ตอนที่ 6 : จีบคนเถื่อน : 05
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“มึง” ผมสะดุ้งเบาๆ เมื่อมีคนมาเคาะกระจกรถฝั่งที่ผมนั่งอยู่ พอหันไปก็เห็นเป็นมารุตยืนอยู่ในชุดนักบอลสภาพเหงื่อท่วมกาย แต่มันกลับไม่ได้ดูแย่อย่างที่ผมคิดไว้ ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะดูมีเสน่ห์มากกว่าปกติในตอนที่อยู่ในชุดนักบอลและมีเหงื่อเต็มตัวแบบนี้
“มาจริงๆ ด้วย” ผมเปิดประตูรถลงไปหาเขาโดยที่ไม่ลืมหยิบเอากระเป๋าเป้ติดมือมาด้วย
“ทำไมรถเป็นแบบนี้?” มารุตเปิดไฟฉายในโทรศัพท์ส่องมาที่รถของผมแล้วก้มๆ เงยๆ ดูมันอย่างสงสัย
“โดนแกล้งมั้ง”
“ทำไมคิดงั้น?”
“แบนสี่ล้อขนาดนี้ เราคงปล่อยมันเองมั้ง” ผมกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย แบนพร้อมกันทั้งสี่ล้อขนาดนี้ถ้าไม่โดนแกล้งก็คงเป็นผมเองที่สร้างสถานการณ์ แต่ใครมันจะบ้าทำแบบนั้นกัน
“ก็เป็นไปได้ มึงอาจจะแกล้งปล่อยลมยางรถตัวเองเพื่อให้กูมาหา” มารุตยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าผม ดวงตากลมโตสวยสีดำสนิทราวกับลูกแก้วกวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไร้มารยาท
“ความคิดปัญญาอ่อนเหมือนหน้าตาเลยเนอะ” ผมขยับเบี่ยงตัวหนีสายตาดูแคลนของอีกฝ่ายก่อนจะหันไปมองสบตาคนช่างมโนด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“นี่มึงหลอกด่ากู?”
“เปล่า ด่าตรงๆ”
“กวนตีนเดี๋ยวให้เดินกลับเอง” ไม่ว่าเปล่าคนตัวสูงกว่าผมนิดหน่อยยังทำท่าเหมือนจะยกมือขึ้นมาทุบผม
“ใจร้าย” ผมถลึงตามองกลับอย่างไม่ยอมแพ้ เจอหน้ากันแต่ละทีก็จะซัดกันให้ได้เลยใช่ไหม?
“กูก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองใจดี” เขาว่าพร้อมกรีดยิ้มร้ายอย่างน่าหมั่นไส้
“ไปส่งที่บ้านหน่อย” ผมถอนหายใจแล้วเมินคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาเสีย
“เอ๊า! เมินกูเฉย”
“เดี๋ยวจ่ายค่าน้ำมันให้”
“ทำไมมึงไม่เรียกเพื่อนตัวเองมาช่วยวะ?”
“ก็นายอยู่ใกล้สุด”
“แล้วกูสนิทกับมึงหรือไง?”
