ตอนที่ 5 : จีบคนเถื่อน : 04
เช้ารุ่งขึ้น
“คุณรัชช์”
“มาเช้าจังเลยเชน?” ผมที่เพิ่งลงจากรถหันไปมองตามเสียงเรียกก็เจอกับเชนที่ยืนอยู่รถคันข้างๆ ผมยกยิ้มบางๆ แล้วหันมาล็อครถของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“ก็รู้ว่าคุณรัชช์จะมาเช้าไง” เชนอมยิ้มน้อยๆ ยื่นมือมาดึงหนังสือประมวลกฎหมายที่อยู่ในมือของผมไปถือให้ ผมไม่ได้ดึงหนังสือกลับมา ปล่อยให้อีกฝ่ายถือไปเพราะเหนื่อยที่จะพูดเรื่องนี้แล้ว พูดไปเขาก็ไม่ฟังอยู่ดี
“กินข้าวหรือยัง?” ผมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้เดินทันอีกฝ่าย ถึงช่วงขาของผมจะดูเหมือนยาวกว่าเชนก็เถอะ แต่เชนเป็นคนเดินเร็ว ต่างจากผมที่ชอบเดินไปเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่เร็ว
“ยัง รอกินพร้อมคุณรัชช์” เขาหันมายิ้มทะเล้นเหมือนที่ชอบทำใส่ผม
“ไปสิ” ผมชะงักไปนิด ถึงจะเห็นเชนในมุมนี้บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกชินเลยสักครั้ง เวลาอยู่กับคนอื่นเชนไม่ได้มีมุมนี้ให้เห็นบ่อยนัก คนทั่วไปเลยมักคิดว่าเชนหยิ่งและดุ ก็หน้าเขาไม่ค่อยเป็นมิตรกับเพื่อนร่วมโลกสักเท่าไหร่นักหรอก
เราเดินมาที่โรงอาหารของคณะ เชนไล่ให้ผมไปนั่งจองโต๊ะ ส่วนเขาก็เดินไปซื้อข้าวกับน้ำมาให้ มื้อเช้าผมไม่ค่อยชอบกินอะไรหนักๆ เชนเลยซื้อโจ๊กหมูใส่ไข่มาให้ ผมแอบเบ้หน้าเล็กน้อยเพราะเป็นคนไม่ชอบกินโจ๊ก ผมชอบข้าวต้มมากกว่า แต่ก็ไม่อยากทำตัวเรื่องมากเลือกกินเลยกินไปเงียบๆ
“คุณรัชช์”
“หืม?” ผมเงยหน้าจากชามโจ๊กเละๆ ขึ้นมามองหน้าคนเรียก
“ที่เขาพูดกัน จริงหรือเปล่า?”
“เรื่องอะไร?”
“คุณรัชช์จะจีบมารุต” เชนเลื่อนโทรศัพท์ที่อยู่ในมือมาตรงหน้าผม หน้าจอที่โชว์ภาพผมกับมารุตยืนโต้เถียงกันในโรงอาหารคณะเกษตรเมื่อวานพร้อมข้อความที่บอกว่าผมไปจีบมารุต
“อ่า” ผมลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของคนถาม
“จริงเหรอ?” เชนถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น ท่าทางที่จะดูโกรธก็พูดได้ไม่เต็มปากแต่ที่แน่ๆ คงไม่พอใจอยู่ไม่น้อย บรรยากาศระหว่างผมกับเชนเริ่มแย่ลง ความอึดอัดและแรงกดดันบางอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อืม” ผมตอบรับในลำคอเบาๆ ทำเป็นตักโจ๊กขึ้นมากินต่อเพื่อเลี่ยงที่จะสบตากับอีกฝ่าย เชนกำลังทำให้ผมรู้สึกอัดอัดจนอยากลุกเดินหนีออกไปจากตรงนี้ ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มันน่าหงุดหงิด
