คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #77 : ◣Fanfic◥ [DoflamingoxLuffy] Akaito (Part6)
Title: Akaito
Pairing: Doflamingo x Luffy
Rate: PG-13
Writer: PINKUHERO
Part: 6/??
แนะนำเปิดเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ:)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ปู่และโดฟลามิงโก้เข้าหน้ากันไม่ติด แม้ลูฟี่จะยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรระหว่างคนทั้งคู่ แต่เขาโดนกำชับว่าไม่ควรออกไปพบกับผู้นำตระกูลคนนั้น และหากจะออกไปข้างนอกจะต้องรายงานปู่ทุกครั้ง
เหมือนกับโดนกักบริเวณไม่มีผิด… หรือปู่จะโกรธที่เขาโดนลากไปเจออันตรายในวันนั้นกันนะ
ทั้งอย่างนั้นลูฟี่ก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่จะยอมทำตามการบังคับของใครง่ายๆ เขารู้ว่าปู่จะติดประชุมตอนไหน เจ้าตัวรีบอาศัยจังหวะนั้นชิ่งหนีออกมาจากบ้าน รู้แม้กระทั่งว่าบริเวณใดที่การ์ดจะมองไม่เห็นตน
ปลายทางของร่างเล็กยังคงบรรจบลงที่สวนดอกไม้ ฤดูร้อนเริ่มต้นขึ้นพร้อมกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยจนกิ่งก้านแปรเปลี่ยนเป็นใบไม้สีเขียวชอุ่มปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ เป็นทัศนวิสัยที่ให้ความรู้สึกแตกต่างออกไปยามฤดูกาลเปลี่ยนแปลง
เป็นดังเช่นชายคนนั้นเคยกล่าวเอาไว้ ร่างสูงโปร่งในชุดยูกาตะยังคงนั่งอยู่ในสวนแห่งนี้เช่นเดิม ดวงตาภายใต้กรอบแว่นทอดมองไปยังทะเลสาบกว้างสุดลูกหูลูกตา เสียงยุกยิกที่ดังออกมาไม่ไกลทำให้รู้ตัวว่าใครบางคนมาถึงแล้ว ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มบางๆ
จะตอนไหนก็หลบซ่อนได้ไม่แนบเนียนเหมือนเคย…
“ออกมาเถอะ ฉันรู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น”
ทั้งที่อุตส่าห์แอบอยู่เงียบๆ เจ้าของใบหน้ากลมมนขมวดคิ้วยุ่ง ค่อยเผยกายบอบบางออกมาจากลำต้นของซากุระต้นหนึ่งด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ
“นายกับปู่ทะเลาะกันหรอ ฉันมาเจอนายแบบนี้ได้หรือเปล่า” เพราะอะไรไม่รู้เหมือนกัน บางสิ่งดึงดูดให้เด็กหนุ่มอยากมาสถานที่แห่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะบรรยากาศที่สงบใจ หรือเพราะอีกฝ่ายเคยช่วยเหลือตัวเองเอาไว้ เขาไม่แน่ใจนัก
“ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ปู่เธอคงจะไม่ชอบฉันเท่าไร” คนตัวสูงกว่าหันหน้ากลับมาสนทนาด้วย ใบหน้าคมระบายยิ้ม
“เรื่องระหว่างฉันกับเขาน่ะมีแน่ เธอก็อย่าให้เขารู้สิ”
คนตัวเล็กมุ่ยหน้า คำตอบจากอีกฝ่ายทำเอาไปไม่เป็น เพราะเขายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจทุกอย่าง ปู่ถึงไม่เคยเล่าอะไรให้ฟัง รายนั้นเป็นพวกวางแผนหลายชั้น หลานแบบเขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าปู่คิดจะทำอะไรบ้าง
“ฉันมาวันนี้เพราะอยากรู้ว่านายหายดีหรือยัง” ว่าพลางทิ้งตัวนั่งไม่ห่างจากกายสูงใหญ่ ดวงตาโตไล่มองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า
รอบนี้ถามตรงๆ เสียอย่างนั้น…
“ฉันสบายดี แผลหายแล้ว” จากวันนั้นเรื่องราวก็ผ่านมานานพอสมควร นานพอที่ปากแผลจะปิดสนิทและไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ และทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
