คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ▴[AU Fic Spideypool] DANGEROUSLY (Wade x Peter)-Part2
คำแนะนำก่อนอ่าน
เพื่ออรรถรสในการอ่าน แนะนำให้เปิดเพลงคลอไปด้วยนะคะ :)
DANGEROUSLY
ความทรงจำสุดท้ายก่อนจะตื่นขึ้นมามันช่างเลือนลางสำหรับเขา ปีเตอร์ลืมตาขึ้นมาในห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย สิ่งที่ทำให้ต้องดีดตัวลุกขึ้นยืนคงเป็นสภาพเปลือยล่อนจ้อนของตัวเอง และเหนือสิ่งอื่นใด คนร่วมเตียงที่แสนคุ้นหน้านั่นก็ดันมาร่วมเปลือยด้วย
หมอนั่นมัน เวด วิลสัน!
ร่างกายกำยำแต่ทว่าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นพลิกขยับตัวเมื่อรู้สึกได้ถึงการรบกวน
เขาขยี้ตาตัวเองเบาๆเช่นคนกำลังงัวเงีย
นั่นเป็นสิ่งเรียกให้ปีเตอร์ได้สติและรีบคว้าเอาผ้าห่มมาปิดหน้าตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
“ เฮ้เวด! ตื่นได้แล้วและมาอธิบายว่านี่มันคือเรื่องบ้าอะไร!
” หมอนที่คว้ามาได้ถูกปาอัดหน้าคนยังไม่ตื่นดีด้วยแรงไม่เบานัก เวด
วิลสันประมวลผลสถานการณ์แล้วก็ต้องเด้งตัวขึ้นยืนด้วยความตกใจอีกคน
ในเมื่อเครื่องแบบรัดติ้วที่เคยอยู่บนตัวมันดันกระจัดกระจายไปทั่วห้องแบบนั้น
ไม่เว้นแม้แต่กางเกงชั้นในตัวโปรดที่วางพาดอยู่บนโซฟานั่นก็ด้วย
เขากับสไปดี้?
เขากับสไปดี้เนี่ยนะ!?
“ Holy, Shi*!! นี่ฉันเสียความบริสุทธิ์ให้ชายแปลกหน้างั้นสิเนี่ย!
” ยกมือทั้งสองข้างมาไว้ข้างแก้มเป็นท่าทางประกอบการตกใจ
มันน่าหมั่นไส้เสียจนคนฟังอดที่จะคว้ากระป๋องเครื่องดื่มเปล่าขึ้นมาปาใส่หัวล้านๆนั่นไม่ได้
“ ตอบมา! นายเห็นหน้าฉันไปแล้วหรือยัง!? ” น้ำเสียงของปีเตอร์ร้อนรน นึกแปลกใจว่าหน้ากากผ้ายังคงอยู่บนใบหน้าของเขา
แม้สภาพของมันจะถูกเปิดขึ้นมาจนถึงสันจมูกก็ตามที เหนือสิ่งอื่นใดตัวตนของ
‘ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์’ จะถูกล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด!
“ นายมันผู้ชายหน้าหนวดที่ข่มขืนสาวน้อยไร้ทางสู้แบบฉัน
เว็บ! ”
แม้ท่าทางเหล่านั้นจะไม่ได้ดูน่าเห็นใจจากคนมอง
แต่ปีเตอร์สามารถรับรู้ได้ว่าเวดยังไม่เห็นหน้าเขา
มือเรียวค่อยๆลดระดับผ้าห่มลงมาวางบนไหล่
แต่เมื่อยามสายตาของคนทั้งคู่ปะทะกันตรงๆก็เป็นอันทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องเบี่ยงใบหน้าหลบด้วยความกระดากอาย
ไม่รู้ว่าไปทำกับอีท่าไหนเหมือนกัน แต่โชคยังดีที่หน้ากากของเขาไม่ได้ถูกถอดออกไปด้วย
ราวกับกล่องเสียงของคนทั้งคู่ถูกช่วงชิงไปโดยสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
ไม่ได้มีการสนทนาใดๆเพิ่มเติมอีก
เสื้อผ้าที่กระจัดกระจายถูกสวมใส่กลับที่เดิมเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แต่ความเหนียวเหนอะนะตรงช่วงขาและร่องรอยสีกุหลาบที่ปรากฏไปทั่วลำตัวของปีเตอร์
แม้ไม่ต้องสอบสวนก็รู้ได้ทันทีว่าใครเป็นฝ่ายเสียหายมากกว่า
ถ้าทั้งคู่เป็นเพื่อนต่างเพศมันคงไม่ใช่เหตุการณ์ที่ซีเรียสขนาดนี้
ติดก็ตรงที่ว่าดันเป็นผู้ชายกันทั้งคู่นี่สิ...
