนที่ 3 กับ 4 เด็กดีไม่แจ้งเตือนเลยค่ะ ฮืออ เพราะรีไรท์ทับของเดิมด้วย

    อ่านตอนนี้แล้วไมเกรนจะขึ้นกันมั้ยคะ5555555 ปวดหัวกับพระเอกเรา
    ดอฟฟี่นี่คือยังไง จะดีหรือจะร้ายกันแน่ไม่มีใครรู้เลย
    สงสารก็แต่น้อนฟี่ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยค่ะ;-;
    สำหรับตอนหน้าจะพยายามหาเวลาเข้ามาให้เร็วขึ้นนะคะ

    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ :)

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×