แต่เพราะในเวลานี้การ์ปและเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะญาติดีต่อกัน การพบเจอคงลำบากกว่าเดิมนัก
เด็กคนนี้ยังคงให้บรรยากาศสบายใจทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ เป็นช่วงเวลาที่เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด
“หลังจากนี้จะมีเรื่องเกิดขึ้นอีกมากมาย อยากให้เธอระวังตัวไว้ซักหน่อย”
กลับกันกับเขาที่มักจะทำให้คนที่อยู่ใกล้เดือดร้อนด้วยอยู่เสมอ ชายที่ข้องเกี่ยวกับอบายมุขและชีวิตคนมาโดยตลอดเช่นเขาสมควรได้รับความอ่อนโยนเช่นนี้หรือเปล่า
“อย่างที่เคยบอก ฉันไม่ใช่คนดีนักหรอกนะ”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น …แต่ไม่ใช่ทั้งหมดซักหน่อย” ประโยคคล้ายจะเห็นด้วยกึ่งหนึ่งทำให้คนอายุมากกว่ายกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นด้วยความงุนงง
เพราะปู่เคยบอกว่าคนเราไม่มีใครขาวหรือดำไปทั้งหมด ไม่มีใครจะเลวร้ายไปทุกอย่างเสียหน่อย
ไม่ว่าใครก็เอาแต่เป็นห่วงว่าเขาจะดูแลตัวเองไม่ได้ทั้งนั้น…
“วันนี้เข้าไปในเมืองกับฉันไหม พอดีมีธุระต้องไปทำนิดหน่อย” ลางสังหรณ์บางอย่างบอกดองกิโฮเต้ว่าเด็กหนุ่มจะมาหาเขาในวันนี้ จึงได้รอคอยอยู่ที่สวนของตระกูลจนเจ้าตัวมาถึงจริงๆ ความจริงแล้วชายหนุ่มมีภารกิจต้องเข้าไปทำในเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
คนโดนถามกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญจากชายตรงหน้า
เบื้องหน้าคือโรงงานขนมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง บนขนมทุกชิ้นล้วนมีตราประทับของตระกูลดองกิโฮเต้สลักลงไป ในชุมชนที่กำลังเปิดรับวัฒนธรรมจากนานาประเทศ ขนมที่มาจากฝั่งตะวันตกจึงได้รับความนิยมนัก
โดฟลามิงโก้เข้ามาจัดการธุรกิจของเขาในฐานะเจ้าของบริษัทอย่างที่ปากว่า ปล่อยให้คนตัวเล็กเพียงเดินทอดน่องเข้าไปในโรงงานด้วยความสนใจ ขนมหลากสีสันสร้างกลิ่นหอมหวานและระยิบระยับราวกับหลุดเข้ามาในโลกอีกใบ มันกว้างใหญ่จนกลายเป็นจุดสังเกตสำคัญของเมืองเล็กๆ แห่งนี้
ดวงตาโตกวาดมองไปเห็นโปสเตอร์หน้าตาแปลกประหลาดที่ติดอยู่บนผนัง เขาสังเกตเห็นมันระหว่างทางที่จะมาถึง และพบเห็นได้บ่อยเป็นระยะๆ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ รายละเอียดภายในเป็นผลไม้รูปหัวกะโหลกที่สแหยะยิ้มกว้าง และมีตัวอักษร ‘SMILE’ ประกอบอยู่ด้านล่าง
สบจังหวะพอดีกับที่แรงสะกิดด้านหลังจะดึงสติของคนตัวเล็กกลับมา ร่างสูงในชุดยูกาตะสีครึ้มเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปาก บนใบหน้าคมถูกสวมทับไปด้วยแว่นตาทรงแหลมประหลาดตา
“นี่มิงโก้ ‘สไมล์’ คืออะไรงั้นหรอ”
เห็นใบหน้าที่ถามขึ้นด้วยความใคร่รู้แล้วอดหุบยิ้มไม่ได้ ดวงตาคู่คมภายใต้กรอบแว่นทอดมองหัวกะโหลกที่กำลังสแหยะยิ้มนั้นอยู่พักหนึ่ง
ราวกับมีความนัยบางอย่างที่ไม่อาจเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้ ประโยคต่อมาที่เจ้าตัวกล่าวสร้างเพียงความงุนงงให้ผู้ฟังเท่านั้น
“มันคือเครื่องมือที่จะทำให้ฉันสมหวังยังไงล่ะ”