“คุณรัชช์ชอบมันเหรอ?” เชนถามผมด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“อย่าเรียกคนอื่นว่ามัน” ผมเอ่ยปรามเบาๆ
“ตอบสิคุณรัชช์ ชอบนายมารุตอะไรนั่นเหรอ?” แต่เขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมบอกเลยแม้แต่น้อย
“ก็…นะ” ผมไหวไหล่เบาๆ ตอบกลับแบบแบ่งรับแบ่งสู้เพราะผมไม่สามารถที่จะตอบรับหรือปฏิเสธคำถามนี้ได้
“…” พอเห็นท่าทางของผมแบบนั้น เชนก็นิ่งเงียบไป
ครืด ครืด
โทรศัพท์ของผมที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นเตือนข้อความเข้า หน้าจอสว่างวาบขึ้นโชว์ข้อความของกรินดึงความสนใจของผมไปได้ในทันที
“รีบกินเถอะ กรินใกล้ถึงแล้ว” ผมที่เห็นข้อความที่กรินส่งมาก็รีบเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบและความอึดอัดที่เกิดขึ้นทันที
“อืม” เสียงทุ้มขานรับในลำคอเพียงแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ผมส่ายหน้าเบาๆ อย่างเหนื่อยใจแล้วลงมือกินข้าวต่อให้เสร็จไวๆ จะได้ออกไปจากตรงนี้เสียที
16.09 นาฬิกา
“คุณรัชช์ กรินกลับก่อนนะ กรินมีธุระ” กรินเดินเข้ามาเกาะแขนผมที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตึกคณะหลังจากที่กรินบอกว่าจะขอตัวไปคุยโทรศัพท์แปบหนึ่งแล้วก็หายไปเกือบสิบนาที ผมเลยนั่งรอกรินก่อน
“ไปส่งไหม?” ผมเก็บของเตรียมเดินไปที่ลานจอดรถ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวนั่งรถไปเองดีกว่า คุณรัชช์อย่าเสียเวลาเลย วันนี้มีซ้อมบาสวันแรกไม่ใช่เหรอคะ?” คนตัวเล็กรีบร้องห้ามแถมยังส่ายหน้าพัลวันจนผมหน้าม้าปลิวกระจายอย่างน่าเอ็นดูอีกด้วย
“ครับ ทักมาหาด้วยนะ” ผมยอมตามใจอีกฝ่าย เพราะรู้จักกันดีว่ากรินไม่ชอบให้ผู้ชายมาเทคแคร์มากนัก เป็นผู้หญิงแกร่งที่ชอบพึ่งพาตัวเองมากกว่า
“โอเคค่ะ” กรินยิ้มรับแล้วเดินแยกออกไป ทิ้งผมให้ยืนอยู่กับเชนที่เพิ่งเดินลงมาจากตึกเพียงลำพัง
“จะไปซ้อมบาสเหรอคุณรัชช์?”