“ โอเคเพื่อน คราวหน้าฉันจะระวังเรื่องส่วนผสมให้มากกว่านี้นะ
” เดดพูลยกกระป๋อง ‘Pool water’ ที่เหือดแห้งขึ้นมามองอย่างหมดคำพูด
มันวางกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมห้อง
ร้ายแรงที่สุดคือมันมีฤทธิ์ทำให้เขาไร้สติขนาดที่จำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลย
จากสภาพห้องที่ไม่ได้เรียกว่าสะอาดนัก
มีโมเดลรูปสไปเดอร์แมนตั้งอยู่บนชั้นวางในหลากหลายอิริยาบถละคนกับตุ๊กตายูนิคอร์น
บวกกับโปสเตอร์รูปเดดพูลขนาดใหญ่ที่แปะอยู่ข้างฝาทำให้เดาได้ไม่ยากนักว่าเป็นห้องพักของใคร
ยังดีที่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ห้องพักของปีเตอร์จนความลับที่เฝ้าปกป้องมาตลอดถูกเปิดเผยออกไป
“ ไม่เวด...
นายควรเลิกผลิตและเลิกใช้ฉันเป็นหนูทดลองซักที! ”
กระป๋องเปล่าหลายใบลอยหวือตรงเข้าไปยังร่างโตของเวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่คนต่อบทสนทนากลับไม่ได้หันหลังกลับไปมอง
มันเป็นสถานการณ์น้ำท่วมปากที่ต่างฝ่ายต่างรู้ทุกอย่างอยู่แก่ใจแต่พูดอะไรออกไปไม่ได้
“ เอ่อ เวด... ฉันคิดว่านายเป็นเพื่อนที่ดีนะ ”
ปีเตอร์เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
อย่างไรก็ตามเขาควรจะรีบจัดการกับความรู้สึกอึดอัดใจนี้ให้มันจบๆไปเสียก่อน
“ ใช่เว็บ นายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน ”
เดดพูลรีบพยักหน้ารับ
“ ...แบบว่าช่วยทำเหมือนเรื่องเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้นได้ไหม?
” มือเรียวยกขึ้นมาเกาหลังคอที่สวมทับไปด้วยผ้าสเป็นเด็กซ์ลายแมงมุม
เวดทำเพียงมองตามภาพเหล่านั้นอยู่พักหนึ่ง
เรื่องเมื่อคืนมันเป็นช่วงเวลาที่ความต้องการอยู่เหนือสติ
เขาไม่สามารถหยุดตัวเองลงตรงนั้นได้
ยิ่งภาพของแผ่นหลังและลำคอของสไปดี้ในชุดรัดๆนั่นปรากฏต่อหน้าในเวลานี้
มันราวกับกำลังดึงเอาความทรงจำอันเลือนลางยามค่ำคืนกลับมาอีกครั้ง
น้ำเสียงนุ่มที่ได้ยินอยู่ข้างหู และอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนระอุในตอนนั้น
แม้มันจะเบาบางแต่กลับฝังแน่นในความคิดของเดดพูลเสียจนไม่อาจสงบใจลงได้
“ โอเค โอเค!
ฉันก็คิดว่าแบบนั้นมันน่าจะดีสำหรับเราทั้งคู่มากกว่า ” คนตัวโตยกมือยอมแพ้
สไปเดอร์แมนเพียงหันหน้ามามองเพียงชั่วครู่ก่อนจะเปิดประตูออกจากบ้านของเขาไป
ไม่ล่ะสไปดี้...