“เดี๋ยวก็สนิท” ผมแอบยกมือขึ้นลูบสีข้างของตัวเองเบาๆ เช็คดูว่ามันยังปกติดีอยู่ไหม นี่ก็แถจนเริ่มแสบๆ ที่สีข้างแล้วนะ เกิดมาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย พูดแบบนั้นออกไปได้ยังไงกัน น่าอายชะมัด
“แต่กูไม่อยากสนิทกับมึง” เขาว่ากลับมาเสียงแข็งหน้าตาดูโกรธเคืองที่ผมไปเรียกเขามา
“ไปส่งที่หมู่บ้าน XXX ทีสิ เดี๋ยวจ่ายค่าน้ำมันให้”
คุณกลางเคยบอกว่าถ้าเรื่องไหนเราแก้ปัญหาไม่ได้ให้ใช้วิถีคนรวย
“เมินกูไปอีก”
“ข้าวร้านป้าติ๋มหน้ามหา’ลัยอร่อยดีนะ เลี้ยงไหม?” ผมทำหน้านึกอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปด้วยรอยยิ้มบางเบา
“คือจะเอาเงินเอาของกินมาล่อกูเหรอ?” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่นอย่างไม่พอใจ
“เปล่า แค่ข้อแลกเปลี่ยน”
คุณกลางยังบอกอีกว่ามันไม่ใช่การซื้อคนหรือการติดสินบน มันเป็นแค่เพียงข้อแลกเปลี่ยนระหว่างกันก็เท่านั้น
“กูยอมใจมึงเลย มึนได้โล่” ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะมัวแต่เบี่ยงหน้าหลบแอบขำกับท่าทางหัวเสียของอีกฝ่าย ดูเหมือนเขาจะหงุดหงิดกับการกระทำของผมไม่น้อยเลยล่ะครับ
“จะไปก็ขึ้นรถ แต่บอกไว้ก่อนว่ากูกินเยอะ และค่าน้ำมันรถกูก็แพงด้วย!” ผมสะดุ้งเบาๆ ที่อยู่ดีๆ คนตรงหน้าก็หันมาขึ้นเสียงดังใส่ แอบกังวลอยู่เหมือนกันว่าเขาจะเจ็บคอหรือเปล่า? ทำไมเป็นคนที่เกรี้ยวกราดอะไรได้ขนาดนี้?
“ไม่เป็นไร มีเงิน”
คุณกลางชอบบอกเสมอว่าบ้านเรารวย(มาก) เพราะงั้นใช้เงินแค่นี้คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง นานๆ ถึงจะเลี้ยงคนอื่นสักที คุณใหญ่ก็คงไม่ว่าอะไรหรอก ส่วนอาปากับออมม่าก็น่าจะดีใจที่ผมยอมใช้เงินบ้างแล้ว
“กูเกลียดมึงได้ไหมวะ?” ดวงตากลมโตตวัดมามองผมอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ชั่วพริบตาหนึ่งที่ผมเผลอมองสบเข้าไปในดวงตาคู่สวยนั่น ทั้งที่หน้าก็ออกจะเถื่อนขนาดนั้นแท้ๆ แต่กลับมีดวงตากลมโตแป๋วไม่เข้ากับหน้าเอาเสียเลย
“แล้วแต่” ผมไหวไหล่เบาๆ แล้วเดินตามคนที่สูงกว่าไม่มากไปที่รถ
กึก!
มอเตอร์ไซค์เหรอ?
ผมชะงักเมื่อเดินไปยังรถของมารุตที่จอดอยู่ไม่ไกล เผลอลอบกลืนน้ำลายลงคอแล้วก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองว่าทำไมเรื่องแบบนี้ผมถึงไม่หาข้อมูลมาก่อนหน้านี้ สาบานเลยว่าถ้าผมรู้ว่ามารุตมีรถอะไรผมจะไม่โทรเรียกเขามาให้เสียเวลาชีวิตเด็ดขาด แล้วตอนนี้ผมเลือกอะไรได้บ้าง?
“เหอะ! ขึ้นเองเป็นไหม?” ขาเรียวยาวตวัดขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเขาเสร็จก็หันมาถามผมด้วยสายตาที่ติดจะดูถูกดูแคลนอยู่นิดๆ
“ถามเหมือนคนโง่เลยเนอะ” ผมออกจะหงุดหงิดตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ทำพลาดเรื่องสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่เมื่อรู้ดีว่ามันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วผมเลยต้องยอมก้าวขาขึ้นรถ BMW S 1000 XR MY2018 ไปอย่างจำเป็น โชคดีที่เกิดมาขายาว ไม่อย่างนั้นก็คงลำบากในการใช้ชีวิต
“กูขอซื้อคำว่าเนอะของมึงไปปาทิ้งได้ไหม? แม่งโคตรกวนตีน” ใบหน้าหล่อที่อยู่ภายใต้หมวกกันน็อคใบโตหันมามองผมอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
“คิดไปเอง”
“แต่กูว่ามึงนี่แหละกวนตีนสุดแล้ว”
“รถสวยดีนะ” ผมแกล้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกต่อว่าไปมากกว่านี้
“เมินกูอีกแล้วนะ!”
ผมหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับท่าทางโวยวายเหมือนเด็กถูกขัดใจของมารุตคนเถื่อน ก็จริงอยู่ที่เขามันชอบทำตัวมีปัญหาพร้อมบวกกับทุกคนบนโลกใบนี้ แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน เขามันก็แค่เด็กที่ขี้หงุดหงิดนั่นแหละนะ
น่าเอ็นดูจัง
รถของมารุตขับมาจอดที่ร้านข้าวหน้ามหา’ลัยตามที่ผมบอกจริงๆ ด้วย ผมก้าวลงจากรถแล้วหันมองออกไปทางป้ายรถเมล์สลับกับดูเวลาบนข้อมือ สองทุ่มกว่าๆ ยังมีรถโดยสารขับผ่านอยู่ ผมว่าผมคงไม่ต้องรบกวนเขามากนักหรอก คิดอย่างนั้นแล้วก็เดินตามอีกคนเข้าไปในร้านข้าวทันที รีบกินให้อิ่มท้องแล้วรีบกลับบ้านไปนอนดีกว่า
“มึงจะกินอะไร?” เขาหันมาถามในตอนที่กำลังจะจดเมนูลงในใบสั่งอาหาร
“ข้าวผัดหมู” ผมกวาดสายตามองเมนูที่แปะอยู่บนผนังร้านแล้วก็ตอบออกไปอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดมากนัก
“แดกอะไรเด็กฉิบหาย” ตวัดตามามองผมแล้วก็ก้มลงไปเขียนเมนูอาหารโดยที่ปากก็แซะผมไปด้วย
“ไม่ยุ่งเนอะ” ผมกระตุกยิ้มที่มุมปากให้เขาหนึ่งที เชื่อเถอะว่าเขาจะต้องเกลียดรอยยิ้มของผมอย่างแน่นอน
“ปากดี เดี๋ยวกูให้กลับเอง”
“นายไม่ใจร้ายหรอก”
“รู้ได้ไง?”
“ตา”
“อะไร?”
“ตาสวย”
“มึงนี่จะว่าหน้ามึนหรือกวนตีนวะ?” เป็นอีกครั้งที่มารุตมองผมตาโตแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองอย่างอารมณ์เสีย
ผมหลุดหัวเราะออกมาในลำคอแผ่วเบา ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องกวนประสาทเขานะ แต่เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันก็น่ารักดี มารุตนี่ไม่ต่างจากเด็กประถมที่เวลาทะเลาะกับเพื่อนแล้วทำอะไรไม่ได้ก็จะกระฟัดกระเฟียดกับตัวเอง ทำหน้าตางอแงเสียน่าเอ็นดูเชียว แต่เรื่องที่ผมบอกว่าตาเขาสวยน่ะเรื่องจริงนะ แล้วก็เขาไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอก ผมเชื่ออย่างนั้น
เคยได้ยินคำว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจไหม?
มารุตเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นคนที่ต่อให้จะแสดงท่าทีแข็งกร้าวยังไง แต่สุดท้ายดวงตาก็จะยังคงสะท้อนความรู้สึกจริงๆ ออกมาอยู่ดี แท้จริงแล้วมารุตอาจจะไม่ใช่คนร้ายกาจอย่างที่พวกเราเห็นก็ได้นะ
“เป็นนักบอลเหรอ?” เพราะไม่รู้จะพูดอะไรเลยแกล้งถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วออกไป
“ยังจะมีหน้ามาเมินกูอีก!?”
“ตอบสิมารุต” ผมร้องเร่งเอาคำตอบพร้อมยื่นมือไปเขย่าแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเบาๆ
“บังคับกูด้วย!?” ตากลมโตยิ่งโตขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดของผม
“ตอบ” ยิ่งมารุตโวยวาย ผมยิ่งชอบใจ
“เออ กูเป็นนักบอล เป็นตัวเต็งของทีมด้วย กูจะเล่นคณะมึงให้หนักเลย!”
“ขี้โม้เนอะ”
“ส้นตีน! แล้วมึงไปเสนอหน้าอะไรที่สนามบาส?” เชื่อแล้วล่ะว่าเป็นคนที่หยาบคายจริงๆ
“ไปสนามบาสก็ต้องเล่นบาสสิ จะให้ไปเล่นเปตองเหรอ? ถามไม่คิดเลยเนอะ”
“สาบานว่ามึงจะมาจีบกู? ไม่ได้เกลียดอะไรกูใช่ไหม?”