พวกเขากำลังเดินอยู่ในเมืองที่มีคนชุกชุม ราวกับการพาหลานของตระกูลมังกี้ออกมาข้างนอกให้ผู้คนสังเกตเห็น จะเป็นความตั้งใจของใครคนหนึ่งตั้งแต่แรก หลังจากเหตุการณ์วันทานาบาตะที่คนจากทั้งสองตระกูลเพิ่งมีเรื่องกันไปไม่นาน ดองกิโฮเต้ก็เลือกที่จะเข้าหาหลานชายของการ์ปอีกครั้งราวกับต้องการท้าทาย
แต่ลูฟี่ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินั้น นานครั้งที่เขาจะได้ออกมาเดินเล่นในเมืองกับคนอื่นเช่นวันนี้ เพราะบ้านของเขาอยู่ใกล้ภูเขาและทะเล ปู่มักจะพาไปท่องเที่ยวในสถานที่เหล่านั้นมากกว่า เจ้าตัวรู้สึกไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะถูกฝึกฝนจากบริษัทรักษาความปลอดภัยมาโดยตลอด
กำลังถูกจ้องมอง… ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากที่ใด แต่รู้สึกได้มาพักหนึ่งแล้ว
“มิงโก้ มีคนกำลังตามเราอยู่” แรงกระตุกเบาๆ จากชายเสื้อทำให้ร่างสูงชะงัก เขาก้มหน้าลงมองสีหน้าของคนตัวเล็กที่ดูร้อนรนพิกล
เพราะคราวที่แล้วมีคนหมายเอาชีวิตเขานี่นะ…
“แน่ใจใช่ไหม”
ถามพลางคว้าข้อมือของคนตัวเล็กที่อยู่ข้างกันเข้ามาใกล้ แม้ใบหน้าหวานนั้นจะแสดงสีหน้าประหลาดใจไปครู่หนึ่ง แต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย
ดวงตาคู่คมปรายมองรอบข้างอย่างระแวดระวัง เพราะคิดว่าเจ้านั่นจะเลิกเคลื่อนไหวไปสักพักแล้วจึงไม่ได้ทันระวังตัว ไม่คิดว่าจะตามราวีกันไม่เลิกราเช่นนี้ เงาสะท้อนจากกระจกของตึกฝั่งตรงข้ามทำให้เขาได้รู้ ปลายเท้าคู่หนึ่งแอบซุ่มอยู่ที่มุมตึก
และเป้าหมายของมันคงเป็นการเอาชีวิตเขาเช่นเคย… จะให้เด็กคนนี้ตกอยู่ในอันตรายด้วยไม่ได้เด็ดขาด
เขาจูงมือคนอายุน้อยกว่าให้เดินตาม สาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อพาคนทั้งคู่เข้าไปหลบซ่อนยังจุดอับสายตาของฝ่ายตรงข้าม เหลือแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เด็กหนุ่มแยกไปอย่างปลอดภัย นิ้วเรียวคลายออกจากข้อมือเล็ก
“ถ้าฉันให้สัญญาณว่าวิ่ง เธอต้องวิ่งสุดแรงเลยนะ”
“หมายความว่ายังไง” เห็นอีกฝ่ายที่ทำท่าจะเบี่ยงปลายเท้าออกไปอีกทางก็ทำให้สับสน ผู้ชายคนนี้คิดจะล่อคนพวกนั้นออกไปคนเดียวหรือไง
“วิ่ง! วิ่งไปเดี๋ยวนี้”
แรงดันจากฝ่ามือส่งมาที่แผ่นหลัง ทำให้ปลายเท้าทั้งคู่วิ่งไปด้านหน้าอย่างไม่มีทางเลือก แม้จะเห็นอีกฝ่ายที่วิ่งแยกออกไปอีกทาง แต่ระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่ก็มากเกินไปที่จะวิ่งไปด้วยกัน
แยกกันไปก่อนแล้วกัน… ได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายปลอดภัย
โดฟลามิงโก้ตั้งใจล่อคนกลุ่มนั้นออกมายังพื้นที่ที่มีกำบังเยอะเพื่อหวังจะจัดการอีกฝ่ายจากจุดบอด การโดนตามล่าหมายเอาชีวิตจากคนไม่ทราบฝ่ายกลายเป็นเรื่องปกติที่เขาเจอมาตลอดหลายปี หลายครั้งมันมักจะสุ่มวันที่เกิดขึ้นโดยไม่ให้ทันตั้งตัว แต่คราวนี้ก็เป็นหนที่สองแล้วที่เขาอยู่กับเด็กหนุ่มคนนั้นในช่วงเวลาเดียวกัน
เสียงปลายเท้าที่เข้ามาใกล้ทำให้ชายหนุ่มรู้ตัว ทั้งน้ำหนักการลงฝีเท้าและความเร็วในการวิ่ง ฟังอย่างไรก็เป็นมืออาชีพที่ถูกจ้างมาอย่างดี
มือหนากำอาวุธที่ซ่อนอยู่ในยูกาตะของตนแน่น หากอีกฝ่ายเข้ามาโจมตีเขาก็พร้อมจะลั่นไกออกไปเช่นกัน
“…..”