หลังจากนี้เวดคงควบคุมตัวเองไม่ให้ทำเรื่องอันตรายได้ยากหน่อยเสียแล้ว
“ —เตอร์ ปีเตอร์ ได้ยินฉันหรือเปล่าคะ? ”
“ อ...ขอโทษที เมื่อกี๊คุณว่ายังไงนะแอนนา? ” เสียงเล็กเป็นตัวเรียกให้ร่างสูงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานได้สติ
นานเท่าไรไม่รู้ที่เขาใช้เวลาจมลงไปกับภวังค์ในห้องของตัวเอง
รู้สึกตัวอีกทีเลขาของเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
“ วันนี้คุณเหม่อตลอดการประชุม แต่ไม่ต้องห่วง
ฉันได้บันทึกรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ ”
มือเล็กวางอุปกรณ์ทัชสกรีนลงบนโต๊ะ
ดวงตาสีน้ำตาลของผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าของบริษัทมองอย่างรู้สึกผิด
เขายกมือขึ้นมาบีบนวดขมับราวกับกำลังต้องการผ่อนคลายความเหนื่อยล้า
แอนนา
มาเรีย มาร์โคนี่ เป็นอีกหนึ่งในไม่กี่คนที่ล่วงรู้ความลับของสไปเดอร์แมนรวมไปถึงเบื้องหลังชีวิตที่ผ่านมา
เธอคือบุคคลที่ปีเตอร์ไว้วางใจให้เก็บความลับของเขาเอาไว้
“ งานของสไปเดอร์แมนทำให้คุณเหนื่อยเกินไปหรือเปล่าคะ?
” คนตัวเล็กเอ่ยถาม ปีเตอร์เพียงส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบ
เรื่องเหนื่อยมันคงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เมื่อเขาเลือกที่จะเดินในเส้นทางนี้เอง
เพียงแต่ประเด็นที่ทำให้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งวันมันดันไม่ใช่เรื่องนี้
...แต่เป็นเพราะใครคนหนึ่งต่างหาก ถึงจะบอกว่าให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เถอะ
แต่ในทางปฏิบัติมันกลับทำได้ยากเสียเหลือเกิน
สัญญาณติดต่อจากเครื่องมือสื่อสารของเขาดังขึ้นมาขัดจังหวะ
ปลายสายแสดงชื่อ ‘Bobbi’ จากชิลด์ดังเช่นทุกครั้ง
ปีเตอร์เพียงส่งยิ้มแหยให้กับเลขาของตนเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร
สงสัยว่าช่วงนี้งานของสไปเดอร์แมนมันจะเยอะเกินไปอย่างที่เธอเป็นห่วงจริงๆแล้วสิ
สไปเดอร์แมนโลดแล่นอยู่บนยอดตึกเหมือนดังทุกวัน
เป้าหมายในคราวนี้ยังคงไม่พ้นเหตุโจรกรรม
ต่างออกไปก็ตรงเรื่องราวทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ
ฝ่ายนั้นคงรู้ตัวเรื่องการมาของเขา
ถึงได้จัดการต้อนรับอย่างดีราวกับถูกเตรียมการไว้อยู่แล้ว
การปะทะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง
ยังไม่ทันไปถึงที่หมายก็มีกลุ่มคนติดอาวุธที่เชี่ยวชาญการต่อสู้มากมายกำลังไล่ต้อนเขาออกไปเรื่อยๆ
‘เฮ้พีท นายกำลังออกนอกเส้นทางมากขึ้นทุกที
รีบกลับเข้ามาเดี๋ยวนี้เลย’ ม็อคกิ้งเบิร์ดออกคำสั่ง
ดวงตาเรียวแหลมบนหน้ากากแมงมุมหรี่ลงด้วยความรู้สึกขัดใจ
“ คงยากหน่อยล่ะบ็อบบี้
พวกมันตั้งใจเอากำลังมาป้องกันฉันไว้เลย ”