“ไม่ เราไม่เกลียดใครโดยไร้เหตุผล” แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะเริ่มเกลียดผมแล้วล่ะ
“แต่ถ้ากูเกลียดมึงเพราะว่ามึงกวนตีนก็ถือว่ามีเหตุผลใช่ไหม?” เขาเลิกคิ้วขึ้นถามพร้อมทำหน้ากวนๆ ส่งมาให้
“ไม่ให้เกลียด”
“มีสิทธิ์อะไรมาสั่งกู?”
“ไม่มี แต่ถ้าเกลียดกันแล้วจะจีบยังไง?” ผมเอียงคอมองหน้าเขาอย่างสงสัย ขนาดไม่เกลียดยังจีบยากเลย แล้วถ้าถูกเกลียดนี่คงไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เข้าใกล้
“มึงจริงจัง?”
“เปล่า นี่เล่นอยู่”
“ต่อยมึงตรงนี้ได้ไหมวะ?”
“อย่าถ่อย”
“โอ้โห! มึงดูโกรธแค้นกูนะ เกลียดกูมากใช่ไหม?” ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจทันทีที่ได้ยินคำพูดของผม
“ล้อเล่น”
“ล้อเล่นเหี้ยไรหน้าตายขนาดนี้!”
“ไม่ตลกเหรอ?”
อุตส่าห์พยายามทำตัวให้เป็นมิตรที่สุดแล้วนะ หลายคนชอบบอกว่าผมหยิ่ง พวกคนที่ไม่รู้จักหรือไม่ได้อยู่ในคณะเดียวกันมักจะบอกว่าผมหยิ่งเพราะผมไม่ใช่คนที่จะเข้าหาใครก่อน ถ้าพวกเขาไม่เข้ามาทักผม ผมก็จะไม่ใช่คนที่เป็นคนเริ่มบทสนทนา มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด
“ดูหน้ากู” เขาว่าเสียงดุหน้าตาย
“อย่าเครียดสิ แค่นี้หน้าก็ล้ำอายุไปไกลแล้วนะ” ผมยื่นปลายนิ้วไปจิ้มเบาๆ ที่หัวคิ้วของคนตรงหน้าให้มันคลายปมออกจากกัน อีกนิดมันก็จะรวมร่างกันได้แล้วนะ
“ถ้าจะขนาดนี้ก็ไปหยิบมีดมาแทงกูเลยเถอะ”
“ได้เหรอ?”
“กูประชด”
“ไม่ใช่มารุตเหรอ?”
“มุข 5 บาท 10 บาทแบบนี้ควรหายไปจากโลกใบนี้ได้แล้ว โดยเฉพาะคนเล่นมุขกากๆ แบบมึง!” หัวผมโยกไปตามแรงผลักที่รุนแรงของอีกฝ่าย โอย~ หัวแทบหลุด
“เราเป็นพี่นะ อย่าหยาบสิ” อดจะดุกลับไปไม่ได้ เป็นรุ่นน้องแท้ๆ แต่ทำแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือไงกัน?
“กูไม่นับ ไม่เคารพ มึงจะทำไม?” หน้าตาของมารุตตอนนี้คือพร้อมที่จะลุกขึ้นมาฟาดหัวผมได้ทุกเมื่อเลยล่ะ
“ก็เข้าใจว่าเป็นคนหยาบ แต่มันต้องมีลิมิตนะ เดี๋ยวคนจะมองไม่ดี” อันนี้เตือนจากใจจริงเลย
มารุตเด็กกว่าผมหนึ่งปี ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรกับการเรียกพี่หรือไม่เรียก เรื่องสรรพนามกู-มึงผมก็ไม่ได้สนใจ แต่คนอื่นเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น ยิ่งผมกับมารุตเราต่างเป็นที่รู้จักกันพอสมควร ถ้าใครมาได้ยินเข้าคนที่จะถูกมองไม่ดีและถูกตำหนิก็คือตัวมารุตเองนั่นแหละ
“มีใครในโลกนี้เป็นแบบนี้อีกไหม? คุยกับมึงแล้วปวดหัวฉิบหาย” ว่าจบก็ยกมือขึ้นนวดเข้าที่ขมับทั้งสองข้างอย่างเหนื่อยใจ หน้าตาดูเหนื่อยล้ากับการที่ต้องพูดคุยกับผม
“ไม่มีหรอก เราเป็นลิมิเต็ดอิดิชั่น” ผมอมยิ้มกับตัวเองในตอนที่มารุตเอาหัวโขกโต๊ะคล้ายกับคนท้อแท้ในชีวิต
“โอ้โห ไม่อยากได้!”