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อร่างที่สาวเท้าเข้ามาใกล้แม้จะมองเห็นผู้นำตระกูลดองกิโฮเต้เต็มสองตา แต่กลับไม่สนใจและวิ่งเลยออกไป คนที่สองและสามวิ่งตามมาและตรงไปยังเส้นทางอื่นที่ไม่ใช่ตรงที่ร่างสูงหลบซ่อนอยู่
เป้าหมายในคราวนี้ของพวกมันไม่ใช่เขา… แต่เป็นเด็กคนนั้น
ปลายเท้าของคนตัวเล็กที่วิ่งออกไปอย่างไม่มีจุดหมายพลันต้องเร่งความเร็วมากขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อดวงตากลมโตสังเกตเห็นชายในชุดสูทคนหนึ่งกำลังตามเขามา ได้แต่ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
“ทำไมนายมาตามฉันด้วยเนี่ย!” มือคว้าเอาของอะไรติดมือมาจากรอบตัวก็ขว้างปาใส่ฝ่ายตรงข้ามจนฝีเท้าของอีกฝ่ายชะลอลง ก็คิดอยู่ว่าพวกมันคงไม่ปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้คนเดียว แต่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
พลันแรงส่งให้ทั้งร่างวิ่งไปด้านหน้าก็ต้องชะงักลงเพียงเท่านั้น เมื่อชายคนหนึ่งวิ่งมาขวางทางที่ตั้งใจจะใช้เป็นเส้นทางหนี จากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง และอีกหลายคนวิ่งเข้ามาล้อมรอบอย่างไม่ทันตั้งตัว ลูฟี่หยุดยืนนิ่งอย่างระมัดระวังตัว เขารีบพลิกตัวหลบแขนของใครบางคนที่หมายจะคว้าข้อมือเล็กเอาไว้และออกแรงถีบอีกฝ่ายจนทรุดไปกับพื้น
ปู่เคยบอกไว้ตั้งแต่เด็กว่าเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นในซักวัน… ถึงได้เคี่ยวเข็ญแต่หลานชายตัวเองจนมีฝีมือการต่อสู้ไปด้วย
“เข้ามาสิ! ฉันจะอัดพวกนายให้หน้ายุบหมดเลย”
การตะลุมบอนเริ่มต้นขึ้นเมื่อคนที่ตกเป็นเป้าหมายไม่ยอมให้จับตัวง่ายๆ หลายครั้งที่อีกฝ่ายตั้งใจจะคว้าข้อมือหรือทำให้หมดสติ แต่เด็กหนุ่มก็พลิกแขนของอีกฝ่ายจนผิดรูป ส่งทั้งแรงเตะต่อยอีกฝ่ายจนผู้ก่อการร้ายล้มลงหมดสภาพหลายคน
ทำให้เขาได้รู้ว่าพวกมันไม่ได้หมายเอาชีวิต…
แต่หวังจับเป็นไปด้วยเหตุผลบางอย่างต่างหาก
จังหวะนั้นมีหนึ่งในชายร่างใหญ่ที่คว้ามีดขึ้นมาหมายจะทำร้าย ลูฟี่จ้องเขม็ง ชักจะไม่แน่ใจว่ามันจะเอาชีวิตเขาไปด้วยหรือเปล่า มือหยาบกร้านถือของมีคมมั่น หมายจะเข้ามาทำร้าย กายบอบบางเบี่ยงตัวหลบ ใช้ความปราดเปรียวเพียงชั่วครู่ส่งแรงไปที่ปลายเท้า สะกิดมีดของอีกฝ่ายจนหล่นกระเด็นลงไปกับพื้น
ความคล่องตัวนี้ไม่ใช่โชคช่วย ไม่ว่าเขาหรือเอสก็โตมาด้วยมือด้วยเท้าของชายสูงอายุคนนั้น
แต่แล้วจังหวะการขยับตัวของเด็กหนุ่มก็เป็นอันต้องชะงักลงเพียงเท่านั้น เมื่อรู้สึกได้ถึงของแข็งบางอย่างที่จ่อบริเวณท้ายทอย พร้อมเสียงชักลำเพลิงเป็นจังหวะ เพราะธุรกิจที่บ้านดูแลอาวุธ ลูฟี่จึงทราบได้ดีว่ามันคืออะไร