‘แต่พวกมันไม่รู้ว่าฉันจะไปที่นั่นด้วยใช่ไหมล่ะ’
“ ตามนั้นเลยคุณผู้หญิง ”
เขาตัดสายจากเพื่อนร่วมงานเพียงเท่านั้น
ม็อคกิ้งเบิร์ดมีโอกาสได้ร่วมงานกับเขาครั้งแรกจากภารกิจของชิลด์
พวกเขาขอความช่วยเหลือจากสไปเดอร์แมนที่มีถิ่นฐานอยู่ในแมนฮัตตัน
เป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับผู้หญิงคนนี้
หลังจากนั้นเขาและเธอจึงได้มีโอกาสทำงานด้วยกันบ่อยขึ้น
จนเรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นแบบ ‘เพื่อน’ กันไปเสียแล้ว
คงต้องเชื่อมือและปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นจัดการสถานการณ์ไปก่อน
ท่าทางฝ่ายนั้นคงระวังตัวน่าดูจึงได้ส่งกำลังมาโจมตีเขาตั้งมากมาย
เสียเวลาไปนานกว่าจะจัดการทำให้สงบได้ครบทุกคน
“ พวกนายก็รู้ว่าไม่มีทางเอาชนะฉันได้หรอกน่า ”
ปีเตอร์เผยรอยยิ้มภายใต้หน้ากาก
จัดการห้อยต่องแต่งศัตรูคนสุดท้ายเอาไว้กับเสาไฟสาธารณะที่อยู่ใกล้กัน
เสียงถอนหายใจพ่นออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนพุ่งตัวเข้าสู่เส้นทางเดิมอีกครั้ง
ก็พอจะตัวอยู่นะว่ามีฝีมือ...
แต่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนพวกนั้นต้องกีดกันเขาขนาดนี้กันล่ะ
‘ฉันรู้เป้าหมายของพวกมันแล้ว’
เสียงจากเครื่องมือสื่อสารทำให้ขาทั้งสองข้างต้องชะงักลง
ป่านนี้บ็อบบี้คงไปถึงที่หมายก่อนเขาแล้ว
‘หนึ่งในลิสต์พวกนั้นมีสินค้าของปาร์คเกอร์
อินดัสทรี่ย์ จากผู้ซื้อรายใหญ่ของนายอยู่ด้วย’
ปาร์คเกอร์
อินดัสทรี่ย์ คือบริษัทที่ปีเตอร์สร้างมันขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนจนปัจจุบันมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
เขาซ่อนตัวตนของสไปเดอร์แมนไว้ในความมืดและบอกต่อสาธารณชนว่าฮีโร่ที่เข้าๆออกๆบริษัทบ่อยๆคนนั้นเป็นเพียงบอดี้การ์ดของตน
และเพราะศัตรูรู้ว่าสไปเดอร์แมนทำงานให้ที่นี่ พวกมันถึงได้ตั้งใจกีดกันทุกวิถีทาง
ทั้งที่สินค้ายังไม่ทันได้ไปถึงมือผู้รับเลยแท้ๆ
“ ฉันว่าฉันไม่เคยประดิษฐ์อาวุธสงครามอะไรทำนองนั้นนะ
” อย่างมากก็แค่เทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดในศตวรรษนี้
ทำไมพวกมันถึงไม่เลือกโจรกรรมที่บริษัทของเขาโดยตรงไปเลยล่ะ
“ หรือสินค้าของฉันจะมีค่ามากซะจนใครๆก็อยากได้ ”
ได้ทีก็ยืนชื่นชมตัวเองพอหอมปากหอมคอ
เพียงแต่บนดาดฟ้าที่ปีเตอร์กำลังยืนอยู่นั้นไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียว
“ เห...ทำเหมือนกับว่านายเป็นคนผลิตของให้เจ้านายเองกับมืออย่างนั้นแหละ
” เสียงทุ้มกวนที่แสนคุ้นหูกับร่างกายกำยำในชุดสีแดงปรากฏขึ้นมาจากด้านหลังของมนุษย์แมงมุมแบบไม่ได้ทันตั้งตัว
เขาสะดุ้งและรีบตัดสายสนทนากับเจ้าหน้าที่ของชิลด์ทันที
เดดพูล ทำไมหมอนี่มาอยู่ที่นี่อีกแล้ว!?