“อืม ไทม์หายไปไหน?” เพราะไทม์กับเชนติดคุยงานกับเพื่อนอีกกลุ่ม ผมกับกรินเลยเดินลงมาก่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเหลือเชนแค่คนเดียวแล้ว
“ไปหาคนที่ชื่อไอริส”
“อ่า ไปก่อนนะ” ผมพยักหน้ารับเบาๆ ช่วงนี้ไทม์ติดไอริสมาก เขามักจะหายไปทุกครั้งที่มีเวลาว่าง บางทีก็โดดเรียนไปนั่งเฝ้าหรือไม่ก็รับไปส่งอีกฝ่ายทั้งที่ตัวเองติดเรียน
“อืม” เชนขานรับเพียงแค่นั้นผมเลยรีบเดินแยกออกมา
ตั้งแต่เช้าที่คุยกันแล้วเชนแปลกไปจนถึงตอนนี้เชนก็ยังดูตึงๆ ใส่ผมอยู่ ผมไม่รู้ว่าทำไมเชนถึงเป็นแบบนี้ อาจเป็นเพราะเขาไม่ชอบมารุตตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หรือเขารู้ว่าที่ผมทำไปนั้นก็เพราะไทม์ขอร้องให้ช่วย เขาอาจจะโกรธที่ผมเข้าไปยุ่งเรื่องของไทม์อีกแล้วก็ได้ แต่เชนไม่เคยโกรธผมได้นาน คิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงจะกลับมาเป็นปกติในไม่ช้านี้
ผมขับรถมาที่โรงยิมด้านหลังมหา’ลัยเพื่อที่จะมาซ้อมบาสเป็นวันแรก อีกราวๆ เกือบสองเดือนจะมีกีฬาสี คณะผมที่เคยเป็นแชมป์มาหลายปีต้องการที่จะเป็นแชมป์อีกในปีนี้ เพราะอย่างนั้นกัปตันทีมของพวกเราเลยต้องรีบฟอร์มทีมและเร่งซ้อมให้ออกมาดีที่สุด ผมเองก็เป็นหนึ่งในตัวจริงที่นำทีมชนะมาได้ถึงสองปีซ้อน และปีนี้ก็จะชนะอีกอย่างแน่นอน
“รัชช์”
“ครับพี่นิล?” ผมที่เพิ่งเดินเข้ามาในโรงยิมก็ถูกเรียกทันที ผมเลยรีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“มานี่ๆ จะแนะนำให้น้องๆ รู้จัก” พี่นิลกาฬที่เป็นกัปตันทีมกวักมือเรียกผมให้ไปยืนอยู่ทางด้านหน้าของกลุ่มรุ่นน้องในทีมบาส หลายคนเป็นเด็กปีหนึ่งซึ่งผมไม่ค่อยคุ้นหน้าเท่าไหร่นัก อาจเพราะไม่ค่อยโผล่หน้าไปเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องเลยทำให้ไม่ค่อยรู้จักกับเด็กปีหนึ่ง
“พวกมึง นี่รองกัปตันทีม คนนี้เก่งกว่าทั้งทีมรวมกันอีก” พี่ซันหนึ่งในสมาชิกของทีมบาสแนะนำผมให้น้องๆ ที่เข้ามาใหม่ได้รู้จัก พี่ซันเคยเป็นอีกหนึ่งตัวจริงของทีมแต่ไม่สามารถลงแข่งในปีนี้ได้ เพราะแขนหัก เหตุเกิดจากการที่ทะเลาะกับแฟนแล้วแฟนเอาไม้หน้าสามฟาด ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรุนแรงกันขนาดนั้น แต่เท่าที่ได้ยินมาคือตอนนี้คืนดีกันแล้ว
“เกินไปครับ พี่ชื่อรัชช์ครับ อยู่ปีสาม”
“สวัสดีครับ!”
“มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะครับ” ผมพยายามทำตัวให้เป็นมิตรที่สุด เพราะทั้งทีมผมมั่นใจว่าผมหน้าเป็นมิตรต่อผู้คนรอบข้างมากที่สุดแล้ว อย่างพี่นิลหรือพี่ซันนี่อย่าหวังเลย
“ปัญหาหัวใจก็ได้เหรอครับพี่?”
“ลามปามแล้วมึง” พี่นิลหันไปดุรุ่นน้องปีหนึ่งที่ส่งเสียงแซวผม ผมได้แต่ยิ้มรับแหยๆ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็ตั้งแต่ที่ก้าวมาเป็นสมาชิกของทีมบาสตอนปีหนึ่งก็โดนพวกรุ่นพี่แซวมาตลอด แต่ก็มีพี่นิลกับพี่ซันคอยดูแลเลยไม่ได้มีปัญหามากนัก
“ไปรัชช์ ไปเปลี่ยนชุด วันนี้มาอุ่นเครื่องกันสักเล็กน้อยดีกว่า”
“ครับ”
ผมรับคำจากพี่ซันแล้วเดินเข้าไปยังห้องล็อกเกอร์ที่อยู่ทางมุมด้านในของโรงยิม เพื่อที่จะได้รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาวอร์มร่างกายก่อนลงสนามซ้อมกับคนอื่นๆ วันนี้ผมมาสายที่สุดเลยต้องรีบทำทุกอย่างให้รวดเร็วจะได้ตามคนอื่นได้ทัน ถึงจะไม่โดนว่าแต่จะมาเอื่อยเฉื่อยก็คงจะดูไม่ดีเท่าไหร่นักหรอก
“พี่รัชช์โคตรหล่อ”
“นั่นเดือนมหา’ลัยเก่า”
“ทั้งตัวพี่เขานี่แพงกว่าค่าเทอมกูอีก”
“หล่อจนผู้ชายแท้ๆ อย่างกูยังใจเต้น”
“แต่พี่เขาเป็นเกย์นี่”
“เออ ข่าวเมื่อวานใช่ไหม?”