“จะยอมไปกับพวกฉันดีๆ หรือยัง” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง
เล่นอะไรก็เล่นไป แต่อย่าเอาชีวิตไปทิ้งกับลูกปืน… ขืนมันลั่นไกซักนิดหัวคงได้ระเบิดตามไป
เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ พวกที่หมดสภาพไปแล้วมันก็มี แต่พวกที่เหลือมันดันพกปืนติดตัวมาด้วย เขาลดการ์ดตัวเองลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่เสียงโอดครวญเพราะเจ็บปวด กับเสียงวัตถุบางอย่างที่ตกลงกระทบพื้นก็ทำให้ต้องประหลาดใจอีกครั้ง ทันทีที่หันกลับไปมองเด็กหนุ่มก็เห็นคนที่คุ้นเคยกำลังยืนหักแขนคนถือปืนไปด้านหลัง พร้อมๆ กับผู้ร้ายคนอื่นที่ถอยกรูดออกไปหลังปืนร่วงราวกับเกรงกลัว
“หัวหน้าพวกแกเพิ่งบอกให้จับเป็นไม่ใช่หรือไง” ดองกิโฮเต้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาแบบไม่ให้ทันตั้งตัวจ้องเขม็งไปยังชายคนหนึ่ง ใบหน้าคมมีสีหน้าเรียบสนิทจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับเย็นยะเยือกเสียจนน่าขนลุก
ไม่ว่าใครก็มองออกว่าไม่ควรไปมีเรื่องกับชายผู้นี้… เขากำลังโกรธอย่างมากเสียด้วย
“กลับไปซะ อย่ามาก้าวก่ายงานของฉัน”
เสียงนั้นราวกับวาจาสิทธิ์ของผู้มีอำนาจ กลุ่มคนที่เคยยืนอยู่กลับเกรงกลัวและยอมถอยให้อย่างว่าง่าย หลายครั้งที่ลูฟี่อยู่กับชายคนนี้แล้วเจอแต่เรื่องไม่เข้าใจ คนตัวสูงหันมามองเขา สีหน้าดูอ่อนโยนลงผิดจากบรรยากาศกดดันที่เขาเพิ่งสร้างไปเมื่อครู่
ทันทีที่ฝ่ามือใหญ่คว้าเข้ากับต้นแขนของเด็กหนุ่ม ก็เป็นอันทำให้เสียงเล็กหลุดออกมาเบาๆ เพราะเจ็บ
ที่วาดฝีมือเมื่อครู่ก็ใช่ว่าจะไม่โดนโจมตีเสียเมื่อไร คนอายุมากกว่าที่สังเกตเห็นความผิดปกตินั้นจึงเปลี่ยนมาจับข้อมือเล็ก ก่อนออกแรงดึงให้ตรงไปยังร้านขายยาแทน
เพราะเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไร ลูฟี่จึงปฏิบัติตัวด้วยลำบาก อีกฝ่ายทำเพียงเอาสำลีจุ่มยาใส่แผลมากดๆ รอยฟกช้ำที่มุมปาก จับแขนจับขาเขายกขึ้นก่อนป้ายยาลงไปอย่างเบามือ ไม่คิดเหมือนกับว่ามิงโก้ที่เขารู้จักจะมีมุมแบบนี้ด้วย
พอทำแผลจนพอใจ มือหนาก็หยิบเอาอุปกรณ์ทุกอย่างเก็บใส่ถุงกระดาษ วางมันลงข้างตัว ก่อนเลื่อนสายตามองเข้ามาในดวงตาของคนตรงหน้าแทน พวกเขากำลังนั่งอยู่ในสวนสาธารณะที่มีต้นไม้และผืนหญ้าสีเขียวล้อมรอบ
“ต่อไปนี้เราคงพบกันยากขึ้นแล้วแหละนะ” เห็นใบหน้างุนงงของคนอายุน้อยกว่าทีไรก็เผลอหลุดยิ้มออกมาทุกครั้ง
หากปล่อยให้เด็กคนนี้มาเจอเขาอีก จะต้องเจอเรื่องแบบนี้ไม่มีวันจบสิ้นแน่
เขาเปลี่ยนสายตาไปมองท้องฟ้าที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม และลมเย็นๆ ของยามค่ำคืนที่พลัดโชยเข้าปะทะผิวกาย
“จวนจะพลบค่ำแล้วสิ คงได้เวลาแล้ว”