“ เข้าใจถูกแล้วล่ะ คราวนี้คือการก่อกวนล้วนๆ
ไม่มีการจ้างให้มาจับตัวใดๆทั้งสิ้น ”
ดวงตาบนหน้ากากดำแดงที่กำลังหยีลงนั่นคือภาพที่คุ้นเคย
มือหนาทั้งสองข้างประสานกันเป็นรูปหัวใจส่งให้คนตรงหน้า
“ ไม่ยอมให้นายเข้าไปในนั้นง่ายๆหรอกนะที่รัก
งานนี้ฉันตั้งใจรับมาด้วยความเต็มใจเลยล่ะ ”
“ นายนี่ก็ขยันรับแต่งานอะไรแบบนี้บ่อยจังนะ ”
สไปเดอร์แมนถอนหายใจยืดยาวราวกับชินชาสถานการณ์แบบนี้ดี
“ โทษทีหนุ่มน้อย
ฉันมันพวกร้อนเงินที่มีความสุขเวลาเห็นนายว้าวุ่นใจน่ะ ”
คำพูดของเดดพูลทำเอาเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนวกกลับเข้ามาในความคิด
ถึงเบื้องหน้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ความรู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้าทำให้ปีเตอร์เผลอเม้มริมฝีปากเข้ากันแน่น
“ รสนิยมนายออกจะน่าขนลุกไปหน่อยมั๊ง ”
ทำได้เพียงตอบกลับไปแค่นั้น
เขานึกอยากขอบคุณหน้ากากแมงมุมของตัวเองที่อย่างน้อยมันก็ช่วยปิดบังสีหน้าที่แท้จริงได้
กายสูงเพรียวเบี่ยงหลบกระสุนปืนจากอีกฝ่ายที่ตั้งใจยิงมาให้พลาดอย่างง่ายดาย
เพราะเป้าหมายของเวด วิลสันคือการก่อกวน ไม่ใช่ลอบฆ่า
“ นายไม่รู้หรือไงว่าฉันเองก็แฟนคลับนายคนนึงนะ :) ”
หากเป้าหมายของเดดพูลคือการแกล้งให้เขาว้าวุ่นใจก็นับว่าประสบความสำเร็จ
ดวงตาหยีๆนั่นทำให้เผลอลืมภารกิจที่กำลังทำไปชั่วขณะ
ปีเตอร์ส่ายศีรษะไล่ความคิดนั้น
อย่างไรก็ตามสวัสดิภาพของสินค้าจากบริษัทของเขาย่อมสำคัญกว่า
“ มีคนส่งเดดพูลมาก่อกวนฉัน ทางด้านเธอเป็นยังไงบ้าง?
” ต่อสายไปยังม็อคกิ้งเบิร์ดเพื่อยืนยันให้แน่ใจ
เมื่อฝ่ายนั้นตอบกลับมาว่าควบคุมสถานการณ์ได้แล้วก็วางใจไปเปราะหนึ่ง
เพราะปีเตอร์คาดว่าเขาอาจจะไปไม่ทันจัดการทุกอย่าง
การจะผ่านด่านเดดพูลไปไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น
ร่างเพรียวพ่นใยแมงมุมจากข้อมือใส่คนตัวใหญ่ที่กำลังลั่นไกออกมาจากปืนของตนอย่างไม่ปรานี
กระสุนนัดหนึ่งยิงเฉียดเนื้อผ้าบริเวณข้างแก้มของปีเตอร์ไปเล็กน้อยจนเผยให้เห็นผิวขาวภายใต้หน้ากาก
มันไม่ได้มากพอจะเปิดเผยตัวตนได้ว่าเขาเป็นใคร
“ หลีกทางให้ฉันเถอะ อาจมีคนอยู่ในอันตรายก็ได้ ”
ใช้เหตุผลเข้าสู้ ผู้ชายตัวโตตรงหน้าเพียงแต่ส่งยิ้มละไมกลับมาเป็นคำตอบ
“ ขัดขวางนายไม่ได้น้องๆทั้งสิบสองชีวิตของฉันก็อดตายเหมือนกัน
”
ยังไม่เลิกเล่นมุกนี้อีก... หมาแมวที่เลี้ยงไว้ไม่อยู่แล้วหรือไง
การปะทะดูเหมือนจะไม่จบสิ้นลงง่ายๆ
แต่ในชั่วขณะนั้นสไปเดอร์เซนส์ของคนตัวเล็กกว่าก็แจ้งเตือนให้รู้สึกตัว
ภาพที่เห็นคือการโจมตีอันไม่ธรรมดาจากผู้ไม่ได้รับเชิญ
ปีเตอร์หันไปมองเดดพูลที่ยังไม่รู้ตัว ต่อให้รู้เรื่องราวทุกอย่างก่อนถึงสามวินาที
แต่ก็ไม่มีหนทางใดที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายได้เลย