“ใช่ๆ ที่บอกว่าจะจีบมารุตน่ะ กูเห็นแล้วตกใจเลย”
“นั่นสายเถื่อนเลยนะ ได้ข่าวว่าเพิ่งเลิกกับแฟนไปด้วย”
“เสียดายว่ะ กูยอมเป็นเกย์ถ้าจะมีแฟนชื่อคุณรัชช์”
“มึงก็เล่นใหญ่ไป”
ยังไม่ทันที่จะได้เดินไปไหนไกลเสียงซุบซิบของเด็กใหม่และเด็กเก่าก็ดังขึ้นไล่ตามหลังมาติดๆ ผมไม่ได้หันกลับไปมามองว่ามีใครบ้าง แต่รีบก้าวขายาวๆ ไปที่ห้องล็อกเกอร์แทน
“รัชช์”
“ครับ พี่นิล” ผมหันไปขานรับก็เจอกับพี่นิลที่ยืนกอดอกพิงขอบประตูห้องล็อกเกอร์อยู่ สีหน้าแบบนั้น
“กูเห็นข่าวมึงในเพจคนดังของมหา’ลัย เรื่องจริงเหรอวะ?” ไม่พ้นเรื่องมารุตจริงๆ ด้วย
“ครับ” ผมตอบรับไปตามตรงพลางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตไปด้วย
“มีอะไรหรือเปล่า? ปกติมึงไม่สนใจเรื่องแบบนี้นะ มึงเป็นคนมีเหตุผลเสมอ ครั้งนี้ก็คงทำเพราะมีเรื่องอะไรสินะ”
“พี่นิลรู้ทันผมตลอดเลยนะครับ” หันมองสบตากับอีกฝ่ายแล้วระบายยิ้มบางออกมา อาจเพราะเรารู้จักกันมานาน ไม่ว่าผมจะทำอะไร พี่นิลก็มักจะรู้ทันความคิดผมเสมอ น่ากลัวจริงๆ เลยผู้ชายคนนี้
“กูจะไม่ถามนะว่ามึงทำแบบนี้ทำไม แต่ถ้ามึงคิดดีแล้วก็ตามใจ ที่กูอยากจะบอกคืออยากให้มึงระวังตัวดีๆ ไอ้มารุตมันไม่ใช่คนปกติอย่างที่มึงจะตั้งรับได้ไหว ไหนจะแฟนคลับมันอีก พูดก็พูดเถอะ แฟนคลับมันน่ากลัวกว่าตัวไอ้มารุตเองอีกนะ ใครเข้าใกล้มารุตก็โดนดีหมด ที่รอดมาได้ก็มีแต่ไอริสแฟนเก่ามารุตนั่นแหละ เห็นพวกแฟนคลับอวยกันอยู่” พี่นิลพูดออกมาอย่างจริงจัง ตาคมมองสบกับผมนิ่งคล้ายกำลังตำหนิผมอยู่
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ” ผมแกล้งแหย่อีกฝ่ายกลับไปด้วยรอยยิ้มทะเล้นที่พี่นิลมักจะบอกว่ามันน่าหมั่นไส้ทุกครั้งที่ผมแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา
“ถ้าเป็นคนอื่นนี่กูด่าแล้วนะรัชช์” กัปตันทีมคนเก่งว่าออกมาเสียงดุ
“ล้อเล่นครับ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณที่พี่มาเตือนนะครับ”
“อืม เจอกันข้างนอกนะ”
“ครับ”
ผมมองตามแผ่นหลังกว้างออกไปด้วยรอยยิ้มบางเบา ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย พี่นิลยังคงเป็นพี่นิลอยู่เสมอ ยังคงห่วงใยและเฝ้ามองผมอยู่ตลอด ยังคงเป็นความสบายใจและที่พักพิงของผมเช่นเดิม มันจะดูเห็นแก่ตัวไปไหมถ้าผมอยากจะให้ผู้ชายที่ชื่อนิลกาฬอยู่กับผมแบบนี้ไปตลอด
แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะผมเองที่เป็นคนผลักไสเขาออกไปจากชีวิต แต่เขาก็ยังใจดีกับผม ไม่ยอมไปไหน
“แม่ง พี่รัชช์โคตรเท่”
“อิจฉาเฮียนิลฉิบหาย”
“ประกบยังไงจนเหมือนจะสิงร่างขนาดนั้น”
“มึงเห็นตอนพี่รัชช์เบี่ยงตัวหลบเฮียไหม? กูโคตรลุ้น”
“เฮียแม่งเล่นอย่างเถื่อน แต่พี่รัชช์เล่นอย่างนิ่ม แต่โหดมาก”
“นี่แค่อุ่นเครื่องเฉยๆ เองนะ เดี๋ยวมึงเจอวันแข่ง รัชช์มันไม่มาเล่นนิ่มๆ แบบนี้ให้โดนแดกหรอก”
“จริง เดี๋ยวเจอคุณรัชช์เวอร์ชั่นบอสแล้วจะรู้”
“เวอร์ชั่นบอสคืออะไร?”
“รอดูวันแข่งเถอะ”
“แต่นี่เพิ่งซ้อมวันแรก อีกตั้งนานกว่าจะแข่งรอบแรก”
“น่าๆ เดี๋ยวพวกมึงก็จะรู้ว่าคุ้มค่ากับการรอคอย”
ผมส่ายหน้าเบาๆ กับเสียงพูดคุยของเด็กปีหนึ่ง ปีสองและพี่ซันที่ดังมาจากมุมหนึ่งของสนาม วันนี้พี่นิลให้ทุกคนมาทำความรู้จักกันแล้วก็ลองซ้อมเล่นๆ กันไปก่อน ยังไม่ได้จริงจังนักเพราะเพิ่งวันแรก หลายคนเลยทำตัวเหมือนพวกว่างงานแล้วไปจับกลุ่มนั่งคุยกันอยู่ข้างสนามแทนที่จะมาฝึกซ้อมให้ร่างกายได้ปรับสภาพ
“รัชช์ พอได้แล้ว” พอพี่นิลนัดแนะเวลาการฝึกซ้อมของวันพรุ่งนี้เสร็จแล้วจึงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ เขาเดินเข้ามาหาผมที่ยังคงซ้อมชู้ตบาสอยู่เพียงลำพังในสนาม
“พี่นิลกลับไปก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมขอเล่นอีกสักยี่สิบนาทีก็จะกลับแล้ว” ผมยังอยากอยู่ต่อเลยบอกให้พี่นิลกลับไปก่อน โชคดีที่มหา’ลัยเรามีสนามบาสค่อนข้างเยอะจึงไม่มีการมาแย่งสนามกัน แถมช่วงนี้ก็ยังไม่ค่อยมีใครมาซ้อมเท่าไหร่ ส่วนใหญ่พวกที่ชอบเล่นบาสมักไปเล่นตรงสนามกลางแจ้งเสียมากกว่า
“อย่าให้มืดเกินนะรัชช์”
“ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย พี่นิลยืนมองผมพักหนึ่งก่อนจะเดินออกไป ผมหันไปมองตามทางที่อีกฝ่ายเพิ่งเดินออกไป ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังของเขาอยู่อย่างนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนเขามักจะยืนอยู่ข้างๆ ผมเสมอ
แต่จะโทษใครได้ล่ะ นอกจากตัวผมเอง
19.32 นาฬิกา