“ล้อเล่น กินข้าวเถอะ จะได้รีบกลับ”
โชคดีที่อาหารที่สั่งไปมาเสิร์ฟพอดี ไม่อย่างนั้นผมกับเขาได้เถียงกันอีกยาวแน่ มารุตพอได้ข้าวแล้วก็ไม่สนใจผมอีก เขาตั้งหน้าตั้งตากินอย่างตั้งใจ ผมมองท่าทางเหล่านั้นแล้วก็ได้แต่ยกยิ้มบางๆ กับตัวเอง ถึงจะขี้หงุดหงิดแล้วก็ชอบโวยวายไปสักหน่อยแต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถ้าอยู่กับเขาก็อาจจะทำให้ผมสนุกขึ้นมาบ้าง
ก็ชีวิตเขาดูมีสีสันมากกว่าผมเสียอีก
กว่าจะได้เดินออกจากร้านก็ปาไปเกือบสามทุ่มครึ่ง ผมเก็บกระเป๋าสตางค์ของตัวเองลงกระเป๋าแล้วเดินนำออกไปยังรถมอเตอร์ไซค์ของมารุตที่จอดอยู่ไม่ไกล ที่ช้าไม่ใช่อะไรหรอก ก็มารุตเล่นกินข้าวไปตั้งสามจาน ส่วนผมน่ะแค่จานเดียวก็พอแล้ว เวลาออกกำลังมาเหนื่อยๆ ผมไม่ค่อยอยากกินอะไร ผิดกับอีกคนที่ดูท่าจะหิวโซมาก ไม่รู้ว่าเขากินแบบนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วหรือเพราะเพิ่งซ้อมหนักมากันแน่
“สรุปให้กูไปส่งที่ไหนนะ?” เขาหันมาถามผมในขณะที่กำลังจะหยิบหมวกกันน็อคมาสวม
“แยกกันตรงนี้แหละ เดี๋ยวไปขึ้นรถโดยสารเอง” ผมชะเง้อมองไปทางป้ายรถเมล์เห็นมีคนรออยู่บ้างประปราย
“ไหนว่าจะให้กูไปส่ง?”
“ไม่อยากรบกวน อะ ค่าน้ำมันที่บอกไว้” ผมยื่นแบงค์ห้าร้อยที่เตรียมเอาไว้ส่งให้อีกฝ่าย
“กูไม่เอา!” จู่ๆ เขาก็ปัดมือผมทิ้งแล้วขึ้นเสียงดังใส่
“ทะ…”
“ถ้าไม่ให้กูไปส่งกูก็ไม่เอาค่าน้ำมัน!” ผมชะงักเมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องตาเขม็ง
“อืม ถ้าอย่างนั้นแยกกันตรงนี้ ขอบคุณที่ไปรับมาจากสนามบาสนะ” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วเก็บเงินลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะค้อมหัวขอบคุณอีกฝ่ายเล็กน้อยตามมารยาท
“อืม” มารุตพยักหน้ารับส่งๆ แล้วหันไปขึ้นคร่อมรถของตัวเอง
ผมเดินแยกออกไปที่ป้ายรถเมล์ พอเริ่มดึกคนก็เริ่มน้อย ผมไม่ได้กังวลกับการขึ้นรถโดยสารเท่าไหร่นัก ผมเองก็ไม่ใช่พวกลูกคุณหนูที่ไปไหนมาไหนโดยใช้รถโดยสารเองไม่ได้หรอกนะ เรื่องแค่นี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เป็นปัญหาตอนนี้คือมันไม่มีรถต่างหากเล่า!