ไฟฟ้าแรงสูงที่ไม่ทราบต้นทางปล่อยเข้าสู่ร่างของสไปเดอร์แมนและเดดพูลอย่างฉับพลัน
ก่อนที่ภาพตรงหน้าทุกอย่างจะค่อยๆมืดลงพร้อมกับสติที่หมดไป
“ —ไปดี้เพื่อน ถ้านายไม่ตื่นเราคงจบสิ้นกันตรงนี้แน่
”
เสียงหนึ่งเป็นตัวเรียกให้ดวงตาภายใต้หน้ากากแมงมุมค่อยๆเปิดขึ้น
ความรู้สึกหนักอึ้งราวกับน้ำหนักทั้งร่างถูกเทไปที่ศีรษะคือสิ่งแรกที่รู้สึกได้
ก่อนสายตาจะมองเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับหัวมาอยู่ด้านล่าง
โอเค...
ใครก็ได้ช่วยให้คำตอบแก่เขาทีว่าไม่ได้กำลังถูกจับมัดห้อยหัวลงมาอยู่
ทั้งแขนและขาถูกพันธนาการไปด้วยเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกมัดแน่นหนา
ความรู้สึกปวดหนึบทำให้รู้ว่ามันคงมัดมานานพอที่จะทิ้งรอยให้เหลือบนร่างกายหลังแกะออก
อีกหนึ่งสัมผัสคือความร้อนของอุณหภูมิร่างกายใครอีกคนซึ่งถูกจัดแจงให้อยู่ในท่าหันหน้าซ้อนหลังกับเขา
จนอยากจะด่าในใจว่าอย่างน้อยช่วยเลือกท่าให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง
“ สถานการณ์แบบนี้เหมือนเคยเจอที่ไหนก็ไม่รู้ ”
เสียงทุ้มของคนข้างหลังดังขึ้นข้างหู
มันใกล้เสียจนลมหายใจอุ่นๆนั่นกำลังเป่ารดต้นคออยู่
“ เผื่อยังไม่รู้ ฉันว่านายโดนซ้อนแผนเข้าซะแล้วล่ะ ”
ปีเตอร์ตอบกลับไป
ท่าทางว่าจะเป็นฝีมือของใครบางคนที่มีความแค้นส่วนตัวกับเจ้าบ้าที่อยู่ข้างหลังนี่
และแน่นอน เขาก็ดันตกกระไดพลอยโจรไปกับการแก้แค้นในครั้งนี้ด้วย
กายเพรียวบางกว่าพยายามดิ้นรนเผื่อว่าเชือกที่มัดอยู่มันจะคลายตัวออกบ้าง
แต่ยิ่งดิ้นกลับยิ่งกลายเป็นการเสียดสีร่างกายเข้ากับใครอีกคน
เสียงของผ้าสเปนเด็กซ์ที่สัมผัสโดนกันส่งให้เกิดเสียงครืดคราดที่ดูจะไม่ค่อยน่าฟังนัก
“ ขืนนายยังดิ้นอยู่แบบนี้ ฉันจะสงบใจไม่อยู่แล้วนะที่รัก
”
“ เก็บกลับไปคืนเดี๋ยวนี้
มันใช่เวลามาคิดเรื่องนี้หรือไง! ” คนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วแน่น
คราวก่อนที่เคยโดนจับมัดรวมกัน เจ้านี่ก็พูดจาอะไรสองแง่สองง่ามทำนองนี้ไม่มีผิด
แต่คำพูดนั้นคงไม่มีน้ำหนักพอจะไปห้ามความรู้สึกของเดดพูลได้
ปีเตอร์สัมผัสได้ว่ากำลังมีอะไรบางอย่างค่อยๆเติบโตขึ้นบริเวณบั้นท้ายของเขา
“ ไม่ทันแล้วล่ะ...นายทำให้ฉันตื่นตัวได้โดยไม่ต้องใช้ยูนิคอร์นเลยนะสไปดี้
” และดูท่าว่าจะเก็บกลับคืนที่เดิมไม่ได้แล้วแน่ๆ
“ หุบปากน่าเวด! ”
อุณหภูมิร่างกายของคนที่อยู่ด้านหน้ามันก็พาลสูงขึ้นตามอย่างกับปฏิกิริยารีเฟล็กซ์
ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเสียดสีกับสิ่งนั้น
ยิ่งทำให้สติที่อยู่ในสมองพาลปั่นป่วนมากขึ้นกว่าเดิม
ภาพที่เลือนลางในคืนคริสต์มาสกำลังฉายวนซ้ำไปซ้ำมา กลิ่นกายของใครอีกคนที่รู้สึกคุ้นเคยกับมันดีราวกับฟีโรโมนดึงดูดไม่ให้หนีไปไหนได้
ความใกล้ชิดระหว่างคนสองคนชักจะกลายเป็นเรื่องอันตรายมากขึ้นทุกที...