ผมเผลอเล่นบาสเพลินไปหน่อย จริงๆ ต้องบอกว่าเหม่อจนอยู่ถึงมืด ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะกลับช่วงหกโมงครึ่ง แต่ตอนนี้ปาไปทุ่มครึ่งแล้ว ตั้งสติหน่อยสิรัชช์ ผมได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจระหว่างเดินออกมาที่รถ ทางที่เดินมันค่อนข้างจะมืดนิดหน่อยผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไฟส่องทางเดิน ข้อเสียของโรงยิมหลังมหา’ลัยคือข้างนอกโรงยิมไม่มีไฟ เพราะอย่างนี้พี่นิลถึงเตือนไม่ให้กลับดึกไง
“เอ๊ะ!” ผมหน้าเสียทันทีที่เดินมาถึงรถของตัวเอง แสงไฟจากไฟฉายโทรศัพท์ที่ส่องไปยังพื้นตรงหน้าทำให้ผมเห็นตัวรถได้แทบจะทั้งคัน แต่สิ่งที่ทำเอาผมใจเสียคือ
รถยางแบน
ผมเดินดูยางรถทั้งสี่ล้อแล้วก็ต้องถอนหายใจยาว แบนสี่ล้อเลยครับ ยังไม่ทันไรก็โดนดีซะแล้วสิ นี่พี่นิลเพิ่งเตือนไปเมื่อตอนเย็นเองนะ ยังไม่ทันข้ามวันสิ่งที่พี่นิลเพิ่งเตือนไปก็แสดงให้เห็นแล้วล่ะครับ
ทำยังไงดี?
ผมได้แต่มองซ้ายมองขวา คิดหาทางออก การจะตามใครสักคนให้มารับหรือมาช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องยาก แต่ติดอยู่ตรงที่ผมจะตอบคำถามของพวกเขาเหล่านั้นได้ยังไง รถยางแบนสี่ล้อแบบนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ หากไม่ถูกกลั่นแกล้ง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่หาเบอร์ของคนที่จะพอช่วยผมได้
ไทม์เหรอ? ตัดทิ้งไปได้เลย
เชน? โดนด่าแน่ๆ
พี่นิล? คงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ว่า บ้านพี่นิลอยู่ไกลจากมหา’ลัยพอสมควร กว่าจะมาถึงก็คงจะมืดกว่านี้
เพราะอย่างนั้นหาตัวเลือกที่อยู่ใกล้ๆ นี้ดีกว่า
แล้วใครล่ะ?
ผมยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อหันไปเห็นแสงไฟจากสนามบอลที่อยู่ห่างถัดไปไกลพอสมควร ยกนิ้วขึ้นเคาะกับประตูรถอย่างใช้ความคิด อ่า ผมว่าผมนึกออกแล้ว ปลายนิ้วเรียวเลื่อนหาเบอร์แปลกที่มีการโทรออกเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เมื่อมั่นใจว่าเป็นเบอร์นี้แน่ๆ ผมก็กดโทรออกทันที
(“ฮัลโหล”) รอสายอยู่พักใหญ่กว่าปลายสายจะกดรับ
“มารุต” ผมร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกไปเพื่อให้แน่ใจว่าผมโทรหาไม่ผิดคนอย่างแน่นอน
(“ใคร?”)