ปริ๊น!
ผมสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงบีบแตรดังขึ้น เมื่อหันไปดูก็พบกับรถ BMW S 1000 จอดเทียบอยู่ที่ฟุตปาธ ไม่ต้องเดาเลยว่าใครเป็นเจ้าของรถคันนั้น
“ขึ้นมา” มารุตเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้นแล้วชี้มาที่ผม
“หืม?”
“กูบอกให้ขึ้นมา” เขาย้ำอีกครั้งพร้อมส่งสายตาเชิงบังคับมาให้
“…” ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพราะไม่อยากให้เขาไปส่งสักเท่าไหร่นัก
“ไอ้คุณรัชช์!” พอเห็นผมยืนนิ่ง มารุตก็ร้องเรียกเสียงดังจนคนที่ยืนรออยู่ตรงป้ายรถเมล์หันมามองผมเป็นตาเดียว
“เฮ้อ~” หลุดเสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วก็ได้แต่คิดว่าทำไมเขาต้องชอบทำตัวเด่นด้วยนะ
“บ้านอยู่ไหน?” สุดท้ายผมก็ต้องเดินเข้าไปหาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“หมู่บ้าน XXX ซอย YYY”
“ไกลจังวะ”
“ถึงบอกว่าจะกลับเองไง” จริงๆ บ้านผมมันไม่ได้ไกลมากนักหรอกถ้าเทียบกับการใช้รถยนต์
“ช่างแม่งเถอะ” เขาว่าออกมาอย่างไม่คิดอะไรแล้วส่งหมวกกันน็อคอีกใบมาให้ ผมหรี่มองมันอย่างใช้ความคิดก่อนจะรับสวม ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาเลยว่าทำไมรถคันนี้ถึงมีหมวกสองใบ ใบนี้คงเป็นของไอริสแน่ๆ
“เหมือนฝนจะตกเลย” ขับออกมาได้ไม่นาน ผมก็เริ่มรู้สึกว่าอากาศมันเปลี่ยนไปจากเดิมเลยขยับไปคุยกับมารุตที่กำลังตั้งใจขับรถอยู่
ซ่า!
“เวร! ฝนตกเฉย!” พูดยังไม่ทันขาดคำฝนก็เทลงมาอย่างหนักไม่ต่างจากฟ้ารั่ว มารุตดูหัวเสียมากที่จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาหนักมากขนาดนี้ทั้งที่เรายังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ
“หาที่หลบก่อนไหม? ตกหนักมากเลยนะ” ผมตะโกนฝ่าสายฝนไปคุยกับมารุต ผมยังไม่อยากเอาชีวิตัวเองไปเสี่ยงในตอนนี้หรอกนะ
“คอนโดกูอยู่ซอยข้างหน้า ไปห้องกูก่อน” เขาเอี้ยวตัวมาบอกผมแวบหนึ่งก่อนจะเปิดไฟเลี้ยวเข้าชิดซ้าย
“อืม”
กว่าจะมาถึงคอนโดของมารุตก็เล่นเอาเปียกไปทั้งตัว ผมถอนหายใจยาวเมื่อมองสภาพตัวเองในตอนนี้แล้วมันดูไม่ได้เอาเสียเลย เสื้อนักศึกษาก็เปียกโชกแนบไปกับตัวจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“เอ้านี่ เอาไปเช็ดหัวซะ” ผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กถูกยื่นมาตรงหน้าของผม
“ขอบคุณ”
“ตกหนักมาก ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่”
“นั่นสิ นึกจะตกก็ตก” ผมทำได้แค่บ่นกับตัวเองว่าวันนี้คงเป็นวันซวยของผม ผมไม่น่าอยู่เย็นถึงขนาดนี้เลย ถ้ากลับบ้านตั้งแต่ตอนที่พี่นิลบอกให้กลับก็ดีอยู่หรอก ตอนนั้นฟ้ายังไม่มืดรถผมอาจจะยังไม่ถูกปล่อยลมยางก็ได้แล้วก็คงไม่ต้องมาเจอห่าฝนแบบนี้
“มึงนอนที่นี่ไหม?” จู่ๆ คนที่ยืนเงียบไปนานก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“หืม?” ผมละสายตาจากสายฝนนอกหน้าต่างมามองผมคนพูดด้วยความสงสัย
“ก็มันดึกแล้ว ยังไงก็ผู้ชายด้วยกัน คงไม่เป็นไรหรอก” เขาว่าออกมาอย่างไม่คิดอะไร
“เป็นแบบนี้บ่อยเหรอ?” อดจะสงสัยไม่ได้จริงๆ
“อะไร?” ว่าเขาน่ะ
“ใจดี” เป็นแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่า?