กายสูงโปร่งหยัดยืนขึ้นเต็มความสูง เขายื่นถุงกระดาษใส่มือคนตัวเล็กก่อนสาวเท้าออกมา คนมองที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์นักทำได้เพียงลุกขึ้นยืนและเดินตามอีกฝ่ายไปทั้งอย่างนั้น
อีกครั้งแล้วที่เด็กหนุ่มเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ทันทีที่ปลายเท้าก้าวออกมาจากสวนสาธารณะนั้นได้ ฝีเท้าของใครคนหนึ่งก็เรียกความสนใจให้ทั้งร่างต้องชะงัก ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ลูฟี่ กลับมาหาฉัน”
เป็นปู่อีกแล้วที่มาเจอเขาตอนอยู่กับผู้ชายคนนี้ ใบหน้าหวานซีดลงเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองแอบหนีอีกฝ่ายออกมาตั้งแต่เมื่อเช้า เจ้าตัวยอมรับผิดแต่โดยดีและเดินกลับไปหยุดด้านหลังคนสูงอายุอย่างว่าง่าย คราวนี้ไม่มีบอดี้การ์ดตามมาเป็นขบวนเหมือนรอบที่แล้ว แต่เอสดันตามมากับปู่ด้วย
พี่ชายสังเกตเห็นรอยฟกช้ำตามใบหน้าและแขนขาของเขา ดูเหมือนจะไม่พอใจมิงโก้อย่างมากด้วย
ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่สาเหตุซักหน่อย…
คนเป็นปู่มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาหรี่ตามองหัวหน้าตระกูลดองกิโฮเต้อย่างสงสัยระคนกับไม่พอใจ
“เจ้าลูฟี่ไม่อยู่ในเรื่องที่ตกลงกันไว้นี่”
“ใครมันจะไปรู้ว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบกันนี้ล่ะ” ฝ่ายโดนจับจ้องยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ พวกเขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้างที่สัญจรไปมา หนที่สองแล้วที่การ์ปมาทวงหลานตัวเองคืนจากโดฟลามิงโก้ ชายหนุ่มยกยิ้มราวกับพอใจนักหนา
“ก็เขาน่าเอ็นดูซะขนาดนั้นนี่”
ประโยคดังกล่าวส่งให้ทั้งเอสและการ์ปขมวดคิ้วยุ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“อย่าให้ฉันเห็นแกอยู่กับหลานฉันอีก ไม่อย่างนั้นฉันไม่อยู่เฉยแน่” น้ำเสียงของคนอายุมากกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง มันดูมีอำนาจมากเสียจนคู่สนทนาต้องหุบยิ้มลง บรรยากาศรอบตัวของเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยดูเย็นยะเยือก
โดฟลามิงโก้เพียงมองภาพนั้นกลับไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาคู่คมมีเพียงความจริงจังหาได้หวาดกลัวไม่
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะเตือนให้ระวังไว้แล้วกัน…”
“…..”
“เป้าหมายของ ‘เจ้านั่น’ เปลี่ยนไปแล้ว”
สีหน้าของการ์ปที่เคร่งเครียดอยู่แล้วกลับนิ่งสนิทกว่าเดิมราวกับกำลังจมอยู่ในความคิด เขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการดันหลังหลานชายตัวน้อยให้เดินออกไปอีกทาง
ความคิดเห็น