“รัชช์”
(“รัชช์ไหนวะ?”) อีกฝ่ายร้องถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะห้วนจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าจะมีสักกี่คนที่ใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดคุยกับคนไม่รู้จัก
“นิติฯ ปีสาม”
(“มึง!”) พอได้ยินอย่างนั้นมารุตก็ดูจะหัวเสียขึ้นมาทันที ดูท่าว่าเขาน่าจะจำผมได้นะครับ
“ยังอยู่มหา’ลัยใช่ไหม?” เท่าที่ผมรู้มาคือมารุตเป็นนักบอลของคณะ ปีก่อนเขาก็เป็นตัวนำทีมให้ได้แชมป์มา ทั้งที่เป็นเด็กปีหนึ่งแต่เขากลับถูกพูดถึงมากกว่ารุ่นพี่คนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งกัปตันทีมก็ยังถูกเขาเบียดตกประเด็นไป ในปีนี้ทีมบอลคณะเกษตรก็หวังที่จะเอาแชมป์อีกปี พวกเขาจึงรีบซ้อมตั้งแต่เนิ่นๆ แสงไฟจากสนามบอลที่ผมเห็นก็คือพวกทีมบอลเกษตรนั่นแหละ
(“รู้ได้ยังไง?”) เขาถามอย่างแปลกใจ
“รถยางแบนอยู่สนามบาส ช่วยหน่อยสิ” ผมเอนสะโพกพิงกับประตูรถโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปทางสนามบอลที่เปิดไฟสปอร์ตไลท์จนสว่างโล่ต่างจากตรงที่ผมอยู่ลิบลับ
(“ไม่! เรื่องของมึง มึงก็จัดการเองสิ!”) เสียงทุ้มตวาดกลับมาเสียงแข็งกร้าว
“มันมืดแล้วนะ แค่ช่วยในฐานะเพื่อนมนุษย์ก็ไม่ได้เหรอ?” ผมกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ผมจะต้องทำให้เขามาช่วยผมให้ได้ นี่อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ผมสามารถเข้าใกล้เขาได้ ยอมรับเลยว่าผมยังไม่รู้เลยว่าจะหาทางเข้าไปจีบมารุตยังไง ถึงจะทำปากดีประกาศไปต่อหน้าผู้คนแต่ผมกลับไม่ได้วางแผนอะไรเอาไว้สักอย่าง
(“พอดีกูมันเป็นคนใจดำ”) ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้อยู่แล้วล่ะ
“ตรงนี้มันมืดมากเลยนะ รถยางแบนสี่ล้อเลย จากสนามบาสไปหน้ามหา’ลัยมันไกลมากนะ ตอนนี้ก็มืดแล้วด้วย ระหว่างทางก็มีไฟไม่เยอะ กว่าจะเดินไปถึงหน้ามหา’ลัย รถโดยสารก็อาจจะไม่มี แถมยัง…”
(“พอ! ทำไมมึงพูดมากจังวะ? เมื่อวานมึงยังไม่พูดเยอะขนาดนี้เลย!”) ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบประโยคที่ตั้งใจสรรหามาเป็นข้ออ้างก็ถูกคนปลายสายพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน เกิดมาก็เพิ่งเคยเล่นใหญ่ขนาดนี้เหมือนกัน
“รถจอดอยู่ข้างโรงยิมหลังมหา’ลัย” ผมแจ้งพิกัดของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้ด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก
(“เออ! เดี๋ยวกูไป”) พูดจบก็ตัดสายทิ้งอย่างไร้เยื่อใยสุดๆ
ผมไหวไหล่เบาๆ แล้วเปิดรถเข้าไปนั่งรอข้างใน ยุงเยอะขนาดนี้ผมไม่ยืนเป็นอาหารยุงหรอกครับ ดีที่อาบน้ำมาแล้วไม่อย่างนั้นผมจะต้องรู้สึกรำคาญตัวเองมากแน่ๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รัชชทำไมกิ๊กเยอะจังคะ หืมมมม5555555 เชนชอบรัช พี่นิลรัชเคยปฏิเสธไป แต่เทอดูมีเยื่อมีใยจังอะ มารุตมาแล้วโว้ยยยนนย
มาต่อเลยได้ไหม อย่าเพิ่งปล่อยให้ตัวฉันคอย เธอก็รู้ทั้งหัวใจมันอยู่ที่เทอหมดแล้วตอนนี้