“ห๊ะ!? กูนี่นะ?” เขาทำหน้าตกใจจนตาเบิกกว้างพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ
“อืม มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนไหม?” ผมยกยิ้มบางก่อนจะพาเปลี่ยนเรื่อง จนถึงตอนนี้ผมยังอยู่ในชุดเดิมอยู่เลย น้ำจากชุดนักศึกษาหยดลงพื้นเป็นวงกว้างจนกลัวว่าจะถูกเจ้าของห้องเกรี้ยวกราดใส่เข้าให้
“เดี๋ยวกูไปหาให้” พูดจบก็เดินหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่อยู่ภายใต้เสื้อยืดสีดำธรรมดาไปแล้วก็เผลอถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ ทำไมถึงได้เหมือนกันขนาดนี้นะ ส่ายหัวเบาๆ เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรบอกที่บ้านว่าวันนี้จะค้างห้องเพื่อน ทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง โดยเฉพาะคุณใหญ่
“มึง”
“หืม?”
“ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวก็ไม่สบายแล้วจะมาตายห่าในห้องกู หน้าตาแม่งโคตรลูกคุณหนู” เสื้อยืดสีเทากับกางเกงนอนขายาวถูกโยนมาใส่หน้าผมอย่างไร้มารยาท พร้อมกับสายตาดูแคลนของเจ้าของห้องที่มองมายังผม
“ขอโทษที่หน้าตาลูกคุณหนูนะ แต่เราไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น” ผมตวัดตามองอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ
“เหรอ~” ว่าแต่คนอื่นชอบกวนประสาท ตัวเองนี่ไม่กวนเลยเนอะ ถ้าผมเป็นคนใจร้อนเหมือนเขาล่ะก็คงได้วางมวยกันไปหลายรอบแล้วล่ะ
หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นเจ้าของห้องนั่งกดโทรศัพท์อยู่ตรงปลายเตียงในสภาพเสื้อกล้ามสีดำพอดีตัวกับกางเกงนอนขายาวสีเทาเข้ม ผมเดินเช็ดหัวไปที่หน้าต่าง แหวกม่านออกดูก็เห็นว่าฝนยังคงตกหนักอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เลย ยังไงก็คงต้องนอนที่นี่จริงๆ สินะ
“พรุ่งนี้มึงมีเรียนกี่โมง?” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มารุตมายืนอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้
“9 โมง” ผมตอบกลับไปโดยที่สายตายังคงเหม่อมองออกไปทางนอกหน้าต่างอยู่ ทั้งสายฝนและลมกรรโชกแรงที่อยู่ด้านนอกนั่น ผมไม่ชอบเอาเสียเลย ไม่ชอบมากๆ ทุกครั้งที่เห็นมัน ผมมักรู้สึกเหงาและเดียวดาย
“เท่ากัน เดี๋ยวออกไปพร้อมกัน”
“อืม” ผมพยักหน้ารับแล้วเอาผ้าขนหนูไปตากไว้ตรงราวที่อยู่มุมห้อง
เพราะความเหนื่อยล้าจากการซ้อมบาสจึงทำให้ผมรู้สึกง่วงเร็วกว่าทุกวันเลยเดินไปทิ้งตัวลงนอนที่เตียงอย่างที่เจ้าของห้องบอกไว้ตอนแรกว่าอนุญาตให้ผมนอนเตียงเดียวกับเขาได้ ถึงผมจะประกาศออกไปว่าผมตามจีบเขาอยู่แต่ดูเหมือนมารุตจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลย ไม่ได้ระวังตัวอะไรเลยด้วย ถึงผมจะเตี้ยกว่าเขาแค่ไม่กี่เซนฯ และตัวบางกว่านิดหน่อย แต่เขาก็ควรจะระวังตัวให้มากกว่านี้ ลองถ้าเป็นคนอื่นคงไม่แค่มานั่งเฉยๆ แบบผมหรอก
“มึงนอนไปก่อนเลย กูจะไปโทรหาไอริส” เขาว่าออกมาอย่างนั้นแล้วเตรียมจะเดินออกไปจากห้องนอนพร้อมโทรศัพท์มือถือในมือ
“ยังชอบไอริสอยู่เหรอ?” อดจะถามออกไปไม่ได้ เพราะเท่าที่ได้ยินมาจากไทม์คือไอริสเป็นคนบอกเลิกมารุต และมารุตพยายามตามง้อขอคืนดี แต่เหตุผลที่เลิกกันนั้นไม่มีใครรู้ว่าคืออะไร ผมเลยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้กันแน่ ตอนที่ผมช่วยไอริสเอาไว้แล้วมารุตไปรับไอริสกลับ ตอนนั้นก็เห็นยังรักกันดีอยู่เลย แล้วทำไมถึงเลิกกันได้นะ?