เสียงฝีเท้าของคนนับสิบที่เดินเข้ามารายล้อมส่งให้คนในชุดสีแดงกลับมาระวังตัวอีกครั้ง
กระบอกปืนรูปร่างประหลาดตาในมือทุกอันพร้อมใจเล็งมายังเป้านิ่งในชุดรัดรูปซึ่งดูจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ซักราย
“ อยากทดลองเป็นรังเก็บกระสุนดูซักครั้งมั๊ยเพื่อน ”
“ พอดีฉันยังไม่อยากตายและไม่ได้มีพลังฟื้นฟูเหมือนนายนะ!
” ไม่มีเวลามาคิดเรื่องยูนิคอร์นอะไรนั่นอีกแล้ว ปีเตอร์ดิ้นขลุกขลักอยู่ในกองเชือกขนาดไม่เล็กนั่น
ถ้าพระเจ้าไม่โหดร้ายเกินไปก็ช่วยทำให้เชือกคุณภาพดีนี่มันขาดซักหน่อยเถอะ
“ เฮ้ๆๆ มันถู!
นายไม่รู้หรือไงว่ามันถูกับน้องชายฉันอยู่! ”
“ แล้วนายจะปล่อยให้ตัวเองโดนยิงพรุนอยู่นี่หรือไง
หาทางทำอะไรซักอย่างสิ! ” ประสาทจะกิน
ไม่ใช่ว่าปีเตอร์ไม่รู้แต่มันจำเป็นต้องทำต่างหาก!
นอกจากทำอนาจารในที่สาธารณะแล้วหมอนั่นก็ยังไม่หาทางเอาตัวรอดเลยซักนิด
“ อ๊า...สไปดี้ ทางซ้าย ซ้ายอีกนิด ”
“ หยุดทำเสียงแบบนั้นซักทีน่า!
ฉันไม่ได้อยากตายตรงนี้โว้ย! ”
“ หมายถึงกระเป๋าซ้ายตรงเอวฉัน
จับดีๆระวังโดนของกลางด้วยล่ะ ” เสียงทุ้มลดความดังลงกลายเป็นการกระซิบ
เพราะคนทั้งคู่ถูกเชือกมัดอยู่ในท่ามือไพล่หลัง
ปีเตอร์จึงรู้ความหมายของมันแทบจะทันที
มีดสั้นอันหนึ่งถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าหนังของเดดพูลอย่างทุลักทุเล
อย่างน้อยในความโชคร้ายนี่ก็ยังมีคมมีดที่ใช้ทำลายความเหนียวของเชือกได้ทันเวลาก่อนไฟฟ้าแรงสูงจะถูกปล่อยออกมาจากปลายกระบอกปืนอีกครั้ง
ไม่ใช่ลูกตะกั่วแต่เป็นไฟฟ้า
ความแรงของมันพอจะย่างสดคนได้เบาะๆเชียวล่ะ
ราวกับเรื่องที่ผ่านมาเป็นแค่เรื่องล้อเล้นขำๆ
สองหนุ่มชุดแดงใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถจัดการกับคนในวงล้อมนั้นลงได้อย่างง่ายดาย
พอไร้ซึ่งอาวุธไฮเทคเจ้าพวกนี้ก็กลายเป็นแค่โมเดลรับจ้างถือปืนเท่านั้น
“ นี่ฉันเสียเวลากลัวตายแทบแย่ไปทำไมกันนะ ”
คนในชุดแมงมุมปัดมือสองสามครั้งไล่ความเหนียวเหนอะของใยสีขาวหลังจากจับมือปืนทั้งหมดมัดรวมกันเป็นก้อนเดียว
เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการดูแลความเรียบร้อยจนเผลอลืมใครอีกคนไปเสียสนิท
“ มันจะดีนะถ้านายช่วยฟังคำขอของฉันอย่างหนึ่ง
อย่างน้อยก็ช่วยแบกฉันกลับไปส่งบ้านทีได้ไหม ”
เสียงของเดดพูลเป็นตัวสร้างความสงสัยให้แก่ปีเตอร์ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ผู้ชายคนนั้นสูญเสียขาข้างใดไปหรือร่างกายเหลือแค่ท่อนบนหรือเปล่า
...ซึ่งก็เปล่า ทุกอย่างยังอยู่ครบแต่คนๆนั้นกำลังยืนกุมเป้ากางเกงตัวเองอยู่
“ เอาจริงๆตอนนี้แค่จะยืนให้ตรงยังลำบากจะแย่ ”
ซึ่งสาเหตุที่เป็นแบบนั้นมันก็เพราะเขาเองที่ดันทุรังอยากจะหลุดออกจากเชือกให้ได้
คนตัวเล็กกว่ายืนเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่
ปล่อยให้คู่สนทนาเดินโซเซเข้ามาใกล้ด้วยสภาพไม่น่าดูชมเท่าไรนัก
ใจหนึ่งมันก็อยากช่วยแต่ติดตรงอยากจะประเคนสองเท้าให้มากกว่า
“ หรือไม่นายก็ช่วยรับผิดชอบปลดปล่อยมันออกเหมือนคืนวันก่อน
” ใบหน้าที่ห่างออกไปไม่ถึงคืบเผยรอยยิ้มจนตาหยี
เสียงพูดที่ดูตั้งใจเน้นแต่ละคำอย่างชัดเจนทำให้ปีเตอร์ถอยหลังหลบออกไปก้าวหนึ่งโดยอัตโนมัติ
“ นั่นแหละน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด :) ”
อยู่ๆความร้อนก็ไล่ขึ้นมาบนใบหน้าเสียจนพาลให้มือไม้สั่นไปด้วย
“ เดินกลับบ้านเองคนเดียวไปเถอะเวด วิลสัน!! ”
น่าเสียดายที่ร่างกายสมส่วนนั้นรีบโฉบออกไปยังตึกอีกฟากหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ทิ้งไว้เพียงชายหนุ่มผู้สิ้นหวังและกระป๋องเครื่องดื่มเปล่าที่ลอยเคว้งกลับมาสู่ศีรษะของเขาอย่างแม่นยำ
อัพตอนที่2 แล้วค่าาา
บอกแล้วว่าฟิคนี้ไม่ใส และมันจะมีมาอีกเรื่อยๆ (?)
เนื้อหาแต่ละตอนจะค่อนข้างยาวหน่อยนะคะ
พอดีวางพลอตไว้ก่อน พอใส่คำบรรยายเข้าไปแล้วดันยาวมากซะงั้น
สำหรับตอนหน้ามีเซอร์ไพรส์แน่นอนค่ะ ^^
สนุกไม่สนุกยังไงคอมเม้นท์บอกไรเตอร์หน่อยน้า <3
สำหรับตอนหน้าจะมี 'เนื้อหาที่ลงไม่ได้' อยู่นะคะ
ไรเตอร์จะไม่แปะลิงค์หรือทื้งเมลล์ใดๆทั้งสิ้น
ติดตามข่าวสารได้ทาง แฟนเพจ เลยค่ะ
(ตามหาลิงค์แฟนเพจได้ที่หน้าบทความนะคะ ไรเตอร์แนบลิงค์ไม่ได้เลยค่ะ;-;)
ความคิดเห็น