“เรื่องของกูครับ”
“แต่เราจีบมารุตอยู่” ผมโพล่งออกไปทันที เพราะคิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเล่นบทของคนที่ตามจีบเขาอยู่ ผมจะต้องมีท่าทียังไงบ้างหากรู้ว่าเขายังคงมีเยื่อใยให้กับคนรักเก่า ผมต้องแสดงท่าทางเจ็บปวดไหมนะ?
“แต่กูไม่ได้ชอบมึง” เขาสวนกลับทันควันอย่างไม่ต้องหยุดคิด เหมือนมันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกหรือความรู้สึกเลยทำให้มีการตอบสนองกลับอย่างรวดเร็ว
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะไม่รู้จะต่อบทยังไง ผมไม่สามารถแสดงท่าทีเจ็บปวดหรือโศกเศร้าเสียใจออกมาได้ เพราะผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น สิ่งที่ผมทำได้จึงมีแค่เพียงนั่งเงียบให้เสียงฝนดังเป็นซาวด์เอฟเฟคเท่านั้น
“ปิดไฟนอนไปเลย เดี๋ยวกูเข้ามา”
“อืม”
พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจผมเลยแม้แต่น้อย ผมส่ายหน้าเบาๆ ให้กับตัวเอง ได้แต่ถามย้ำว่าผมมาทำอะไรที่นี่กันแน่ สิ่งที่ผมทำมันถูกแล้วเหรอ? มารุตยังรักไอริสอยู่มากขนาดนั้นแล้วผมจะกล้าทำให้พวกเขาแยกจากกันได้จริงๆ เหรอ? แล้วถ้าไอริสยังคงรักมารุตอยู่ล่ะ? ถ้าที่ไอริสบอกเลิกมารุตเป็นเพียงแค่ทั้งสองคนทะเลาะกันเฉยๆ ถ้าสิ่งที่ไอริสทำคือการเรียกร้องความสนใจจากคนรักของตัวเอง การที่ผมเข้าไปในชีวิตของมารุต เข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขา นั่นก็เท่ากับว่าผมกำลังทำให้พวกเขาเลิกกันอย่างจริงจัง บทของตัวร้ายในเรื่องนี้ก็คงหนีไม่พ้นผมอยู่ดี
ในขณะที่มารุตพยายามตามง้อคนรักของเขาให้กลับมา แล้วไทม์ล่ะ? เขาไม่ได้ทำอะไรเองเลยแม้กระทั่งเข้าไปขอเบอร์ไอริส แถมเขายังใช้วิธีสกปรกอย่างการขอให้ผมเข้าไปป่วนในความสัมพันธ์ของมารุตกับไอริสอีก ผมไม่น่าพลั้งปากบอกว่าจะช่วยไทม์เลย
ผมคิดผิดไปจริงๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กวนติง
อืมก็จริง คือตอนนี้ก็ยังไม่มีใครชอบใคร ดูท่าจะอีกนาวไกลเลย รุตยังรักริสอยู่เลย รัชเอาไงต่อดี